ย้อนเวลาเปลี่ยนชีวิต จากโปรแกรมเมอร์และนักธุรกิจหมื่นล้าน กลายเป็นเด็กนักเรียนยากจนธรรมดา ในต่างโลก เขาเริ่มต้นชีวิตใหม่ พยายามไม่ใช้ชีวิตผิดพลาดเหมือนโลกที่เคยจากมา และสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยอีกครั้ง
ย้อนเวลาเปลี่ยนชีวิต จากโปรแกรมเมอร์และนักธุรกิจหมื่นล้าน กลายเป็นเด็กนักเรียนยากจนธรรมดา ในต่างโลก เขาเริ่มต้นชีวิตใหม่ พยายามไม่ใช้ชีวิตผิดพลาดเหมือนโลกที่เคยจากมา และสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยอีกครั้ง
ระหว่างกินข้าวเช้า คนในครอบครัวก็ได้พูดคุยกัน
ในเมื่อวันนี้เป็นวันดีที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า หม่ากั๋วเทาผู้เป็นบิดา จึงชักชวนทุกคนขึ้นเขา และพักแรมบนภูเขาซักคืน หาสมุนไพรมาขาย พรุ่งนี้ค่อยพากันกลับลงมา
เมื่อบิดาบอกอย่างนั้น ก็ไม่มีใครขัดข้อง โดยเฉพาะ หม่าจือฉุน ชอบที่เข้าไปในป่าตั้งแต่เด็ก
จางซินอวี่ผู้เป็นมารดา ก็ได้เตรียมถุงหอมไล่ยุง ถุงหอมไล่แมลง ถุงหอมไล่งู เอาไว้ให้ทุกคน โดยห้อยไว้ข้างเอว เหมือนคนสมัยก่อน ทั้งยังทายากันยุงกันทุกคน และใส่ถุงเท้าอย่างดีและทาแป้งกันทาก
คนแบกสัมภาระก็มี หม่ากั๋วเทาและหม่ากั๋วหมิงเป็นคนแบกเต็นท์ไปคนละอัน คืนนี้พ่อและลูกชายนอนด้วยกัน และแม่กับลูกสาวก็นอนด้วยกันคนละเต็นท์
พอสายหน่อย หลังจากเตรียมเสบียงน้ำและอาหารแห้งเสร็จ ทุกคนก็พากันเดินขึ้นดอย เข้าป่าไป โดยพกของใช้ที่จำเป็นไปด้วย มีมีดเดินป่า เสียมด้ามเล็กๆ และหม่ากั๋วเทา ยังแบกธนูและลูกศรไปด้วย และทุกคนพกน้ำไปคนละสองขวดลิตร และอุปกรณ์เดินป่า
ไม่ว่าจะเป็นโลกก่อนหน้า หรือโลกนี้ หม่ากั๋วเทายังคงมีคาเรคเตอร์เดิม นั่นก็คือเป็นคนไม่ค่อยพูด ตลอดทางแทบไม่ได้คุยเล่นนอกเรื่องเลย เพียงแต่ดีหน่อยตรงที่ พอเจอสมุนไพรอะไรใหม่ๆ หม่ากั๋วเทาก็จะอธิบาย ให้กับลูกชายกับลูกสาวฟังว่า ต้นนี้มันคือต้นอะไร และใช้ทำอะไรได้บ้าง และต้องขุดยังไง เก็บรักษายังไง
การเดินป่านั้น ได้เตรียมตัวมาดี แม้จะมียุง มีแมลงในป่ามากมาย ก็ไม่มีตัวอะไรเข้ามาใกล้พวกเขา เพราะมีถุงหอมไล่ยุง ไล่แมลงติดตัวทุกคน ทั้งยังทายากันยุงเอาไว้แล้ว จึงไม่ต้องห่วงว่าจะมีแมลงมากวนใจ
ในระหว่างทางนั้น หม่ากั๋วเทา ก็ได้โชว์สกิลการยิงธนู ยิงไก่ป่าไปสองตัวและยิงกระต่ายมาสองตัว เก็บไว้กินเป็นอาหารเย็นได้ เมื่อได้เสบียงมากพอแล้ว ระหว่างทางเมื่อเจอนก เจอไก่ป่า หรือกระต่าย ก็ไม่ได้ยิงพวกมันอีก
…
จุดประสงค์ของการเข้าป่ามาในครั้งนี้ ก็เพื่อหาสมุนไพร เก็บลงไปขายในตลาด หากเจอสมุนไพรราคาแพง ก็อาจจะขายได้ราคาดี หม่ากั๋วหมิงก็เจอสมุนไพรที่เขารู้จักด้วยเช่นกัน และดูเหมือนว่าเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้
สูตรยาที่เขาจำได้ในใจ มีเพียงไม่กี่สูตร เขาจึงได้เก็บสมุนไพรพวกนั้นกลับมาด้วย ยามนั้นเขาก็พบกับสมุนไพรต้นหนึ่ง เรียกว่า เหอโสว่อู มันเป็นยาที่มีความต้องการสูงของจีน เพราะมันมีตัวยาที่ช่วยเสริมพลัง บำรุงไต เมื่อปรุงยาตัวอื่นยังช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศของผู้ชาย
ในชาติก่อน หลังจากเขาได้ลองยาที่ผลิตจากเหอโสว่อู ผมหงอกบนหัวของเขาก็ลดลงกลับเป็นดกดำเงางาม และนกเขาส่วนล่าง ก็ลุกขึ้นมาขันตอนเช้าๆ ถือได้ว่าได้ปลุกความเป็นชายของเขาอีกครั้ง ถือว่าเป็นยาช่วยชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้ เสียดายก็แต่ ตอนนั้นเขาอายุมากแล้ว และหมดไฟ
ความจริงแล้ว อายุ 39 ก็ยังไม่ถือว่าแก่ เรียกได้ว่าเป็นหนุ่มใหญ่ แต่ไม่รู้ทำไม เหมือนน้ำที่เต็มแก้ว ไม่ได้โหยหาความสุขทางเพศ เหมือนตอนวัยรุ่นอีก กลับโหยหาการมีชีวิตอมตะแทน
เขาเข้าไปยังอารามเต๋า และฝึกวิชาของลัทธิเต๋า ควบคู่ไปกับการทดลองทางวิทยาศาตร์ เหมือนกับจักรพรรดิ ที่ยืนอยู่จุดสูงสุด มีเงิน มีอำนาจ มีทุกอย่าง สุดท้ายกลับโหยหาความเป็นอมตะแทน แทบเรียกได้ว่า กิเลสของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ
....
กลับมาที่ปัจจุบัน
"พ่อครับ นี่คือเหอโสว่อู" หม่ากั๋วหมิงได้ค้นพบสมุนไพรขนาดใหญ่ต้นหนึ่ง มันค่อนข้างคุ้นเคยเล็กน้อย ตอนแรกเขาไม่แน่ใจ แต่เมื่อดูดีๆ กับพบว่า ใช่ ทั้งดอก ทั้งใบ ทั้งต้นของมัน ตรงกับที่เขาได้รู้มา มันไม่ผิดแน่ มันคือ เหอโสว่อูจริงๆ
"หือ เหอโสว่อูอะไร"
เมื่อดูจากสีหน้าของบิดา เหมือนว่าจะไม่รู้จัก หรือว่าในโลกนี้ไม่มีใครเคยกินเหอโสว่อูมาก่อน หรือว่าความรู้ทางสมุนไพรของบิดาไม่มากพอ หม่ากั๋วหมิงจึงว่า
"ผมเคยอ่านเจอในหนังสือสมุนไพร คนที่พบมันครั้งแรกแซ่เหอ พอกินมันเข้าไป ทำให้ผมหงอกบนหัวของเขา กลับกลายเป็นผมดำเหมือนเดิม ริ้วรอยเหี่ยวย่นก็ลดน้อยลงด้วย คนจึงได้ตั้งชื่อว่า เหอโสว่อู ที่แปลว่าคนแซ่เหอ ผมขาวกลับดำ นี่มันยาบำรุงเสริมพลัง ช่วยลดวัยและชลอวัย ทั้งยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งของร่างกาย"
หม่ากั๋วเทา ไม่ได้สงสัยในความรู้ของลูกชาย เพราะเขาตั้งใจเรียนและอ่านหนังสืออยู่ไม่น้อย เขารู้สึกภูมิใจเล็กน้อย ที่ลูกชาย มีความรู้มากกว่าตัวเอง เหมือนดั่งคำโบราณว่าไว้ ลูกศิษย์เก่งกว่าอาจารย์ และลูกชายเก่งกว่าบิดา
หม่ากั๋วหมิง พิจารณาทรงพุ่มและกิ่งก้านใบของเหอโสว่อู ก็พบว่า มันน่าจะมีอายุอย่างน้อยๆ หลายร้อยปี เป็นธรรมดาที่ มันอาจจะไม่มีใครรู้จัก หรือไม่เป็นที่แพร่หลาย หรือไม่มีใครมาพบเจอ จึงไม่มีใครตัดเอามันไปทำยา
เหอโสว่อู นั้นมีคุณค่า ทั้งต้น ทั้งดอก ทั้งใบ และสิ่งที่ดี มีค่าที่สุดของมันคือหัวที่อยู่ใต้ดิน ที่เกิดจากปมราก เหมือนกับโสมและหัวไซเท้า
เหอโสว่อูร้อยปี จะมีคุณค่าทางยาพอๆกับโสมภูเขา อายุพันปี นั่นหมายความว่า หากกินมันเข้าไป ไม่แน่ว่าคนอายุห้าสิบปี ร่างกายก็จะแข็งแรงเหมือนคนอายุยี่สิบปีก็เป็นไปได้ และใครที่เป็นหนุ่มอยู่แล้ว มันก็จะช่วยเสริมพลังในจุดตันเถียน จนสามารถสร้างตันเถียนขึ้นมาได้ เพียงแต่ต้องปรุงยาให้ถูกวิธีก็เท่านั้นเอง
วิธีการกิน ก็มีขั้นตอนยุ่งยากเล็กน้อย จะต้องฝานเป็นชิ้นเล็กๆแล้วนึ่งจนสุกด้วยไฟแรง แล้วตากแดดให้แห้ง แล้วนำมานึ่งอีกครั้ง ด้วยไฟอ่อน สองชั่วโมง แล้วนำไปตากแดดให้แห้ง ทำเช่นนี้อยู่เก้าครั้ง สามารถกินสดๆโดยไม่ต้องนำไปปรุงร่วมกับสมุนไพรตัวอื่น แค่กินวันละชิ้น มันก็จะช่วยเสริมสมรรถภาพทางร่างกาย ได้อย่างเหลือเชื่อ และหากนำไปปรุงร่วมกับเห็ดหลินจือแดง และโสมป่า มันก็จะสามารถสร้างปฏิหาริย์ได้ กระทั่งอาจสามารถชุบชีวิตคนใกล้ตาย ให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บได้ แต่นั่นเป็นเพียงแค่ตำนานเท่านั้น เพราะหากจะนำมาปรุงด้วยกัน เห็ดหลินจือและโสมป่า จะต้องมีอายุ เท่าๆกับเหอโสว่อู ซึ่งเป็นไปได้ยากมาก
ในโลกเก่าของหม่ากั๋วหมิง เคยมีคนนำเหอโสว่อูป่า ที่อายุร้อยปี เข้าไปโรงประมูลระดับชาติ ตอนนั้นหม่ากั๋วหมิงก็ประมูลมาได้ ด้วยเงินหนึ่งพันล้านหยวน และยังได้รับสูตรลับในการปรุงยาตัวนี้มาอีกด้วย และเขาก็ได้พิสูจน์แล้ว ถึงคุณค่าของมันด้วยตัวเอง นับว่าคุ้มค่าเงินที่จ่ายออกไป สิ่งนี้นับได้ว่าเป็นสมบัติชาติได้ด้วยซ้ำ…
…
หม่ากั๋วหมิงไม่ได้อธิบายลึกซึ้งมากนัก แค่บอกวิธีการฝานและนำไปนึ่งและตากแดดเก้าครั้งให้กับบิดาและคนในครอบครัวได้รับรู้ และบอกถึงคุณประโยชน์ของมัน สามารถกินได้ทุกเพศทุกวัย คนแก่กินแล้วแข็งแรง คนหนุ่มสาวก็กินแล้วแข็งแกร่ง ทุกคนในครอบครัวก็ไม่ได้สงสัยแต่อย่างใด เพราะหากหม่ากั๋วหมิงบอกข้อมูลของมันได้ครบถ้วนขนาดนี้ แสดงว่ามันย่อมมีเขียนไว้ในตำราจริงๆอย่างแน่นอน
ยามนั้น หม่ากั๋วหมิงก็คิดไอเดียๆในการทำเงินได้ขึ้นมา แต่ความคิดนั้น ก็หายวับไปทันที เพราะมันเสี่ยงเกินไป การหาเงินออนไลน์ ที่ทำอยู่ ก็นับว่ามีความเสี่ยงน้อยสุด หากปรุงยาแล้วออกผลิตภัณฑ์แบบเสริมสมรรถภาพร่างกายขายออกไป อาจชักนำเรื่องยุ่งยากตามมา และอาจชักนำภัยเข้าสู่ครอบครัว เหมือนดั่งคำที่ว่า คนไม่ผิด ผิดที่มีหยก คงต้องมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะทำได้ก่อน ค่อยทำ
ยามนั้น หม่ากั๋วหมิงและคนในครอบครัว ทั้งบิดา มารดาและน้องสาว ก็ค่อยๆช่วยกันขุดเหอโสว่อูขึ้นมา และก็พบกับหัวมันขนาดใหญ่ ขนาดสองเมตร หนักร่วมร้อยกิโลกรัม โดยประมาณการณ์แล้ว มันน่าจะอายุมากกว่าร้อยปีเสียด้วยซ้ำ คือต้องรู้ว่า ในตอนนั้นที่เขาประมูลได้มาในชาติก่อน หัวมันใหญ่พอๆกับลูกบอลเท่านั้น นั่นคือเหอโสว่อูร้อยปี
แต่นี่มันใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลางกว่าสองเมตร คงมีอายุมากกว่าร้อยปี อาจจะหลายพันปีด้วยซ้ำ
ลักษณะของมันนั้น มีศีรษะ มีลำตัว มีแขน มีขา มีนกเขา และมีพุงอ้วนๆ มองไปคล้ายมนุษย์อ้วนคนหนึ่ง
หากมันมีอายุมากกว่าร้อยปี มันก็จะกลายเป็นสมุนไพรวิญญาณ มันดูดซับพลังฟ้าดินเข้าไปในหัวของมัน ในหัวมันจึงอัดแน่นไปด้วยพลังวิญญาณ และอาจมีจิตวิญญาณของมันเกิดขึ้นมา
เมื่อกินเข้าไปแล้ว หากดูดซับพลังวิญญาณไปรวมอยู่ที่จุดตันเถียน ก็จะทำให้สามารถใช้พลังวิญญาณนั้นได้ นั่นคือเคล็ดลับของการฝึกตน ของลัทธิเต๋าลัทธิหนึ่ง ที่หม่ากั๋วหมิงรู้มา
ว่ากันว่า แม้แต่โสมป่าที่อายุร้อยปีขึ้นไป ก็จะมีจิตวิญญาณ มันสามารถวิ่งหนีได้ แต่ถึงแม้เหอโสว่อูนี้จะมีจิตวิญญาณ มันก็คงวิ่งหนีไม่ได้เป็นแน่ เพราะหัวของมันหนักหลายร้อยกิโลกรัม มันก็คงวิ่งไม่ไหวเหมือนกัน
ตามที่ทราบกันดีว่า พืชนั้นไม่เหมือนกับสัตว์ พืชบางชนิดไม่มีอายุขัย มันสามารถโตได้เรื่อยๆ หากไม่ถูกโค่นล้มลงซะก่อน และหากยังมีสารอาหารเพียงพอ โดยเฉพาะพืชสมุนไพรบางชนิด ประเภทมีหัวใต้ดิน เมื่อถึงระยะเวลาหนึ่ง รากของมันก็จะเกิดเป็นปมหัวใหม่ขึ้นมา และหัวหลักของมันก็ยังอยู่ และโตขึ้นเรื่อยๆ ถ้ามีสารอาหารเพียงพอ มันก็จะอยู่ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีคนมาค้นพบและขุดมันออกไปจากดิน และนำไปใช้ประโยชน์
ในตอนนี้ เหอโสว่อูที่ขุดได้นี้ มันมีปม มีหัวลูกหัวหลานอยู่มากมายรายล้อม เหมือนหัวมันเทศ คล้ายหัวไซเท้า แค่หัวลูกหัวหลานของมันนี้ก็สามารถนำไปปรุงยาขายได้มากมายแล้ว
ทั้งครอบครัวใช้เวลาทั้งบ่ายในการขุดเหอโสว่อูด้วยความระมัดระวัง
และเมื่อขุดไปถึงด้านล่างแล้วนั้น หม่ากั๋วหมิงก็พบกับหินก้อนหนึ่งอยู่ด้านล่าง หินก้อนนี้ให้ความรู้สึกเย็นสบาย เหมือนนอนอยู่ใต้ต้นไม้ มันมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก เพียงแค่ลูกเทนนิสเท่านั้น และมันยังมีลักษณะกลมเกลี้ยง เมื่อเช็ดคราบดินออก มันกลับกลายเป็นหยกสีเขียวเรืองแสงอ่อนๆ คล้ายหยกจักรพรรดิ์ และเมื่อเขาขุดดินด้านข้างไม่ไกล ก็พบกับอีกก้อน เมื่อเช็ดคราบดินออก มันกลับกลายเป็นหยกสีแดงเลือดนก คล้ายเปลวเพลิง ให้ความรู้สึกอบอุ่น
ด้วยความที่ได้ศึกษาลัทธิเต๋ามาพอสมควร และไม่รู้ว่ามีอะไรดลใจ หม่ากั่วหมิงก็ใช้มีดจิ้มไปที่นิ้วของตัวเองจนเกิดแผล แล้วนำเลือดนั้นไปหยดใส่ก้อนหยกสีแดงเลือดนก ก้อนนั้น
ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เลือดได้ซึมเข้าไปในหยกก้อนสีเลือดนั้น แล้วเรืองแสงอยู่ครู่หนึ่งแล้วหายวับไป แต่จากนั้นไม่นาน มันกลับหม่นประกาย คลับคล้ายกลายเป็นก้อนหินธรรมดาสีดำแทน หม่ากั๋วหมิงรู้สึกดีใจและผิดหวังเล็กน้อย เพราะไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นมาเลย เป็นไปได้ไหมว่า มันก็แค่หยกกินเลือดธรรมดา เขาลองหยดใส่หยกสีเขียว แต่มันแค่เปื้อนเฉยๆ ไม่ได้ซึมเข้าไป
เมื่อเห็นลูกชายเจออะไรเข้า ผู้เป็นบิดาก็หันมาถาม
"เจออะไรเหรอ"
ทั้งมารดาและน้องสาวก็หยุดมือ และให้ความสนใจเหมือนกัน
"มีอะไรคะ"
"พ่อลองหยดเลือดใส่มันดู มันจะกินเลือดไหม" หม่ากั๋วหมิงกล่าว
แม้จะรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง เพราะตัวเองต้องขุดดิน ยังต้องเปื้อนดินเปื้อนโคลน คงไม่ดีเท่าไหร่ หากมีแผลในระหว่างนี้ เพราะแผลอาจจะติดเชื้อได้ แต่เมื่อได้ฟังลูกชายพูดอย่างนั้น ผู้เป็นบิดาก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย นำมีดจิ้มนิ้วตัวเองแล้วหยดใส่มัน และเลือดก็ซึมหายเข้าไปในลูกบอลหยกสีเขียวจริงๆ มันเรืองแสงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหายวับไป กลับกลายเป็นก้อนหินธรรมดาแทน
หม่ากั๋วเทา นำก้อนหยกมาพิจารณาดู มันกลับกลายเป็นก้อนหินธรรมดา สีดำๆ ไม่มีสีเขียวหลงเหลืออีกต่อไป และไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่นี่มันจะเสียของเกินไปหรือเปล่า ในตอนแรกที่เขาเห็นลูกชายเก็บได้หยก ใจจริงเขาดีใจมาก เพียงแต่ไม่อยากออกอาการมากจนเกินไป ตอนนี้ก็ดีแล้ว จากก้อนหยกเขียว ที่เป็นหยกจักรพรรดิ์ กลับกลายเป็นแค่ก้อนหินธรรมดาไปซะแล้ว หากนำมันไปขาย คงทำเงินได้มหาศาล
แต่ก็ไม่แน่นะว่า หากผ่าออกมา มันอาจจะยังมีหยกอยู่ด้านใน เหมือนเดิมอยู่ก็เป็นไปได้
อย่างไรก็ตาม หม่ากั๋วเทาก็ไม่อยากดุลูกชาย หรือโมโหเพราะหยกก้อนเดียว จึงโยนกลับไปให้หม่ากั๋วหมิง ให้เขาเก็บเอาไว้ก่อน
หม่ากั๋วหมิง ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดที่นำมา หลังจากดื่มน้ำไปอึกหนึ่ง แล้วเช็ดแผล ติดพลาสเตอร์ที่นิ้ว แล้วส่งน้ำและพลาสเตอร์ให้บิดาด้วยเช่นกัน คิดซะว่าพักเหนื่อยครู่หนึ่ง
เมื่อเห็นทุกคนหยุดพัก มารดาและน้องสาวของเขา ก็หยุดพักพร้อมกัน หลังพักเหนื่อยอยู่ครู่หนึ่ง ก็พากันขุดดินต่อ
หลังจากขุดกันอยู่พักหนึ่ง ทางด้านของหม่าจือฉุน ก็พบก้อนหิน ก้อนหยก ลักษณะเป็นก้อนกลมเกลี้ยงด้วยเช่นกัน เมื่อขุดไปขุดมา จางซินอวี่ ก็พบอีกก้อน หม่ากั๋วเทาก็พบอีกก้อน เป็นสามก้อน เจอกันคนละมุม เมื่อล้างและเช็ดดีๆ มันกลับมีสีต่างกัน เมื่อรวมกับสองอันก่อนหน้านี้ ก็เป็นห้าก้อนพอดี ตอนนี้มีก้อนหยกสีขาว หยกสีดำ หยกสีทอง ที่ได้มาใหม่ไม่รู้ว่าหากขายไป จะได้เงินเท่าไหร่ และหากนำไปเป็นเครื่องประดับ ก็น่าจะทำอะไรได้หลายชิ้น
แต่ทันใดนั่นเอง หม่าจือฉุน ก็ลองจิ้มนิ้วตัวเอง หยกเลือดใส่หยกก้อนสีดำเงา ที่คล้ายหินออบซีเดียน ที่ตัวเองขุดขึ้นมาได้บ้าง และเลือดก็ซึมหายไป ก้อนหยกกลับกลายเป็นก้อนหินสีดำสนิทหม่นประกาย หม่าจือฉุนรู้สึกตกใจ แปลกใจ และสงสัยใจ ในขณะเดียวกัน เธอทำหน้าเขินอายเล็กน้อย เมื่อคนอื่นๆจ้องมองมา
ผู้เป็นมารดา กลัวว่าลูกสาวจะรู้สึกผิด ในเมื่อตอนนี้ทุกคนได้หยกไปคนละลูก และหยดเลือดใส่มันไปคนละลูกแล้ว เธอจึงจิ้มนิ้ว หยดเลือดใส่หยกสีทองของเธอด้วยเหมือนกัน ถึงแม้ว่ามันจะมีสีคล้ายทอง แต่มันไม่น่าจะใช่ทอง คงเป็นหินสีทองเฉยๆ เธอเข้าใจอย่างนั้น แล้วทุกคนก็พากันหันมามองไปที่เธอ และเลือดก็ซึมเข้าไป มันเรืองแสงสีทองครู่หนึ่งแล้วหายวับไป แล้วก้อนหยกสีทอง ก็กลับกลายเป็นก้อนหินสีดำธรรมดา ทีนี้ก็ดีแล้ว ไม่มีใครสามารถตำหนิใครได้อีกต่อไป ทุกคนต่างทำสิ่งที่โง่งมเหมือนกัน
เหลือเพียงแต่ก้อนหยกที่อยู่ในมือของหม่ากั๋วเทา ที่เป็นหยกขาวเนื้อละเอียด ที่เหมือนหยกไขมันแพะเท่านั้น
อย่างไรก็ดี หม่ากั๋วเทา ก็รู้ดีว่า หยกที่มีลักษณะแบบนี้ ย่อมไม่ใช่หยกสามัญธรรมดา มูลค่าของมัน น่าจะเกินร้อยล้านหยวนเป็นแน่ ในใจก็คิดไปถึงคำโบราณที่ว่า คนไม่ผิด ผิดที่มีหยกขึ้นมา จึงนำหยกให้ลูกชาย ให้ลูกชายเก็บไว้ก่อน วันหลังค่อยว่ากัน
"เก็บไว้ก่อน อย่าพึ่งบอกใคร"
"ครับพ่อ"
และเมื่อคิดไปคิดมา ไม่รู้ว่า เสอโสว่อูต้นนี้ ให้กำเนิดหยกพวกนี้ หรือว่าหยกพวกนี้ ให้กำเนิดเหอโสว่อูต้นนี้ จนหัวมันใหญ่ขนาดนี้ ก็ไม่อาจทราบได้
ต้องใช้เวลาเกือบทั้งบ่าย กว่าจะขุดเหอโสว่อูทั้งต้นออกจากดินได้ ยังดีที่ดินด้านข้างเป็นดินร่วนและขุดง่าย…