Your Wishlist

โปรแกรมเมอร์ธรรมดา (เพ่งจิต)

Author: เพื่อนคนหนึ่ง

ย้อนเวลาเปลี่ยนชีวิต จากโปรแกรมเมอร์และนักธุรกิจหมื่นล้าน กลายเป็นเด็กนักเรียนยากจนธรรมดา ในต่างโลก เขาเริ่มต้นชีวิตใหม่ พยายามไม่ใช้ชีวิตผิดพลาดเหมือนโลกที่เคยจากมา และสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยอีกครั้ง

จำนวนตอน :

เพ่งจิต

  • 21/05/2565

ตกตอนเย็น หม่ากั๋วเทากับลูกชายได้ช่วยกันกางเต็นท์

 

ส่วนมารดาและลูกสาว ก็ช่วยกันทำอาหาร นำข้าวมาอุ่น และทำไก่ย่าง และเนื้อกระต่ายย่าง

 

เมื่อกางเต็นท์ ก็มืดพอดี และอากาศก็เย็นลงเร็วมาก ทุกคนก็พากันนั่งล้อมวง รอบกองไฟ นำภาชนะสนามที่ใช้ใส่ข้าวเป็นชามเล็กๆ และกินอาหารร่วมกัน เป็นไก่ย่างและกระต่ายย่าง ถูกสับเป็นชิ้นเล็กๆจะได้หยิบกินได้ง่ายๆ และมีน้ำจิ้มไก่ใส่ถ้วยเล็กๆ ให้ทุกคนสามารถจิ้มได้

 

นอกจากกินเนื้อ ก็มีผักลวก ที่เป็นสมุนไพรที่เก็บมาตามทาง

 

ทั้งครอบครัวก็กินกันอย่างเอร็ดอร่อย

 

เมื่อกินเสร็จ ก็พากันทำความสะอาด นำเศษเนื้อเศษกระดูกที่เหลือไปฝังกลบไกลๆ จะได้ไม่ชักนำสัตว์ป่าเข้ามาใกล้เต็นท์

 

ฟ้ามืดแล้ว เสียงหรีดเรไรดังระงม

 

หม่ากั๋วเทา ได้พาคนทั้งครอบครัว ไปลำธารเล็กๆที่ห่างออกไป แล้วให้ทุกคนชำระล้างร่างกาย ใครเหนียวตัวมาก ก็อาบมาก อย่างหม่ากั๋วเทาและหม่ากั๋วหมิง ที่ทำงานหนัก ก็อาบน้ำนานหน่อย

 

เมื่อสมควรแก่เวลา ทุกคนก็เช็ดตัว แต่งตัว แล้วพากันเดินกลับไปที่เต็นท์

 

ยังไม่ดึกมากนัก แต่จางซินอวี่ผู้เป็นมารดา รู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย จึงเข้าเต็นท์ไปนอนก่อน และหม่ากั๋วเทาก็กำชับลูกชายและลูกสาวอยู่สองสามคำ แล้วก็เข้าไปนอนด้วยเช่นกัน โดยนอนคนละเต็นท์กับภรรยา ซักพักหม่ากั๋วหมิงก็จะนอนกับบิดา และหม่าจือฉุนก็จะนอนกับมารดา

 

หม่าจือฉุนยังไม่เข้าไปในเต็นท์ นำเมาท์ออแกนออกมา เป่าเสียงดังอ๊อดๆแอ๊ดๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพลงอะไร และไม่น่าจะเป็นเพลง แต่เธอดูมีความสุข ที่เป่าออกมาเป็นท่วงทำนอง ตามแต่ที่เธอจะเป่าออกมาตามใจ

 

ในตอนที่ซื้อมานั้น ในกล่องของเมาท์ออแกน มีแผ่นคู่มือเล็กๆแนบมาด้วย มันมีเขียนบอกว่าช่องอะไรมีโน็ตอะไร ช่วยให้ฝึกได้ไม่ยาก ปัญหาก็คือต้องแกะเพลง หรือมีโน็ตเพลง ถึงจะสามารถเล่นเป็นเพลงได้

 

หม่ากั๋วหมิง จึงนำสมุดออกมา จดโน๊ตลงไป นึกถึงเพลงในโลกเก่า เขียนใส่ในสมุดโน็ตของเขา แต่เขาจำโน็ตไม่ได้ละเอียดมากนัก จำได้แค่เนื้อเพลง และท่วงทำนองเพลง และตอนนี้ก็มืดมาก มีเพียงแสงสว่างริบหรี่จากกองไฟ ไม่สะดวกเท่าไหร่ในการอ่านหรือเขียนหนังสือ เขาจึงเก็บมันไปไว้ก่อน แล้วนำเอาก้อนหินกลมๆที่เจอวันนี้ออกมา…

 

 

ในกระเป๋าของเขามีก้อนหินอยู่สี่ก้อน โดยอีกก้อนเป็นของมารดานำมารวมกัน แต่ยังเหลืออีกก้อน อยู่ที่หม่าจือฉุน เธอยังเก็บหินก้อนนั้นไว้กับตัวอยู่

 

จากคำอธิบายที่หม่ากั๋วหมิงพอจะจินตนาการออก หินพวกนี้ น่าจะใช้แทนพลังธาตุต่างๆห้าธาตุ ไฟ ไม้ น้ำ ทอง ดิน

 

หากจะสังเกตดีๆ ตำแหน่งของก้อนหิน เหมือนถูกวางเป็นค่ายกลห้าธาตุแปดทิศ ไม่แน่ว่าเหอโสว่อูต้นนี้ อาจจะถูกปลูกด้วยใครบางคน และนำหยกมาวางเป็นค่ายกลรวมวิญญาณ ให้กับต้นเหอโสว่อู

 

อาจจะเพราะคนที่วางค่ายกล คงลืมไปแล้ว ก็เลยไม่ได้มาเก็บเกี่ยวเหอโสว่อู ก็เป็นไปได้ จึงปล่อยเหอโสว่อูทิ้งไว้นานขนาดนี้ และก็ไม่แน่ว่าคนปลูกก็อาจตายไปแล้วก็เป็นไปได้ ก็เลยไม่ได้มาเก็บเกี่ยว

 

ก้อนหินหรือก้อนหยกพวกนี้ ตอนแรกพวกมันก็เป็นแค่ก้อนหยกธรรมดา แต่เมื่อถูกวางเป็นค่ายกล และดูดซับพลังวิญญาณจากค่ายกล หลายพันปีผ่านไป มันก็เลยกลับกลายเป็นหยกวิญญาณหรือหินวิญญาณ แต่ปัญหาคือเมื่อหยดเลือดใส่มัน ทำไมมันกลับกลายเป็นก้อนหินธรรมดาแทน หรือว่าพลังของมันจะหมด ตรงจุดนี้หม่ากั๋วหมิงไม่สามารถอนุมานได้จริงๆ

 

หม่ากั๋วหมิงนำก้อนหิน ที่เคยเป็นหยกสีแดงเลือดออกมาถือไว้ และลองหยดเลือดใส่อีกครั้ง คราวนี้เลือดก็ยังซึมเข้าไป แต่มันไม่เรืองแสงเหมือนเดิม พอลองหยดเลือดใส่หินก้อนอื่น เลือดก็ไม่ซึมลงไป คงเพราะของใครของมัน ยังเหลือแค่หยกสีขาว มันก็ไม่กินเลือดด้วยเช่นกัน คาดว่าคนๆหนึ่ง น่าจะครอบครองหยกได้เพียงก้อนเดียว คงต้องเก็บแยกไว้ต่างหาก เอาไว้ให้ใครซักคนในครอบครัวในอนาคต

 

เมื่อเห็นพี่ชายลองหยดเลือดใส่ก้อนหิน หม่าจือฉุนก็ลองทำตามดูบ้าง มันก็ดูดซึมเลือดของเธอเข้าไปเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่า เลือดหนึ่งหยดหรือสองหยด ก็ไม่ได้มีความแตกต่างอะไร

 

"หรือว่าจะต้องเลี้ยงมันด้วยเลือด แล้วมันก็จะฟักออกมาเป็นสัตว์อสูร" หม่าจือฉุนเอ่ย

 

"ว่าไปนั่น มันไม่ใช่ไข่ของสัตว์อสูรซักหน่อย" หม่ากั๋วหมิงก็ตอบกลับไป

 

"แล้วมันคืออะไรคะ"

 

"พี่ว่านะ มันคงเป็นหยกที่ดูดซับพลังจากเหอโสว่อู หรือไม่ก็เป็นหยกที่วางเป็นค่ายกล ดูดซับพลังฟ้าดินมาหล่อเลี้ยงต้นเหอโสว่อู ก็เป็นไปได้ คงมีคนมาวางค่ายกลเอาไว้ แล้วปลูกเหอโสว่อูเอาไว้ตรงกลาง บนเขาแห่งนี้ เขาคงปลูกไว้นานจนลืมไปเลย เพราะเมื่อดูจากอายุต้นเหอโสว่อูที่มีอายุหลายพันปี คนปลูกคงตายไปแล้ว และพวกเราก็มาเจอพอดี"

 

"และเมื่อหยกดูดซับพลังฟ้าดินมาเรื่อยๆตลอดหลายปี ก็เลยทำให้มันมีจิตวิญญาณของธาตุต่างๆมากขึ้น กลายเป็นหยกวิญญาณ เมื่อเราหยดเลือดใส่มัน นั่นเท่ากับว่า เราผูกติดทางสายเลือดและจิตวิญญาณกับมัน แต่ปัญหาคือ มันอาจจะต้องใช้ควบคู่กับการร่ายอาคมอะไรซักอย่างพร้อมกันด้วยหรือเปล่า มันถึงจะใช้ได้ พอเราไม่รู้ มันก็เลยกินเลือดของเราเข้าไปเฉยๆ หรือเปล่า…"

 

"ว่าไปนั่น ยังกะนิยาย นี่พี่แต่งนิยาย จนมโนไปไกลเลยนะ"

 

"แต่ว่านะ ที่พี่พูดมา ก็ฟังดูมีเหตุผล แล้วเราต้องร่ายอาคมอะไรบ้างละ อย่าง เจ้าก้อนหิน ข้าเลือกเจ้า อะไรแบบนี้หรือเปล่า"

 

"พี่ก็ไม่รู้สิ"

 

"ว่าแต่มันต้องร่ายอาคมเป็นภาษาอะไร ภาษาจีน ภาษาอินเดีย หรือภาษาเขมร"

 

"อันนี้พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน หือ…"

 

ระหว่างที่หม่ากั๋วหมิง โยนก้อนหิน จากมือซ้ายไปมือขวา โยนกลับไปจากมือขวาไปมือซ้าย เล่นๆอยู่นั้น พลันหินก้อนนั้น ก็เรืองแสงอยู่แวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าเขาตาฝาดหรือคิดไปเองหรือเปล่า

 

"บางทีอาจจะเป็นเพราะว่า…"

 

หม่ากั๋วหมิงลองเอาก้อนหินไปอยู่ใกล้ๆกองไฟ หินก้อนนั้นก็เหมือนจะดูดซับความร้อนจากกองไฟ และเริ่มขึ้นสีแดงเรื่อยๆ หม่ากั๋วหมิงก็รู้สึกดีใจ จึงนำมันไปวางไว้ข้างๆกองไฟมากขึ้น และวางมันไว้ ปล่อยให้มันดูดซับแสงไฟเข้าไปในก้อนกลมของมัน

 

ไม่รู้ว่ามันดูดซับความร้อน หรือว่าดูดซับแสง หลังจากนั้นสิบนาที เมื่อนำกลับมา แล้วจับดูก้อนหยกกลมอีกครั้ง มันก็ดูจะอุ่นๆ แต่นอกเหนือจากนั้น ก็ไม่พบประโยชน์อะไร หม่ากั๋วหมิง จึงนำมันไปหย่อนใส่ ถังน้ำ และก็พบกับประโยชน์ของมัน คือมันทำให้น้ำเดือด แต่เขาได้สังเกตว่า น้ำมันเดือดปุดๆ น่าจะเดือดเกินหนึ่งร้อยองศา และยังคงเดือดอยู่อย่างนั้น อยู่นานหลายนาที จนน้ำแห้ง จนหม่ากั๋วหมิงต้องนำมันออกมา ไม่งั้นหม้อคงไหม้ และเป็นที่สังเกตเห็นว่า เมื่อเขาจับก้อนหยกแดงสีเลือดนี้ เขากลับไม่รู้สึกร้อนแต่อย่างใด เพียงรู้สึกว่ามันอุ่นๆเท่านั้นเอง

 

เมื่อเห็นดังนั้น หม่าจือฉุนก็พยายามเลียนแบบและทำตามพี่ชาย นำก้อนหินก้อนหยกของตัวเองไปใกล้ๆกองไฟ แต่ก็ไม่ได้ดูดซับแสงเหมือนกับของพี่ชายแต่อย่างใด

 

"หยกของน้องก่อนหน้านี้เป็นสีดำ เป็นไปได้ไหมว่ามันจะเป็นธาตุดิน น้องเล็กต้องลองเอาฝังดินดู"

 

หม่าจือฉุนลองทำตามที่พี่ชายบอก นำมันฝังดินสิบนาที แต่เธอแอบเปิดดูทุกๆสามนาที สีของหยกก็ดำเงางามขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่ว่า เมื่อมันดูดซับพลังจากดินเสร็จสิ้น แต่หม่าจือฉุนไม่รู้ว่าจะนำมันมาใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง ของพี่ชายอย่างน้อยก็ทำน้ำเดือดได้ แต่ของเธอไม่รู้จะนำมาใช้ประโยชน์อะไรได้ หม่าจือฉุนจึงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

 

หม่ากั๋วหมิงหันมาสนใจหยกของตัวเอง ที่นำไปวางไว้ข้างเตาไฟอีกครั้ง จนมันเริ่มเรืองแสงสีแดงอีกครั้ง เมื่อนำกลับมาถือเอาไว้ หม่ากั๋วหมิงก็พยายามเพ่งจิตเข้าไปในก้อนหยก แต่ก็ไม่พบปฏิกิริยาอะไร เป็นไปได้ไหมว่า เขายังมีพลังวิญญาณไม่เพียงพอ ที่จะควบคุมหยกก้อนนี้ หรือว่าจะต้องใช้พรสวรรค์หรือวาสนาร่วมด้วย

 

ทันใดนั่นเอง เมื่อหม่ากั๋วหมิงหันไปทางน้องสาว เธอก็หายวับไป ถูกดูดเข้าในก้อนหยกดำของเธอ

 

"ฉิบหายแล้ว" หม่ากั๋วหมิงอุทาน สงสัยว่าเธอจะลองเพ่งจิต ใส่่ก้อนหยกเหมือนกับเขา เธอคงสามารถเชื่อมจิตสื่อสารกับก้อนหยกได้เร็วกว่า จึงได้หายเข้าไปในมิติของหยกก้อนนั้น

 

หม่ากั๋วหมิง ไม่รู้จะทำยังไง จึงร้องเรียกบิดาและมารดา

 

"พ่อ แม่ น้องหายไป"

 

คล้ายว่าสองผู้เฒ่า ไม่ได้นอนหลับสนิทแต่อย่างใด เพียงร้องเรียกครั้งที่สอง ทั้งบิดามารดา ก็พากันออกมาจากเต็นท์ แล้วหม่ากั๋วหมิงก็เล่าเรื่องให้กับทั้งสองคนได้ฟัง

 

ยิ่งในป่าแบบนี้ เรื่องเหลือเชื่อแบบนี้ นับได้ว่า ยิ่งทำให้คนยิ่งหวาดกลัวเข้าไปอีก

 

แต่ดูเหมือนว่า ทุกคนจะตกใจได้ไม่นาน หม่าจือฉุน ไม่รู้ว่า วาร์ปมาจากไหน โผล่ออกมาจากความว่างเปล่า และดูเหมือนเธอเองก็ตกใจด้วยเหมือนกัน

 

"ฮือ แม่…"

 

หม่าจือฉุนร้องไห้ กอดมารดาของตัวเอง คงเพราะเธอตกใจจนเสียขวัญ

 

หลังจากร้องไห้และปลอบใจกันอยู่ครู่หนึ่ง หม่าจือฉุนก็เล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น

 

"หนู ลองทำตามพี่ใหญ่ เพ่งสมาธิเข้าไปในก้อนหยก แล้วหนูก็ถูกดูดเข้าไปข้างใน ข้างในนั้น มืดมาก พอหนูบอกว่า ใครก็ได้ช่วยเปิดไฟหน่อย ห้องนั้นก็สว่างขึ้นมา แต่หนูก็วิ่งไปทั่วแล้วไม่เจอทางออก จึงร้องบอกให้ปล่อยหนูออกมา หนูก็กลับมาที่นี่ ฮือ…"

 

ดูเหมือนว่าเธอกำลังตกใจอยู่ แต่หม่ากั๋วหมิงก็พอจะเดาอะไรได้รางๆ

 

"ไม่ต้องเล่นพิเรนกันแล้ว เกิดน้องหายไปจริงๆจะทำยังไง อยู่ในป่าในเขา ใครจะช่วยเราได้" มารดาหันมาดุหม่ากั๋วหมิง ได้ยินนั่งคุยอ้อมแอ้มๆอะไรกันอยู่ดีๆ ไม่คิดว่าจะหายไปในความว่างเปล่าแบบนี้

 

ตอนนี้ลูกสาวกำลังเสียขวัญอยู่ ผู้เป็นมารดา จึงนำลูกสาวตัวเอง เข้าไปนอนปลอบขวัญกันอยู่ในเต็นท์

 

ตอนนี้เมื่อแม่และลูกสาวเข้าไปในเต็นท์ หม่ากั๋วหมิงก็พยายามองหาก้อนหยกดำของน้องสาวก็ไม่พบ ไม่รู้มันหายไปไหน เมื่อพ่อไม่ได้เข้าไปนอนต่อ เขาจึงบอกเล่าการอนุมานและสันนิฐานของตัวเอง

 

"ในก้อนหยกคงมีพื้นที่มิติช่องว่างอยู่ เมื่อเราเพ่งสมาธิเข้าไปในหยก เราก็สามารถเข้าไปในหยกได้ ไม่แน่ว่า เราอาจจะสามารถนำของอย่างอื่นเข้าไปหรือนำออกมาได้ เหมือนกับที่เราเข้าไปและออกมา สามารถใช้เป็นที่เก็บของ โดยการเชื่อมต่อทางจิตวิญญาณ ที่ผูกติดผ่านการหยดเลือดใส่มัน เพียงแต่ต้องรอให้น้องหายตกใจก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยทดลอง"

 

หม่ากั๋วเทา รู้สึกอึ้งเล็กน้อย กับจินตนาการของลูกชาย แต่เมื่อครู่เขาก็เห็นกับตาตัวเอง ว่าลูกสาวตัวเอง โผล่ออกมาจากความว่างเปล่า แม้ว่าจะน่าเหลือเชื่ออยู่บ้าง แต่ดูเหมือนว่าจะมีความจริงอยู่หลายส่วน

 

หม่ากั๋วเทา จึงอยากลองดูด้วยตัวเอง หยิบก้อนหินสีดำที่เคยเป็นหยกเขียวมาก่อน แล้วเพ่งสมาธิเข้าไป

 

"เอ่อพ่อ รู้สึกว่า มันจะต้องดูดซับพลังประจำธาตุของมันก่อน เพื่อเปิดใช้งาน ของพ่อเป็นหยกสีเขียว น่าจะเป็นหยกธาตุไม้ พ่อต้องเอาไปอยู่กับต้นไม้ก่อน เพื่อให้มันดูดซับพลังจากต้นไม้" หม่ากั๋วหมิงกล่าว ความจริงแล้ว เป็นการเดาล้วนๆ แต่เป็นการอนุมาน และมีความเป็นไปได้สูง

 

หม่ากั๋วเทาผู้เป็นบิดา ไม่ได้คิดอะไรมาก เขาคิดว่าลูกชายมีเหตุผล ทั้งสองจึงเดินไปไม่ไกล ส่องไฟฉายหาต้นไม้ใหญ่ แล้วจึงนำหินก้อนนั้น ไปวางไว้ใต้ต้นไม้ ให้มันสัมผัสกับรากไม้ ของต้นไม้ใหญ่นั้น และดูเหมือนว่า ก้อนหินสีดำนั้น มันจะค่อยๆเรืองแสงสีเขียวขึ้นมาเรื่อยๆ ตามที่ลูกชายบอกจริงๆ

 

"ต้องรอให้มันเขียวเหมือนเดิมก่อนหรือเปล่า" หม่ากั๋วเทาเอ่ย

 

หม่ากั๋วหมิง ก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาเองก็เดาล้วนๆ แต่เขาก็ได้วางก้อนหยกของเขาไว้ใกล้กองไฟเอาไว้แล้วก่อนออกมา รอให้มันแดงเต็มที่ด้วยเช่นกัน ทั้งสองรอด้วยใจจดจ่อ

 

แต่ดูเหมือนว่า ก้อนหยกของบิดาจะเขียวเร็วกว่าก้อนหยกสีแดงของหม่ากั๋วหมิงอยู่บ้าง ไม่นานเท่าไหร่ มันก็เขียวเหมือนหยกจักรพรรดิ ส่วนต้นไม้ที่หยกวางเอาไว้นั้น คล้ายสูญเสียจิตวิญญาณและสูญเสียพลังชีวิตไป ดูเหมือนต้นไม้จะยืนต้นตาย กลายเป็นท่อนซุงขนาดใหญ่ไปแล้ว และใบไม้ก็รั่วหล่นลงมาเกลื่อนพื้นดิน

 

หม่ากั๋วเทา รู้สึกไม่ค่อยวางใจเท่าไหร่นัก หากต้นไม้นี้หักโค่นลงมา คงแย่แน่ ดีหน่อยมันอยู่ไกลจากจุดกางเต็นท์พอสมควร คงไม่ล้มโค่นไปถึงที่นั่น

 

เมื่อบิดาและลูกชายกลับมาที่รอบกองไฟ หม่ากั๋วเทา ก็ลองเพ่งสมาธิเข้าไปที่ก้อนหยก และไม่นานก็คล้ายว่าบิดาจะถูกก้อนหยกดูดเข้าไป ก้อนหยกหล่นตุ๊บลงบนพื้นดิน หม่ากั๋วหมิง ไม่กล้าเข้าไปใกล้หรือขยับก้อนหยก กลัวจะมีเรื่องผิดพลาดอันใด เขารออยู่ครู่หนึ่ง บิดาก็คล้ายวาร์ปออกมาจากความว่างเปล่า แต่ในตอนที่วาร์ปออกมานั้น ก้อนหยกของบิดานั้นกลับหายไปแทน และไม่รู้ว่ามันหายไปไหน

 

หม่ากั๋วเทาเมื่อออกมา ก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย และก็เป็นเหมือนกับที่ลูกสาวของตัวเองบอก ว่าข้างในเป็นห้องโล่งไร้ที่สิ้นสุด เมื่อบอกให้เปิดไฟ มันก็สว่าง เมื่อบอกให้ส่งเขาออกไปที่เดิม เขาก็กลับมา แต่ปัญหาคือตอนนี้ พอมองหาก้อนหยกเขียวของตัวเอง มันกลับหายไป พอมองไปที่ลูกชายคิดว่าเขาช่วยเก็บให้ กลับได้ยินเสียงลูกชายเอ่ยออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า

 

"พ่อลองแบมือแล้วคิดว่า ให้ก้อนหยกเขียวปรากฏบนมือของพ่อ"

 

หม่ากั๋วเทา ทำตามที่ลูกชายบอก พอพยายามเพ่งจิตสมาธิอยู่ครู่หนึ่ง ก็ปรากฏหยกเขียวบนฝ่ามือของเขา

 

โดยไม่ต้องรอให้ลูกชายบอกอีกครั้ง เขาก็ลองเพ่งจิตให้ลูกบอลหยกนั้นหายไป มันก็หายวับไป

 

ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่า ลูกบอลหยกมันหายไปไหนก็ตาม แต่เมื่อเขาเพ่งจิตให้มันออกมาอีกครั้ง มันก็ออกมา

 

และเมื่อทดลองอยู่สองสามครั้ง เขาก็รู้สึกเวียนศีรษะเล็กน้อย

 

"พ่อ ดูเหมือนว่า ถ้าใช้พลังมากเกินไป จะทำให้รู้สึกเวียนหัว"

 

ถึงลูกชายไม่บอก เรื่องนี้เขาก็รู้ได้ด้วยตัวเอง เขาจึงเสกให้ก้อนหยกเขียวหายไปก่อน

 

"ถ้างั้น เดี่ยวพ่อไปนอนพักซักครู่ก่อนนะ เจ้าก็เฝ้ายามไปก่อนสองชั่วโมง ค่อยไปปลุกพ่อ"

 

"ครับพ่อ" คืนนี้หม่ากั๋วหมิงก็นอนไม่หลับอยู่แล้ว เพราะเหมือนว่าเขาจะเจอของวิเศษเข้าให้แล้ว

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป