เมื่อหนึ่งคนในหมู่ของพวกเขาเป็นฆาตกรที่ต้องมาอาศัยอยู่ด้วยกัน โดยไม่มีทางเลือก ในโรงแรมที่ไร้ซึ่งทางออก
เมื่อหนึ่งคนในหมู่ของพวกเขาเป็นฆาตกรที่ต้องมาอาศัยอยู่ด้วยกัน โดยไม่มีทางเลือก ในโรงแรมที่ไร้ซึ่งทางออก
Chapter 1
-2-
ผมเดินนำเด็กหนุ่มคนนั้นมาตามทางเดินจนกระทั่งถึงห้องพยาบาล แม้พวกเราจะไม่ได้พูดคุยกัน แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าจิตใจเขานั้นเข้มแข็งมาก หลังจากเขาร้องไห้ในตอนที่ผมมาถึงนั้น เขาก็ไม่ได้ร้องไห้อีกเลย ถือว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มที่เข้มแข็งมากคนหนึ่งเลยทีเดียว
"เข้าไปนั่งตรงนั้นก่อนนะ เดี๋ยวพี่ไปหาอุปกรณ์ทำแผลก่อน" ผมเปิดประตูให้เขาพลางบอกให้เขาไปนั่งรอที่โซฟายาวตัวหนึ่งตรงมุมห้อง ผมไม่อยากให้เขายืนหรือเดินนานจนเกินไป เพราะแผลอาจจะฉีกเพิ่มขึ้นได้ และนั่นคงสร้างความเจ็บปวดไม่น้อยเลยทีเดียว
"ครับ" หลังจากเขาตอบกลับมา เขาก็ไปนั่งรอที่โซฟาตัวนั้นอย่างว่าง่าย
ผมเดินสำรวจรอบๆ ห้อง โชคยังดีที่ห้องนี้ยังพอมีอุปกรณ์ทำแผลหลงเหลืออยู่บ้าง ถึงแม้มันจะเหลือน้อยเต็มทีแต่ก็เพียงพอสำหรับใช้ทำแผลให้เขาได้อีกสัก 2-3 วัน ซึ่งแผลนั้นคงแห้งและปิดสนิทพอดี
"พี่ครับ.." เด็กหนุ่มพูดขึ้นขณะที่ผมกำลังตรวจสอบความสะอาดของอุปกรณ์ต่างๆ ภายในห้องอยู่
"หืม? มีอะไรรึเปล่า" ผมหันกลับไปตอบเขาที่นั่งก้มหน้าอยู่คนเดียว ก่อนจะเดินไปนั่งข้างเขา
"ทำไมพี่..ถึงไว้ใจผมขนาดนี้ล่ะ"
"พี่ไม่กลัวว่าผมจะเป็นคนทำเรื่องพวกนี้เหมือนกับคนอื่นๆ หรอครับ" เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อยพลางค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองผมช้าๆ
"อืมม เพราะพี่ก็มีพี่น้องเหมือนกันล่ะมั้ง"
"พี่เลยรู้ว่าเราไม่ใช่คนทำแน่นอน" ผมตอบกลับเขาด้วยรอยยิ้มพลางลูบกลุ่มผมของเขาเบาๆ เหมือนกับเวลาที่ผมปลอบน้องชายของผมเอง
"อีกอย่าง เราก็เจ็บเหมือนกันนี่"
"จะทำแบบนั้นไปทำไมล่ะจริงไหม"
"ครับ.."
"มาๆ ทำแผลดีกว่าเนอะ" หลังพูดจบผมก็เดินไปหยิบขวดน้ำเกลือ และผ้าสะอาดแถวนั้นมาเพื่อมาล้างแผลให้เขาที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม
ผมก้มลงไปนั่งคุกเข่าที่พื้นแล้วใช้ผ้าสะอาดนั้นรองที่ใต้แผลถลอกนั้นเอาไว้ก่อนจะค่อยๆ เทน้ำเกลือนั้นลงไปช้าๆ เพื่อล้างสิ่งสกปรกและพวกฝุ่นผงออก นี่นับเป็นอีกหนึ่งในโชคดีที่ห้องพยาบาลนี้มีขวดน้ำเกลือล้างแผลอยู่พอดี เพราะหากใช้น้ำเปล่าล้างแผลล่ะก็คงจะแสบน่าดู ด้วยที่ความเข้มข้นของเลือดคนเรานั้นใกล้เคียงกับน้ำเกลือมากกว่าน้ำเปล่า ฉะนั้นหากเราล้างแผลด้วยน้ำเกลือจึงรักษาสภาพของเซลล์เนื้อเยื่อเอาไว้ได้มากกว่าจึงทำให้ไม่แสบแผลนั่นเอง
หลังจากผมล้างแผลด้วยน้ำเกลือจนสะอาดแล้ว ผมก็นำผ้าผืนนั้นไปซักกับน้ำเปล่าในซิงค์ล้างมือและบิดผ้าให้เรียบร้อย ก่อนจะเอามันไปตากไว้ที่เคาท์เตอร์แล้วเดินไปหยิบผ้าก็อซขนาดกลางที่คิดว่ามันคงจะใหญ่กว่าแผลนั้นเล็กน้อย พร้อมกับหยิบเทปแต่งแผลชนิดเยื่อกระดาษมาด้วยแล้วเดินมาปิดแผลให้เด็กหนุ่ม
"เสร็จแล้ว" ผมพูดพลางลุกขึ้นมานั่งข้างเด็กหนุ่มคนนั้นเหมือนเดิม
"ขอบคุณครับ" เด็กหนุ่มพูดพลางคลี่ยิ้มบางๆ มาที่ผม
"ไม่เป็นไรๆ เป็นหน้าที่ของหมอที่ต้องดูแลคนไข้อยู่แล้ว" ผมตอบกลับเขาไปเป็นเชิงตลกเพื่อให้เขาผ่อนคลายลง
"ผมเป็นคนไข้ของพี่หรอครับ" เด็กหนุ่มหันมามองผมด้วยแววตาที่ใสซื่อ
"ใช่สิ พี่รักษาเราอยู่นี่ไง"
"พี่จะเก็บเงินผมไหมครับเนี่ย" เขาเริ่มตอบกลับผมมาเป็นเชิงล้อเล่นได้บ้างแล้ว นี่คงดีสำหรับเขาแล้วล่ะ
"โธ่..แค่นี้ไม่เก็บหรอกน่า"
"ของพวกนี้ก็ไม่ใช่ของพี่ด้วย"
"พี่..ชื่ออะไรเหรอครับ"
"อยากรู้เหรอ? "
"ครับ.."
ก็จริงของเขา เราคุยกันมาได้สักพักแล้วแต่ยังคงไม่รู้จักชื่อกันเลย ยิ่งสถานการณ์แบบนี้ด้วยแล้ว การผูกมิตรไว้คงดีกว่าสร้างศัตรูล่ะนะ อีกอย่างเด็กหนุ่มคนนี้ก็ดูไม่มีพิษมีภัยอะไรแค่บอกชื่อคงไม่เป็นไร
"พี่ชื่อเรน เรียกพี่ว่าพี่เรนก็ได้"
"แล้วเราล่ะ"
"ผมชื่อเบรฟครับ"
"เบรฟ? ที่แปลว่ากล้าหาญน่ะเหรอ"
"ครับ.."
"อื้ม งั้นกลับไปพักที่ห้องไหม"
"เดี๋ยวพี่ไปส่ง" ผมลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือให้เบรฟยันตัวเองขึ้นมาตาม
เบรฟเอื้อมมือมาจับมือของผมแบบยิ้มๆ ก่อนจะยันตัวเองให้ลุกขึ้นมาตามผม แล้วพวกเราก็เดินออกจากห้องพยาบาลกันไป
ในขณะที่พวกเรากำลังเดินไปตามทางเดินเพื่อที่จะกลับห้องอยู่นั่นเอง พวกเราก็เดินมาเจอกับหญิงสาวสองคนที่กำลังยืนคุยอะไรกันบางอย่าง ซึ่งเดาได้เลยว่าคงเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นอย่างแน่นอน โดยหนึ่งในสองคนนั้นก็คือคนที่ถามชายที่อ้างตัวว่าเป็นเกมมาสเตอร์เรื่องเกมที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้
ส่วนหญิงสาวอีกคนที่เธอกำลังคุยด้วยนั้นเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวย ร่างกายดูบอบบาง ใส่เสื้อรัดรูป ทำผมทรงหางม้า ทำให้เธอดูเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองมาก ต่างจากคนที่เธอกำลังคุยด้วยซึ่งดูบอบบางและอ่อนต่อโลก พวกเธอดูพูดคุยกันอยู่สักพักจนกระทั่งเห็นผมและเบรฟที่เดินมาทีหลัง
"คุณ! คุณเป็นหมอใช่ไหมคะ" สาวหางม้าเดินเข้ามาถามผมด้วยแววตาที่ดูจริงจัง
"ใช่ครับ มีอะไรรึเปล่า" ผมตอบเธอกลับไปตรงๆ เพราะยังไงก็ไม่มีอะไรให้ปิดบังอยู่แล้ว
"มาร่วมมือกับพวกเราหาตัวคนร้ายเถอะค่ะ"
"ช่วยกันหลายๆ คนยังไงก็ดีกว่านะคะ" หญิงสาวอีกคนเข้ามาสมทบ
"แต่ผมก็คงช่วยพวกคุณได้ไม่มากหรอกนะครับ.."
"ไปขอให้คุณกันต์ช่วยจะไม่ดีกว่าหรอครับ" ผมตอบพวกเธอไปตามความจริง ถึงผมจะเป็นหมอแต่ผมก็คงช่วยอะไรเรื่องนี้ได้ค่อนข้างยาก ด้วยความที่ผมเป็นเพียงแค่หมอในห้องฉุกเฉินเท่านั้น ถ้าอยากให้ช่วยได้จริงๆ คงต้องขอความร่วมมือจากหมอนิติเวชมากกว่า
"เขาเป็นนักสืบก็จริงค่ะ แต่พวกเรารู้สึกไว้ใจในตัวพวกคุณมากกว่า" หญิงสาวที่ดูบอบบางคนนั้นเข้ามาจับมือผมเอาไว้เป็นเชิงออดอ้อน ผมมองไปทางเบรฟเพื่อขอความคิดเห็น แต่เขาก็ไม่ได้ตอบอะไรได้แต่ส่งยิ้มบางๆ ให้ผมเหมือนต้องการให้ผมเป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้เอง
"เอ่อ..คือว่า"
"หนุ่มน้อย เธอจะมาร่วมมือกับพวกเราไหม" สาวหางม้าหันไปถามเบรฟที่ยืนนิ่งอยู่ข้างหลังผม
"ผม..ให้พี่เรนตัดสินใจดีกว่าครับ" เบรฟตอบกลับไปแค่นั้นแล้วมองมาที่ผมอีกครั้ง
จริงๆ ที่พวกเธอพูดมันก็ถูก ผูกมิตรเอาไว้เยอะๆ แล้วช่วยกันหาตัวคนร้ายดีกว่า มันดีกว่าที่พวกเราจะมายืนทะเลาะกันเองแบบในล็อบบี้นั่นแน่ๆ ผมจึงตัดสินใจที่จะตอบตกลงออกไป
"ได้ครับ ผมจะช่วยพวกคุณ" หลังจากผมตอบตกลงออกไป หญิงสาวที่ดูบอบบางคนนั้นก็เปลี่ยนจากที่จับมือผมแล้วเข้ามาโผกอดผมด้วยความดีใจทันทีโดยไม่สนสายตาของคนรอบข้าง
"พอแล้วเรนะ..เป็นผู้หญิงเข้าไปกอดผู้ชายแบบนี้ได้ไง" สาวหางม้าพูดขึ้นพลางดึงตัวเรนะออกไป
"โธ่~ ไอวี่"
"นิดหน่อยคุณหมอเขาไม่ถือหรอกเนอะ" เธอยิ้มอย่างสดใสแล้วมองมาที่ผม
"ครับ.." ผมตอบออกไปแล้วยิ้มให้ทั้งคู่แบบเกร็งๆ บอกตามตรงคือไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนเข้ามากอดผมตรงๆ แบบนี้มาก่อนเลย
"คุณหมอเขาเกร็งหมดแล้วเห็นไหม" ไอวี่มองไปที่เรนะด้วยสายตาจิกเล็กน้อยจนเรนะต้องถอยกลับไปยืนข้างหลังเหมือนเดิม
"แล้วคุณหมอคิดว่าเป็นไปได้ไหมคะที่จะเป็นบงกช" เธอหันกลับมาคุยกับผมอีกครั้ง
"บงกช? ใครเหรอครับ" เพราะก่อนหน้านี้ผมกับเบรฟไม่ได้เข้าไปคุยในวงสนทนานั้น จึงทำให้ผมไม่ค่อยรู้จักใครสักเท่าไหร่ การที่เธอพูดชื่อออกมานั่นจึงไม่ได้ทำให้ผมเข้าใจมากนัก
"กูเอง" ชายที่ถูกเอ่ยถึงเดินเข้ามาแทรกกลางวงสนทนาของพวกเราด้วยท่าทีที่ดูหัวเสียเล็กน้อย
"ก็นึกว่าพวกสาวๆ หายไปไหนกัน..มาอยู่นี่เองเหรอ" บงกชเดินเข้าไปหาไอวี่และเรนะ แต่เพราะพวกเธอเป็นผู้หญิงผมจึงเดินเข้าไปขวางเขาเอาไว้
"ให้เกียรติผู้หญิงหน่อยสิครับ"
"มึงเกี่ยวอะไรด้วยไม่ทราบ"
"หลบไป! " เขาผลักผมออกจนผมเซเกือบจะล้มลงไปกับพื้น แต่เบรฟเข้ามาประคองผมได้ทันผมจึงยังยืนอยู่ได้
"ขอบใจนะ" ผมพูดขอบคุณเขาไป แล้วรีบทรงตัวกลับมายืนให้ดี
"ไม่เป็นไรครับ" เบรฟตอบกลับแล้วส่งยิ้มให้ผมเหมือนเคย
"รู้ไหมห้ะ ว่ากูลูกใคร" บงกชพูดอย่างเหลืออดพลางชี้มาที่ผม
"ลูกใครแล้วยังไง! " ไอวี่เดินออกมาเถียงแทนผม
"พ่อนายกับพ่อฉันคงใหญ่พอๆ กัน เหมือนที่หมอนั่นบอกนั่นแหละ! " เธอคงหมายถึงที่เกมมาสเตอร์พูดก่อนหน้านี้ ที่บอกว่าทุกคนที่นี่ล้วนแต่เป็นลูกของผู้ทรงอิทธิพลต่างๆ นั่นเอง
"เหอะ! พ่อของเธอจะใหญ่สักแค่ไหนเชียว" บงกชพูดจบแล้วผลักไอวี่จนกระเด็นไปโดนกับเรนะ จนเรนะล้มลงกับพื้น
"เรนะ! เจ็บไหม" ไอวี่ก้มลงไปพยุงเรนะให้ลุกขึ้นทันที แต่เหมือนมือข้างหนึ่งของเจ้าตัวดันไปกวาดโดนบางอย่างเข้า
"อะไรน่ะ? บัตรเหรอ" ไอวี่กล่าวก่อนจะหยิบมันขึ้นมาดูโดยมีเรนะมองอยู่ข้างๆ
"แพทย์ฉุกเฉิน..เรน" ไอวี่อ่านไปได้สักพักก่อนจะหยุดอ่านไปจนกระทั่งเรนะมาอ่านต่อ
"เรน มาร์แชลล์!? "
To Be Continued