Your Wishlist

บุปผาสวรรค์นางร้ายข้ามภพ (วัดหลิงอิ่น)

Author: หนิงเซียน

ดวงดอกท้อผลิตบานพร้อมกันถึง 3 ดอก ❤️ นี้คือเรื่องราวของภพชาติใหม่ที่ดวงดอกท้อผลิตบานพร้อมกันถึง 3 ดอก ในความใกล้ชิด สายสัมพันธ์ที่ซับซ้อน ซ้อนเร้น พี่ชายแท้ๆชอบน้องสาว และอีกสองบุรุษ กวนเพื่อนรักที่ชอบผู้หญิงคนเดียวกัน ความทรงจำอาจจะเลือนลางเเต่มันจะไม่มีทางหายไป ด้วยว่าการกระทำ และนิสัยของนางหลุดจากกรอบของสังคมปัจจุบันไปมาก บุรุษเพื่อนซี้ทั้งสามคนนั้นมองนางด้วยสายตาที่หลากหลาย ในใจก็มีความคิดที่แตกต่างกันออกไป

จำนวนตอน :

วัดหลิงอิ่น

  • 19/04/2564

อารมณ์แปรปรวนขององค์หญิง

หางตาขององค์หญิงหนิงเซียนเห็นคันธนูยกสูงขึ้น มือก็รีบยกตามขึ้น อดคิดไม่ได้กับท่าทีเช่นนี้ เห็นอีกฝ่ายทำเหมื่อนไม่มีคนอื่นอยู่ แต่อยู่กันสองคนแล้วมาข่มขู่กันแบบนี้ องค์หญิงฉินยูซินเห็นดังนั้นก็ยกยิ้ม เอ่ยเรียกคนสนิดให้ยกของรางวัลเมื่อครู่มอบให้องค์หญิงหนิงเซียน เอ่ยว่า “องค์หญิงช่างมีความสามารถจริงๆ ฝีปากนี้..ข้านั้นไม่เทียบหรอก” ว่าแล้วก็วางคันธนูส่งให้คนสนิด ฉันได้ยินแล้วหนังตากระตุกเบาๆ อะไร? ของยัยนี้กัน พูดกลับไปกลับมา พฤติกรรมกับคำพูดมันสวนทางกันชัดๆ ไม่มีเหตุผล ไม่มีมูลเหตุ มีแต่หาเรื่อง แล้วก็จบลงแบบนี้ กล่าวได้ว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ฉันก็อดกำชับคนสนิดไม่ได้ว่า “ฮุ่ยจือ ม่อหลัน ช่วงนี้ให้ระวังตัวให้ดี” พูดไปก็มองดูท้องฟ้า สองขาเดินกลับกระโจมหลวงของตัวเองเอ่ยต่อว่า “ระวัง..ระวังหลังให้ดี ระวังคนเล่นลูกไม้ ของสตรี ช่วงนี้และอาจจะถูกคนไม่ดีใส่ร้าย” ว่าแล้วก็ถอนหายใจยาว อดเอ่ยรำพึงรำพันกับตัวเองไม่ได้ว่า “พักอยู่..ในตำหนัก..เสีย 2 สัปดาห์แล้วกัน..จนกว่าองค์หญิงฉินนั้น..จะกลับแคว้นไปเสียที”

การเดินทางกลับเมืองหลวง

หลายวันผ่านไปเมื่อเข้าสู่ชานเมืองแล้ว ฉันกับสองสาวก็ขอปลีกตัวออกมาจากรถม้า เปลียนมาเป็นขี่ม้าแทน เทียวเล่นและแวะพักซื้อของข้างทาง ก่อนจะควบม้ากลับเข้าขบวนหลวงที่กำลังเข้าเมือง

กลิ่นอายรายล้อมไปด้วยวัฒนธรรมจีนโบราณ ที่นี้ยังมีความเป็นชนบทอยู่ เป็นจุดผ่านทางที่ผู้คนสัญจรไปมา คลาคล้ำไปด้วยชาวบ้าน แม้จะไม่มีเงินเช่าแผงลอยก็ปูเสื่อ วางแผงขายของกันตรงนี้เลย ทำให้มีคนจำนวนมากวางแผงขายของไว้ที่พื้นเรียงรายให้เห็น ตั้งแต่ของธรรมดา ผัก-ผลไม้ ภาพวาดพู่กัน รับจ้างเขียนหนังสือ และของเล็กๆ น้อยๆ พู่ห้อยเอว เครื่องประดับต่างๆ รวมถึงของแปลกๆ ของเก่าของโบราณที่ปะบนแทรกมาชิ้น สองชิ้น หนึ่งในนั้นมี แหวนหยก อยู่วงหนึ่งที่สวยสะดุดตา แหวนรูปร่างอ่อนช้อย และแต่งแต้มไปด้วยสีแดงเกินครึ่งหนึ่งของหยก ดูงดงามแปลกตา

ฉันเห็นแล้วก็ยังอดมองไม่ได้เช่นกัน สงสัยว่า พ่อค้าผู้นี้รับของโจร..หรืออาจจะเป็นโจรขุดสุสานมาขายเองแน่แล้ว ช่วงเวลาเก่าๆ ที่ดูหนังจีนมานานหลายแนว ก็พอจะซึมซับมาบ้างหรอก คนเป็นใส่ของคนตาย อายุจะสั้นเหมื่อนแช่งตนเอง ของที่ใส่ในโลงไปพร้อมคนตาย บ้านหลังสุดท้ายของทุกคน มักใส่ของมีค่าลงไปทั้งสิ้น อย่าง สองพันปีก่อน ที่สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ มีทั้งโครงกระดูกคนเป็นและสุสานกองทัพทหารดินเผาจิ๋นซี ที่ซีอาน ใช้แรงงานราว 700,000 คน เริ่มตั้งแต่ขึ้นครองราชย์แม้สวรรค์คตไปแล้วก็ยังสร้างต่อ ระยะเวลาสร้างรวมแล้ว 37 ปี พื้นที่แรกมีหุ่นทหารแนวหน้าที่ถือหอก ถือดาบไว้ราว 6,000 นาย นี้เป็นเพียงเปิดจัดแสดงให้นักท่องเทียวเข้าชมเพียงแค่ 3 หลุม จาก 8 หลุม สร้างสุสานตามความเชื่อชีวิตหลังความตาย คนจีนจะเคร่งครัดอย่างมากแต่ปรับเปลียนตามยุคตามสมัยจนมาถึงปัจจุบัน แม้แต่ของชิ้นเล็กๆ อย่าง หยกประดับ หรือแหวนที่สวมอยู่กับศพก็มีราคาค่างวด หากมีเหตุบริเวณเลือดของศพก็จะซึม เข้าไปในตัวแหวนผ่านรูเล็กๆ ของหยกเอง เมื่อนานวันเข้าหยกที่ว่าจะกลายเป็นสีแดงกลีบกุหลาบผสมอยู่กับตัวหยกอย่างที่เห็น

หนึ่งในสองพ่อค้าเห็นลูกค้าแต่งกายเสื้อผ้าดูมีราคาผ่านมากลุ่มใหญ่ ก็รีบสกิดเพื่อนข้างกายส่งสัญญาณให้ไปเรียกลูกค้า หมายจะตกปลากับคนต่างถิ่น พ่อค้าที่ตัวเล็กกว่าก้าวเท้ามาเรียกลูกค้าอย่างไม่อิดอ้อด ปัดเสื้อผ้าแล้วผ่ายมือเชิญชวนให้ชมสินค้าของพวกเขาก่อน พวกเราหันไปมองตามพ่อค้าตัวเล็กที่ร้านปูเสื่อ ในนั้นมีของเก่า รูปทรงแปลกตาดูโบราณอยู่หลายชิ้น ฉันเป็นโรคหนึ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เมื่อก่อนจนถึงข้ามภพก็คือ “ชอบของเก่า” แม้จะดูไม่เป็นว่าของแท้ ของปลอม แต่มันให้ความรู้สึกดีมากๆ เวลามองของเก่าๆ ฉันสะดุดตากับแหวนวงหนึ่งที่รูปร่างอ่อนช้อย เมื่อเดินเข้ามาดูใกล้ๆ แล้วจึงพบว่า แหวนวงนี้ถูกแกะสลักเป็นรูปดอกไม้เล็กๆ ที่อ้อนช้อยงดงาม ฉันได้แต่จองแล้วครุ่นคิดถึงสีแดงในหยกที่กินพื้นเกินครึ่งของแหวน เห็นจือจือเอื้อมมือหยิบขึ้นมาดู ลูบวนอย่างสนใจ แล้วเอ่ยถามราคา

พ่อค้าที่อายุมากกว่ารีบเอ่ย “อะโย แม่นางช่างตาดีจริงๆ แหวนวงนี้งามนัก แต่ข้าต้องตัดใจขาย ข้าถูกชะตากับแม่นางข้าขายไม่แพงขาย 400 เหวิน” จือจือได้ยินแล้วก็แปลกใจ “แพงขนาดนั้นเชียว” ก่อนจะมองดูแหวนอีกครั้ง ลูบวนเนื้อหยก มองดูของที่วางขายแล้วคงเก่าแก่ราคาถึงตั้งไว้สูงเช่นนี้ เงินรายเดือนของนางแค่ 20 ตำลึงเอง “ไม่ๆ นั้นราคาปกติ แต่เห็นแม่นางถูกใจข้าลดให้ 300 เหวิน” พ่อค้านั้นรีบพูดต่อ ฉันได้ยินแล้วก็คว้าแหวนวงนั้นมากับ หยิบกระพรวนสำริดเล็กๆ เอ่ยว่า “เอาสองชิ้นนี้ ฮุ่ยจือ” ฮุ่ยจือเดินขึ้นไปคุยกับพ่อค้า ฉันควงแขนจือจือเอ่ยว่า “ข้าว่าเจ้าดวงตกนะ ช่วงนี้โชคร้ายบ่อยเสียจริง” ฉันคิดแล้วก็ชักชวนทุกคน กวาดตามอง ฉู่อู่เว่ย กับฝูเหยียนอวี้ องค์ชายฉินยูเหวิน ที่อยู่ใกล้ๆ ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “พวกเราแวะหาวัดไหว้พระกันดีหรือไม่? ก่อนเข้าเมืองหลวง กลับช้านิดหน่อยไม่เป็นไรหรอก”

ฮุ่ยจือเดินกลับมา พยัคหน้าให้เล็กน้อยเอ่ยอย่างนอบน้อม “เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” ฉันพยัคหน้าเอ่ยเสียงเรียบเรื่อย “เอาไปทำลายทิ้ง นี้น่าจะของคนตาย ส่วนกระพรวนใช้ประโยชน์ได้อยู่เอากลับไปทำปลอกคอให้เจ้าการ์ฟิลด์ที่ตำหนักดีกว่า” จือจือได้ยินแล้วก็หันหน้าควับทันที่ เอ่ยเสียงเบาว่า “ของคนตายหรือ? ..” ฉันหันกลับมามอง สบตากับจือจือแล้วเอ่ยว่า “ข้าเดาว่าใช่ อย่าเก็บเลย เดียวจะโชคร้ายเสียเปล่าๆ ถึงบอกว่าน่าจะไปวัดไง?” กล่าวจบก็ยิ้มแย้มตาหยีส่งให้จือจือ จือจือนั้นถอนหายใจเสียงดัง เฮื่อกใหญ่ ถังถังนั้นตบบ่าอดเอ่ยอย่างทะเล้นล้อเลียนไม่ได้ว่า “ควรทำบุญใหญ่เลย เคราะห์ซ้ำกรรมซัดมาก ช่วงนี้เจ้าเจ็บตัวบ่อยจริงๆ นั้นล่ะ..ทั้งบาดเจ็บ ทั้งโดนปลิง และคราวนี้ยังอยากได้แหวนของคนตายอีก” ฉันได้ยินถังถังเอ่ยก็สายหน้าอย่างจนใจ ก็จะยื้มขำกันออกมาจนตาหยีอีกครั้ง ใครก็ตามที่มีความสุข ก็จะทำให้ผู้อื่นมีความสุขเช่นกัน องค์ชายฉินยูเหวินที่แต่งกายสีเรียบๆ ด้วยชุดสามัญชนเลือบมองจือจือก่อนจะใช้พัดบังรอยยิ้ม กับหญิงที่โชคร้ายนางนี้

เขาและน้องสาวนอกจากมาเยื่อนแคว้นถังเพื่อเฉลิมฉลองแล้ว ก็ยังมีอีกอย่างที่ต้องทำคือ การดูตัว จัดงานแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์สองแคว้น สำหรับเขานางจะเป็นใครก็ไม่ต่างกัน แต่เพราะหวังฮ่องเต้บ่ายเบี่ยง การแต่งงานของเขากับองค์หญิงหนิงเซียนนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ ทั้งที่นางก็แค่หญิงชาวบ้านที่ได้รับฐานะ ไม่มีอะไรเทียบเขาได้เลยแท้ๆ แต่นางกลับได้รับความโปรดปรานได้รับความสนใจของฮ่องเต้ ทำให้เขาต้องส่งคนไปสืบดูประวัติของนางย้อนหลัง จึงได้รู้ว่า..องค์หญิงหนิงเซียนผู้นี้ เป็นบุตรสาวบุญธรรมคนเดียวของฮ่องเต้ มารดาบุญธรรมคือพระสนมเฉินกุ้ยเฟย ในปีนี้นางอายุ 15 ปีแล้ว นางเป็นสตรีที่น่ารักแล้วมีความงดงามอย่างมากไม่เพียงเท่านั่น นางยังเป็นสตรีที่มีความฉลาดปราดเปรื่องเป็นอย่างยิ่งอีกด้วยเรียกได้ว่า ถือครองทั้งรูปโฉม และสติปัญญา ไม่ว่าจะเป็น ดนตรี ร่ายรำ หมากล้อม ภาพวาด เขียนอักษร จะว่าไปแล้วไม่ว่าจะตะวันออก ตะวันตก หากเดินในเมืองหลวงแคว้นถัง ไม่มีใครไม่รู้จัก หอเหวินหนิง กิจการแห่งนี้อยู่ภายใต้การดูแลของนางตั้งแต่อายุ 8 ขวบ

เขาทั้งตีสนิดและเอ่ยเชิญชวนเข้าหานาง แม้แต่ระหว่างทางก็ไม่มีโอกาสเข้าใกล้นางได้เลย ในการประพาสครั้งนี้นางเอาแต่อยู่ในกลุ่มของตนเอง จนเขาต้องคิดตรึกตรอง ใคร่ครวญ แล้วเปลียนใจกลับลำ ส่งไม้ต่อให้น้องสาวอย่างรวดเร็วก่อนจะกลับแคว้นฉิน นางคว้าจับคุณชายรองของจวนแม่ทัพใหญ่ ที่ยังไม่ได้แต่งงานหรือมีอนุ ก็ดีเขาจะได้มีเวลาเตรียมฝึกฝนทหารและม้าให้พร้อม อีกไม่นานข้าวสารคงเป็นข้าวสุก ปีสองปีหากได้รับการส่งเสริมจากพวกเขา กองทัพที่นี้อาจจะเกิดคลื่นใต้น้ำ เขาน่าจะวางคนมาช่วยกวนน้ำให้ขุ่นเพิ่ม เพื่อมีเรื่องดีๆ สำหรับพวกเขา

วัดหลิงอิ่น

ฉู่อู่เว่ยได้ยินสามสาวเอ่ยชวนกันไปวัดก็พยัคหน้าส่งสัญญาณให้ลูกน้องคนสนิดไปถามร้านขายผลไม้ข้างทางใกล้ๆ คุณยายชื้ทางไปวัดขึ้นชื่อของเมืองนี้ให้ พวกเขาทั้งหมดเดินทางแยกออกจากขบวนหลวงไปยังวัดหลิงอิ่น เดินทางลัดผ่านตรอกลึกไปสู้ถนนใหญ่อีกเส้น ใช้เวลาเดินทาง ครึ่งชั่วโมงก็มาถึง เพื่อเข้าสู่วัดหลิงอิ่นที่ได้รับขนาดนามว่า ภูเขาหวู่หลิง มานานหลายศตวรรษ บริเวณวัดมีภูเขาที่สวยและงดงามโดยรอบวิหารเปรียบเสมือนภาพขนาดใหญ่รู้จักในฐานะ วิหารของจิตวิญญาณอันสงบ เพียงเสียค่าเข้าชมเล็กน้อยเพื่อเข้าชมจุดชมวิวของภูเขา ซึ่งเต็มไปด้วย สะพาน อนุสาวรีย์ รูปปั้น ภาพวาด งานศิลปะ สิ่งก่อสร้าง และ ศาลาต่างๆ วัดแห่งนี้เป็นหนึ่งในวัดที่กว้างใหญ่และมั่งมีที่สุดในแถบนี้ สามารถพิสูจน์ได้จากความหรูหราของอาณาเขตรอบอารามวัด อาคารจำนวนมาก และ พระอารามใหญ่ประดิษฐานรูปศาสดาลักธิ์ผู้ยิ่งใหญ่ ห้องโถงตำหรับยา ห้องสมุดพระสูตร โถงมหายาน โถงห้าร้อยพระอรหันต์

พวกเรามาที่นี้ก็เพื่อไหว้พระ สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพิ่มสิริมงคลให้ชีวิตก่อนกลับเมืองหลวง ฉันขอเงินจากฮุ่ยจือมายอดตู้บริจากทำบุญ สะเดาะเคราะห์ พนมมือขอพรให้การเงินการค้าราบรื่น เฮงๆ ขอให้ทุกคนมีความสุข สาธุ ในระหว่างที่เพ่งจิตพอลืมตาขึ้นก็สบตาเข้ากับฉู่อู่เว่ยที่กำลังยืมอมยิ้มอยู่ข้างหน้าแล้ว ฉู่อู่เว่ยรู้สึกกระดากอายละสายจากอาหนิงแล้วไหว้พระตาม ขอพรแล้วทอดมองอาหนิงด้วยแววตาละมุม มุมปากก็ยกยิ้มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว เหมือนมีสายใยถักทอขึ้นเป็นชั้นบางๆ เขาอยากจะเอ่ยชวนนางไปที่จุดชมวิวของภูเขาหวู่หลิงเห็นว่ากันว่าสวยยิ่งนัก งดงามเป็นที่สุด ภูเขารอบวิหารเปรียบเสมือนภาพขนาดใหญ่ ตอนนี้ก็เริ่มเย็นแล้วหากขึ้นไปถึงบนภูเขาพระอาทิตย์ก็จะเปลียนเป็นสีแดงอัสดงงดงามยิ่ง น้อยครั้งที่จะมากับอาหนิงแบบชิดใกล้ ทุกครั้งเวลาไปไหนมาไหน ก็ยกกันไปเป็นกลุ่มก๊วน ครั้งนี้รัชทยาทและองค์ชายห้าต้องเข้าเมืองหลวงพร้อมพระชายากลับตำหนักกันไปก่อน

ส่วนองค์หญิงฉินยูซินตามติดมู่หรงหยวน เปลียนใจยังไม่กลับเมืองหลวงขอตามมาเทียววัดด้วยคน นางนั้นเดินอมยิ้มตามหลังมู่หรงหยวนก้าวขึ้นหน้าไปร่วมจุดตะเกียงน้ำมันดวงเดียวกัน ช้อนตามองมู่หรงหยวนด้วยใบหน้าสีแดงระเรื่อ ใกล้แสงเทียนของตะเกียงน้ำมัน แต่เห็นเขาไม่ได้มองมาที่ตนเลย กลับมองเลยผ่านออกไป อดมองตามไม่ได้กลับเห็น ไม่ใกล้ไม่ไกลมีชายหญิงคู่หนึ่งไหว้พระขอพรร่วมกันอยู่ ต้องหลีตาเพ่งมองดูว่าเป็นใครแล้วก็ยิ้มอยู่ในใจ เอ่ยเสียงหวานว่า “หรงหรง เจ้าดูสิ! นั้นใช่?? ..องค์หญิงหนิงเซียนกับแม่ทัพน้อยฉู่รึเปล่า? ข้าว่าคู่นี้ดูเหมาะกันนะ ตั้งแต่แม่ทัพน้อยฉู่ล่ากวางมาเพื่อองค์หญิงครั้งนั้นแล้ว ดูออกเลยว่าพวกเขาแอบชอบพอกันอยู่ ขนาดมาวัดก็ยังมาอธิฐานจิตร่วมกันเลย” กล่าวจบก็ยิ้มหวานขึ้นเล็กน้อย หันกลับมามองมู่หรงหยวน แล้วยังเห็นเขาเหม่อมองไปที่สองคนนั้นอยู่ก็กระตุกชายเสื้อของมู่หรงหยวนก่อนจะ สอดมือเกี่ยวนิ้วกระตุ๊กสองสามครั้ง เห็นมู่หรงหยวนหันมองก็เอ่ยเสียงสดใสว่า “ได้ยินว่าองค์หญิงผ่านพิธีปักปิ่นมาแล้ว ดูท่าอีกไม่นานนี้คงจะมีเรื่องมงคล ก็ขอให้ก่อนข้ากลับแคว้นแล้วกัน จะได้มีเรื่องมลคลหลายๆ ต่อ” สบตามู่หรงหยวนเอ่ยอ้อนอย่างคาดหวังว่า “เจ้าว่าไหม?” ว่าแล้วก็สอดประสานมือเข้ากับมือของมู่หรงหยวนทันที 

ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองคู่นั้นอีกครั้งเห็นอีกฝ่าย ไม่ได้ชักมือออกก็ยิ้มหวานกว้างขึ้นไปอีก เป็นรอยยิ้มที่งดงามส่งไปถึงดวงตา

ไม่รู้เลยว่าสีหน้าของมู่หรงหยวนก้มมามองเป็นเช่นไร ใบหน้าดำคล่ำขึ้นอยู่หลายส่วนอย่างเห็นได้ชัด เขาก็ไม่ได้อยากอยู่ตรงนี้ หากไม่ใช่เพราะภาระหน้าที่ของเจ้าบ้านที่ดี เขาก็อยากจะขี่ม้าคู่กับนางตลอดการประพาสเสียด้วยซ้ำ อยากแกล้งกระชับบังเหี่ยนม้ารังนางเข้ามาในอ้อมกอดสอนนางขี่ม้าเหมือนก่อนหน้านี้ อยากไปอยู่ข้างกายนางคอยหยอกเย้า ชวนคุยกันไม่ใช่แบบนี้ เขาได้แต่รำพึงในใจ หันหน้ามองนางอยู่กับฉู่อู่เว่ยที่อยู่ข้างกัน ว่าแล้วก็ต้องลูบด้ายแดงที่นางผูกให้ ลูบคลำปลอบประโลมตัวเองรอก่อนนะไว้จบครั้งนี้แล้ว ข้าจะคุยกับท่านพ่อให้ขอสมรสพระราชทาน ว่าแล้วก็เหยีดหลังตรงมืออีกข้างก็ลูบอก สัมผัสผ้าเช็ดหน้าของนางที่อยู่ในอกเสื้อแล้วเอ่ยว่า “องค์หญิงนี้ก็เย็นมากแล้ว เสด็จกลับเถอะ” ก่อนจะปล่อยมือแล้วก้าวเข้าไปหาอาหนิง กับฉู่อู่เว่ย ชักชวนให้กลับได้แล้ว นิก็เย็นคงไม่ได้ทันที่จะผ่านประตูเมือง หาที่พักข้างนอกแล้ว เช้าค่อยเข้าเมืองหลวงกัน องค์หญิงฉินยูซิน มองตามเงาหลังของมู่หรงหยวนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินตามหลังมาเงียบๆ แล้วค่อยยิ้มอย่างอ่อนหวานเอียงอายเบี้ยงตัวออกมาอยู่ด้านข้างของมู่หรงหยวน ไม่ได้เอ่ยอะไร ได้แต่ส่งสายตาพยัคหน้าว่าเห็นด้วยกับสิ่งที่มู่หรงหยวนพูดมาทั้งหมด

----------- ----------

หมายเหตุ/ข้อมูลอ้างอิ่ง

:: ในหัวข้อ เปิดสุสานกองทัพทหารดินเผาจิ๋นซี ที่ซีอาน จากในเว> https://www.youtube.com/watch?v=ghQzwdmPErI

:: ในหัวข้อ 10 วัดในประเทศจีน ที่ต้องไปสักครั้งในชีวิต จากในเว> http://trssgk.blogspot.com/2017/07/10_97.html

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป