ย้อนเวลาเปลี่ยนชีวิต จากโปรแกรมเมอร์และนักธุรกิจหมื่นล้าน กลายเป็นเด็กนักเรียนยากจนธรรมดา ในต่างโลก เขาเริ่มต้นชีวิตใหม่ พยายามไม่ใช้ชีวิตผิดพลาดเหมือนโลกที่เคยจากมา และสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยอีกครั้ง
ย้อนเวลาเปลี่ยนชีวิต จากโปรแกรมเมอร์และนักธุรกิจหมื่นล้าน กลายเป็นเด็กนักเรียนยากจนธรรมดา ในต่างโลก เขาเริ่มต้นชีวิตใหม่ พยายามไม่ใช้ชีวิตผิดพลาดเหมือนโลกที่เคยจากมา และสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยอีกครั้ง
วันอาทิตย์ ตอนบ่าย
ลู่เสว่ฉีมาที่บ้าน เพื่อมาซ้อมร้องเพลง
หม่ากั๋วหมิงจึงพาเธอนั่งเล่นอยู่หน้าบ้าน โดยเขาเล่นกีตาร์แล้วให้ลู่เสว่ฉีร้องเพลง และให้หม่าจือฉุนเล่นคีย์บอร์ด
มีอยู่สองเพลงที่หม่ากั๋วหมิงเขียนออกมา เป็นเพลงเพื่อนโต๊ะข้างๆ และเพลงชีวิตเหมือนดอกไม้ฤดูร้อน
เพลงเพื่อนโต๊ะข้างๆ นั้นบรรยายถึงชีวิตในวัยเรียน ที่ได้นั่งข้างๆกับเพื่อนร่วมชั้น และได้เรียนร่วมห้อง เนื้อเพลงพรรณาไปถึงบรรยากาศในโรงเรียน และความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน
ในเพลง พรรณาถึงการ พบปะเพื่อนฝูง ในห้องเรียน ที่ไม่ใช่แค่เรียน ยังมีการทำกิจกรรมอื่นๆ เล่นกีฬา อ่านหนังสือ การเข้าแถวหน้าเสาธง และได้ฟังเพื่อนที่ออกไปบอกเล่าความฝันของตัวเอง
เพื่อนที่บางครั้ง ไปเที่ยวกัน และที่สำคัญก็พรรณาถึง เพื่อนที่นั่งโต๊ะข้างๆ ที่เป็นเพื่อนร่วมชั้น และพัฒนาเป็นเพื่อนสนิท พอเป็นท่อนฮุค ก็บรรยายถึงความใฝ่ฝัน และการมุ่งไปสู่ฝัน ของเพื่อนๆ ที่ได้เล่าให้ตัวเองฟัง หน้าเสาธง เพื่อนบางคนอยากเป็นครู บ้างอยากเป็นหมอ บ้างอยากเป็นทหาร บ้างอยากเป็นแฟนใครซักคน
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ไม่ต้องมองไปไหนไกล จุดเริ่มต้นมันอยู่ที่เพื่อนโต๊ะข้างๆ เพื่อนโต๊ะข้างๆทำให้ฉันอยากมาเรียน ทำให้ฉันค้นพบความฝันของตัวเอง เพื่อนโต๊ะข้างๆคอยเคียงข้างและเป็นกำลังใจฉันเสมอ ฉันอยากให้รู้ว่า ฉันยังคิดถึงเธอเสมอ เพื่อนโต๊ะข้างๆ…
แน่นอนว่าครั้งแรกนั้นเป็นเสียงผู้ชาย แล้วก็กลายเป็นเสียงผู้หญิงที่ร้องซ้ำ และร้องพร้อมกันอีกครั้ง และเนื้อเพลงนั้นพรรณาถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาแล้ว เหมือนคนที่เรียนจบไปแล้ว แล้วหวนรำลึกถึง ความทรงจำช่วงนั้น ความทรงจำที่มี เพื่อนร่วมชั้นและเพื่อนโต๊ะข้างๆอีกครั้ง และแน่นอนว่า ยังหมายถึงช่วงเวลาที่กำลังเรียนอยู่ด้วย เหมือนเด็กนักเรียนที่กลับไปบ้านแล้วยังคิดถึงเพื่อนโต๊ะข้างๆ เหมือนกับเพลงที่เพื่อนร้องให้เพื่อนฟัง
ดังนั้นมันจึงฟังได้ทั้งคนที่กำลังเรียนอยู่ หรือคนที่เรียนจบไปแล้ว และยังไม่ได้จำกัดแค่มัธยม เพราะในมหาลัย ก็มีการนั่งเรียนร่วมโต๊ะด้วยเหมือนกัน มันก็ต้องมีเพื่อนที่นั่งโต๊ะข้างๆด้วยเช่นกัน
กระทั่งคนที่เรียนจบไปแล้ว พอฟังก็จะทำให้หวนรำลึกถึงเพื่อนโต๊ะข้างๆ ถึงแม้ว่าเพื่อนโต๊ะข้างๆ จะเป็นคนเพศเดียวกัน มันก็ต้องคิดถึงกันบ้างล่ะ เพราะยังไงก็เป็นเพื่อนกัน ได้เห็นหน้ากันทุกวัน
ในเนื้อเพลงแทนสรรพนามว่า ฉันว่าเธอ ไม่ได้บ่งบอกว่าเพื่อนโต๊ะข้างๆนั้นเป็นชายหรือหญิงชัดเจน และเมื่อผู้ชายร้อง เพื่อนโต๊ะข้างๆ อาจจะหมายถึงผู้หญิง และเมื่อผู้หญิงร้อง เพื่อนโต๊ะข้างๆ ก็อาจจะหมายถึงผู้ชาย และอาจจะหมายถึงเพื่อนเพศเดียวกันที่สนิทกัน เพราะฉนั้นจึงฟังได้หลายวัย หลายเพศ มันจึงสามารถเจาะกลุ่มเป้าหมายได้หลายกลุ่ม
พอร้องด้วยกัน มันจึงคล้ายๆกับการร้องเพลงคู่ น่าจะตีตลาดพวกที่ชอบร้องคาราโอเกะ และบรรดาเพื่อนๆ เมื่อมีการพบปะกันระหว่างเพื่อน อย่างงานรวมตัว รวมรุ่น ศิษย์เก่าอะไรประมาณนั้น เพลงนี้ก็จะกลายเป็นหนึ่งในเพลงที่ขาดไม่ได้…
…
"ในตอนนั้น…"
"ฉันกำลังวิ่งไปหาเธอ"
"วิ่งจนเหนื่อยจนแทบขาดใจ"
"แต่ไม่เป็นไรเลย"
"พอคิดว่าอีกไม่นานจะได้เจอเธอ"
"หัวใจฉันก็เต้นแรงจนแทบจะระเบิด...."
…
เสียงลู่เสว่ฉี ร้องเพลงซ้ำแล้วซ้ำอีก หม่ากั๋วหมิง พยายามจะทำให้งานออกมาดี โดยเฉพาะผลงาน เพลงแรกของเขา จึงต้องร้องซ้ำเล่นซ้ำหลายหน และแก้ไขตรงจุดที่คิดว่าผิด ต้องมีการปรับเปลี่ยน ให้ถูกต้องและได้อารมณ์ ลองเล่นทั้งเวอร์ชั่นเร็ว และเวอร์ชั่นช้า เวอร์ชั่นเร็วนั้นก็เล่นเหมือนเพลงป๊อบร็อค ส่วนเวอร์ชั่นช้านั้นก็ร้องช้าลงเล่นแบบอะคูสติก
เอาไปเอามา ลู่เสว่ฉีกลับอินจนน้ำตาไหล เหมือนว่าจะร้องไห้มากกว่าร้องเพลง จึงต้องพากันหยุดพักอยู่ช่วงหนึ่ง นั่นเพราะเหมือนเพลงนี้จะแต่งขึ้นมาเพื่อเธอ เธอจึงรู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย และก็รู้สึกปลื้มปิติยินดี เหมือนกลับได้รับของขวัญชิ้นใหญ่…
หม่ากั๋วหมิงมองดูด้านหลังของลู่เสว่ฉี ที่ขอตัวเดินไปเข้าห้องน้ำ เพื่อล้างหน้าล้างตา หลังจากอินจนร้องไห้น้ำตาไหล เมื่อมองดูเนื้อเพลงอีกครั้ง รู้สึกว่าเพลงนี้น่าจะเกิด เพราะขนาดคนร้องยังอิน คนฟังก็น่าจะอินตาม…
อันที่จริงแล้ว เพลงนี้ก็แต่งให้เธอจริงๆนั่นแหละ แต่ใช้ท่วงทำนองมาจากเพลงอื่น ในโลกก่อน ของหม่ากั๋วหมิง มาแต่งคำร้องปรับทำนองใหม่ ถือว่ามีความเหมือน แต่ไม่ได้ก๊อป ถือว่าเป็นแรงบัลดาลใจและเป็นเพลงดัดแปลง
หม่าจือฉุนยังเล่นคีย์บอร์ดไม่เก่ง แต่สามารถจับคอร์ดเล่นได้ ตอนแรกๆก็มีผิดพลาดบ้าง แต่ตอนหลังๆ ก็วางนิ้วแม่นทุกคอร์ด ในส่วนนี้คงได้รับอานิสงค์มาจากการฝึกวิชา และได้รับการล้างเลือดชำระกระดูก ทุกวัน ทั้งเธอยังเป็นเจ้าของลูกบอลหยกดำ สติปัญญาของเธอ จึงสูงส่งกว่าคนปกติธรรมดาทั่วไป เพียงฝึกหัดไม่เท่าไหร่ เธอก็สามารถเล่นคีย์บอร์ดเสียงเปียนโนได้อย่างคล่องแคล่ว เหมือนดั่งกับว่าร่ำเรียนมาตั้งแต่อายุน้อยๆ และเป็นนักดนตรีมืออาชีพ แถมเธอยังตัวเล็ก หน้าใสๆตัวขาวๆ เธอจึงเหมือนตุ๊กตาตัวน้อย น่ารักน่าเอ็นดู ถือเป็นมาสคอตของวงได้
ส่วนเสียงกลองเสียงเบสนั้น ก็ใช้เสียงอิเล็กทรอนิกส์จากคีย์บอร์ด มันจึงเป็นเพลงที่เรียบง่าย
ส่วนการโซโล่ในท่อนโซโล่นั้นไม่จำเป็น ใช้การฮัมเป็นเสียงเอา ประมาณ ฮือฮื้อฮือ… และก็มีการเล่นสร้อยนิดๆหน่อยของกีตาร์และคีย์บอร์ดที่สอดประสานกัน ระหว่างเพลงแต่ละท่อน ถือได้ว่าทำออกมาดีเลยทีเดียว
หม่ากั๋วหมิง กดหยุดบันทึกการถ่ายทำจากมือถือของเขา นี่เป็นเพียงการถ่ายฟุตเทจเท่านั้น ยังต้องถ่ายอีกหลายเทก ทั้งถ่ายแยกเป็นบุคคล และถ่ายหลายๆมุม แล้วเขาค่อยตัดต่อเอาที่ดีที่สุด ทำเป็นมิคสิควีดีโอ
เมื่อตัดต่อเสร็จ ค่อยอัพขึ้นแฟลตฟอร์มช่วงเวลา และตัดเฉพาะเสียงเพลงขึ้นเว็บฟังเพลง…
…
วันนี้ทั้งวันใช้เวลาส่วนใหญ่ซ้อมเล่นดนตรี แต่ก็อัดไว้โดยตลอด มันสามารถนำไปตัดต่อ และปรับแต่งได้ ไม่จำเป็นต้องร้องจนจบในครั้งเดียวก็ได้
หม่ากั๋วหมิงคิดว่า คงต้องใช้เวลาอีกซักวันสองวัน เพื่อให้งานออกมาดีที่สุด
ก่อนที่ลู่เสว่ฉีจะกลับ หม่ากั๋วหมิงจึงนำสร้อยพร้อมจี้ออกมามอบให้เธอ ทั้งยังใส่ให้เธอ สร้อยคอทองคำแบบตันๆขนาดสองสลึงนั้นไม่ได้เส้นใหญ่อะไรมากมาย มันเส้นเล็กพอๆกับการเอาเส้นด้ายมาถักกันเป็นสร้อย ส่วนจี้นั่นก็ใหญ่กว่าหัวไม้ขีดไฟหน่อยเดียว แต่มันเป็นเพชรเม็ดเล็กๆ พอลู่เสว่ฉีใส่แล้ว ทำให้ช่วงคอของเธองดงามขึ้นมาอีกหลายส่วน
ลู่เสว่ฉีตกใจเล็กน้อยที่วันนี้ได้ของขวัญอีกแล้ว
"นี่เป็นเครื่องประดับธรรมดา ดูสิน้องเล็กก็มีเส้นหนึ่ง" หม่ากั๋วหมิงชี้ไปยังหม่าจือฉุน หม่าจือฉุนพอได้ยินก็พยักหน้ารับแล้วบอกว่า "ใช่แล้ว ซื้อมาพร้อมกัน ของพี่ใหญ่ก็มีเส้นหนึ่ง"
"ให้เธอไว้ก่อน เดี่ยวอีกสองวัน ฉันจะพาเธอไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ด้วย เธอจะได้แต่งตัวสวยๆ เพราะเธอเป็นนักร้องนำประจำวงของเขา เราจะได้ถ่ายทำมิคสิควีดีโอกัน แล้วเอาไปลงแฟลตฟอร์มของเรา ประเดิมเจ้าแรก ในหมวดเพลง"
ลู่เสว่ฉีรู้สึกดีใจที่ได้รับการเอาใจใส่ เธอรู้สึกแสบจมูกเล็กน้อย ไม่รู้ทำไมถึงอยากกอดหม่ากั๋วหมิง แล้วร้องไห้ด้วยความซาบซึ้งใจ แต่ตอนนี้เธอยังเป็นเด็กนักเรียนอยู่ คงไม่เหมาะเท่าไหร่… ได้แต่เก็บความรู้สึกไว้ในใจ…