Your Wishlist

บุปผาสวรรค์นางร้ายข้ามภพ (ความใส่ใจเล็กๆน้อยๆ)

Author: หนิงเซียน

ดวงดอกท้อผลิตบานพร้อมกันถึง 3 ดอก ❤️ นี้คือเรื่องราวของภพชาติใหม่ที่ดวงดอกท้อผลิตบานพร้อมกันถึง 3 ดอก ในความใกล้ชิด สายสัมพันธ์ที่ซับซ้อน ซ้อนเร้น พี่ชายแท้ๆชอบน้องสาว และอีกสองบุรุษ กวนเพื่อนรักที่ชอบผู้หญิงคนเดียวกัน ความทรงจำอาจจะเลือนลางเเต่มันจะไม่มีทางหายไป ด้วยว่าการกระทำ และนิสัยของนางหลุดจากกรอบของสังคมปัจจุบันไปมาก บุรุษเพื่อนซี้ทั้งสามคนนั้นมองนางด้วยสายตาที่หลากหลาย ในใจก็มีความคิดที่แตกต่างกันออกไป

จำนวนตอน :

ความใส่ใจเล็กๆน้อยๆ

  • 19/04/2564

เขาป่าย

ภูเขาป่าย ห่างออกไปไม่ใกลมากนักจะมีเนินเขาเล็กๆ ที่นั้นเป็นทุ่งดอกไม้นานาพรรณ เกิดจากธรรมชาติอย่างแท้จริง อาหนิงนั้นตกใจที่จู่ๆ ก็ถูกหยางหมิงอุ้มขึ้น แล้วพาขี่ม้าออกมาจากกลุ่มแบบนี้ รีบเอ่ยถามทันทีว่า “พี่สี่จะทำอะไรเพคะ?” สภาพฉันตอนนี้คือแย่มาก! นั่งข้างหลังม้าอย่างโคลงเคลงและไม่มั่นคง จนต้องรีบคว้าจับแขนหยางหมิงที่ใกล้ที่สุดรั้งไว้กันตกจากหลังม้า เพราะชุดกระโปรงรุ่ยร่ายทำให้ค่อมขี่หลังม้าไม่ได้ หยางหมิงอมยิ้มเอ่ยเสียงนุ่มข้างหูนางว่า “ข้าจะพาเจ้ามาดูบุปผา เส้นทางนี้ไกลแต่เจ้าจะชมอย่างเพลิดเพลินแน่นอน” ว่าแล้วก็กระชับวงแขน รังนางเข้ามาในอ้อมกอดของเขา ทำให้ฉันที่ไร้ที่ยึดเซเข้าอ้อมกอดเขาอย่างจัง ได้ยินเขาเอ่ยต่อว่า “ฟ้าสวย น้ำใส แล้วยังมีทุ่งดอกไม้ หนิงเอ๋อร์เจ้าอยากเห็นหรือไม่? อีกไม่นานพวกนั้นก็ตามมา ข้าเห็นเจ้าเด็ดดอกไม้ป่านั้นแล้ว มิสู้เราออกมาก่อน..แล้ว..หนิงเอ๋อร์อยากเห็นหรือไม่?”

ฉันตอนนี้รู้สึกหนังตากระตุก ไม่ได้อยู่ในอารมณ์จะชมวิวทิวทัศน์รอบข้าง สกิดแขนหยางหมิงแล้วบอกอย่างจริงจังว่า “พี่สี่ พาข้าลงเถิดข้า ข้ารู้สึกแปลกๆ ไม่ค่อยสบายตัว เพราะกลัวตกหลังม้า จะชมดอกไม้สนุกได้อีกหรือ” หยางหมิงได้ยินแล้วก็ก้มมองคนตัวเล็กในอ้อมกอด เห็นนางแก้มป่อง พองลม ขมวดคิ้วแน่น ก็เอ่ยถามเสียงเย็น “ทำไม? หรือเจ้าไม่อยากขี่ม้ากับข้า” ฉันเอ่ยอย่างเอาแต่ใจว่า” พี่สี่! พี่เข้าใจสถานการณ์? ของข้าหรือไม่ ข้าใส่กระโปรงนะเพคะ ข้านั่งไม่ถนัด ข้ากลัวตก ภาพลักษ์กุลสตรีที่ข้าสร้างมาจะพังลง เมื่อข้าค่อมหลังม้าด้วยกระโปรงแบบนี้? พี่สี่! เข้าใจหรือไม่?” หยางหมิงได้ยินนางเอ่ยอย่างโมโห เมื่อเลื่อบมองนางก็จริงดังว่า โทสะในใจก็เบาลงเอ่ยเสียงเบาว่า” พี่สี่ผิดเอง ถ้าอยางงั้นเราเดินทางช้าหน่อยแล้วกันดีหรือไม่? หนิงเอ๋อร์ข้าอยากพาเจ้าเทียวด้วย” เห็นเขายอมอ่อนลงให้ ขี่ม้าก็ค่อยๆ ผ่อนแรงลง ฉันก็ขยับสะโพกหาที่นั่งดีๆ ให้ตัวเอง ก่อนจะมองหยางหมิงรอบหนึ่ง แล้วหันข้างมองไปด้านหน้าตามหัวม้าที่เดินตรงไปเรื่อยๆ ภาพฉันตอนนี้ทับซ้อนกับสมัยก่อนที่ใส่กระโปรงทรงเอ ซ้อนพี่วินหน้าปากซอยไปมหาลัยก็ไม่ปาน ต่างแค่ตำแหน่ง และพาหนะมาเป็นม้าสีดำตัวใหญ่ อ้วนพี สง่างาม..ม้าคู่ใจของรัชทายาทก็เท่านั้น

เราเดินทางกันไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อน มีร่มใม้คอยปังแดด ฟังเสียงนกร้อง และดูต้นไม้รอบข้าง ของป่าใหญ่ ฉันเอ่ยถามอย่างสงสัยกับท่าทีที่แปลกไปของหยางหมิงในเช้านี้ “พี่สี่ วันนี้มีอะไรหรือไม่? หรือข้าทำอะไรผิดไป? ถ้าข้าผิดข้าขอโทษ” ฉันเอ่ยขัดตัดบรรยาการเงียบของคนทั้งคู่ หันไปมองเขาแล้วเอ่ยต่อว่า “ข้าทำอะไรผิดไปเหรอ? หรือมีอะไรจะคุยกับข้า หรือเกิดอะไรขึ้น?” ฉันนั้นเอ่ยอย่าง งุนงง? ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ การที่ระหว่างทางเขาเงียบอยู่แบบนี้มันทำให้อึดอัด

หยางหมิงได้ยินแล้วก็เงียบไป ก่อนจะเอ่ยว่า” เจ้าโตแล้วรู้หรือไม่?” เห็นนางนั้นพยัคหน้ารับ ตั้งอกตั้งใจฟังเขาก็อดกระตุกยิ้มมุมปากไม่ได้ เงยหน้าขึ้นแล้วพูดต่อว่า “องค์หญิงฉินยูซินมาคราวนี้อาจได้ราชบุตรเขยกลับแค้วนฉินไปด้วย เพื่อสานสัมพันธ์กับสองแค้วน” เห็นนางนิ่งไปคู่หนึ่งก่อนจะลุบตาต่ำพยัคหน้าช้าๆ ว่าเข้าใจ แล้วมองไปข้างหน้าเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าเข้าใจ” เห็นนางที่เป็นแบบนี้ จู่ๆ หัวใจก็บีบรัดกระทันหัน เจ็บปวดแต่บนใบหน้าของเขา ไม่แม้แต่ขมวดคิ้วให้เห็น ก่อนจะเอ่ยให้นางตัดใจเสีย “หนิงเอ๋รร์เจ้าคิดเหมื่อนข้าหรือไม่ องค์หญิงนั้นหมายตามู่หรงหยวน ไม่แน่ว่าเขาจะได้เป็นราชบุตรเขยของแค้วนฉินเร็วๆ นี้ก็ได้” นางนั้นพยัคหน้าเล็กน้อยไม่ได้หันกลับมา ครู่หนึ่งก็เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าก็เห็น..แต่เรื่องการเมืองที่ซับซ้อน ข้าที่เป็นสตรีไม่อาจยุ่งได้ อีกอย่างข้าก็แค่คนนอก ข้ารู้ว่าพี่สีใจดี และก็เอ็นดูข้ามากมาตั้งแต่เด็กๆ” นางนั้นหันหน้ามาเอ่ยกับเขาตรงๆ ” ข้าเชื่อท่าน เชื่ออย่างไม่มีข้อผูกมัด ข้าเชื่อท่านได้หรือไม่” นางนั้นสบตาเขา มองจองมาอย่างจริงจัง เขานั้นไม่อาจละสายตาจากดวงตาคู่งามของนางไปได้ ยิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วลูบศรีษะนางเอ่ยเสียงอ่อนโยนนุ่มนวลว่า “เจ้าเชื่อข้าได้ ด้วยเกียติของข้า ข้าจะปกป้องเจ้า แล้วมีครั้งได้บ้างที่ข้าไม่ช่วยเจ้าหือ?” เขาเอ่ยติดหยอกล้อว่าแล้วก็ขยี้ผมของนางอย่างรักใคร่ทันที เอ่ยต่อว่า “ที่เจ้าเทียวตะลอนๆ ออกนอกวังเป็นว่าเล่นแบบนี้ ไม่ใช่ข้ายืนมือช่วยเจ้าหรอกหรือในท้องพระโรงคราวนั้นก็ด้วย” ฉันได้ยินแล้วก็คล้อยตาม เอาจริงๆ ฉันก็ไม่ทำหน้าที่ให้สมฐานะองค์หญิงนี้ซักเท่าไร ก็คงมีทั้งคนชอบ คนเกลียด คนเฉยชา เพราะฉันเป็นคนหนึ่งที่หาผลประโยชน์ไม่ค่อยได้..จู่ๆ ก็เอ๊ะใจ เดียวนะ!! ราชบุตรเขย แต่งงานสานสัมพันธ์!?! คิดถึงตรงนี้ตัวก็ชาวาบ ก่อนจะหันมองหยางหมิงเอ่ยเสียงนิ่ง ที่ควบคุมความสั่นกลัวเอาไว้ว่า “ก่อนหน้านี้ มีเรื่องจริงๆ ใช่ไหม? พี่สี่ ข้า? ต้องไปแต่งงานต่างแคว้นหรือ??” ในยุคที่โบราณแบบนี้ การแต่งงานไปต่างแค้วนน้อยคนมากที่จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี และได้เป็นที่รักใคร่ของสามี แทบไม่ต้องพูดถึงเลยส่วนมากอายุไม่ยืน การมีชีวิตตัวคนเดียวต่างแดนไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย แล้วยิ่งเป็นวังหลวงด้วยแล้วกินก็ไม่คายกระดูกด้วยซ้ำ เหมือนการลงสนามโดยไม่ศึกษาอีกฝ่าย สุดท้ายก็มีแต่ตาย

เขานั้นจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของนางเห็นความกลัว และอดกลั้น ทำให้ดวงตาเขาต้องวูบไหว เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าไม่ต้องกลัวไป ข้า..น้องห้า..กับชินอ๋องก็ช่วยพูดในท้องพระโรงให้แล้ว เสด็จพ่อก็ไม่เห็นด้วยที่จะส่งเจ้าไปต่างแค้วน” เห็นนางยิ้มอย่างอ่อนหวาน แล้วพูดจาอย่างโล่งใจเอ่ยว่า “ขอบพระทัยเพคะ ถึงว่าทำไม? ..ตอนนั้นองค์ชายฉินนั้นถึงพูดชวนข้ามาด้วย ที่แท้ก็คิดแบบนี้กันนิเอง ส่วนองค์หญิงฉินก็วางของเล่นในโรงน้ำชา ใช้นักเล่านิทานปลุกปั่นให้เกิดพายุลูกย่อมๆ ยอมเสียชื่อเสียงเพื่อให้ได้วีระบุรุษในดวงใจ ที่แท้เรื่องก็เป็นเช่นนี้ สตรีอาจงดงามและเย้ายวน จิตใจโหดเฮี้ยมอำมหิตไม่แพ้กันก็คือสตรี นางช่างเป็นบุปผามากเสน่ห์ ที่ชอบเล่นเล่ห์คนหนึ่งจริงๆ”

ไม่นานฉันก็เริ่มเห็นทุ่งกว้างกับดอกไม้ป่า ล้อมรอบต้นท้อยักษ์ 2 คนโอบ อยู่เด่นเป็นสง่าอย่างกับจัดวาง เห็นแล้วก็อดทึ่งไม่ได้ หยางหมิงโน้มตัวลงมาเอ่ยข้างหูว่า “นี้เป็นสถานที่ๆ บรรพบุรุษของชนเผาใกล้ๆ นั้นสร้างเอาไว้ดูแลมาหลายต่อหลายรุ่น งดงามหรือไม่เล่า” ฉันได้แต่พยังหน้าหงึกๆ หยางหมิงขี่ม้ามาใกล้ๆ ต้นท้อแล้วตวัดขาลงหลังม้า ก่อนจะรับตัวฉันลงมา หยางหมิงมองดูนางที่ถอดรองเท้าแล้วก้าวออกไปหาดอกไม้ป่าเห็นนางทำอะไรอยู่ซักพักก็ชูให้เขาดู นางยิ้มแย้ม ร่าเริ่ง และมีชีวิตชีวาดังแสงอาทิตย์กำลังก้าวมาหาเขา ก่อนจะส่งมงกุฏดอกไม้ให้ เขานั้นอดเลิกคิ้วไม่ได้ เขาเป็นบุรุษจะใส่ของน่าอายแบบนี้ได้ยังไงกัน..เขาทำได้แต่พยัคหน้าเล็กน้อยรับมาไว้ในมือรอยยิ้มอ่อนโยนปนขบขันนาง เอ่ยถามเสียงติดตลกว่า “เรื่องเมื่อคืนนี้ เจ้าจำได้หรือไม่หนิงเอ๋อร์” เห็นนางตะลึงนิ่งคิดก่อนจะยิ้มอย่างประจบเอาใจเกาะแขนเขาพลางเอ่ยเสียงหวานว่า “ข้าเมาไปเมื่อคืน ข้าเมาแล้วน่าเกลีดมากเลยหรือ? ข้าไปอ้วกใส่ใครหรือไม่? ทำไมพี่สี่ไม่รีบบอกข้า! ข้าจะได้ไปขอโทษ” เขาเห็นนางที่ตีโพยตีพายแบบนี้ก็ขมวดคิ้ว “เจ้าจำอะไรไม่ได้เลยหรือ” นางรีบเอ่ยอธิบายอย่างร้อนรน “ข้าขอโทษ ข้าจำอะไรไม่ได้ ข้ารู้แต่ว่า..ข้าเมา แล้ว..เอ่อ..ละเมอไปอยู่กระโจมของจือจือ” เขาได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ก็ไม่มีอะไรจะพูด นางเมาและจำอะไรไม่ได้ นางจำเรื่องของเขาไม่ได้ เราสองคนอยู่รับรรยากาศที่รายล้อมไปด้วยดอกไม้ได้พักใหญ่ๆ เขาก็เห็นม้าหลายตัวกำลังตรงมาที่นี้

ก่อนวันกลับจากประพาสล่าสัตว์ 1 วัน

เช้าวันนี้ก็เป็นวันที่อากาศกำลังดีอีกวัน ฉันบอกให้ฮุ่ยจือ และม่อหลันทะยอยๆ เก็บของเตรียมกลับเมื่องหลวงได้แล้ว วันนี้ฉันอยากจะนอนติดเตียง ขี้เกียดไปหนึ่งวัน รับพลังหยินหยางจากธรรมชาติด้วยการนอน แต่กลับมีขันทีมาเชิญไปยังลานกว้าง เสียงแหลมสูงของขันทีดังขึ้น กล่าวรายงาน “องค์หญิงหนิงเซียนพะยะคะ ฮ่องเต้เชิญเสร็จพะยะคะ” ระหว่างทางฉันสอบถามกับขันทีที่มารายงานสรุปคือ มีการแข็งยิงธนูระดับองค์หญิง และคุณหนูที่มาร่วมงาน แต่มีคนเอ่ยชมว่าองค์หญิงหนิงเซียนยิงธนูได้เก่งกาจยิ่งนัก คำนี้เอ่ยต่อหน้าขุนนางผู้ภักดี และฮ่องเต้ ทำให้ต้องเรียกฉันมาร่วมงานนี้เพื่อชื้นชมด้วย ฉันหาทางบายเบี้งมาได้หลายวันแต่วันนี้ฮ่องเต้เรียกมาเองจะไม่ไปก็ไม่ได้

เมื่อมาถึงลานกว้างที่รายรอบไปด้วยผู้คน ทำให้ฉันไม่สามารถถอยได้หรือเอ่ยปฏิเสธออกไป ได้แต่ยิ้มอย่างงดงามแล้วไปตามน้ำ ใครเอ่ยอะไรฉันก็ได้แต่พูดว่า “กล่าวเกินจริงไปแล้ว ข้าเป็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” คำนี้เหมื่อจุดประทุเชื้อไฟ ทั้งที่ฉันพูดความจริงล้วนๆ แต่กลับไม่มีใครเชื่อ ฉันได้แต่ลุบตาต่ำก่อนจะออกไปยิงธนูที่เพิ่งเรียนมาไม่กี่อาทิตย์ และก็แน่นอน ฉันยิงเขาเป้า แต่อยู่นอกจุดแดง ดอกอื่นๆ ก็ล้วนแต่เหมื่อนกันทั้ง 5 ดอก รอบข้างนั้นเงียบเหมื่อนไร้ผู้คน ฉันถอนหายใจเงียบๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น เผลอสบกับองค์หญิงฉินยูซินที่ฉายชัดถึงความสะใจอยางปิดไม่มิด ฉันรู้สึกเหมื่อนลมเย็นพัดร่างไปวูบหนึ่ง พลาดแล้ว โดนเล่นงานซ่ะแล้ว ยัยนี้!! เล่นแบบไม่ทันตั้งตัวเลยนะ!! หน่อยยย

ฉันหมุนตัวหันไปมองหวังฮ่องเต้เอ่ยว่า “ธนูลูกอาจไม่รอด แต่ถ้าได้ปืนคาบศิลาของเสด็จพ่อ รับรองว่าเข้าเป้าแน่นอน” กล่าวจบก็ยิ้มแย้มอย่างอ่อนหวาน หันไปดูเป้าทันที เสียงรอบข้างเงียบลง หวังฮ่องเต้นั้นเงียบไปครู่หนึ่งก็พยัคหน้าให้จ้าวกงกง พระสนมหยูหรงเฟย ที่ช่วงนี้เป็นคนโปรดก็ตามเสด็จมาด้วยก็หลุบตาต่ำ ท่านอ๋องและองค์ชายห้าหลุบตาต่ำ รัชทายาทหยางหมิงมองหนิงเอ๋อร์ด้วยความเป็นห่วงใยกลัวโทษะของฮ่องเต้ มู่หรงหยวน และฉู่อู่เว่ย มองด้วยสายตาห่วงหาอาทร ขุนนางใหญ่ที่ตามเสด็จก็เงียบเสียงลง

ไม่นานจ้าวกงกง นำปืนคาบศิลาประดับทองคำของฮ่องเต้ออกมา ฉันพยัคหน้ายิ้มเล็กน้อยเอ่ยว่า “จ้าวกงกง ใส่ลูก..เอ่อ เรียกดินปืนใช่ไหม ใส่ให้หน่อย” จ้าวกงกงพยัคหน้ารับคำ” พะย่ะค่ะ” เมื่อใส่ดินปืนเสร็จแล้ว ก็วางลงในถาดไม้หุ้มผ้าไหมทองลวดลายงดงามยืนให้อย่างนอบน้อม ฉันคว้าปืนมาหมุนดูอยู่ครู่หนึ่งก็ ปลดเซป เล็งเป้า ทำอย่างคล่องแคล้วแล้วลันไก เสียงปืนนั้นดังสนั่น ด้วยความที่เป็นโล้งกว้าง รายล้อมด้วยหุบเขา เสียงปืนจึงดังเป็นพิเศษ ขันทีรายงานเสียงแหลมสูงดังขึ้น “เข้าเป้าแดงพะย่ะคะ” ฉันหันไปบอกจ้าวกงกง ให้ใส่ดินปืนให้อีก เมือจ้าวกงกงยืนถาดใส่ปืนให้ ฉันก็สั่งให้ฮุ่ยจื่อเข้าไปในลานยิงธนูเหวียงจานรองน้ำชาขึ้นฟ้า สายตาหลายคู่มองอย่างไม่เข้าใจ เมื่อฮุ่ยจื่อเริ่มนับ 1 ถึง 3 ฮุ่ยจื่อก็เหวียงจานรองถ้วยน้ำชาขึ้นฟ้าทันที แล้วรีบถอยออกมา เสียงปืนนั้นดังสนั่นอีกครั้งพร้อมกับเสียง เพล้ง! เศษกระเบื้องแตกกระจัดกระจาย เป็นเศษเล็กเศษน้อย หวังฮ่องเต้เห็นแล้วก็ยกยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ มองลูกสาวอย่างเอ็นดู เขาภาคภูมิใจในตัวลูกสาวมาก ปกติหากเป็นองค์หญิงก็ควรเป็นเรื่องพวกนี้ไว้บ้าง แต่นางไม่เหมื่อนคนอื่น ลูกสาวเขาแตกต่างคิดสร้างหอเหวินหนิงตั้งแต่อายุ 8 ขวบ แล้วนางจะเหมื่อนองค์หญิงทั่วไปได้ยังไงกัน เขารู้ดีว่าลูกสาวเขาเพิ่งฝึกขี่ม้า และยิงธนูเมื่อ 2 อาทิตย์ที่แล้วฝึกเพื่อมาประพาสล่าสัตว์กับเขา แม้นางยิงธนูไม่เก่งเพราะเพิ่งเริ่มเรียน แต่ลูกสาวเขายิงปืนแม่นมาก เขานั้นปรบมือให้ เอ่ยว่า “องค์หญิงฉินยูซินชนะมอบรางวัลให้ องค์หญิงหนิงเซียนแพ้ ให้รางวัลปลอบใจ ต่อไปต้องฝึกเรื่องพวกนี้ไว้บ้างคิดแต่จะทำการค้าท่าเดียว หัดเลียนแบบตัวอย่างที่ดีขององค์หญิงฉินยูซินไว้บ้าง” แม้ปากจะกล่าวตำหนิ แต่ก็แย้มสวรตลอดเวลา

องค์หญิงฉินยูซินย่อกายต่อหน้าพระพักเล็กน้อยปกตินางเป็นที่โปรดปรานตามใจ พอมาถูกหักหน้าจากคนที่เด็กกว่าก็รู้สึกรับไม่ได้อยากจะสั่งสอนคิดแล้วก็ หันหน้ามาสบตากับองค์หญิงหนิงเซียนแล้วจับคันธนูขึ้นสายแล้วหันไปทางองค์หญิงหนิงเซียน เห็นนางไม่ตกใจกลัวหรือถอยหลังอย่างลนลาน แต่กลับหันไปคว้าปืนคาบศิลาด้านข้าง หันปากกระบอกมาใส่ตนเอง นางเบิกตาโตเล็กน้อยอดสาดประกายอำมหิตไม่ได้เอ่ยเสียงเย็นข่มความโทษะว่า "เจ้ากล้าหรือ!! " ตวัดเสียงสูง ฉันที่ได้ของขวัญเพิ่มมาอีกชิ้นพอหันกลับมาอีกที

ก็โดนธนูเล็งใส่เสียแล้ว เอื้อมมือออกไปได้ก็รีบคว้าปืนทันที เล็งเข้าหัวของอีกฝ่าย เห็นนางพูดท้ายัวยุ มืออีกข้างจับลูกธนู แล้วสสาวเท้าก้าวเข้าไปยืนใกล้ๆ นางทันที หันปากกระบอกเล็งใส่หน้า จับลูกธนูเล็งตัวเอง กดหน้าลงเล็กน้อย ช้อนตามองอีกฝ่ายเอ่ยเสียงเรียบ แสร้งไม่ตกใจกลัวว่า "กล้า มาแลกไหมเพคะ? " ต่างคน ต่างนิ่ง หยั่งเชิงกัน สถานการณ์คับขันที่องค์หญิงสองแค้วนสร้างขึ้น จู่ๆ ก็หันอาวุธมาใส่กันเอง ทำให้คนรอบข้างรีบหุบรอยยิ้ม กับท่าที ที่เปลียนแปลงรวดเร็ว และไม่มีเหตุผลเช่นนี้ ไม่นานก็ได้ยินเสียงขององค์หญิงหนิงเซียนเอ่ยขึ้นอีกว่า "ลองไหม? เพคะ เชื่อข้าเถอะ..ข้าตายช้ากว่า แต่ท่านตายทันทีแน่นอน ระยะประชิดข้าไม่พลาดหรอก ท่านเองก็เช่นกัน" ว่าแล้วก็ได้ยิน คลิก เสียงปลดล็อกปืน กับกดรั้งคันธนูลงมาให้โดนระยะหัวใจ

องค์หญิงฉินยูซินเงียบไปพักใหญ่เหมื่อนครุ่นคิดแล้วก็วางคันธนูลง องค์หญิงหนิงเซียนเองก็เช่นกัน เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีอ่อนลงก็วางปืนลงด้วย แต่เหมื่อนแสร้งถอยเพื่อรุก องค์หญิงฉินยูซินก็ยกสวนขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป