ย้อนเวลาเปลี่ยนชีวิต จากโปรแกรมเมอร์และนักธุรกิจหมื่นล้าน กลายเป็นเด็กนักเรียนยากจนธรรมดา ในต่างโลก เขาเริ่มต้นชีวิตใหม่ พยายามไม่ใช้ชีวิตผิดพลาดเหมือนโลกที่เคยจากมา และสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยอีกครั้ง
ย้อนเวลาเปลี่ยนชีวิต จากโปรแกรมเมอร์และนักธุรกิจหมื่นล้าน กลายเป็นเด็กนักเรียนยากจนธรรมดา ในต่างโลก เขาเริ่มต้นชีวิตใหม่ พยายามไม่ใช้ชีวิตผิดพลาดเหมือนโลกที่เคยจากมา และสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยอีกครั้ง
หลายวันผ่านไป ก็เป็นวันเสาร์อาทิตย์
นักเรียนมัธยม 6-5 นั้น ได้นัดแนะกันเข้าเมือง
นับตั้งแต่ที่ไปสนามฟุตบอล สนามบาสของมัธยมต้นวันนั้น ก็ไปซ้อมที่นั่นมาโดยตลอด
แต่เสาร์ อาทิตย์ นี้ไม่ได้นัดแนะกันซ้อม เพราะว่าทุกคนั้นรู้สึกเหนื่อยและหนักมาก ต้องพักแข้งขาพอสมควร โดยเฉพาะนักบอล ยังปวดน่องปวดขากันอยู่เลย หลายคนจึงไม่ได้มาด้วยในครั้งนี้
อย่างไรก็ดี ก็มีเพื่อนชาย 6 คน และเพื่อนสาว 4 คน มาในครั้งนี้
เหมือนกับนักเรียนนักเลง ที่มักไปเป็นกลุ่มเป็นแก๊ง
…
ในห้างสรรพสินค้า
วันนี้ลู่เสว่ฉีสวมกางเกงยีนส์ เอวสูง และดูเหมือนกางเกงนี้จะสร้างมาเพื่อเธอ มันช่วยขับเน้นสรีระของเธอพอสมควร เอวเป็นเอว สะโพกเป็นสะโพก เธอสวมเสื้อยืดสีเขียว ไม่มีลวดลายอะไร แม้ไม่ได้รัดรูป แต่ก็สัดส่วนชัดเจน หน้าอกตั้งเต้าตูมเต่ง มองดูแล้วชวนให้หลงใหล นอกเหนือจากนี้ก็ไม่ได้มีเครื่องประดับอะไร ไม่มีตุ้มหู ไม่มีจี้สร้อยคอ แต่ถึงแม้ไม่มี แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสวยของเธอลดน้อยลงเลย
"กำลังคิดอะไรอยู่" ลู่เสว่ฉีเอ่ยถาม เห็นหม่ากั๋วหมิง มองดูเธอแล้วเหมือนกำลังใช้ความคิด เธอเลยสงสัย
"ไม่รู้สิ ฉันกำลังคิดว่า เธอใส่ชุดนี้แล้วสวย หรือว่าเธอสวยอยู่แล้ว เลยใส่ชุดอะไรก็ดูดีไปหมด"
"บางทีอาจจะเป็นเพราะอย่างแรกหรือเปล่า" ลู่เสว่ฉีกล่าว เธอไม่ค่อยมั่นใจตัวเองนัก
"ฮึ่ ฉันว่าเพราะอย่างหลังนั่นแหละ ขนาดเธอใส่ชุดวอร์มหรือชุดนักเรียนยังสวยเลย"
"หัดเป็นคนปากหวานนะนายน่ะ"
"ชาติก่อนนายคงปิดทองตรงปากพระพุทธรูปละสิ เกิดชาตินี้ถึงได้ปากหวานขนาดนี้"
"ฮึ่ ชาติก่อนฉันปิดทองตรงหัวใจ และตรงปากต่างหาก ชาตินี้ฉันได้พูดปากตรงกับใจไง เมื่อฉันบอกว่าเธอสวย ก็เพราะว่าใจของฉันรู้สึกว่าเธอสวย หรืออาจจะเป็นเพราะว่าใจของฉันมันชอบเธอ ฉันถึงรู้สึกว่าเธอใส่อะไรก็สวย"
ลู่เสว่ฉีรู้สึกเขินและอมยิ้มเอาไว้ แล้วว่า "ยังมีคนสวยกว่าฉันอีก"
"ไม่ผิดนะ ยังมีคนสวยกว่าเธอ และยังมีคนขี้เหร่กว่าเธอ แต่แล้วยังไงล่ะ ฉันชอบเธอเพราะเธอเป็นเธอ ต่อให้เธอขี้เหร่ ฉันก็ยังชอบเธอ หรือต่อให้ฉันเจอคนสวยกว่าเธอ ฉันก็ยังชอบเธอเหมือนเดิม"
"จริงหรือหลอก"
"จริงจริ๊ง นี่ ฉันจะบอกความลับให้ฟัง ได้ยินแล้วอย่าไปบอกใครล่ะ"
"อะไรเหรอ"
"ความลับนั้นก็คือ ฉันแอบชอบเธอมาตั้งแต่แรกเห็นแล้ว นี่เป็นความลับนะ ห้ามเอาไปบอกใครล่ะ"
"แหวะ…"
"โฮ่ว…"
"ฮิ้วว…"
"นี่ลูกพี่ อย่าทำเหมือนพวกเราไม่มีตัวตนสิคร๊าบบ" เฉินโม่ เพื่อนในทีมบาสที่มาเที่ยวห้างด้วย กล่าวออกมา
"ฮ่าฮ่าฮ่า ฉันก็คิดว่าพวกนายไม่มีตัวตนอยู่แล้ว มาถึงห้างแล้วทางใครทางมันเลย"
"ลูกพี่ พวกเราไปร้านกีฬากันไหม" จางฮั่นหยา เพื่อนร่วมห้อง ก็เอ่ยออกมาบ้าง เขาเล่นทั้งบาสและบอลเหมือนกับหม่ากั๋วหมิง แต่ฝีมือนั้นยังห่างชั้นกันอยู่มากในทีมบาส แต่เขาค่อนข้างเล่นฟุตบอลเก่งพอสมควร และเล่นอยู่กองหน้า เหมือนกับ เย่จุน เพื่อนอีกคนที่เล่นบาสไม่เก่ง แต่เล่นฟุตบอลเก่ง เขายังเล่นอยู่กองหน้าอีกด้วย
ทุกคนที่มาครั้งนี้ ทุกคนเล่นบาสเล่นบอล ซึ่งถือเป็นจุดสนใจร่วมของทุกคน และยังมีหยินซินหยากับซือฮัวเจ๋อ มาด้วย
ส่วนเพื่อนผู้หญิงก็มี ลู่เสว่ฉี ซูเหม่ย หงส์หย่วน หัวหมิงตั๋ว
"อืมไปสิ ซื้อเสร็จแล้วเราค่อยไปหาอะไรกิน แล้วไปเล่นสเก็ต ย่อยอาหาร พอย่อยเสร็จก็ดูหนังซักเรื่อง ทุกคนคิดว่าไง"
"แล้วแต่ลูกพี่"
ตอนนี้หม่ากั๋วหมิงไม่ได้เป็นแค่กัปตันบาส แต่ยังเป็นมือโกล แถมยังเรียนเก่ง ทุกคนจึงยกให้เป็นลูกพี่ไปซะเลย ดูเหมือนว่า การเลี้ยงน้ำ เลี้ยงขนมเด็กพวกนี้ จะเริ่มส่งผลแล้ว
หม่ากั๋วหมิง พาทุกคนมาร้านกีฬา
ก่อนหน้านี้ หม่ากั๋วหมิงได้ซื้อเสื้อทีมบาสซึ่งเป็นเสื้อแบบธรรมดาคลองถม ตัวละ 20 หยวน แต่ในร้านนั้นมีเสื้ออย่างดีมียี่ห้อ ตัวละ 50-200 หยวน และยังมีกางเกง รองเท้า รวมทั้งอื่นๆอีกมาก
ส่วนบรรดาสาวๆแม้บางคนไม่ได้เล่นกีฬา ยังมองเสื้อยืดเสื้อกีฬา ว่าจะซื้อไปใส่กันซักตัว
หม่ากั๋วหมิง มาที่โซนรองเท้า และเลือกรองเท้าวิ่งออกมาคู่หนึ่ง
"เธอว่าคู่นี้เป็นยังไง"
ลู่เสว่ฉีดูราคาแล้วรู้สึกหน้าแดงเล็กน้อย ดูเหมือนว่ามันแพงไปหน่อย ไม่รู้ว่าเขาจะซื้อใส่เอง หรือว่าซื้อให้เธอ เธอจึงหัวหน้าไปมองหม่ากั๋วหมิง
คล้ายว่าหม่ากั๋วหมิงจะรู้ความคิดเธอ จึงว่า
"ฉันจะซื้อเป็นของขวัญให้เธอ ให้เธอใส่วิ่ง" หม่ากั๋วหมิงบอกออกไปตรงๆ
ลู่เสว่ฉีรู้สึกเกรงใจ จึงว่า "มันแพงไปหน่อย ใส่ได้แค่ปีเดียว ปีหน้าเท้าฉันก็ใหญ่ขึ้นแล้ว"
"แข่งปีนี้ ก็ใส่เบอร์นี้ ปีหน้าเท้าใหม่ขึ้น ก็เปลี่ยนคู่ใหม่"
เมื่อเห็นลู่เสว่ฉีลังเล หม่ากั๋วหมิงจึงว่า "เอางี้สิ คิดซะว่าเป็นการลงทุน หากเราไม่ลงทุนซื้อรองเท้าดีๆ เราก็มีต้นทุนเริ่มต้นน้อยกว่าคนอื่น ถึงแม้ว่าเธอจะวิ่งเร็วก็จริง แต่ก็อาจทำให้บาดเจ็บได้ หากใส่รองเท้าไม่ดี"
"และอีกอย่าง ฉันเป็นแฟนเธอนะ ฉันซื้ออะไรให้แฟนบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก และไม่ต้องเกรงใจ ไม่ถือว่าเป็นบุญคุณอะไร ถือว่าเป็นเรื่องสมควร หรือเธอจะตอบแทนฉัน โดยการหอมแก้มฉันก็ได้"
"หอมแก้มเลยเหรอ"
"อือ ถ้าจูบก็จะมากไปหน่อย"
"ใครจะอยากหอมแก้มนายกัน"
"ถ้า ถ้า นายสามารถเอาชนะที่หนึ่งได้ ฉันถึงจะลองคิดดู"
"ถ้าชนะทั้งบอลทั้งบาส หอมสองทีเลยนะ"
"อื้อ ถ้าชนะ ฉันจะยอมเสียเปรียบนายก็ได้"
"นี่ลูกพี่ อย่าทำเหมือนพวกเราไม่มีตัวตนสิคร๊าบบ" เฉินโม่ ก็เข้ามาเผือกอีกครั้ง
"เอาล่ะ ถ้างั้น ก็ตกลงตามนี้ เธอเลือกสีได้เลย หม่ากั๋วหมิงก็สรุปทันที" ตัดสินใจแทนลู่เสว่ฉี
คงไม่ดีเท่าไหร่หากปฏิเสธหลายรอบ จะเสียน้ำใจกันเปล่าๆ ลู่เสว่ฉีจึงเลือกรองเท้าคู่หนึ่ง แต่ยังไม่ได้ชำระเงิน เพราะต้องรอจ่ายพร้อมกับหม่ากั๋วหมิง ต้องรอเขาเลือกรองเท้าของเขาก่อน
หม่ากั๋วหมิง จึงเดินไปกับเฉินโม่ แล้วเลือกเอารองเท้าบาสคู่หนึ่ง รองเท้าสตั๊ดคู่หนึ่ง และยังเลือกรองเท้าเดินป่าอีกคู่หนึ่ง ใส่ในรถเข็นเดียวกันกับ ลู่เสว่ฉี ทุกคนรู้ว่าเขาเล่นบาสเล่นฟุตบอลก็ซื้อรองเท้าบาสรองเท้าสตั๊ดด้วยเหมือนกัน แต่แปลกใจที่หม่ากั๋วหมิงซื้อรองเท้าเดินป่าอีกคู่ แต่เมื่อคิดว่าเมืองตงหยวนนั้นปกติ เป็นป่าเป็นดอย จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่หม่ากั๋วหมิงจะปีนดอย ทุกคนจึงไม่แปลกใจ
หยินซินหยากับเฉินโม่ นั้นซื้อรองเท้าบาส แต่เย่จุนกับจางฮั่นหยานั้นยังลังเลอยู่ หม่ากั๋วหมิงจึงว่า
"เอางี้สิ ให้ฉันออกให้พวกนายก่อน แล้วพวกนายค่อยผ่อนคืน พวกนายว่าไง"
"ได้เหรอ" เย่จุนก็หันมาเอ่ยกับหม่ากั๋วหมิงอย่างสงสัย
"ไม่มีปัญหา"
"ลูกพี่ ขอรองเท้าสตั๊ดด้วยได้หรือเปล่า"
"ไม่มีปัญหา"
"เย้ ลูกพี่กั๋วหมิง ป๋ามากเลย"
รองเท้าพวกนี้ ราคาแพงสุดก็ 300 หยวน ส่วนรองเท้าที่หม่ากั๋วหมิงเลือกนั้นราคา 150 หยวน ซึ่งเป็นราคากลางๆ ยังมีคู่ที่ถูกสุดอยู่ที่ 80 หยวน ซึ่งเป็นของผลิตในประเทศ ส่วนราคา 150 ก็มียี่ห้อเช่น Nike และ Adidass ส่วนที่แพงกว่านั้น ก็เป็นรองเท้าก็นักกีฬาอาชีพหรือพวกนักกีฬามหาลัย
และในเมื่อหม่ากั๋วหมิงเลือกรองเท้าขนาดกลางๆ จึงไม่มีใครกล้าเลือกแบบแพงสุดอยู่แล้ว ส่วนคนที่เลือกไปแล้ว และถึงจะมีเงินเก็บจ่ายเองได้ ก็รู้สึกอิจฉาเล็กน้อย
ซือฮัวเจ๋อนั้นมีรองเท้าสตั๊ดอยู่แล้ว จึงเลือกฟุตบอลใหม่ลูกหนึ่ง หม่ากั๋วหมิงจึงเลือกอีกลูกและเลือกบาสอีกลูก ของซือฮัวเจ๋อนั้นเลือกเพื่อเพื่อนในทีม จะได้มีฟุตบอลฝึกซ้อมอีกลูก ส่วนหม่ากั๋วหมิงนั้นเลือกเพื่อเอาไปฝึกเล่นที่บ้าน เขายังซื้อแท่นบาสอีกห่วง ให้ร้านค้าไปส่งให้ที่บ้าน เขาจะเอาไว้ให้หม่าจือฉุนฝึก
ยามนั้นหม่ากั๋วหมิง ก็เอาโทรศัพท์ออกมา โทรหาหม่าจือฉุน แต่เหมือนจะไม่มีสัญญาณ เพราะวันนี้ทั้งบ้านขึ้นเขา และหม่าจือฉุนก็ขึ้นเขาด้วย หากหม่ากั๋วหมิงไม่มีเที่ยวห้างกับเพื่อนวันนี้ ก็คงขึ้นเขาไปด้วยเช่นกัน เขาว่าจะซื้อรองเท้าเดินป่าให้คนที่บ้านคนละคู่ เพียงแต่ไม่รู้ว่า คนที่บ้านใส่รองเท้าเบอร์อะไรกันบ้าง
หลายคนนั้นมีโทรศัพท์ แต่หลายคนนั้นไม่รู้ว่าหม่ากั๋วหมิงมีโทรศัพท์ พึ่งจะเห็นเขาใช้โทรศัพท์ ทั้งยังเป็นสมาร์ทโฟนอีกด้วย
"มีอะไรเหรอ" ลู่เสว่ฉีหันมาถามหม่ากั๋วหมิง
"อ๋อ ฉันว่าจะโทรถามที่บ้านว่าใส่รองเท้าเบอร์อะไรบ้าง ฉันจะซื้อไปฝาก เพราะไหนๆก็มาแล้ว ที่บ้านพวกเราปลูกโสมไว้บนภูเขาต้องขึ้นเขาบ่อย ถ้ามีรองเท้าเดินป่าก็จะสะดวกขึ้นเล็กน้อย แต่พอดีโทรไม่ติด บนเขาคงไม่มีสัญญาณ"
"อืม" ลู่เสว่ฉีก็พยักหน้าเข้าใจ
ระหว่างที่หม่ากั๋วหมิง กำลังพยายามโทรศัพท์อยู่นั้น ดูเหมือนว่าลู่เสว่ฉีจะไปหยิบอะไรบางอย่างมา
"ลองใส่ดูว่าใส่ได้หรือเปล่า"
มันเป็นถุงมือโกลถุงมือหนึ่งราคา 40 หยวน และยังมีอีกคู่ราคา 20 หยวนที่ผลิตในประเทศ และมีอีกคู่ราคา 80 หยวน ที่เป็นของมียี่ห้อ
เมื่อลองดูแล้ว ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ หม่ากั๋วหมิงคิดว่า ลู่เสว่ฉีจะซื้อให้ ก็เลยเลือกอันราคากลางๆ 40 หยวน
"อันนี้ฉันซื้อให้นาย ฉันจ่ายเอง"
"อืม ขอบคุณมาก" หม่ากั๋วหมิงก็พยักหน้ารับ
ลู่เสว่ฉีก็วางถุงมือไว้ในรถเข็นก่อน เอาไว้ตอนออกไป ค่อยแยกอีกที
เมื่อได้รองเท้าแล้ว ทุกคนก็ไปที่เสื้อผ้าและอย่างอื่น หม่ากั๋วหมิงก็ซื้อเสื้อวิ่งระบายเหงื่ออีกแปดตัว ให้คนในครอบครัวเอาไว้ขึ้นเขาขึ้นดอย เป็นเสื้อผู้หญิง ให้แม่สองชุด ให้น้องสาวสองชุด ของแม่กับน้องสาวนั้นสีสันสดใสหน่อย สีเหลือง สีส้ม ส่วนของบิดานั้นสีเขียว ส่วนของตัวเองนั้นสีดำ
เมื่อคิดไปคิดมา เขาก็เสื้อผู้หญิงอีกสองตัว เอาไว้ให้ลู่เสว่ฉี ไหนๆก็ไหนๆก็เลยซื้ออีกสองตัวให้มารดาของลู่เสว่ฉีด้วยเลย อย่างน้อยก็เอาไว้ใส่สบายๆที่บ้าน ราคาก็ไม่ได้แพงอะไรมาก แค่ตัวละ 50 หยวนเท่านั้น
เมื่อทุกคนเลือกของที่ต้องการครบหมดแล้ว ก็ไปที่เคาน์เตอร์จ่ายเงิน ลู่เสว่ฉีนั้นขอจ่ายแยกถุงมือโกล ส่วนอื่นๆนั้นหม่ากั๋วหมิงเป็นคนจ่าย ค่าของนั้นแค่ 2,000 หยวน เพราะลูกบอลลูกบอลนั้นลูกละ 100 หยวน แต่ยังมีแป้นบาสอีก 1,000 หยวน หม่ากั๋วหมิงก็เลยต้องควัก 3,000 หยวนจ่ายทั้งหมด
แป้นบาสนั้นให้ทางร้านจัดส่งไปที่บ้าน ในวันธรรมดา เพราะปกติวันธรรมดาบิดาและมารดา มักจะไม่ได้ไปไหน
บัตรกดเงินของหม่ากั๋วหมิงนั้น เป็นบัตรเดบิตธรรมดา ในยุคนี้ยังไม่สามารถรูดบัตรได้เหมือนบัตรเครดิต แต่หม่ากั๋วหมิงก็กดเงินติดกระเป๋าเอาไว้หนึ่งหมื่นหยวน ถือว่าเพียงพอแล้ว
หลังทุกคนจ่ายเงินเสร็จ ก็นำของไปฝากกับตู้ฝากของก่อน เพราะคงไม่ดีเท่าไหร่หากต้องหิ้วของไว้เต็มมือ
…
เมื่อทุกคนเดินซื้อของจนเหนื่อย ก่อนที่จะดูหนัง ทุกคนจะคิดว่าจะกินข้าวกันก่อน โดยหม่ากั๋วหมิงบอกว่าจะเลี้ยงเอง นั่นเพราะว่าเขาเป็นคนชวนทุกคนมา ในห้างนี้มีร้านอาหารหลายแบบ ทั้งแบบฝรั่ง แบบญี่ปุ่น แบบจีน
แบบฝรั่งก็พวกเคเอฟซี แบบญี่ปุ่นก็ซูชิ แบบจีนก็พวกปิ๊งย่างหม่าล่าและสุกี้หม้อไฟ
แน่นอนว่า ทุกคนชอบกินหม้อไฟ แต่อาหารร้อนแรงแบบนี้ คนชอบกินตอนเย็นมากกว่า แต่กินกันตอนเที่ยง ก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด
การกินหม้อไฟนั้น ก็เหมือนกินบุปเฟ่ต์
และเมื่อมีคนสิบคน ก็เลยต้องจัดโต๊ะใหญ่
แต่ทุกคนนั้นเหมือนคนบ้านนอก ที่ไม่ค่อยเข้าเมือง และบางคนยังกินอาหารในห้างเป็นครั้งแรกด้วยก็มี จึงกินกันอย่างเจี๋ยมเจี้ยม นั่งกินกันเงียบๆ พูดคุยกันเงียบๆ ไม่กล้าแม้แต่จะหัวเราะเสียงดัง เพราะเกรงใจคนอื่นจะหาว่าบ้านนอก ถึงแม้ว่าโต๊ะอื่นๆนั้นจะเสียงดังมาทางนี้ แต่ทางนี้ก็กินกันอย่างเงียบๆกันต่อไป แต่นี่เป็นครั้งแรก ครั้งต่อไปก็ไม่แน่นัก
แน่นอนว่าครั้งนี้ ย่อมเป็นหม่ากั๋วหมิงเป็นคนจ่าย ทุกคนจึงได้รับอานิสงค์ อิ่มจังตังค์อยู่ครบ
…
ในลานสเก็ต หลังจากนั้น ก็ถือเป็นรายการย่อยอาหาร
หม่ากั๋วหมิงนั้นเล่นสเก็ตกับลู่เสว่ฉี ลู่เสว่ฉีนั้นแท้จริงแล้ว ไม่ได้เป็นสาวบ้านนอก แต่เธอก็พึ่งเคยเล่นสเก็ตเป็นครั้งแรก จึงค่อนข้างขัดเขิลอยู่บ้าง แต่ในไม่ช้าก็สามารถสไลด์ได้ ในครั้งนี้เหมือนจะถูกหม่ากั๋วหมิงฉวยโอกาสจับจูงมือเธอ แต่เธอก็ไม่ปัดป้องแต่อย่างใด กับเป็นการดีเสียอีก ที่มีใครซักคนจูงมือเธอเล่น และเล่นไปด้วยกัน
แม้จะรู้สึกอายอยู่บ้าง ที่เห็นเด็กมัธยมต้น หรือเด็กประถม สไลด์ผ่านหน้าเธอไป แถมยังไม่ต้องให้ใครคอยช่วย
เพื่อนสาวเพื่อนหญิงที่มาด้วยกันนั้น มีอยู่สามคน และสามคนนี้ก็ยังไม่เคยเล่นสเก็ตเหมือนกัน แต่ผู้ชายอีกห้าคนที่เป็นนักกีฬาบาส นักกีฬาฟุตบอล ก็ใช่ว่าจะเล่นเป็น มีแต่ซือฮัวเจ๋อกับหยินซินหยา เท่านั้นที่เล่นเป็น จึงจับคู่ ซือฮัวเจ๋อกับซูเหม่ย และหยินซินหยากับหงส์หย่วน
โดยสัตย์จริง ทั้งสองคู่นั้นไม่ได้เป็นแฟนกัน และไม่เคยได้คุยกันมาก่อน แต่ดันต้องจับมือกันเล่นเหมือนคู่รักอย่างหม่ากั๋วหมิงกับลู่เสว่ฉี จึงรู้สึกขัดเขินกันอยู่บ้าง
แต่ซูเหม่ยก็แอบชื่นชมซือฮัวเจ๋ออยู่ไม่น้อย เพราะเขาเป็นถึงกัปตันทีมฟุตบอลของห้อง ถึงแม้จะไม่ได้เป็นกัปตันทีมฟุตบอลของโรงเรียน แต่ก็ไม่ถือว่าแย่ ส่วนหงส์หย่วนนั้น ก็รู้สึกพอใจเล็กน้อยสำหรับหยินซินหยา เขาเป็นนักกีฬาบาสของห้องและยังอยู่ในชมรมบาสของโรงเรียน เธอก็เคยไปเซียร์เขาเล่นบาสอยู่บ่อยๆ ไม่ถึงกับชื่นชอบ แต่ก็ชื่นชม และการได้มาเที่ยวเล่นห้างในครั้งนี้ ไม่คิดว่าจะถูกจับคู่กันแบบนี้ หรือว่านี่จะเป็นเพราะสวรรค์ประทานมา
สำหรับซือฮัวเจ๋อกับหยินซินหยานั้น ก็ไม่ประสาเรื่องรัก และไม่ได้สนใจจะจีบใครมาก่อน ทั้งคู่ชอบเล่นกีฬามากกว่า และทั้งซือฮัวเจ๋อนั้นยังมีน้องสาว คิดว่าการจับมือผู้หญิงก็เหมือนกับการจับมือน้องสาว แต่ไม่คิดเลยว่า มันแตกต่างกัน ซือฮัวเจ๋อเมื่อมองดูซูเหม่ยที่หน้าแดงเรื่อ จึงรู้สึกว่าตัวเองรู้สึกแปลกๆ รู้สึกว่าเมื่อมองดูใกล้ๆ ซูเหม่ยผู้นี้ก็น่ารักดีเหมือนกัน และพอจับมือนุ่มนิ่มของเธอแล้วนั้น ดูเหมือนว่าเขาอยากจะจับมือนี้อยู่อย่างนั้น เอาไว้นานๆ
ส่วนหยินซินหยานั้น ก็อยู่กับมารดาสองคน ความสัมพันธ์แม่ลูกก็ไม่ได้แย่ เพียงแต่ตั้งแต่ขึ้น ม.ปลาย เขาก็ไม่ได้จับมือแม่หรือกอดแม่เหมือนเดิมอีก แต่ถึงกระนั้นเขาก็คุ้นเคยกับผู้หญิง เพียงแต่ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่นนอกจากแม่ของตัวเอง วันนี้พอได้จับมือสาว ก็รู้สึกแปลกๆเหมือนกัน เขารู้สึกว่า หงส์หยวนดูเหมือนจะมีใจ และไม่ได้ปิดกั้นความสัมพันธ์ วันนี้จึงเป็นครั้งแรกของหยินซินหยาที่ได้จับมือผู้หญิง นอกจากมารดาของตัวเอง เขาจึงรู้สึกดีไม่น้อย
คงเหลือแต่สาวน้อยตัวเล็กอย่าง หัวหมิงตั๋ว ที่ตอนนี้มีสามหนุ่ม เฉินโม่ เย่จุน และจางฮั่นหยา
แต่ทั้งสี่คนนั้นเล่นสเก็ตไม่เป็น จึงพากันมองดูคู่อื่นอย่างอิจฉาอยู่บ้าง
แต่หลังจากไต่ไปตามขอบอยู่หลายนาที ในที่สุดเฉินโม่ก็สไลด์ออกจากขอบและราวกั้นได้เป็นผลสำเร็จ แต่ถ้าจะให้จับมือตีคู่ไปกับหัวหมิงตั๋วนั้น ยังเร็วเกินไป แต่ทันใดนั้นเองหัวหมิงตั๋วก็สามารถประคับประคองและทรงตัวได้ ด้วยตัวเอง
หัวหมิงตั๋วหันไปมองดูเย่จุนกับจางฮั่นหยา แล้วหันมาหยุดอยู่ที่ เฉินโม่ เธอจึงยื่นมือออกไป เฉินโม่เหมือนได้รับไฟเขียว ก็หัวเราะคิกคักแล้วสไลด์ไปที่เธอแล้วจับมือกันเอาไว้ เล่นสไลด์สเก็ตไปด้วยกัน
เย่จุนกับจางฮั่นหยานั้น ก็พอจะถูๆไถๆเล่นเป็นบ้างแล้ว แต่ตอนนี้เหลือสองหนุ่ม คงไม่เหมาะเท่าไหร่ หากจะจับมือกันแล้วสไลด์ไปด้วยกัน ได้แต่ถอนหายใจเบาๆในใจ แต่พวกเขาหวังว่าครั้งหน้าจะมีสาวๆมาเพิ่มอีกซักสองคน จะได้ครบคู่
อย่างไรก็ดี ในลานสเก็ตแห่งนี้ ก็ไม่ได้มีแต่สาวๆที่มาด้วยกัน สาวๆที่ดูเหมือนจะรุ่นราวคราวเดียวกัน ก็มีอยู่ไม่น้อย คงจะเป็นเด็กมัธยมปลายจากโรงเรียนอื่น
ถึงจะไม่กล้าเข้าไปจีบ แต่อย่างน้อยก็เป็นอาหารตา…