เมื่อหนึ่งคนในหมู่ของพวกเขาเป็นฆาตกรที่ต้องมาอาศัยอยู่ด้วยกัน โดยไม่มีทางเลือก ในโรงแรมที่ไร้ซึ่งทางออก
เมื่อหนึ่งคนในหมู่ของพวกเขาเป็นฆาตกรที่ต้องมาอาศัยอยู่ด้วยกัน โดยไม่มีทางเลือก ในโรงแรมที่ไร้ซึ่งทางออก
Chapter 2
-1-
หลังจากเสียงของไซเรนดังขึ้นจากลำโพงที่มุมห้อง ผมและเบรฟก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมกันทันที ผมมองไปที่หน้าจอทีวีที่อยู่ปลายเตียงซึ่งปรากฏใบหน้าของคนที่เหลืออยู่ทั้ง 10 คน แต่ที่ทำให้ผมตกใจมากนั่นก็คือภาพใบหน้าของคนที่โดนกากบาทขีดฆ่าทับใบหน้านั้นคือ..
"เรนะ.." ผมเอ่ยออกมาเสียงเบาอย่างอึ้งๆ ด้วยที่ไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่โดนฆาตกรคนนั้นเล่นงานจะเป็นเธอ
"จอนั่น..มันคืออะไรเหรอครับ" เบรฟหันมาถามผมด้วยน้ำเสียงที่ยังคงสะลึมสะลืออยู่เล็กน้อยจากการที่เพิ่งตื่นนอนได้ไม่นาน
มันไม่แปลกนักหรอกที่เขาจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเนื้อหาบนจอนั่น เพราะในครั้งแรกนั้นมันเกิดขึ้นกับตัวเขา คงมีแค่คนที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นเท่านั้นถึงจะเคยเห็นมัน
"พี่ก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดเท่าไหร่..แต่เหมือนมันจะแสดงว่าใครยังมีชีวิตอยู่" ผมหยุดพูดไปสักพักก่อนจะพูดเสริมต่อไป
"แล้วก็..แสดงว่าใครที่ตายไป" ผมพูดพลางกำผ้าห่มในมือแน่น เรื่องทั้งหมดมันไม่ควรเกิดขึ้นเลย ผมเป็นหมอแท้ๆ แต่กลับทำได้แค่ดูอยู่เฉยๆ รอให้แต่ละคนตายไปทีละคนเท่านั้น
"พี่เรน..ไม่เป็นไรนะครับ" เบรฟพูดก่อนที่จะเอื้อมมือมากุมมือของผมเอาไว้ เขาคงอยากให้กำลังใจผมสินะ ช่างเป็นเด็กที่ดีจริงๆ
"อื้ม" ผมตอบกลับเขาไปด้วยรอยยิ้มบางๆ
"พวกเราไปกันเถอะ.." ผมตัดสินใจลุกออกจากเตียงเพื่อไปดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นข้างนอกโดยมีเบรฟที่ลุกตามผมออกมาอีกคน
ผมเดินออกมาจากห้องได้ไม่นาน ก็เจอกับไอวี่และบงกชที่ยืนเถียงกันอยู่หน้าห้องใกล้ๆ กับห้องของผม
"นายเป็นคนทำใช่ไหม!? " ไอวี่ตะคอกใส่บงกชด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือจากที่เพิ่งร้องไห้มา
"นายเป็นคนฆ่าเรนะใช่ไหม! " เธอพูดพลางผลักบงกชอย่างแรงจนเจ้าตัวนั้นเซเกือบล้มไปหลายครั้ง
"ไม่! กูไม่ได้ฆ่า! " บงกชรีบพูดปฏิเสธอย่างรวดเร็วด้วยท่าทีที่ร้อนรน
"อย่าทะเลาะกันเลยครับ" ชายร่างสูงโปร่งคนหนึ่งเดินเข้ามาจับพวกเขาแยกออกจากกันก่อนจะพูดต่อ "ทะเลาะกันไปจะได้อะไรขึ้นมา"
"คุณอินทัชพูดถูกแล้วครับ พวกเราอย่าเพิ่งทะเลาะกันเองดีกว่าครับ" ชายอีกคนพูดสมทบ
ดูเหมือนพวกเขาทุกคนจะรู้จักกันหมดแล้ว คงจะมีแค่ผมที่ยังคงรู้จักเพียงบางคนเท่านั้น
"คุณ? ใช่หมอเรนรึเปล่าครับ" เขาหันมาพูดกับผมที่ยังยืนอยู่กับเบรฟที่หน้าประตูห้องข้างๆ อยู่
"ครับ..ผมเอง" ผมเดาว่าพวกเขาทุกคนคงจะรู้แล้วว่าผมเป็นใคร เพราะดูแล้วไอวี่คงจะเป็นคนไปกระจายข่าว
"คุณกันต์รอหมออยู่ในน่ะห้องครับ" เขาพูดจบแล้วหลีกทางให้ผมเดินเข้าไปในห้องของเรนะ
หลังจากผมเดินเข้ามาในห้องก็พบกับรอยเลือดที่เปรอะเปื้อนเต็มผนังห้องไปหมด โดยมีจุดหนึ่งที่เขียนเลข 10 ตัวใหญ่เอาไว้ ผมมองไปรอบๆ จนกระทั่งสายตาของผมนั้นไปเจอกับร่างเล็กของเรนะที่นอนแน่นิ่งอยู่กลางพื้นห้องด้วยชุดเมื่อวานที่ยังคงใส่อยู่บนตัว
ผมค่อยๆ ย่อตัวลงไปสำรวจร่างเล็กนั้น สภาพของเธอในตอนนี้เรียกได้ว่าคงไม่มีใครอยากจะมองมาเป็นแน่
ร่างเล็กนั้นนอนแน่นิ่งอยู่ท่ามกลางกองเลือด โดยมีมีดนับสิบเล่มเจาะทะลุมือและแขนน้อยๆ นั้นตรึงร่างเอาไว้กับพื้น แม้แต่ดวงตาที่เคยดูสดใสก่อนหน้านี้ยังแลดูหมองหม่นลงจนดูน่าสงสาร
ผมค่อยๆ เอื้อมมือไปปิดตาคู่นั้นที่ยังคงมีคราบน้ำตาเปรอะเปื้อนอยู่เล็กน้อยลง โดยหวังว่าเธอคงจะไม่ทรมานมากจากคมมีดพวกนี้ที่ทิ่มแทงลงบนร่างกายของเธอ
แต่มันคงเป็นได้แค่หวังเมื่อสายตาของผมหันไปเห็นเล็บที่เหมือนจะถูกเปิดออกบริเวณมือข้างขวาของเธอ และร่องรอยของการถูกมัดที่บริเวณข้อมือ โดยเมื่อผมมองไปรอบๆ ก็เจอกับเก้าอี้ที่มีพนักพิงตัวหนึ่งที่ถูกเลื่อนออกมาจากที่ของมันโดยมีรอยเลือดติดอยู่ประปราย
ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมฆาตกรคนนี้ถึงได้ชื่อว่า Barbaric เพราะการฆ่าของเขานั้น ช่างดูโหดร้ายและป่าเถื่อนอย่างที่สุด
ขณะที่ผมกำลังมองร่างของเรนะที่นอนแน่นิ่งด้วยความเศร้าอยู่นั่นเอง กันต์ก็เดินออกมาจากมุมห้องพร้อมกับ เกล น้องสาวของเขาที่เกาะหลังพี่ชายมาด้วย
"ดูไม่ได้เลยใช่ไหมล่ะครับ" กันต์พูดออกมาอย่างหน้าตาเฉย ทำให้ผมเกือบจะควบคุมอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ จนเผลอกำมือแน่นจนแดงก่ำ แต่ก็มีมือปริศนาของใครคนนึงมาโอบแล้วลูบเบาๆ บริเวณหัวไหล่ของผมด้วยสัมผัสที่อ่อนโยน
"ใจเย็นๆ นะครับพี่เรน.." เบรฟพูดพลางส่งยิ้มให้ผม ซึ่งมันทำให้ผมใจเย็นลงบ้างจริงๆ
"คุณหมอว่ายังไงบ้างครับ พอรู้อะไรบ้างไหม" เขายังคงถามผมออกมาเรื่อยๆ จนผมต้องตอบเขาออกไป
"เธอ..น่าสงสารมากครับ"
"นั่นสินะ ดูเหมือนจะโดนทรมานด้วย" กันต์พูดเสริมผมขึ้นมาแบบนี้ นั่นเท่ากับว่าเขาได้เช็กสภาพของเรนะก่อนที่ผมจะมาไปแล้ว แต่ทำไมเขาถึงอยากคุยกับผมกันล่ะ
"คุณหมอ..คุณมีคนที่สงสัยอยู่ในใจรึเปล่า" เขาถามผมก่อนจะย่อตัวลงมานั่งข้างผมทางฝั่งซ้ายที่ว่างอยู่
"ไม่มีเลยครับ ผมยังไม่รู้จักพวกเขาด้วยซ้ำ" ผมตอบออกไปตามจริง ผมจะมีสิทธิ์ไปสงสัยใครได้ ในเมื่อผมไม่รู้จักพวกเขากันสักคน
"หมอเรน ผมเชื่อใจคุณที่สุดนะ"
"ครับ แต่ผมยังไม่มีคนที่สงสัยเลยจริงๆ "
"แล้วเราล่ะ สงสัยใครบ้างไหม" เขาหันไปถามเบรฟที่นั่งอยู่ทางฝั่งขวาของผมแทน
"ไม่มีเลยครับ.." เบรฟตอบออกไปด้วยน้ำเสียงปกติ เหมือนที่เขาคุยกับผม
"แล้วเมื่อวาน เราไม่เห็นคนร้ายเหรอ" กันต์ยังคงจี้ถามเบรฟต่อไป
"เห็นครับ.."
"แล้วจำได้ไหมว่าเขาคือใคร"
"เขา.." ดูเหมือนเบรฟยังคงไม่อยากนึกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ผมจึงลุกขึ้นยืนพร้อมกับส่งมือให้เบรฟจับเพื่อลุกขึ้น
"ขอโทษนะครับคุณกันต์ ผมคงให้คุณมาสอบคนไข้ของผมแบบนี้ไม่ได้" ผมพูดหลังจากเบรฟลุกขึ้นยืนมาแล้ว
"แต่หมอเรน เขาเป็นคนเดียวที่เห็นคนร้ายนะครับ" กันต์พูดพลางลุกตามผมขึ้นมา
"แต่คุณกำลังทำให้จิตใจของเขาแย่ลงครับ ผมคงทนเห็นเขานึกภาพที่เจ็บปวดแล้วร้องไห้ออกมาไม่ได้" ผมตอบออกไปด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น จรรยาบรรณความเป็นหมอของผม ผมจะให้เขาทำร้ายจิตใจคนไข้ของผมต่อไปแบบนี้ไม่ได้
ผมจับมือของเบรฟแล้วดึงให้เขาเดินออกมาพร้อมกับผมทันที
"หมอเรน? คุยเสร็จแล้วเหรอครับ" ชายคนก่อนหน้านี้เข้ามาทักผมทันทีหลังผมพ้นประตูห้องออกมา
"ครับ ไม่มีอะไรจะคุยแล้ว" ผมตอบออกไปโดยคุมน้ำเสียงให้เรียบที่สุด ถึงแม้ในใจผมจะยังคงอารมณ์เสียกับเรื่องเมื่อครู่อยู่ก็ตาม
"งั้นเชิญที่ห้องอาหารด้วยกันก่อนไหมครับ"
"เจ้าเกมมาสเตอร์นั่นจัดพวกของกินเอาไว้ด้วย พวกเราเช็กกันแล้วว่าไม่มีพิษอะไร"
"เช็ก? เช็กยังไงครับ" ผมถามออกไปด้วยความสงสัย ในที่แบบนี้จะมีเครื่องมือเช็กสารพิษอยู่ด้วยงั้นเหรอ
"คือ.." เขาพูดค้างไว้พลางเกาหัวแกรกๆ ก่อนจะพูดต่อ "ผมหิวก็เลย.."
"ภูผาลองกินไปแล้วน่ะครับ ไม่ต้องห่วงเรื่องพิษเลย" ชายที่ชื่ออินทัชเดินเข้ามาพูดต่อจากชายคนนั้น
"ตามที่คุณอินทัชบอกเลยครับ.." ภูผาพูดพลางยิ้มแห้งๆ
"อ๋อ..ครับ"
"ไปด้วยกันนะครับ แค่สุดทางเดินนี้เอง" ภูผาพูดพร้อมกับชี้ไปที่สุดทางเดินฝั่งหนึ่ง
"อีกฝั่งต่างหาก.." อินทัชพูดแก้ให้ภูผา ก่อนที่เจ้าตัวจะเปลี่ยนไปชี้อีกทางแทน
"ได้ครับ" ผมตอบออกไปด้วยรอยยิ้ม "ยังไงอาหารเช้าก็สำคัญ"
"พี่เรนหิวเหรอครับ" เบรฟพูดพลางกลั้วหัวเราะเล็กน้อย
"เราก็ต้องกินเหมือนกันแหละเบรฟ"
"พี่ไม่อยากให้เราเป็นโรคกระเพาะเพิ่มหรอกนะ"
"ครับ" เขาตอบพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ผม
พวกเราทั้ง 4 คนเดินออกมาจากบริเวณหน้าห้อง แล้วมุ่งหน้าไปที่ห้องอาหารตามทางเดิน แต่ยังไม่ทันจะเข้าไปในห้องก็มีเสียงของคนสองคนที่คุ้นเคยกำลังทะเลาะกันอยู่ภายใน
"อย่ามาหาพวกนะ! คนพวกนี้ก็เพื่อนนายใช่ไหม"
"กูบอกว่ากูไม่ได้ทำไงวะ มันจะอะไรนักหนา"
"ไม่ใช่นายแล้วจะเป็นใคร! มีแต่นายคนเดียวนั่นแหละที่มีปัญหากับพวกเรา"
ทั้งสองคนยังคงโบ้ยความผิดกันไปมา แต่สิ่งที่น่าแปลกคือผมไม่รู้สึกเลยว่าจะเป็นหนึ่งในสองคนนี้
ไอวี่เธอดูเอ็นดูเรนะมากขนาดนั้น แล้วเธอก็เป็นผู้หญิงคงไม่มีแรงมากขนาดจะแบกร่างของเรนะจากเก้าอี้มาที่พื้นได้แบบนั้น
ส่วนบงกช ไม่มีทางที่จะเป็นเขาได้เลย ถึงเขาจะเป็นพวกที่ชอบทำอะไรที่รุนแรง แต่เขาคงจะไม่โง่ฆ่าคนที่เขาเพิ่งไปหาเรื่องมาหมาดๆ ให้ทุกคนสงสัยกันหรอก
ผมเป็นคนเปิดประตูเข้าไปในห้องก่อน เมื่อเขาสองคนเห็นผม ทั้งคู่ก็หยุดทะเลาะกันแทบจะทันที ก่อนที่พวกเขาจะแยกย้ายกันไปนั่งที่โต๊ะของตัวเอง
"โห..หมอเรนนี่มีมาดที่ทำให้ทุกคนสงบได้จริงๆ นะครับเนี่ย" ภูผาพูดยกยอผมหลังจากเห็นไอวี่กับบงกชยอมแยกจากกันแล้ว
"ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ" ผมตอบเขากลับไปก่อนที่จะเดินนำไปที่โต๊ะกลมที่นั่งได้ 4 ที่พอดี
"หมอเรนอยากทานอะไรครับ เดี๋ยวผมไปตักให้" ภูผาพูดอาสาไปตักอาหารให้ผมแต่ก็โดนเบรฟพูดขัดขึ้นมาก่อน
"ผมไปตักให้พี่ดีกว่าครับ" หลังพูดจบเบรฟก็ลุกขึ้นไปที่เลานจ์ตักอาหารทันที
และในขณะที่พวกเราทุกคนกำลังนั่งกันอยู่ในห้องอาหารนั่นเอง จู่ๆ คุณกันต์ก็เปิดประตูเข้ามา
"ทุกคนครับ! " กันต์ตะโกนเรียกทุกคนในห้องอาหาร ทำให้ในตอนนี้สายตาของทุกคนในห้องจับจ้องไปที่เขา
"ผมขออนุญาตตรวจสอบร่างกายของทุกคนด้วยครับ"
"มันจะมากไปแล้วนะเว้ย! เห็นไหมว่าพวกกูกำลังทำอะไรอยู่" บงกชพูดออกมาอย่างเหลืออดเมื่อโดนกันต์ขัดมื้ออาหาร
"แต่นี่มันเกี่ยวกับการตายของเรนะ ผมคงต้องขอเสียมารยาทหน่อยนะครับ"
"คุณกันต์? อย่าบอกนะว่าคุณเจออะไรเพิ่มแล้ว" ชายคนหนึ่งที่นั่งโต๊ะเดียวกับบงกชเอ่ยถาม
"ครับ ถ้าหาเจอละก็"
"เราอาจจะเจอตัว Barbaric เลยก็ได้"
"แล้วมันคืออะไร" ไอวี่ถามกันต์เสริมจากชายคนนั้นอีกที
"ผมจะบอก หลังจากเช็กทุกคนแล้วครับ"
"ขอความกรุณาด้วย"
หลังจากนั้นทุกคนในห้องก็ทำตามที่กันต์บอกโดยไม่มีใครปริปากบ่นสักคำ จนกระทั่งเช็กครบทุกคนแล้ว
"เจออะไรไหมครับ" ภูผาเป็นคนแรกที่เอ่ยถามหลังจากกันต์หันไปคุยกับเกลที่ไปเช็กฝั่งผู้หญิงได้ไม่นาน
"เจอครับ" กันต์ตอบโดยที่ยังไม่หันกลับมา
"ทีนี้ก็จะได้รู้แล้วสินะ ว่าไม่ใช่กู" บงกชพูดพลางหันไปมองที่ไอวี่อย่างท้าทาย
"หึ! แล้วจะได้รู้กัน" ไอวี่พูดพลางชายตามองไปที่บงกช
"คนที่เราพบร่องรอยก็คือ.."
To Be Continued