Your Wishlist

พลิกลิขิตฟ้าคว้าใจเธอ (บทที่ 4 : ไร้เหตุผล)

Author: อักษรเงิน

เมื่อถูกใส่ร้าย! อดีตนักแสดงสาวก็ตกหลุมพลางและถูกฆ่าตายในที่สุด ทว่าสวรรค์ยังมีตาให้เธอกลับมาเกิดใหม่ และคราวนี้เธอต้องการแก้แค้นและเพื่อค้นหาความจริง! คราวนี้เธอตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่ตกหลุมพรางของความรักอีก แต่! ใครบอกเธอได้ว่าทำไมอดีตสามีที่น่ารำคาญถึงตามหลอกหลอนเธอทั้งวันทั้งคืนแบบนี้!

จำนวนตอน :

บทที่ 4 : ไร้เหตุผล

  • 28/04/2565

เจียงจื่อเฉิงคลึงขมับที่ปวดหนึบของตัวเองไปมา น้องสาวที่งี่เง่าเอาแต่ใจคนนี้ นับวันยิ่งเอาใหญ่ นี่มันไม่ยุติธรรมเกินไปหน่อยเหรอ ตั้งแต่สวี่ซินหรานเสียชีวิต เขายังไม่เคยคิดถึงเรื่องจะแต่งงานใหม่เลยแท้ๆ

 

ยังพักหายใจได้ไม่เท่าไร เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง เจียงจื่อเฉิงเอื้อมมือไปหยิบมาและกดรับโดยที่ไม่มองว่าใครโทรมา “ฮัลโหล สวัสดีครับ”

 

“ฮัลโหล พี่เจียง เหยียนหนานเฉิงเองนะคะ พี่ไม่ได้บันทึกเบอร์ฉันเอาไว้แน่ๆ เลย งานแฟชั่นวีคจบแล้ว ตอนนี้ฉันกลับมาแล้วค่ะ! รีบมาปูเสื่อต้อนรับฉันเร็วๆ เลย”

 

อาการบาดเจ็บของสวี่ซินหรานหายดีอย่างรวดเร็ว ตกลงมาจากที่สูงแต่กลับมีบาดแผลสาหัสเพียงน้อยนิด ส่วนที่ร้ายแรงที่สุดก็คือรอยฟกช้ำบริเวณเนื้อเยื่ออ่อน บริเวณอื่นๆ ก็แค่เป็นรอยถลอกเล็กน้อยเท่านั้น

 

ขณะที่เธอกำลังเช็ดหน้า ก็สำรวจมองตัวเองผ่านบานกระจก เนื่องจากหลายวันที่ผ่านมาเธอต้องนอนอยู่บนเตียงตลอดเวลา คุณนายสวี่จึงดูแลและจัดการร่างกายให้เธอทุกอย่าง วันนี้หมอบอกว่าเธอสามารถลุกจากเตียงได้แล้ว สิ่งแรกที่เธออยากจะทำก็คือการได้มองใบหน้าของเจ้าของร่างเดิมนี้ ถือเป็นการทำความรู้จักกันสักหน่อย

 

โครงหน้าของสวี่เฉียวหลีดูสวยหวานมาก ไม่ถึงกับเป็นความสวยที่ทำให้คนเยินยอ ทว่าให้ความรู้สึกที่งดงามสะพรั่ง ตอนนี้เธอไม่ได้แต่งหน้า ถัดลงมาจากคิ้วรูปใบหลิวทั้งสองข้างก็คือดวงตาคู่โตอันสุกสกาว ดูแล้วสดใสมีชีวิตชีวาไม่น้อยเลยทีเดียว ทว่าดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกลับฉายความเป็นผู้ใหญ่และความอ้างว้างให้เห็นอยู่หลายส่วน ซึ่งดูขัดกับใบหน้าของหญิงสาวเล็กน้อย

 

เธอไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะดวงตาของเจ้าของเดิม หรือเป็นเพราะผลกระทบมากมายที่เธอได้รับมาก่อนหน้ากันแน่ แม้ว่าเครื่องหน้าจะดูดี ทว่าใบหน้าตอนนี้ก็ยังคงซีดเซียวเหมือนเคย ซ้ำร่างกายที่ผอมซูบก็ยังดูน่ากลัวเกินไป อีกทั้งใต้ดวงตาก็ยังมีรอยดำคล้ำอยู่อีก มองแวบแรกยังนึกว่าเป็นคนติดยา

 

ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งคือ เธอไม่รู้เลยว่าเจ้าของเดิมจัดการกับผมเผ้าของตัวเองอย่างไร เพราะผมหน้าม้านั้นยาวเฟื้อย จนบดบังดวงตาอันสวยงามจนหมด ทั้งผมเผ้าก็ตัดสั้นยาวสลับกัน  จนดูคล้ายกับคนวิกลจริต

 

บนร่างกายยังมีรอยแผลเป็นจากการจี้ของบุหรี่ รวมไปถึงรอยแผลเป็นที่ถูกกรีดด้วยมีดคัตเตอร์บางส่วนอีกด้วย พอมาอยู่บนร่างกายที่เดิมทีก็ผอมแห้งจนหนังหุ้มกระดูกอยู่แล้ว ยิ่งดูน่าสะพรึงกลัวขึ้นไปอีก เมื่อพิจารณาจากความทรงจำที่กระจัดกระจายกันก่อนหน้าเหล่านั้น ดูท่าจะเป็นผลงานชิ้นเอกของบรรดาคนที่รังแกเธอ

 

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ สวี่เฉียวหลีจึงยกมือขึ้นลูบสัมผัสรอยแผลเป็นเก่าบางส่วน โชคดีที่ไม่สามารถมองเห็นผ่านผิวหนังที่อยู่นอกร่มผ้าได้ มีเพียงบริเวณหน้าอกและต้นขาที่ซ่อนอยู่ภายในส่วนนี้เท่านั้น ในฐานะที่เธอก็เป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง เมื่อเห็นแล้วจึงอดรู้สึกไม่ได้ว่าเด็กเหล่านี้โหดร้ายทารุณเกินไปจริงๆ ทำไม่ถึงลงมือทำเรื่องแบบนี้กับคนวัยเดียวกันได้?

 

แต่ก็ช่างเถอะ สวี่เฉียวหลีสัมผัสบริเวณหัวใจของเธอขณะพูดกับตัวเองที่ไม่คุ้นเคยในกระจกว่า “ไม่เป็นไรนะ ฉันสัญญาว่าจะเยียวยาบาดแผลพวกนี้ของเธอให้เอง ไม่ต้องห่วง เธอจะต้องไม่ตายฟรี”

 

ความทรงจำสุดท้ายของเธอบอกกับเธอว่า มีคนผลักเธอลงมา ดังนั้นเธอจะช่วยสวี่เฉียวหลีตามหาคนคนนั้น รวมไปถึงคนที่รังแกเธอเหล่านั้นด้วย จะไม่ปล่อยไปแม้แต่คนเดียว

 

และแน่นอนว่า ความคับข้องใจทั้งหมดที่ได้รับจากตอนเป็นสวี่ซินหรานก็จะต้องถูกชำระความเช่นกัน จะไม่ยอมให้คนที่ทำร้ายเธอเหล่านั้นหลุดรอดไปได้เด็ดขาด เธอจะไล่ทวงความยุติธรรมกับทุกๆ คน  ในเมื่อพระเจ้าให้โอกาสนี้กับเธอแล้ว เธอจะไม่มีวันปล่อยมันไปเด็ดขาด!”

 

“หลีหลี เป็นอะไรหรือเปล่าลูก? ทำไมถึงอยู่ในห้องน้ำนานจัง” คุณนายสวี่รออยู่ด้านนอกตลอดเนื่องจากกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น

 

“อ้อ! ไม่เป็นไรค่ะ!” สวี่เฉียวหลีปรับอารมณ์ตัวเองเล็กน้อย หลังจากออกมาจากห้องน้ำ เห็นคุณนายสวี่กำลังจัดเก็บกล่องของขวัญให้เธออย่างมีความสุข ทั้งยังพูดพร่ำไม่หยุดว่า “นี่ เมื่อครู่นี้ แม่ถามหมอดูแล้วนะ บอกว่าหนูออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว พวกเราก็เลยรีบมาเก็บข้าวของ ตอนที่พี่สาวหนูรู้ว่าหนูหายดีแล้ว ก็ตั้งใจรีบกลับมาเลย ครอบครัวเราไม่ได้ออกไปกินข้าวด้วยกันนานแล้ว ก็เลยจะไปร้านอาหารที่ลูกพูดถึงคราวก่อน”

 

สวี่เฉียวหลีตั้งอกตั้งใจฟังที่แม่พูด แต่เมื่อได้ยินคำว่า “พี่สาว” สองคำนี้กลับชะงักไป เพราะในความทรงจำของเธอไม่ปรากฏว่าพี่สาวคนนี้อยู่เลย กระทั่งคลับคล้ายคลับคลาสักนิดก็ไม่มี

 

“พี่...พี่สาวชื่ออะไรเหรอคะ?” สวี่เฉี่ยวหลีพูดจาตะกุกตะกัก หากไม่รู้จักกันก็คงคิดว่าเธอแกล้งทำเป็นความจำเสื่อม

 

เมื่อคุณนายสวี่มองไปยังสวี่เฉียวหลี ขอบตาก็แดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่อยู่ “โถ! ดูสิ แม่หลงลืมไปหมดแล้ว ลูกเสียความทรงจำก่อนหน้านี้ไป ตอนนี้ความทรงจำนี้ก็…เฮ้อ ไม่ต้องพูดแล้วๆ เฉียวหลี ลูกอย่าคิดมากเลยนะ จำเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตไม่ได้ก็ไม่เป็นไร พวกเราต้องมองไปข้างหน้าไม่ใช่เหรอ?” ถึงจะพูดเช่นนั้น ทว่าน้ำเสียงของคุณนายสวี่ก็เจือด้วยความสั่นเครือไปเรียบร้อยแล้ว

 

“ค่ะๆๆ แม่คะ แม่อย่าร้องไห้เลย แต่หนูจำไม่ได้เลยว่า หนูเคยความจำเสื่อมด้วยเหรอคะ?” สวี่เฉียวหลีรู้สึกสับสน อยู่ดีไม่ว่าดีดันหาเรื่องใส่ตัว แต่ก็อธิบายได้แล้วว่า ทำไมความทรงจำเหล่านี้จึงขาดหายไปรวมไปถึงความทรงจำบางส่วนที่ไม่ปะติดปะต่อกัน นั่งก็คงเป็นเพราะความทรงจำช่วงสามปีที่แล้วขาดหายไปนี่เอง และเรื่องบางอย่างเมื่อสามปีที่แล้วก็เป็นต้อตอที่ทำให้นิสัยของเธอเปลี่ยนไปอย่างมาก เธอต้องตามหาความจริงให้ได้ แต่ดูท่าแล้วคงจะลำบากอยู่เล็กน้อย

 

“ลูกประสบอุบัติเหตุรถชนเมื่อสามปีที่แล้วก็เลยสูญเสียความทรงจำไป แต่มันก็ผ่านมาแล้วล่ะเนอะ แต่พอมาคิดๆ ดู เฉียวหลีของแม่ก็นับว่าเคราะห์ดีมากนะ พี่สาวลูกชื่อว่าสวี่สี่ชิง ตั้งแต่ลูกเกิดอุบัติเหตุ สี่ชิงก็ไปเรียนต่อต่างประเทศ ลูกก็เลยจำไม่ได้ อีกอย่างแม่ก็ไม่เคยเล่าถึงพี่สาวลูกให้ลูกฟังด้วย แม่แก่แล้วก็เลยหลงๆ ลืมๆ เรื่องนี้...เฮ้อ ควรจะบอกลูกไปตั้งนานแล้ว” ขณะคุณนายสวี่พูด หล่อนก็ตบไปที่ศีรษะตัวเองเบาๆ ด้วยสีหน้าหงุดหงิด ความจริงควรจะบอกหลีหลีเรื่องนี้ไปนานแล้ว แต่มาเกิดเรื่องพวกนี้ขึ้นก็เลยลืมไปเลย

 

สวี่เฉียวหลีรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ที่แท้นี่ก็คือความห่วงใยจากบุพการีที่เธอไม่เคยได้สัมผัสมาตลอดชีวิตตอนที่เป็นสวี่ซินหราน

 

แม่บุญธรรมไม่เคยให้เธอได้กินหรือดื่มอะไรแบบเอร็ดอร่อยเลย อาหารและเครื่องดื่มถูกจำกัดปริมาณและถูกจัดเตรียมไว้ให้หมด กระทั่งเรื่องเข้าสู่วงการบันเทิงก็ยังถูกจัดแจง จุดประสงค์ก็เพื่อให้เธอได้แต่งงานกับตระกูลที่มั่งคั่ง กลายเป็นหนูตกถังข้าวสาร

 

แม่บุญธรรมไม่เคยนึกถึงความรู้สึกของเธอเลย ทำเหมือนกับว่าเธอเป็นหุ่นเชิดไร้สมอง คุณค่าในชีวิตของเธอก็ดูจะมีเพียงเท่านี้

 

เมื่อคิดเรื่องนี้ สวี่เฉียวหลีก็เอื้อมมือไปโอบแขนของแม่เอาไว้ แล้วพูดเอาใจว่า “แม่ยังไม่แก่สักหน่อย เดินตามถนนใครก็คิดว่าแม่อายุแค่ยี่สิบเท่านั้นล่ะค่ะ”

 

คุณนายสวี่ยิ้มไม่หุบ “พอเลย ปากหวานเหลือเกินลูกคนนี้ ไปกินน้ำผึ้งมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ว่าแต่หลีหลี ตอนนี้อาการป่วยของลูกก็ดีขึ้นบ้างแล้ว แม่ขอถามหน่อย ทำไมตอนนั้นลูกถึงกระโดดตึกล่ะ ลูกทำพ่อกับแม่ร้อนรนจะตายอยู่แล้ว ลูกรู้หรือเปล่า! บอกแม่สิว่ามันเพราะอะไรกันแน่?” สองประโยคสุดท้าย ฟังดูจริงจังอยู่หลายส่วน

 

สวี่เฉียวหลีอึ้งอยู่พักหนึ่ง ความจริงฐานะครอบครัวของตระกูลสวี่ก็ถือว่ามีอันจะกิน หากให้พ่อกับแม่เป็นคนจัดการก็ย่อมง่ายดาย แต่ว่าเธอไม่ต้องการใช้ประโยชน์จากพ่อแม่ในลักษณะนี้ และไม่อยากให้พวกท่านเป็นกังวลกับเรื่องของเธอทั้งๆ ที่งานของพวกท่านก็ยุ่งมากพออยู่แล้ว จากนั้นสองมือจึงจับไปที่ไหล่ของแม่ แล้วเอ่ยอย่างจริงจังว่า “แม่คะ เรื่องนี้หนูขอจัดการเองได้ไหมคะ?"

 

“ลูก...” คุณนายสวี่มองดูสวี่เฉียวหลีที่กำลังสบตากับตน ดวงตาคู่นั้นมองมายังตัวเธอ มันสุกสกาวสว่างใส อย่างไรเสีย ในฐานะคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน ทำไมถึงจะดูไม่ออกว่านัยน์ตาสีเหลืองอำพันมีความเป็นผู้ใหญ่ที่ผ่านร้อนหนาวมาโชกโชนแฝงอยู่ ดูไม่เหมือนดวงตาของเด็กสาววัยสิบหกปีเลยแม้แต่น้อย

 

ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์กระโดดตึกในครั้งนี้ คุณนายสวี่ก็พบว่าลูกสาวได้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่เศร้าซึมเหมือนเมื่อก่อน และน้ำเสียงยังเจือความมีชีวิตชีวาขึ้นมาก ทว่าบางครั้งกลับเผยความโศกเศร้าในลักษณะของผู้ใหญ่ออกมาทั้งๆ ที่ยังอยู่ในช่วงวัยรุ่น ลูกสาวของเธอเปลี่ยนไปมีท่าทางแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน  ตอนช่วยเช็ดตัวให้หลีหลีขณะที่ยังนอนโคม่าก็เห็นรอยแผลเป็นตามร่างกาย รวมไปถึงร่างกายที่ผอมหนังหุ้มกระดูกนั่นด้วย

 

หากถามพ่อแม่บนโลกใบนี้ ใครจะไม่ทุกข์ใจกัน ที่ผ่านมาได้แต่อดทนเพราะไม่รู้จะเอ่ยปากถามหลีหลีอย่างไร เธออยากลองสืบดูว่าเกิดอะไรขึ้นที่โรงเรียนหรือเปล่า ทว่าประโยคเมื่อครู่นั้น ที่บอกว่าจะจัดการด้วยตัวเอง ในใจก็เกิดความเป็นห่วงที่มาพร้อมกับความทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้อีกครั้ง ลูกสาวของเธอดูเหมือนจะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว

 

“แม่คะ หนูรู้ว่าแม่กำลังคิดอะไร แต่ยังไงหนูก็ต้องโตขึ้น หนูจะเป็นดอกไม้ในเรือนกระจกตลอดชีวิตไม่ได้ แม้แต่ความโหดร้ายในสังคมก็ฆ่าหนูได้ ต่อไปนี้หนูจะดูแลพ่อและแม่ให้ดี แต่หนูก็ต้องมีพื้นฐานเอาตัวรอด หนูจะต้องอยู่ด้วยสองมือของตัวเองให้ได้" สวี่เฉียวหลีกอดแม่เอาไว้ในอ้อมแขน คำพูดเหล่านี้ถูกส่งออกมาจากหัวใจของเธอ ครึ่งหนึ่งมาจากใจของเธอเอง และอีกครึ่งหนึ่งมาจากใจของเจ้าของร่างเดิม ตอนที่เจ้าของร่างเดิมตกบันได ในใจก็รู้สึกผิดต่อพ่อแม่แบบนี้

 

เมื่อคำพูดเหล่านี้ออกมาจากปากของเด็กอายุสิบหกปี คุณนายสวี่จึงตัดสินใจเชื่อลูกสาวของเธอดูสักครั้ง ทั้งตัวเธอและพ่อจริงๆของเฉียวหลีต่างก็เกิดมาในครอบครัวที่ดี แม้ว่าอดีตสามีจะด่วนจากไป แต่เขาก็ทำงานหนักเพื่อเป็นผู้นำโดยเริ่มจากศูนย์ด้วยตัวคนเดียว ลูกสาวของพวกเขามีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่เช่นนี้ เธอควรดีใจสิถึงจะถูก

 

แต่เมื่อคิดว่าลูกสาวเป็นผู้ใหญ่เกินตัวก็รู้สึกไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ จึงเอื้อมมือไปจิ้มหน้าผากขาวของลูกสาวเหมือนกับตอนเด็กๆ ว่า “พอเลย ตอนเด็กๆ ก็ไม่เห็นจะเข้าสังคมอะไรกับเขา แค่ลูกโตมาสุขภาพร่างกายแข็งแรง พ่อกับแม่ก็พอใจแล้ว แล้วก็ระวังตัวเองด้วย ถ้ามีเรื่องอะไรก็บอกแม่”

 

“อื้ม!” สวี่เฉียวหลีพยักหน้าอย่างแรง จากนั้นก็นึกอยากพูดจาออดอ้อนแม่ของตนขึ้นมา “แม่ขา ตัดผมให้หนูหน่อยสิ ตอนเด็กๆ แม่มักจะทำอะไรแบบนี้ให้หนูไม่ใช่เหรอคะ?”

 

“แม่ไม่ได้ตัดผมมาหลายปี ฝีมือตกไปแล้ว ไปตัดร้านเสริมสวยดีๆ ข้างนอกดีกว่า ผมยุ่งๆของลูกก็สมควรถูกตัดได้แล้วเสียที”

 

“ไม่เอา ก็หนูอยากให้แม่ตัดนี่นา” สวี่เฉียวหลีพยายามทำตัวเหมือนเด็กน้อยอย่างสุดชีวิต เธออยากจะสัมผัสประสบการณ์ที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชาติที่แล้วดูสักครั้ง

 

คุณนายสวี่ไม่สามารถต้านทานลูกสาวได้ จึงได้แต่พยักหน้ารับคำ จากนั้นจึงไปขอกรรไกรจากทางโรงพยาบาล ก่อนจะค่อยๆ ใช้หวีสางผมที่พะรุงพะรังของลูกสาวแล้วตัดมันออก แม้ฝีมือจะขึ้นสนิมไปแล้ว แต่ก็ตัดออกมาได้เรียบร้อย หน้าม้าที่ยาวเฟื้อยถูกตัดสั้น เผยให้เห็นดวงตาสวยคู่นั้น

 

“เสร็จแล้ว ไหนดูสิ ไม่ไหวๆ แก่ไป ไปแก้ที่้ร้านเถอะ” คุณนายสวี่ยื่นกระจกส่งให้เฉียวหลี จากนั้นก็โบกมือไปมาด้วยความละอายในฝีมือของตัวเอง

 

เด็กสาวในกระจกอยู่ในลุคผมสั้นยาวระดับหู ผมหน้าม้าที่น่าเอ็นดูโค้งงอเล็กน้อย ดูไม่หม่นหมองเหมือนผมยาวเฟื้อยก่อนหน้าอีกต่อไป ใบหน้าเรียวเล็กขาวใสของเธอมองแล้วสวยจับใจ ริมฝีปากบางกระจับค่อยๆ เม้มเล็กน้อย ทั่วทั้งร่างดูราวกับเกิดใหม่

 

“ไม่ค่ะ หนูชอบมาก” สวี่เฉียวหลีวางกระจกลง ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ แต่เอาเข้าจริงเจ้าของร่างที่แสนสวยนี้คงต้องช้ำใจแล้วแน่นอนหากได้เห็นผมของตัวเองเป็นเช่นนี้ หลังจากนั้นสองแม่ลูกก็ช่วยกันเก็บข้าวของส่วนที่เหลือ คุณสวี่เองก็เลิกงานก่อนเวลาเพื่อมารับทั้งคู่ แม้ว่าครอบครัวจะทำบริษัทเล็กๆ แต่อย่างไรก็เป็นถึงเจ้านาย ก็ต้องมีสิทธิพิเศษอยู่บ้าง

 

 

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป