ย้อนเวลาเปลี่ยนชีวิต จากโปรแกรมเมอร์และนักธุรกิจหมื่นล้าน กลายเป็นเด็กนักเรียนยากจนธรรมดา ในต่างโลก เขาเริ่มต้นชีวิตใหม่ พยายามไม่ใช้ชีวิตผิดพลาดเหมือนโลกที่เคยจากมา และสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยอีกครั้ง
ย้อนเวลาเปลี่ยนชีวิต จากโปรแกรมเมอร์และนักธุรกิจหมื่นล้าน กลายเป็นเด็กนักเรียนยากจนธรรมดา ในต่างโลก เขาเริ่มต้นชีวิตใหม่ พยายามไม่ใช้ชีวิตผิดพลาดเหมือนโลกที่เคยจากมา และสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยอีกครั้ง
เมื่อออกมาจากร้านเน็ตในเย็นวันหนึ่ง
ระหว่างที่หม่ากั๋วหมิงปั่นจักรยาน และมีหม่าจือฉุนผู้เป็นน้องสาวนั่งซ้อนท้าย เขาก็กำลังคิดคำนวนอะไรอยู่ในใจ ตอนนี้เขาพิมพ์นิยายลงในเว็บ แต่ตอนนี้ยังเป็นเพียงบันทึกแบบร่าง ยังไม่ได้บันทึกแบบเผยแพร่ สู่สาธารณะ เพราะเขาอยากจะพิมพ์ให้ได้อย่างน้อยห้าสิบตอนหรือหนึ่งร้อยตอนก่อน แล้วค่อยตั้งเวลาเผยแพร่ แต่ดูเหมือนว่ามันจะยากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ ถึงแม้ว่าเขาจะมีความทรงจำในโลกก่อน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ ที่จะจดจำได้ทุกตัวอักษร เพียงรู้โครงเรื่องเท่านั้น และจำบทพูดของตัวละครหลักได้คร่าวๆเท่านั้น ส่วนบทบรรยายตัวละครตัวอื่นๆ รวมทั้งบทบรรยายบรรยากาศนั้น คงต้องปั่นมันขึ้นมาใหม่ทั้งหมด เพราะฉนั้นในหนึ่งวัน ในหนึ่งชั่วโมงในร้านเน็ต เขาจะสามารถพิมพ์ออกมาได้ ประมาณสามถึงห้าตอนเท่านั้น นี่ถือว่าเร็วที่สุดแล้ว แต่ความเร็วของเขาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างเร็วครึ่งเดือน หรืออย่างช้าหนึ่งเดือน น่าจะได้อย่างน้อยๆห้าสิบตอน
"พี่ใหญ่ พี่กำลังแต่งนิยายอยู่เหรอคะ" หม่าจือฉุน ผู้เป็นน้องสาวที่กำลังนั่งซ้อนท้ายเอ่ยออกมา เธอนั่งอยู่โต๊ะคอมข้างๆ แอบส่องหน้าจอคอมของพี่ชายอยู่หลายครั้ง ก็เห็นว่าเขากำลังพิมพ์งาน แต่เมื่อดูดีๆ ดูเหมือนว่าเขากำลังพิมพ์ในเว็บอ่านนิยาย คงเป็นการแต่งนิยายในเว็บนั้นอยู่ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด หลายคนก็ทำแบบนี้ ในตอนที่ว่างๆ
"อืม พี่กำลังลองดูว่า จะสามารถหาเงินได้หรือเปล่า จากนิยายที่พี่แต่ง บางทีพี่อาจจะหาเงินทุนเรียนต่อจากนิยายพวกนี้ ก็เป็นไปได้" หม่ากั๋วหมิงกล่าวออกมาทีเล่นทีจริง น้องสาวผู้นี้ ปกติแล้วแต่ก่อน จะค่อนข้างสนิทสนมกับพี่ชายพอสมควร แต่พอหม่ากั๋วหมิงจากอีกโลกมาใช้ร่างนี้ ก็รู้สึกห่างเหินเล็กน้อย แต่ผู้เป็นน้องสาวก็เข้าใจดี เพราะคนเราเมื่อโตขึ้น อาจจะมีเรื่องให้คิดเยอะ โดยเฉพาะช่วงนี้ เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านวัยเด็กสู่การเป็นผู้ใหญ่ จากเด็กมัธยมปลายเป็นเด็กมหาลัย เป็นธรรมดาที่พี่ชายจะกังวลเรื่องทุนการศึกษา และค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
อย่างไรก็ดี ทุกวันที่พี่ชายแวะร้านเน็ต เธอก็ต้องเข้าไปด้วย โดยนั่งเล่นเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ ถึงแม้ว่ามันจะน่าเบื่อหน่ายอยู่บ้าง แต่เธอก็ไม่ได้มีเพื่อนสนิท หรือเพื่อนเล่นซักเท่าไหร่นัก เพราะต้องมาโรงเรียนและกลับบ้านพร้อมกับพี่ชายทุกวัน และการนั่งเล่นเป็นเพื่อนพี่ชาย ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่นัก เธอยังสามารถหาข้อมูลทำการบ้านได้ด้วย
"อืม หนูคิดว่า…"
เมื่อเห็นน้องสาวเงียบไปก่อนจะพูดจบ หม่ากั๋วหมิงก็หันไปมองด้านหลังก็พบว่าเธอกำลังมองไปที่ร้านขายเครื่องดนตรีข้างทาง เมื่อเห็นดังนั้น หม่ากั๋วหมิงจึงจอดรถจักรยาน
"ไปดูกันไหม"
เมื่อจอดรถจักรยานแล้ว ก็คงต้องแวะเข้าไปดูหน่อย หลายครั้งที่แค่ปั่นจักรยานผ่าน ทั้งเช้าทั้งเย็น ไม่เคยได้แวะดูซักที แล้วเหมือนเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้
วิธีที่ทำเงินอีกวิธีนั่นก็คือทำเพลง และจะทำเพลงไม่ได้ หากไม่มีเครื่องดนตรี อย่างน้อยๆก็ต้องมีกีตาร์ซักตัว หรือคีย์บอร์ดซักอัน ที่ใช้เล่นเป็นเสียงเปียนโน ถึงแม้ว่าหม่ากั๋วหมิงจะเล่นเปียนโนไม่เป็น แต่กีตาร์ก็ยังพอถูๆไถๆตีคอร์ดและร้องเพลงได้ ถึงแม้จะโซโล่ท่อนโซโล่ไม่ได้ แต่สามารถฮัมทำนองได้
ในร้านเครื่องดนตรี มีขายทุกประเภท ดีด สี ตี เป่า ทั้งของจีนของสากล กู่เจิง ผีผา กีตาร์ คีย์บอร์ด ขลุ่ย ซอ และอื่นๆอีกมากมาย
ที่โรงเรียนนั้นมีชมรมดนตรี และในชั้นเรียนก็สอนดนตรีอยู่คาบหนึ่ง ตั้งแต่มัธยมสี่แล้ว หม่าจือฉุนก็เรียนดนตรีด้วยเหมือนกัน
กู่เจิงนั้นยากเกินไป เพราะมีหลายสาย แต่โรงเรียนก็มีสอน ส่วนเครื่องดนตรีสากลนั้น มีชมรม ที่ฝึกเล่นกันอยู่ ตั้งแต่เข้ามัธยมสี่ หม่าจือฉุนก็กำลังคิดอยู่ว่าจะเข้าชมรมดนตรีสากล
หม่ากั๋วหมิง มองตามสายตาของน้องสาว ที่กำลังจ้องมองดูคีย์บอร์ด ดูเหมือนว่าเธอจะสนใจมันไม่น้อย ราคาของคีย์บอร์ดก็ไม่ได้แพงอะไรมาก เริ่มต้นเพียง 1,500 หยวน ไปจนถึง 15,000 หยวน แต่เมื่อคิดว่าเงินเดือนพนักงานบริษัททั่วไป สตาร์ทแค่ 2,000 หยวน ก็ยังนับว่าแพง และยิ่งเป็นนักเรียนด้วยแล้ว ก็ยิ่งแพงเข้าไปใหญ่ ส่วนใหญ่แล้วของพวกนี้ จะเป็นผู้ปกครอง มาซื้อให้บุตรหลานมากกว่า แต่ก็เป็นไปได้ที่นักเรียนจะมาดูเอาไว้ก่อน แล้วพาผู้ปกครองมาซื้อวันหลัง ดังนั้นเจ้าของร้าน จึงไม่ได้ให้ความสนใจคู่พี่น้องสองคนนี้มากนัก
คีย์บอร์ดนั้นแพงไปหน่อย แต่กีตาร์นั้นกลับถูกมาก มีราคาต่ำสุด 150 หยวน ไปจนถึง 15,000 หยวน ซึ่งเป็นราคาแพงสุดในร้านบ้านนอก หากร้านในเมืองก็มีของดีกว่านี้และแพงกว่านี้ ของถูกๆนั้นน่าจะพอเป็นไปได้ แต่คุณภาพของเสียง ก็สมกับราคา อย่าได้คาดหวังมากหากซื้อแบบถูกๆไป เพราะมันถูกทำมาจากไม้อัด และก็คงไม่ได้คงทนอะไรมากมาย สายของมันก็เป็นลวดธรรมดา
ใกล้ๆกับกีตาร์ มีเครื่องเป่าที่คล้ายคีย์บอร์ด สิ่งนี้น่าจะเรียกว่า เมโลดี้ หรือเมโลเดี้ยน ราคาถูกกว่ากีตาร์ซะอีก เพียง 50 หยวนเท่านั้น แต่ก็มีอันดีๆ ที่ราคา 150 หยวน ดีหน่อยก็ 300 หยวนและแพงสุด 1,500 หยวน มีแบบ 27 คีย์ และแบบ 32 คีย์
ในโลกก่อน หรือชาติก่อน ของหม่ากั๋วหมิง เครื่องดนตรีพวกนี้ สำหรับให้เด็กประถมได้ฝึกเล่น แต่ในโลกนี้เด็กมัธยมก็ยังสามารถนำไปฝึกเล่นได้ เพราะยังเป็นโลกในอดีต แต่เมื่อนำไปเล่น ก็ไม่ถึงกลับต้องอายใคร ว่าแย่งเด็กเล่น เพราะคนโตก็ยังเล่นกันอยู่ เพียงใช้ปากตัวเองเป่าเข้าไป ก็จะสามารถเล่นท่อนโซโล่ได้
การทำเพลงขายในเว็บฟังเพลงนั้น เป็นแผนขั้นต่อไปของหม่ากั๋วหมิง เขาต้องได้เงินจากเว็บอ่านนิยายก่อน ถึงจะซื้อเครื่องดนตรี แล้วค่อยทำเพลงอัพขึ้นไป ตอนนี้เงินที่มีของเขา กะว่าจะใช้เป็นต้นทุนค่าร้านเน็ต วันละสิบหยวน สำหรับสองคนสองเครื่อง แล้วแต่งนิยายเข้าไป แล้วขายตอน ทำเงินจากมันให้ได้ก่อน ค่อยลงทุนอย่างอื่นเพิ่มเติม เช่นซื้อเครื่องดนตรี หรือซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์
แต่เมื่อเห็นสายตาอาลัยอาวรณ์ของน้องสาวตัวเองแล้ว หม่ากั๋วหมิงก็รู้สึกใจอ่อนเล็กน้อย ทั้งตัวเองก็เคยเป็นคนรวยสายเปย์มาก่อน รู้สึกไม่ยินยอมอยู่บ้าง หากทำให้น้องสาวเสียใจ อย่างไรก็ดี ตัวเองก็มีแค่สองร้อยกว่าหยวน เพราะต้องจ่ายค่าร้านเน็ตทุกวัน เงินจึงลดลงไปหลายสิบหยวน หากซื้ออะไร ก็คงซื้อได้แต่ของถูกๆ และไม่ได้มีคุณภาพอะไรมากมาย
อย่างไรก็ดี สายตาของหม่ากั๋วหมิง ก็ค้นพบอะไรบางอย่าง มีฮาร์โมนิกาหรือเมาท์ออแกน วางขายอยู่ด้วย ราคาเริ่มต้นแค่ 50 หยวน แพงสุดก็ 150 หยวน ตัวราคากลางๆก็ 100 หยวน คุณภาพเสียงก็น่าจะโอเค แต่ของแบบนี้ลองไม่ได้ ต้องให้เจ้าของร้านลองให้ฟัง ว่าชอบแบบไหน
"น้องเล็ก ชอบเมาท์ออแกนหรือเปล่า"
"พี่ใหญ่จะซื้อให้เหรอ"
"อืม วันเกิดของน้องก็ใกล้จะถึงแล้วไม่ใช่เหรอ พี่ใหญ่จะซื้อให้ เป็นของขวัญวันเกิด" หม่ากั๋วหมิงกล่าว ในใจของเขายังคาดหวังสูงกว่านั้น นั่นก็คือ เขาจะให้น้องสาว ฝึกเล่นเมาท์ออแกน แล้วเขาก็จะเล่นกีตาร์ แล้วเขียนเพลงออกมา ที่ร้องด้วยกันชายและหญิง อัพขึ้นเว็บฟังเพลง ในอนาคต ไม่แน่อาจจะทำเงินได้ ถือเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง
เมื่อได้ยินว่าพี่ชายจะซื้อให้ หม่าจือฉุนก็ไม่สนใจพวกเครื่องดนตรีแพงๆอีกต่อไป หันมามองเมาท์ออแกนอย่างพินิจพิเคราะห์อย่างจริงจัง เครื่องดนตรีชิ้นนี้เล็กกระทัดรัด แถมยังราคาไม่แพง ดูดีกว่าเมโลเดี้ยนซะอีก มีหลายคนที่เล่นเครื่องดนตรีชิ้นนี้ เพราะมันไม่ได้เล่นยากอะไร มีเพียงแค่สิบช่องเท่านั้น แค่ใช้ปากเป่า แค่ใช้ปากดูดก็มีเสียงดนตรี แตกต่างกันหลายโน๊ต เป่าเป็นเพลงได้ แถมยังพกพาไปไหนก็สะดวก เมื่อคิดไปคิดมา เธอก็รู้สึกชอบอยู่เหมือนกัน
เมื่อมองไปในร้าน เจ้าของร้านดูเหมือนจะรู้ว่า ลูกค้าตัดสินใจจะซื้ออะไรบางอย่างแล้ว จึงเดินเข้ามา
"นักเรียน สนใจชิ้นไหนบอกได้เลย"
หม่าจือฉุนหันมาดูพี่ชาย เมื่อเขาพยักหน้า เธอก็ชี้ไปยังเมาท์ออแกนชิ้นหนึ่ง ที่เขียนราคาไว้ 100 หยวน ซึ่งไม่ถูกและแพงเกินไป แต่คุณภาพก็อยู่ในระดับกลางๆ พี่ชายน่าจะซื้อได้
เมื่อเห็นดังนั้น เจ้าของร้านก็หากุญแจเปิดตู้กระจกแล้วหยิบเมาท์ออแกนออกมา
"นักเรียนจะลองหรือเปล่า"
หม่าจือฉุนรู้สึกอายเกินกว่าจะลองตรงนี้ และไม่รู้ว่าเมาท์ออแกนชิ้นนี้ถูกใครลองเป่ามาแล้วบ้าง จึงส่ายศีรษะ หม่ากั๋วหมิงจึงหันไปกล่าวกับเจ้าของร้าน
"มีสีให้เลือกด้วยหรือเปล่าครับ"
เจ้าของร้านก็หยิบกล่องใส่เมาท์ออแกนออกมา แล้วหยิบออกจากกล่องให้หม่าจือฉุนเลือก ซึ่งมันมีอยู่สองสีเท่านั้น มีสีเงินเงาและสีดำเงา
หม่าจือฉุนเลือกสีดำเงา เจ้าของร้านก็ใส่ถุงให้ หม่ากั๋วหมิงก็หยิบเงิน 100 หยวนออกจากกระเป๋าสตางค์ แล้วยื่นให้
"เฒ่าแก่ ไม่มีใบเสร็จเหรอครับ"
"ต้องการใบเสร็จไปทำไม"
"จะเก็บไว้เป็นที่ระลึก และหากมีปัญหาสามารถนำมาเปลี่ยนหรือซ่อมได้หรือเปล่าครับ จะได้นำใบเสร็จนี้มาเป็นหลักฐาน"
เจ้าของร้านส่ายศีรษะ "สินค้าซื้อแล้วไม่รับเปลี่ยนหรือรับซ่อม แต่ถ้าต้องการใบเสร็จเพื่อเป็นที่ระลึก ก็ไม่มีปัญหา"
เจ้าของร้าน เดินไปที่เคาน์เตอร์ แล้วเขียนใบเสร็จรับเงิน แล้วยื่นให้ อย่างน้อยก็เขียนบอกว่า ซื้อเมาท์ออแกนที่ร้านนี้ ราคาหนึ่งร้อยหยวน ในวันที่เท่าไหร่ ถือได้ว่าเป็นของที่ระลึกจริงๆ เพราะเขาไม่รับเปลี่ยนรับซ่อมอยู่แล้ว
เมื่อได้รับใบเสร็จ หม่ากั๋วหมิงก็ยื่นให้กับน้องสาว เธอกล่าวขอบคุณพี่ชาย แล้วทั้งคู่ก็พากันเดินออกจากร้านไป…