Your Wishlist

โปรแกรมเมอร์ธรรมดา (ต่างกันไหม)

Author: เพื่อนคนหนึ่ง

ย้อนเวลาเปลี่ยนชีวิต จากโปรแกรมเมอร์และนักธุรกิจหมื่นล้าน กลายเป็นเด็กนักเรียนยากจนธรรมดา ในต่างโลก เขาเริ่มต้นชีวิตใหม่ พยายามไม่ใช้ชีวิตผิดพลาดเหมือนโลกที่เคยจากมา และสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยอีกครั้ง

จำนวนตอน :

ต่างกันไหม

  • 21/05/2565

โรงเรียนมัธยมรุ่งอรุณ เมืองรุ่งอรุณ

 

โรงเรียนแห่งนี้ อยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองรุ่งอรุณ เลยได้ชื่อว่าโรงเรียนรุ่งอรุณ และพระอาทิตย์ก็ขึ้นหลังโรงเรียนจริงๆ ยังมีความนัยที่ว่าการเรียนเหมือนอาทิตย์ขึ้น และก็ยังบอกเป็นนัยๆว่า โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนบ้านนอกหลังเขา และหลังโรงเรียนก็เป็นเขาจริงๆ เป็นเขตป่าสงวน ทอดยาวไกลไปหลายร้อยกิโลเมตร

 

อย่างไรก็ดี มันก็ยังเป็นโรงเรียนมัธยมประจำอำเภอ หรือเมืองเล็กๆ คนในอำเภอส่วนใหญ่ จึงส่งบุตรหลานเข้ามาเรียนที่แห่งนี้

 

แต่สำหรับคนทั่วไปนั้น จะส่งบุตรหลานเข้าเรียนโรงเรียนเอกชนที่มีชื่ออีกสองแห่ง คือโรงเรียนตะวันฉาย และโรงเรียนแสงอุษา ที่เป็นตัวเลือกสำหรับคนมีเงิน

 

โรงเรียนแสงอุษานั้นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอนิเมะเรื่องนารูโตะแต่อย่างใด เพราะโรงเรียนนี้ตั้งมานานห้าสิบกว่าปี ก่อนที่จะมีอนิเมะเรื่องนารูโตะเสียอีก แต่เมื่ออนิเมะเรื่องนี้ออกมา ก็ทำให้เด็กในโรงเรียนนี้ถูกล้ออยู่พอสมควร และก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เด็กในโรงเรียนกลับมีชื่อเสียงในเรื่องบ้าพลังอยู่ไม่น้อย คงเพราะพวกเขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากอนิเมะก็เป็นไปได้

 

ส่วนโรงเรียนตะวันฉายนั้น โดดเด่นทั้งเรื่องเรียนและเรื่องกีฬา เพราะเป็นโรงเรียนเอกชน จึงจ้างครูที่มีคุณภาพสูงมาสอน ในโรงเรียนนี้ยังเปิดสอน วิชาศิลปะการต่อสู้อีกด้วย และด้วยเหตุนี้หรือเปล่าไม่รู้ โรงเรียนแสงอุษากับโรงเรียนตะวันฉาย จึงมักจะมีเรื่องกันบ่อยๆ เมื่ออยู่ข้างนอก เหมือนกับนักเรียนช่างกลของไทยยังไงยังงั้น

 

อย่างไรก็ตาม คนที่ร่ำเรียนอยู่ภายในโรงเรียนรุ่งอรุณ จึงเป็นประเภท ลูกชาวบ้านธรรมดา ที่ไม่สามารถเข้าโรงเรียนตะวันฉายและโรงเรียนแสงอุษาได้

 

แน่นอนว่ายังมีพวกลูกนักเลงในท้องถิ่น เข้ามาเรียนในโรงเรียนนี้ด้วยเหมือนกัน เพราะฉนั้นก็ยังมีคนโชคร้ายโดนรังแกอยู่เสมอ แต่ก็ยังดีกว่าโรงเรียนเอกชนที่กล่าวมา เพราะหากคนธรรมดาไปเรียนในโรงเรียนพวกนั้น ก็จะกลายเป็นเบ๊ให้พวกลูกคนรวยๆไป…

 

 

หม่ากั๋วหมิง ปั่นจักรยานพาน้องสาวมาโรงเรียน ทันเวลาก่อนกดออดเข้าแถวพอดี ในตอนแรกนั้น เขาคิดว่าหากหาเงินได้ เขาจะซื้อจักรยานให้น้องสาวอีกซักคัน ให้ปั่นมาพร้อมกัน จะได้เหนื่อยน้อยลง แต่พอมาคิดๆดูอีกที การปั่นจักรยานนี้ ก็เป็นการฝึกฝนร่างกายอย่างหนึ่งด้วยเช่นกัน

 

สำหรับคนที่บ้าน คิดว่าเขาเรียนที่นี่อีกแค่ปีเดียว พอปีหน้าน้องสาวก็สามารถใช้จักรยานคันนี้อยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องซื้อใหม่อีกคัน แต่หากซื้อเร็วหน่อย เธอก็จะปั่นได้เอง และปั่นมาพร้อมกัน ทั้งเธอยังได้ฝึกฝนร่างกายไปด้วย

 

เพียงแต่กว่าจะถึงโรงเรียน ก็ได้เหงื่อ และตัวเหม็นเหงื่อไม่น้อย พอคิดไปคิดมา เขาก็อยากจะติดตั้งเกียร์ให้จักรยานซักหน่อย เพียงแต่ว่าตอนนี้เกียร์จักรยานไม่ได้รู้จักกันอย่างแพร่หลาย หากอยากได้ คงต้องสั่งซื้อจากญี่ปุ่นโดยตรง และไม่รู้ว่าในเมืองใหญ่ๆจะมีคนนำมาขายหรือเปล่า หรือมีคนทำออกมาหรือเปล่า และที่แน่ๆคงไม่ใช่ถูกๆ

 

 

ในห้องเรียนนั้น จะนั่งกันเป็นคู่บัดดี้ มีอะไรก็จะได้ปรึกษาหารือและช่วยเหลือกัน

 

โต๊ะข้างๆของหม่ากั๋วหมิงนั้นเป็นผู้หญิง ชื่อลู่เสว่ฉี ชื่อเหมือนตัวละครหนึ่งในนิยายเรื่องหนึ่ง แถมคำบรรยายรูปร่างหน้าตาของเธอนั้น ก็ยังคล้ายกับในนิยาย และยังคล้ายกับตัวละครในซีรีย์

 

สตรีนางนี้งดงามเหมือนดั่งเทพธิดานางฟ้า ใบหน้าเนียนนุ่มขาวผ่องเหมือนดั่งไข่ปอก ผมดำเงางาม ลู่ลงด้านหลังเหมือนดั่งน้ำตก คิ้วโค้งเข้มเหมือนดั่งคันศร ดวงตาดำสนิทดุจนิล นัยน์ตาแฝงแววมุ่งมั่น จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากแดงนิดหน่อย แม้ไม่ได้แต่งแต้ม แก้มขาวผ่อง แดงระเรื่อ ลำคอขาวเนียน ฟันขาวสดใส มีลักยิ้มแก้มบุ๋มอยู่หนึ่งข้าง

 

การแต่งกายของโรงเรียนมัธยมโรงเรียนนี้ ก็ใส่ชุดวอร์มเป็นเครื่องแต่งกายหลัก เหมือนกับโรงเรียนอื่นๆ แต่ชุดวอร์มนี้ก็ไม่สามารถปกปิดรูปร่างที่สมส่วนของเธอเอาไว้ได้ มีส่วนเว้าส่วนโค้งให้จินตนาการถึง หน้าอกนูนขึ้นชัดเจน เอวขอด สะโพกผาย ในห้องเรียนนั้น มีแต่คนอิจฉาหม่ากั๋วหมิงที่ได้นั่งข้างเธอ เธอทั้งเรียนเก่งแถมยังสวยอีกต่างหาก

 

อย่างไรก็ดี เธอเป็นเด็กเรียน แถมยังเป็นหัวหน้าห้อง การได้นั่งข้างหม่ากั๋วหมิง ที่เป็นเด็กเรียนเหมือนกัน ก็นับว่าสมควร

 

แต่ถึงกระนั่น ต่างคนต่างก็เป็นเด็กเรียน แม้ว่าจะนั่งข้างกัน แต่ก็พูดคุยกันวันหนึ่งไม่กี่ประโยค

 

"เสว่ฉี ขอลอกการบ้านหน่อย"

 

"หือ เมื่อวานมีการบ้านด้วยเหรอ"

 

"เมื่อวานวันอาทิตย์จะมีการบ้านได้ไง"

 

"นั่นสิ แล้วนายจะขอลอกการบ้านอะไร"

 

"งั้นถ้าวันนี้ไม่มีการบ้านให้ลอก วันอื่นฉันขอลอกการบ้านได้ไหมล่ะ"

 

"นายก็ทำเองได้ ทำไมต้องมาขอลอกฉัน"

 

"ก็ฉันอยากลอกการบ้านเธอไง เธอไม่รู้หรือว่า พวกผู้ชายน่ะ จะชอบหาเรื่องคุยกับคนที่ตัวเองชอบ อย่างการขอลอกการบ้าน"

 

"…"

 

"สนใจเรื่องตัวเองไป อย่าชวนฉันคุยเรื่องไร้สาระ"

 

"จริงๆนะ"

 

อย่าถามถึงความสัมพันธ์ส่วนตัว ทั้งคู่ไม่ได้รู้ด้วยซ้ำว่าบ้านของเพื่อนโต๊ะข้างๆนั้น ทำมาหากินอะไร รู้เพียงแค่ว่าต่างคนต่างตั้งใจเรียน เพียงพูดคุยกันนิดหน่อย ยังไม่ถึงกับหยอกล้อกัน เหมือนเพื่อนจริงๆ

 

ลู่เสว่ฉีไม่ได้สนใจคุยกับหม่ากั๋วหมิงอีกต่อไป ก้มหน้าก้มตาเขียนอะไรของเธอไป แต่ดูเหมือนว่าเธอจะอมยิ้มอยู่เล็กน้อย คงจะพยายามเก็บอาการอยู่

 

วันนี้ลู่เสว่ฉีรู้สึกว่าหม่ากั๋วหมิงผู้นี้แปลกตาอยู่บ้าง แต่ไม่รู้ว่าแปลกตรงไหน ดูเหมือนเขาจะกล้าขึ้น หรือว่าพยายามจะเปลี่ยนลุค

 

อย่างไรก็ดี นี่เป็นห้องห้า ซึ่งไม่ใช่ห้องหนึ่ง ถือเป็นคนเรียนเก่งในหมู่คนที่เรียนไม่เก่ง และห้องห้านี้ก็โดดเด่นในเรื่องกีฬาไม่ใช่เรื่องเรียน เพียงแต่ มีแต่หม่ากั๋วหมิงที่ไม่ค่อยได้เล่นกีฬากับเขา หม่ากั๋วหมิงไม่รู้ว่า ก่อนหน้านี้ หม่ากั๋วหมิงคนเก่า มีชมรมกับเขาบ้างหรือเปล่า แต่คงไม่มี และภายในห้องนี้ก็มีเพื่อนน้อยมาก ไม่รู้ว่าใครที่พอจะนับได้ว่า เป็นเพื่อนสนิท เพราะตั้งแต่เขามาโรงเรียน ยังไม่มีใครเข้ามาชวนคุยเลย นี่มันจะเก็บตัวเกินไปหรือเปล่า

 

ก่อนเรียนคาบภาษาอังกฤษ ภายในห้องพากันเจี๊ยวจ๊าว ทุกคนกำลังคุยกันเรื่องการแข่งขันกีฬาภายในโรงเรียน และใครจะเล่นอะไรบ้าง

ในห้องมีนักกีฬาบาสเก็ตบอลอยู่สามคน ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจในหมู่พวกสาวๆ

 

พอครูเข้ามา ทุกคนก็กลับไปนั่งที่ของตัวเอง และหัวหน้าห้องก็สั่งทำความเคารพครู และครูก็เช็คชื่อ

 

หม่ากั๋วหมิงไม่ได้สนใจ สาวสวยที่นั่งข้างมากนัก รวมถึง การแข่งขันกีฬาที่กำลังจะมาถึง

 

"หม่ากั๋วหมิง"

 

"มาครับ"

 

"ลู่เสว่ฉี"

 

"มาค่ะ"

 

 

เมื่อครูขานชื่อเสร็จ ก็ส่งกระดาษคำถามและกระดาษคำตอบออกมา ให้ทยอยส่งกันไปตามโต๊ะ การสอบจำลองนั้นมีตั้งแต่เริ่มเรียน ม.6 เทอมแรกแล้ว ทุกคนในห้องพากันโอดครวญ นี่มันเช้าวันจันทร์ พอเริ่มสัปดาห์ ก็เจอการทดสอบแบบสุ่มของอาจารย์ประจำวิชาภาษาอังกฤษเข้าไปแล้ว อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ จะมีชีวิตอยู่กันได้ยังไง

 

วิชาภาษาอังกฤษกับคณิตศาสตร์นั้น หม่ากั๋วหมิงชำนาญเป็นพิเศษ ส่วนที่รองลงมาคือฟิสิกส์และวิทยาศาสตร์ คือต้องรู้ว่า คนที่จะเข้าเอ็มไอทีได้ จะต้องได้เอวิชาคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ ดังนั้นหม่ากั๋วหมิงแค่ต้องปัดฝุ่นความรู้นิดหน่อยเท่านั้นเอง เขาสามารถเขียนส่งๆไป ก็ยังคิดว่าน่าจะได้คะแนนอันดับต้นๆของโรงเรียนแล้ว

 

หลังคาบภาษาอังกฤษ ทุกคนก็พากันพูดคุยอีกครั้ง

 

"กั๋วหมิง นายจะเล่นกีฬาอะไร"

 

ลู่เสว่ฉี ที่เป็นหัวหน้าห้องที่นั่งข้างเขา ได้กล่าวออกมา

 

ความจริงเขาเล่นกีฬาเป็นทุกประเภท แต่ประเภทที่ต้องเล่นเป็นทีมอย่างบาสเก็ตบอลหรือฟุตบอล ก็คงต้องปรับตัวนิดหน่อยให้เข้ากับเพื่อนร่วมทีม แถมยังต้องหาเวลาซ้อมกับเพื่อนๆในตอนเย็น แต่เขาต้องเข้าร้านเน็ต เพื่อพิมพ์นิยายทุกวัน คงไม่ว่างมาซ้อม นอกเสียจากเขาจะมีคอมพิวเตอร์ที่บ้าน เขาจึงจะสามารถพิมพ์งานได้ ตอนอยู่บ้าน หากเป็นเช่นนั้น สิบห้าวันหรือหนึ่งเดือนก็น่าจะพิมพ์จนจบสามเล่มได้ไม่ยาก

 

"วิ่งแข่ง มีคนลงหรือยัง"

 

"มีแล้ว"

 

"พุ่งหอก, กระโดดสูง"

 

"มีแล้ว"

 

"วิ่งผลัด"

 

"มีแล้ว"

 

หม่ากั๋วหมิง มองดูหลังห้อง รู้สึกว่าในห้องนี้จะมีคนเล่นบาสเก็ตบอลอยู่หลายคน

 

"ถ้างั้นฉันลงบาสเก็ตบอล"

 

"อืม"

 

ลู่เสว่ฉี ก็เขียนลงไป เธอไม่ถามด้วยซ้ำว่าเขาเล่นเป็นไหม หรือเคยเล่นหรือเปล่า สงสัยว่าเธอคิดว่าเขาคงเล่นเป็นตัวสำรองได้

 

"ว่าแต่เธอลงอะไร"

 

"ฉันลงแข่งวิ่ง"

 

หม่ากั๋วหมิง ยกนิ้วโป้งให้เธอ ไม่คิดว่าเด็กเรียนอย่างเธอ จะลงแข่งวิ่ง แต่จะว่าไปแล้วกีฬาประเภทนี้ แค่ต้องวิ่งแข่งกับคนอื่น ไม่ต้องปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นมากนัก เหมาะกับเด็กเรียนและไม่ค่อยพูดอย่างเธอพอดี

 

"สู้ๆนะ"

 

"ตอนเย็นแล้วเธอทำอะไร ซ้อมวิ่งหรือเปล่า"

 

"ฉันสามารถซ้อมวิ่งตอนกลับบ้านได้"

 

"บ้านเธออยู่ไกล จากโรงเรียนมากไหม"

 

"ประมาณ 15 กิโลเมตร"

 

"ถ้างั้นเธอวิ่งมาโรงเรียนหรือปั่นจักรยานมา"

 

"วิ่งมา"

 

"หากต้องวิ่งมาวิ่งกลับทุกวัน ก็คงไม่มีใครสู้เธอได้ ถ้างั้นแชมป์แข่งวิ่งของโรงเรียนเราก็คงเป็นเธอแล้ว"

 

ลู่เสว่ฉี รู้สึกยืดอกขึ้นและแอบภูมิใจเล็กน้อย เพราะเธอมั่นใจกับฝีเท้าของเธอ

 

"ก็ไม่เท่าไหร่ แค่เก่งในโรงเรียนก็ไม่มีประโยชน์ แต่หากแข่งกับอีกสองโรงเรียน นั่นก็อีกเรื่อง"

 

"ถึงโรงเรียนพวกนั้นจะมีคนเก่ง แต่ก็คงไม่มีใครฝึกซ้อมอย่างหนักเหมือนเธอ คนที่สามารถวิ่งไปวิ่งกลับระยะทางสิบกว่ากิโลเมตรทุกวัน คงไม่มีใครสามารถทำได้ ถึงแม้เธอไม่ชนะด้วยการแข่งความเร็ว แต่เธอคงสามารถเอาชนะ ด้วยการวิ่งมาราธอนได้ พยายามเข้านะ ฉันจะคอยเป็นกำลังใจให้"

 

ถึงแม้ว่าถ้อยคำนี้จะฟังดูแปลกๆ เหมือนประชดประชันยังไงไม่รู้ แต่ถึงกีฬาชั้นปีจะไม่มีแข่งมินิมาราธอน แต่กีฬาสีมี เขาคงหมายถึง หากไม่ชนะร้อยเมตร ก็รอแข่งตอนกีฬาสีสินะ เมื่อได้ยินดังนี้ เธอก็รู้สึกดีอยู่บ้าง

 

"ขอบใจนายมาก"

 

"ยินดีเสมอ วันแข่ง ฉันจะเซียร์เธอเต็มที่ มอบใจให้เธอไปเลย"

 

"ว่าแต่ ไม่มีการแข่งจักรยานเหรอ ฉันสามารถลงได้นะ ฉันปั่นจักรยาน ไปและกลับบ้านทุกวัน"

 

ลู่เสว่ฉีหัวเราะคิก แย้มยิ้มออกมา แก้มแดงระเรื่อ จนทำให้หม่ากั๋วหมิงตกใจในรอยยิ้มของเธออยู่บ้าง มาเรียนอยู่หลายวันพึ่งจะเห็นเธอแย้มยิ้ม

 

"หากเป็นแข่งโอลิมปิก ก็มีนะ การแข่งจักรยาน แต่กีฬาโรงเรียน ไม่มีหรอก แต่ว่านะ ไม่ได้มีแต่นายหรอกนะที่ปั่นจักรยานไปและกลับบ้าน จากโรงเรียนทุกวัน"

 

"น่าเสียดายนะ ฉันปั่นจักรยานเก่งมาก หากไม่เชื่อนะ วันนี้ให้ฉันปั่นไปส่งเธอที่บ้านดีไหม แล้วเธอจะรู้ ว่าใครเป็นเจ้าของฉายา จักรยานเจ้าพายุ"

 

"นายต้องกลับบ้านพร้อมน้องสาวไม่ใช่เหรอ"

 

"ไม่เป็นไรหรอก ฉันแค่ให้เธอรอแป๊บเดียว แค่บอกเธอไปว่า ฉันจะไปส่งพี่สะใภ้ก่อน แล้วค่อยกลับบ้านเรา"

 

"บ้า ใครเป็นพี่สะใภ้ของนายกัน"

 

"ไม่ใช่นะ ไม่ใช่พี่สะใภ้ของฉัน แต่เป็นพี่สะใภ้ของน้องสาวฉัน ฉันหมายถึงเธอเป็นแฟนฉันไง"

 

"ฉันไปเป็นแฟนนายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน"

 

"แล้วต้องทำยังไงเธอถึงจะยอมเป็นแฟนฉันล่ะ ให้ฉันแข่งวิ่งกับเธอไหม หากเธอเอาชนะฉัน ฉันจะยอมเป็นแฟนเธอ และหากฉันเอาชนะเธอได้ เธอก็ต้องยอมเป็นแฟนฉัน ตกลงไหม"

 

ลู่เสว่ฉีรู้สึกเขินๆอยู่บ้าง เผลอยิ้มออกมาแล้วว่า

 

"แบบนี้ แล้วมันต่างกันยังไง"

 

"ต่างกันสิ หากเธอเอาชนะฉัน ฉันก็จะยอมเป็นแฟนเธอ เหมือนฉันยอมเป็นเบ๊เธอ หากเธอสั่งให้ฉันไปทางซ้าย ฉันจะไม่ยอมไปทางขวา แต่ถ้าหากฉันเอาชนะเธอได้ เธอก็ต้องเชื่อฟังฉัน หากกินข้าวด้วยกัน เธอก็ต้องยอมให้ฉันจ่าย ให้ฉันไปรับไปส่งเธอกลับบ้าน และฉันก็มีสิทธิจับมือเธอ พาเธอไปเดท บอกกับคนอื่นๆว่าเธอเป็นแฟนฉัน ให้ฉันได้ดูแลเธอ เธอว่ามันต่างกันไหมล่ะ"

 

"นายคิดว่าเอาชนะฉันได้งั้นสิ"

 

"กล้าหรือเปล่า สาวน้อย หากชนะฉันได้ เธอได้ทั้งแฟนได้ทั้งเบ๊เลยนะ สนใจหรือเปล่า…"

 

ไม่เพียงแต่ลู่เสว่ฉีเท่านั้น คนในห้องก็พากันฮือฮา… แบบนี้ก็ได้เหรอ…

 

เมื่อเห็นทุกคนฮือฮา ลู่เสว่ฉีก็ไม่อยากเสียหน้า เพราะเธอเป็นหัวหน้าห้อง แถมเธอยังมีความมั่นใจไม่น้อย เธอจึงว่า

 

"ถ้างั้น ได้เลย นายอย่าเสียใจทีหลังล่ะ…"

 

"หากฉันชนะ นายต้องมาเป็นเบ๊ฉัน และลืมเรื่องที่บอกว่านายเป็นแฟนฉันได้เลย"

 

"แต่ ถ้าหากนายชนะ ฉันจะ… แล้วแต่นายเลย…"

 

"ตกลงตามนั้น"

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป