Your Wishlist

บุปผาสวรรค์นางร้ายข้ามภพ (บ่อน้ำพุร้อน)

Author: หนิงเซียน

ดวงดอกท้อผลิตบานพร้อมกันถึง 3 ดอก ❤️ นี้คือเรื่องราวของภพชาติใหม่ที่ดวงดอกท้อผลิตบานพร้อมกันถึง 3 ดอก ในความใกล้ชิด สายสัมพันธ์ที่ซับซ้อน ซ้อนเร้น พี่ชายแท้ๆชอบน้องสาว และอีกสองบุรุษ กวนเพื่อนรักที่ชอบผู้หญิงคนเดียวกัน ความทรงจำอาจจะเลือนลางเเต่มันจะไม่มีทางหายไป ด้วยว่าการกระทำ และนิสัยของนางหลุดจากกรอบของสังคมปัจจุบันไปมาก บุรุษเพื่อนซี้ทั้งสามคนนั้นมองนางด้วยสายตาที่หลากหลาย ในใจก็มีความคิดที่แตกต่างกันออกไป

จำนวนตอน :

บ่อน้ำพุร้อน

  • 19/04/2564

เขาป๋าย

รุ่งเช้าวันถัดมา ฮุ่ยจือ ม่อหลัน เข้ามาปรนิบัติยามเช้าพร้อมกับยาสร่างเมา เมื่อฉันจัดการตัวเองเสร็จก็สั่งคนนำยาสร่างเมาไปให้ จือจือ และถังถัง ก่อนจะตรงไปคอกม้า ไม่นานม้า 4 ตัวก็ถูกควบ ห้อตะบึงไปตีนเขาป่าย ในทางราบซึ่งตามปกติม้าที่ถูกเลี้ยงภายในวังจะอ้วนพี สง่างามเพื่อประกอบพิธีหลวง แต่ไม่สามารถวิ่งทางไกลได้ มันจะตายระหว่างทาง ไม่เหมื่อนม้าของทหารที่มีการฝึกฝนและสามารถขี่ระยะไกลเพื่อสู้รบจริงๆ ฉันรู้ข้อเสียดีจึงส่งเจ้าชุนหลันมาให้มู่หรงหยวนช่วยฝึกมันตั้งแต่มันยังเป็นเพียงลูกม้า ตามจริงแล้วเช้านี้ฉันอยากนอนเปื่อยๆ แต่เพิ่งคิดได้ว่าตั้งแต่ขี่ม้าเป็น ยังไม่เคยขี่เจ้าชุนหลันจริงๆจังๆเลย ขี่ม้ายามเช้าช่วยเรียกเหงื่อก็ดีเหมื่อนกัน แถมแดดก็ไม่แรงกำลังดี ฉันให้องค์รักษ์ช่วยนำทางอยู่บริเวณตีนเขาป๋าย แล้ววนรอบนอกกระโจมแถวชายป่า ระหว่างที่ทดสอบเจ้าชุนหลัน ตอนวกมาที่กระโจมหลวง ก็เห็นกลุ่มของรัชทายาทกับพวกพี่ชาย จือจือ ถังถัง องค์ชายฉิน และองค์หญิงฉินที่ขี่ม้าเคียงคู่กับมู่หรงหยวน ระหว่างที่สวนกันฉันยกยิ้มให้แล้วจากไปทันที จือจือสะกิดองค์รักษ์หญิงให้ตามไป ถังถังก็ไม่อยากอยู่ตรงนี้เช่นกัน ก็แตะท้องม้าควบออกไป ไม่นานขบวนม้าก็ใหญ่ขึ้นจนเป็นแข่งขี่ม้าไปโดนปริยาย หลังจากแข่งแพ้ แข่งชนะกันจนเริ่มสายแล้วก็พากันไปที่คอกพักม้าให้มันหายเหนื่อย

องค์หญิงฉินยูซินก็เอ่ยชวน"พวกเราไปบ่อน้ำพุร้อน ที่รัชทยาทเล่าให้ฟังเมื่อวานช่วงค่ำกันดีไหม ได้ไหมเพคะรัชทยาท"ก่อนจะยกยิ้มหวานเอ่ยต่อว่า "องค์หญิงหนิงเซียน จือจือ ถังถังก็ไปกับพวกเราด้วยสิ" จือจือละมือจากลูบแผงคอม้าเอ่ยตอบ"เพคะองค์หญิงฉินยูซิน พวกเราจะไป" ฉันหลุบตาต่ำก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบเรื่อย "พวกเราขอเวลาไปเอาชุดมาเปลียนก่อนนะเพคะ" ก่อนจะหันไปสั่งม่อหลันให้กลับไปเตรียมของให้พร้อม กับกางเกงขาสั้นและหยิบปิ่นปาการังแดงสีเพลิงมาด้วย กับไปบอกคนสนิดของจือจือ ถังถังที่ยังอยู่ในกระโจมให้เตรียมของให้พร้อมแล้วนำมาทีเดียวสั่งเสร็จฉันก็ลูบแผงคอเจ้าชุนหลัน แล้วมองทิวทัศน์รอบด้านข้างตัว แดดยังไม่แรง อากาศตรงนี้ปลอดโปร่ง แต่เขาป๋ายมีอากาศร้อนและเปียกชื้น เป็นประเภทของป่าดิบชื้น หรือ ป่าฝนเขตร้อน มีลักษณะของพืชพรรณที่หนาแน่นอุณหภูมิที่อบอุ่นตามฤดูกาลและฝนตกชุก สัตว์ที่อาศัยอยู่ที่นี่มีความหลากหลายมาก มักเป็นสัตว์ที่ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมในฤดูหนาวที่หนาวจัดและฤดูร้อนที่มีอากาศอบอุ่นได้ดี เช่น กระรอก กวาง หมาป่า หมาจิ้งจอก เสือ หมี นก สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ และแมลงหลายชนิด

ฉันมองเสื้อผ้าของ จือจือ กับถังถัง และองค์หญิงฉินยูซิน ที่ใส่ชุดรัดรูป สำหรับขี่ม้า มองข้อมือและข้อเท้า ก่อนจะมองการแต่งกายของคนสนิดอย่างละเอียด แล้วก็ชวนฮุ่ยจือไปโรงครัวใกล้ๆ แบ่งหน้าที่ให้ฮุ่ยจือนำน้ำมันพืชใส่ขวดเล็กๆมา 6 ขวดเล็ก เพื่อแบ่งให้ จือจือ ถังถัง ฮุ่ยจือ ม่อหลัน องค์รักษ์หญิงของจือจือ และตัวเอง พกไว้คนละขวดป้องกัน ปลิง และ ปลิง ก็เป็นตัวชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า เพราะมันอาศัยในป่าทึบที่มีความชื้นสูงและดำรงชีวิตด้วยการดูดเลือดสัตว์อื่นเป็นอาหาร ฉะนั้นที่ไหนมี ปลิง หรือที่อื่นจะเรียกว่า ทาก นั่นย่อมมีป่าสมบูรณ์และสัตว์ป่าชุกชุม  ฉันเห็นเสื้อผ้าแต่ละคนที่จะเข้าป่าแล้วก็ เพลีย..รู้สึกอ่อนใจอย่างแรง ต้องมีคนโดนบ้างล่ะงานนี้ ใส่แนบเนื้อขนาดนี้แล้วยังคิดจะเข้าป่าอีก ถ้าในปัจจุบันเวลาใครไปเที่ยวป่าจะแต่งกายให้รัดกุม ใส่ถุงกันทากที่ทำจากผ้าฝ้ายดิบเนื้อแน่นจนทากไม่อาจแทรกตัวผ่านมาถึงตัวเราได้ โดยสวมทับถุงเท้าสูงขึ้นมาถึงเข่า แล้วสวมรองเท้าหุ้มส้นอีกที เท่านี้ก็เดินเที่ยวป่าได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องพะวักพะวนว่าจะถูกเจ้าปลิงแบ่งเลือดไปใช้ และกันยุงป่า นำโรคมาให้อย่างโรคไข้ชิคุนกุนยา โรคมาลาเรีย และไข้เลือดออก ซึ่งผู้ใดก็ตามที่เป็นโรคนี้ มีโอกาสเสียชีวิตประมาณ 5-10% ในปัจจุบันนะ!! มียา แต่ยุคนี้ตายสถานเดียว!!! ฉันปลีกตัว รือหา ตะไคร้หอม หยิบมา 3 กำมือ มาสับละเอียดๆ ก่อนจะตำอีกรอบเรียกกลิ่นตะไคร้ให้เด่นชัดขึ้น แล้วใส่น้ำมันทาผิว ที่ยืมมาของกระโจมนางกำนัลกองงานหนึ่งมา ก่อนจะมาถึงโรงครัว ใส่ลงไปในครกแล้ววนสากบดไห้ทั้วครก ทำน้ำมันตะไคร้หอมฉบับเร่งด่วนแบ่งใส่ขวดได้ 2 ขวด ก็ออกมาพร้อมฮุ่ยจือที่รออยู่ก่อนแล้ว

เมื่อฉันกับฮุ่ยจือเดินมาที่เดิม ก็เห็นม่อหลันกลับมาแล้ว พร้อมกับถุงผ้าใบเล็กในมือขององค์รักษ์จือจือ และถังถังแล้ว เมื่อเดินเข้ามาใกล้ ม่อหลันก็ยื่นม้วยกระดาษเล็กมาให้ฉัน ฉันเห็นแล้วก็ต้องเลิกคิ้วเป็นคำถามส่งมาให้? ม่อหลันเห็นแล้วก็รีบเอ่ยผู้เป็นนายทันที “ตอนที่บ่าวกลับกระโจมก็มีขันทีนำมาให้เพคะ” ฉันพยัคหน้ารับมาเปิดดูก็พบว่ามันเป็นข่าวการคืบหน้าของนายน้อยหูเกอ ที่พวกเราร่วมลงทุนเปิดคลับร่วมกันนั้นล่ะ ฉันนั้นรู้ดีหากอยากมีอำนาจก็ต้องคุมเงิน และความลับของขุนนางราชสำนัก เพื่อเอามาแบล็กเมลล์ในภายหลังเพื่อผลประโยชน์ และการฟ้อกเงินจากโรงรับจำนำ แต่ฉันคิกว่าเรื่องพวกนี้ฉันไม่ควรยุ่งเกียวให้เป็นที่จับตามองนักเพราะตอนนี้ฉันเป็นแม่ค้า และไม่ได้อยากยุ่งเกียวกับราชสำนัก แต่เพราะอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่รู้ พอฉันเกริ่นๆนำ..นายน้อยหูเกอก็เกิดแรงบันดาลใจ ฉันก็ขอเอียวด้วยเท่านั้นเอง 20 เปอร์เซ็น ไม่มากไม่น้อยเกินไปเป็นการป้องกันตัวเองในภายหน้า ร้านนี้ดูก็รู้ว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่เช้ามา ส่วนคนอายุมากๆเก๋าเกม ในราชสำนักไม่น่าเข้าใกล้ เพราะชื่อเสียงอาจจะเสียหายได้ แต่พวกลูกหลานล่ะก็ไม่น่าพลาดของใหม่แน่ๆ สถานเริงรมย์ที่เปิดเวลากลางคืน ขายอาหาร เครื่องดื่ม มีดนตรี แต่โครงสร้างร้านอ้างอิ่งกับปัจจุบันมาก อยู่ฝั่งตรงข้ามของ หอเหวินหนิง จริงๆร้านนี้ก็ไม่แรงสำหรับฉัน แต่คนในยุคนี้อาจจะมองว่าแรงไปซักหน่อย ก็เหมื่อนกับให้สตรีเล่นดนตรี และกินดื่มคุยเล่นเป็นเพื่อนแขก ที่เรียกว่าเด็กนั่งดริ้งในปัจจุบัน ถ้ามากกว่านั้นก็ต้องไปคุยกันเอง แต่ร้านใหม่นี้ใช้คนที่เป็นชาวต่างชาติ เปิดเผยเรื่อนร่างมากเกินไปจึงไม่ไช่เรื่องสำคัญ ตามแบบฉบับคนจีน ไม่ห่วงเนื้อห่วงตัวขนาดนั้น ฉันคิดว่านายน้อยหูเกอก็รู้ว่ามันจะคล้ายคลึงกับหอนางโลม แต่แค่ไม่ได้ร่วมหลับนอนก็เท่านั้น และก็เป็นการเปิดตลาดใหม่ ของนายน้อยหูเกอหลังจากใช้บริการหอนางโลมมานานนั้นเอง ฉันอ่านแล้วก็ยิ้มๆ ตอนนี้นายน้อยหูเกอกเริ่มซื้อที่ดินแล้วบางส่วน กับหาผู้เชียวชาญสุราได้มา 2 คนมาเป็นที่ปรึกษา เขาแค่มาเล่าให้ฟังเท่านั่นไม่มีอะไร

พอเงยหน้าอีกทีก็เห็นแต่ละคนจูงม้ากันแล้ว การไปครั้งนี้ไปครบทุกคน หยางหมิง หยางหลาน ฝูเหยีนอวี้ ฉู่อู่เว่ย มู่หรงหยวน องค์หญิงฉิน และองค์ชายฉิน พอเอาคนสนิดหรือองค์รักษ์ส่วนตัวเพื่มเข้าไปก็ 16 คนไปแล้วยังไม่นับรวมฝั่งฉัน ที่มี จือจือ องค์รักษของจือจือ ถังถัง ฉัน ฮุ่ยจือ และม่อหลันอีก คราวนี้พวกเราก็เดินทางเข้าป่าของจริง ฉันก็อยากรู้เหมื่อนกันว่าป่ายุคโบราณมันเป็นยังไง? พวกเราขี่ม้ากันไปเรื่อยๆจริงๆแล้วฉันอยากทาน้ำมันตะไคร้หอมทันที แต่อีกใจก็เป็นกังวลเพราะม้านั้นจมูกดีสุดๆในปัจจุบันเวลาขี่ม้าห้ามฉีดน้ำหอม แต่ว่าตะไคร้หอมก็มาจากธรรมชาติ แต่น้ำมันที่ผสมอาจจะไม่ใช่ก็ได้ ระหว่างที่ฉันกำลังถกเถียง ตีกันในหัวของตัวเอง ก็เอ่ยถามอย่างสงสัยกับ ถังถัง สุดท้ายเลยลองเปิดขวดดูปฏิกริยาของม้า ปรากฏว่าปกติดี ฉันก็ทาทันทีกันยุงป่าเอาไว้ก่อน และแบ่งปันให้กับพวกสาวๆ ตอนนี้พวกเราอยู่กันตรงกลางเกือบท้ายๆของแถว มู่หรงหยวน องค์หญิงฉินยูซินยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา ขี่ม้าอยู่ใกล้กันๆเคียงคู่กับมู่หรงหยวนไม่ห่าง ฉันเห็นแล้วก็หลีตาลง รู้สึกหมั่นใส้ หัวใจของฉันพลันบีบรัดแน่นไม่รู้ตัว จนต้องขวมดคิ้วเสไปมองทางอื่น

บ่อน้ำพุร้อน ทางธรรมชาติ

พวกเราเดินทางไปเกือบ 2 ชมกว่าๆก็ถึงบ่อน้ำพุร้อน ตอนแรกฉันคิดว่าพวกเขาจะเดินป่ากันจริงๆ แต่พวกเขาเอาแต่ขี่ม้าให้ถึงจุดหมาย..เฮ้อ..นี้นะหรือเดินป่า แถมบนหัวของพวกเราก็มี เจ้าอัคคี นกอินทรีคู่ใจของฉู่อู่เว่ย บินร่อนอยู่ด้านบน บ่อน้ำพุธรรมชาติของที่นี้ เหมื่อนสระว่ายน้ำ มีขนาดใหญ่เป็นวงกว้าง รายล้อมไปด้วยต้นไม้เล็กใหญ่คละเคล้ากันไป ฉันได้แต่นั่งยองๆ เอานิ้วไปสัมผัสกถึงอุณหภูมิของน้ำ รู้สึกว่าน้ำกำลังอุ่นพอดีๆ และฝั่งตรงข้ามไกลออกไปของพวกเราเป็นกวาง 4-5 ตัว กำลังกินน้ำกันอยู่ เอาจริงๆบรรยากาศก็ดีนะ แม้จะลึกไปซะหน่อย แต่ก็เข้าใจได้ ไม่งั้นคนนอกอาจจะได้บุกรุกเข้ามา แม้ว่าที่นี้จะเป็นภูเขาหลวงก็ตาม องค์ชายฉินยูเหวินเดินเข้ามาใกล้ชวนพูดคุยอย่างไม่ถือตัว ไถ่ถามอาการบาดเจ็บของจือจือ ก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วหันมาสบตากับฉัน ฉันพยัคหน้าให้เล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นไปหาถังถัง เพราะเริ่มหิวแล้ว คิดว่ามือนี้ต้องหาของที่กินได้มารองท้องก่อน เพราะมาปุ๊บปับไม่ได้เตรียมของกินมาเลย แม้แต่มือเช้าก็ยังไม่ได้ทานมา ก่อนจะสั่งม่อหลัน กับฮุ่ยจือให้อยู่ที่นี้เป็นเพื่อน จือจือ แต่ทั้งสองคัดค้านไว้ก่อนจึงสั่งให้ฮุ่ยจือตามมาแต่ม่อหลันอยู่เป็นเพื่อนจือจือ สลับกับองค์รักษ์ของจือจือ องค์ชายฉินยูเหวิน ฉู่อู่เว่ย ฝูเหยียนอวี้ ก็ตามมาเพื่อล่าสัตว์ มู่หรงหยวนก็จะตามมาด้วยแต่องค์หญิงฉินยูซินนั้นรั้งแขนไว้ก่อนที่จะส่งสายตาสลดมาให้ เพราะจังหวะตอนลงจากหลังม้านั่นองค์หญิงฉินยูซินเกิดขาพลิก และมู่หรงหยวนประคองรับไว้ทันพอดี ฉันนั้นห้าม หยางหมิงและหยางหลานเอาไว้ ให้อยู่ที่นี้และเดียวจะหาผลไม้มาเยอะๆ ดังนั้นระหว่างอยู่รอพวกเราก็เล่นน้ำ กับจุดไฟรอไว้เลย

พวกเรา 9 คน ได้คนสนิดของมู่หรงหยวนตามมาด้วย ช่วยกันล่าสัตว์อีกคน ฉันนั้นออกตัวชัดว่าจะหาผลไม้และทำอาหารให้ เพราะฉนั้นก็อย่าออกไปล่าสัตว์ลึกเกินไป เพราะหิวมากกก! ไม่ได้อยากได้สัตว์ใหญ่ เอาใกล้ๆหลายตัวหน่อยอันนี้ดีกว่า ไม่อยากหิวๆและต้องช่วยกันตามหาคนหลงป่า ถังถังนั้นตามพี่ชายเข้าป่าไปล่าสัตว์ องค์รักษ์ของจือจือ ก็ตามเข้าไปในป่าด้วย ฉันกับฮุ่ยจืออยู่กันตามลำพัง ไม่ไกล้ไม่ไกลกับจุดร่วมตัวกับมีดสั้นเล็กๆคนล่ะอัน มองตามต้นไม้หาผลไม้ ตามโค้นลำต้นมีเห็ดสีสันสดใสบานอยู่มากมาย ฉันนั้นนั่งยองๆดูเห็ดพิษใกล้ๆอย่างอยากรู้อยากเห็น ฮุ่ยจือไม่ได้เอ่ยอะไรขมวดคิ้วอย่างเป็นกังวล ดูจนพอใจก็ลุกขึ้นปัดเนื้อปัดตัวก็จะมองรอบๆก็เห็นลิง กำลังกินผลไม้เปลือกเขียวอ่อน ทรงกลมซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าเป็นผลไม้ชนิดอะไร เห็นแล้วก็ก้าวไปหาต้นไม้นั่นทันที เอื้อมมือเด็ดผลไม้สีที่คล้ายๆกับที่ลิงกิน ถูกับชายเสื้อแล้วฝานบางๆชิมรส ก่อนจะเอียงคอคุ้นคิด ฝานอีกท่อนใหญ่ขึ้นมาอีกชิมเข้าปากก่อนจะพยัคหน้า เอื้อมเด็ดอีกหลายลูก ให้ฮุ่ยจือช่วยรับ

ก่อนจะไปสะดุดกับต้นหนาม ภายในต้นมีลูกกลมๆเล็กๆเป็นพวงยาวสีเขียว บางก็มีแดงปนม่วงมีกลิ่นเผ็ดร้อนออกมาจางๆ รอบๆต้นมีลูกเล็กๆตกทับถม ฉันนั้นเอื้มมมือจับหนามไว้เตรียมจะใช้อีกมือเอื้อมล้วงไปเด็ดเม็ดกลมๆมาชิมพิสูจน์ ฮุ่ยจือร้องห้าม ฉันนั้นไม่ฟังดึงดันเด็ดแล้วเอาเข้าปากทันที ดวงตานั่นเบิกโผลง! นี้มัน..ใช่จริงๆด้วย..ต้นพริกไทย ทิเบต รสชาติมันจะเผ็ดๆแต่จะมีกลิ่นเลม่อนตีขึ้นมา ฮุ่ยจือนั่นตกใจรีบคว้าจับหนาม ดึงมืออาหนิงออกเอ่ยร้อนรนอย่างกังวล "องค์หญิงเพคะ! ทำแบบนี้ไม่ได้นะเพคะ เห็นอะไรก็จะเอาเข้าปากไปหมด รึจะแกล้งให้บ่าวหัวใจวายตายเพคะ" ฉันเห็นฮุ่ยจือขึ้นเสียงก็รีบ หุบปากกลืนที่เหลือทันที "มันเป็นเครื่องปรุงรส พริกไทยนะ ไม่ใช่อะไร" ฮุ่ยจือได้ยินแล้วก็มองเจ้าต้นหนามอีกครั่ง"ต้นพริกไทยมันไม้เลือยไม่ใช่หรอเพคะ มันจะมีแบบนี้จริงๆเหรอเพคะ"ฉันพยัคหน้าเอ่ยยิ้มๆ"เป็นต้นพริกไทย แต่เป็นอีกพันธุ์หนึ่งนะ เดียวเราเด็ดไปปรุงรสซักหน่อย แต่ต้องระวังหนามนะคมอยู่เหมื่อนกัน" ระหว่างที่พวกเราเด็ดพริกไทยได้กำใหญ่แล้วจู่ๆก็รู้สึกฟ้ามืดลงเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองฟ้ากลับมองทะลุไม่ถึงฟ้าเห็นแต่ใบไม้ และเถาวัลน์เกี่ยวกวัตรัดตรึงกันอยู่ ฉันได้แต่หลีตากดลึก รีบเร่งมือเก็บพอสมควรแล้วก็เดินกลับทางเก่าทันที เมื่อมาถึงก็เห็นว่ามาครบกันหมดแล้ว ฉันกับฮุ่ยจือ และม่อหลันก็เลือกมุมหนึ่งไม่ไกล้ไม่ไกลกับกองไฟ ลากใบกล้วยทีมีซากกระต่ายป่าหลายตัวไปถลกหนังออก จัดแจ้งเตรียมทำกระต่ายย่าง หยางหมิงเข้ามาช่วยเป็นลูกมืออยู่ข้างๆ ฉันมองท่าทางเงอะงะก่อนจะจับมือเขาดึงออกให้ดูเป็นตัวอย่าง ช่วยกันคนละไม้ คนละมือไม่นานก็เสียบไม้แล้วนำไปย่าง ก่อนหมุนตัวไปทำน้ำซอสเพราะผลไม้ที่เก็บมารสชาติคล้ายพุทรา เอาสันมีดสั้นกดแล้วบทเอาน้ำใส่พริกไทยที่ทุบๆผสมให้เข้ากันก็น่าจะพอกินได้

ระหว่างที่กำลังยุ่งๆกับการทำอาหารอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงกรี้ดร้องของนางกำนัลคนสนิดขององค์หญิง ก่อนจะล้มก้นจ้ำเบ้าถีบยันตัวเองออกมาอย่างลนลานใบหน้าขาวซีดแทบจะไร้สีเลือด ทุกคนนั้นหันไปมองตามต้นเสียง เห็นองค์หญิงฉินยูซินขมวดคิ้วสีหน้าหวาดกลัวเข้าไปหลบหลังมู่หรงหยวน แล้วรีบถลกขากางเกงดู ดวงตาก็เบิกโพลงก่อนจะกรี้ดร้องอย่างสุดเสียงด้วยความตื่นตระหนก เรียวขาขาวผ่องตอนนี้มีตัวประหลาดยาวๆสีดำๆกำลังขยับตัวไปมาอยู่หลายสิบตัวเช่นกัน เหมื่อนนางกำนัลและตอนนี้ก็เริ่มคันมากยิ่งขึ้น แต่ไม่กล้าเการู้สึกขยะแขยง พวกเราเข้าไปดูก็ต้องผงะกับภาพที่เห็นกับปลิงหลายสิบตัวดำมะเมื่อมเกาะตามขาขององค์หญิงและนางกำนัลคนสนิดขยับขยายตัวไปมา ฉันตลึงไปซักพักก็นึกขึ้นได้รีบหันไปดูจือจือ เห็นว่ามีใบหน้าขาวซีดไม่ต่างกัน ขากางเกงถลกขึ้นมีปลิงหลายสิบตัวเกาะตามเรียวขางาม รีบเงยหน้าสบตากับม่อหลันสั่งเสียงดุทันที"ม่อหลัน ดูตัวเองมีบ้างหรือไม่ ข้อมือ ขา หรือคันส่วนใดบางหรือไม่" ม่อหลันรีบถลกเสื้อผ้าดูก่อนจะสายหน้า รีบปฏิเสธว่าไม่มีทันที ถังถังนั่นปราดเข้าไปหาจือจือไล่ดูตามเนื้อตัวก็พบเพิ่มที่ข้อมืออีก 5-6 ตัว องค์หญิงกับนางกำนัลได้ยินแล้วก็มือสั้นถลกแขนเสื้อขึ้นก็พบเช่นกัน เนื้อตัวนั่นสั่นสะท้าน

----------- ----------

ข้อมูลอ้างอิ่ง :: หัวข้อ ประเภทป่าไม้ ในเวป https://ngthai.com/science/26723/forestation/

หัวข้อ สายพันธุ์ยุง ในเวป https://www.mfactors.co.th/news/4-ยุงพันธุ์ดุ-พาหะนำโรคร/

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป