Your Wishlist

บุปผาสวรรค์นางร้ายข้ามภพ (พี่ชายหลอกกินเต้าหู้)

Author: หนิงเซียน

ดวงดอกท้อผลิตบานพร้อมกันถึง 3 ดอก ❤️ นี้คือเรื่องราวของภพชาติใหม่ที่ดวงดอกท้อผลิตบานพร้อมกันถึง 3 ดอก ในความใกล้ชิด สายสัมพันธ์ที่ซับซ้อน ซ้อนเร้น พี่ชายแท้ๆชอบน้องสาว และอีกสองบุรุษ กวนเพื่อนรักที่ชอบผู้หญิงคนเดียวกัน ความทรงจำอาจจะเลือนลางเเต่มันจะไม่มีทางหายไป ด้วยว่าการกระทำ และนิสัยของนางหลุดจากกรอบของสังคมปัจจุบันไปมาก บุรุษเพื่อนซี้ทั้งสามคนนั้นมองนางด้วยสายตาที่หลากหลาย ในใจก็มีความคิดที่แตกต่างกันออกไป

จำนวนตอน :

พี่ชายหลอกกินเต้าหู้

  • 19/04/2564

บนเรือสำเภาโบราณ

อาหนิงได้ยินแล้วก็เหม่อมอง สบตามู่หรงหยวน สายตาหลีลงเหมื่อนค้นหาอะไรอยู่ ค่อยๆ พูดเสียงอ้อแอ้เหมื่อนกำลังนึกคิดว่า “อยู่กับคนไหนแล้วสบายใจมากกว่าหรือ? ก็สบายใจนะ แต่ท่านพี่มู่หรงหยวนชอบดุไปซักหน่อย แต่ข้าก็เข้าใจได้อยู่ ข้ารู้ว่า..ถ้าข้าอยู่กับท่านข้าจะปลอดภัย ไม่รู้สิข้ามองท่านเป็นพี่ชาย ไม่ใช่ผู้ชาย” ว่าแล้วก็พยัคหน้างึกๆ

มู่หรงหยวนได้ยินแล้วก็รู้สึกเย็นวาบในอก นิ! นางไม่เคยมองเขาเป็นผู้ชายเลยหรือ! เขาก็เป็นผู้ชายทั้งแท่ง เขาดีกับนางมาตลอด แต่นางกลับไม่เห็นเขาเป็นผู้ชายเลยเหรอ “แล้วเมื่อไรเจ้าจะมองข้าเป็นผู้ชาย” เขานั้นเอ่ยด้วยอารมณ์สับสน ปนน้อยใจ ทำไมนางถึงไม่เห็นเขาเป็นผู้ชาย?

ฉันได้ยินแล้วก็งุนงง? พูดเสียงอ้อแอ้ “ท่านพี่..อยากให้ข้า..มองท่านเป็นผู้ชายหรือ? ท่านมองข้าเป็นผู้หญิงด้วยหรือ?” เขาได้ยินแล้วก็สะอึก นิ ..จะให้เขาสารภาพว่าชอบนาง ที่นี้หรือ? ฉันเห็นหน้ามู่หรงหยวนขึ้นสีก็เอื่อมมือไปลูบใบหูของเขาอย่างแผ่วเบาก่อนจะเอ่ยอ้อแอ้ว่า “ดูสิ ท่านเมาแล้ว”

จือจือที่เห็นอาการเขินอายของพี่รองก็ก้มหน้าอดอมยิ้มไม่ได้ อึ้ม น่าจะได้พี่สะใภ้จริงๆ แหะ “เดียวนางนี้ล่ะ! จะช่วยให้พี่รองสมหวังเอง” เอ่ยอย่างหมายมาดอยู่ในใจ ก่อนจะเงยหน้าควับเมื่อได้ยินถังถังถามขึ้น ถังถังได้ยินอาหนิงบอกรู้สึกกับพี่รองมู่หรงหยวนแค่พี่ชายเท่านั้น แล้วพี่ใหญ่ล่ะ” อาหนิงแล้วเจ้าเห็นพี่ชายของข้า เป็นผู้ชายคนหนึ่งไหม?”

ฉันสายหน้าทันที่ตอบเสียงอ้อแอ้ว่า “ก็พวกเขา เป็นเพื่อนของพี่ชายข้านิ เจ้าจะให้ข้ามองพวกเขา ว่าเป็นผู้ชายได้ยังไงกัน”

มู่หรงหยวนได้ยินคำตอบแล้วขมวดคิ้วก็รีบเอ่ยว่า “ทำไมล่ะ? ข้าก็เป็นผู้ชาย..ต่อไปอาหนิงไม่ต้องมองข้าว่าเป็นพี่ชายแล้วได้หรือไม่”

ฉู่อู่เว่ยได้ยินแล้วก็เอ่ยตามเสียงดังว่า “ใช่! พวกข้าเป็นผู้ชาย เจ้ามีพี่ชายอยู่แล้วตั้งห้าคน ข้าก็ลูกผู้ชายคนหนึ่ง” กล่าวจบเขาก็ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นโครมครามเหมื่อนกลองซ้อมรบดังขึ้นข้างหู ข้า! ไม่ใช่พี่ชายเจ้าอาหนิง นั้นพี่ชายเจ้าหยามหมิง หยางหลานนั้นๆ ไม่ใช่ข้า!

ฉันได้ยินพวกเขาพูดแล้วก็พยัคหน้ารับหงึกๆ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วหยิกแขนตัวเองเต็มแรง ความเจ็บนั้นต้องกัดกรามแน่ หลับตาขมวคิ้วแน่นเพื่อเรียกสติ จือจือ ถังถังเห็นแล้วก็ตกใจ ฉันเอ่ยเสียงเรียบเรื่อยว่า” ข้าว่าควรกลับแล้ว ไว้เจอกันที่สำนักศึกษา อย่าลืมอ่านหนังสือสอบล่ะ” ก่อนจะลุกขึ้นหันไปมองฮุ่ยจื่อ ม่อหลัน และหยางหยาง ที่นั้งอยู่ตรงมุมเรือ พยัคหน้าให้ฮุ่ยจือทีหนึ่ง ฮุ่ยจื่อก็เดินมารับฉันที่โต๊ะ ม่อหลัน กับหยางหยางเดินไปรอที่ทางลง ฮุ่ยจื่อประคองแขน ฉันหันกลับไปมองมาดาม และนายน้อยหูเกอแล้วผงกศีรษะให้เล็กน้อย ว่าขอตัวกลับแล้ว มาดามยิ้มแย้มอย่างเอ็นดู นายน้อยหูเกอผงกศีรษะตอบ ฉันเดินออกไป ตามองตรง อกผ่าย ไหล่ผึง เหมื่อนคนปกติไม่ได้เมา แต่จิกเล็บกับฝามือแน่นให้ความเจ็บกดทุกสิ่งลงไป ห้ามแสดงการอ่อนแอ่ให้เห็น ที่นี้มีแต่คนแวดวงการค้าทั้งนั้น หลงจู้ และผู้สือทอดสายตรง “จะเสียหน้าไม่ได้ เชิดหน้าเข้าไว้” ฉันท่องอยู่ในใจ จือจือเหลือบมองเห็นข้อมือของอาหนิงที่จิกเล็บลงในฝามือจนข้อขาว ก็อดจิบไวน์ไม่ได้ สายหัวเล็กน้อย ฉันเดินตัวตรงมาตลอดจนถึงหน้ารถม้า พอเข้าในรถม้าก็ไม่สนใจอะไรอีก นอนหนุนตักม่อหลันทันที

เช้าวันถัดมา

ฉันปวดหัวมาก ปวดเนื้อ ปวดตัว ปวดเอว จนไม่อยากลืมตา นอนต่อไปเรื่อยๆ จนรู้สึกหิว ถึงได้ลุกมาหาของกิน ฮุ่ยจื่อ และม่อหลันได้ยินเสียงข้างในเคลื่อนไหวก็เข้าไปรับใช้ นำยาสร่างเมาให้องค์หญิงทาน ม่อหลันช่วยยกสำรับที่อุ่นยกมาจัดวางให้พร้อมทาน ก่อนจะเอ่ยเตื่อนความทรงจำขององค์หญิง “องค์หญิงจะฝึกขี่ม้าดีหรือไม่เพคะ บ่าวเห็นชุดล่าสัตว์ในงานปีนี้ส่งมาแล้วงดงามยิ่ง นี้เป็นปีแรกที่องค์หญิงเสด็จไปประพาสล่าสัตว์กับฮ่องเต้และเชื้อพระวงศ์ครั้งแรกด้วย ถ้าทรงม้าจะงดงามมากเลยนะเพคะ” ม่อหลันนั้นเอ่ยชวน

ฉันกินข้าวเงียบๆ คิดแล้วก็เอ่ยว่า “ไปบอกอาจารย์สอนพิน กับร่ายรำว่าข้าขอพักไปก่อน จะต้องเรียนอย่างอื่น แล้วถ้าอยากเรียน ขี่ม้า กับยิงธนู จะต้องไปขอใครล่ะ?” มีเวลา 2 อาทิตย์ก็จะถึงประพาสล่าสัตว์ ครั้งนี้มีองค์ชายฉินยูเหวิน และองค์หญิงฉินยูซิน แห่งแค้วนฉิน ก็เข้าร่วมด้วย เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อตอนวันเกิดหวังฮ่องเต้ องค์ชายฉินยูเหวิน นั้นเอ่ยชวนองค์หญิงหนิงเซียนหลังจากที่รับของพระราชทาน ทั้งของรางวัลไทเฮา ฮ่องเต้ และฮองเฮาแล้ว กล่าวว่า “ข้าเพิ่งเคยมาที่ฉางอันเป็นครั้งแรก อยากให้องค์หญิงเป็นผู้นำเทียวจะได้หรือไม่” องค์ชายฉินยูเหวินยิ้มหวานเอ่ยต่อว่า “ช่วงต้นเดือนหน้านี้ก็จะเริ่มประพาสล่าสัตว์ของที่นี้แล้ว ข้าได้ยินมาว่าองค์หญิงยังไม่เคยล่าสัตว์มาก่อน ไม่ทราบว่าปีนี้องค์หญิงจะไปร่วมงานหรือไม่?” ฉันได้ยินแล้วก็ต้องยิ้มหวาน ก่อนจะพยัคหน้าให้เล็กน้อย

“บอกเฉินกุ้ยเฟยให้ทราบก่อนเพคะ แล้วค่อยไปแจ้งฮองเฮาให้ทราบ พระนางน่าจะจัดคนมาช่วยสอนให้ได้เพคะ เพราะมีเวลาไม่นานที่จะเตรียมตัว” ฉันได้ยินก็ขี้เกียดแล้ว ห่อไหลแล้วเอ่ยอย่างเกียดคร้านว่า “ไม่ต้องๆ ข้าว่าไปขอให้จือจือ กับถังถังสอนให้ดีกว่า เอาเจ้าชุนหลันไปด้วยนะ”

จวนมู่หรง

บริเวณคอกพักม้ากำลังมีเสียง สามสาวกำลังเจื้อยแจ้ว การสอนขี่ม้านั้นทุลักทุเลยิ่ง เนื่องจากเจ้าชุนหลัยมันหยิ่งทะนงนัก พอจะหัดขึ้นไปขี่มันก็กลับเดินหนี้ห่างออกไป เป็นอยางนี้อยู่ซักพักจนอาหนิงหงุดหงิด รึว่ามันจะไม่ชอบให้ผู้หญิงขี่ เห็นแต่ผู้ชายขี่มันได้ ขนาดตอนมาที่จวนมู่หรงให้องค์รักษ์ขี่มันมาฝึกที่นี้ มันก็ให้นั่งแต่โดยดี สุดท้ายต้องใช้ม้าในคอกของจือจือมาเรียนแทน จือจือและ ถังถังขี่ม้าคนล่ะตัว อธิบายท่าต่างๆ ในการบังคับม้า ตั้งแต่การขึ้นม้า การขี่ม้า การลงจากม้า ให้ดู

ฉันก็ลูบแผงคอม้าเบาๆ อย่างเป็นมิตรเหมื่อนที่จือจือ และถังถังบอก แล้วเอื้อมไปจับบังเหียนให้แน่นๆ จากนั้นก็เอาเท้าข้างซ้ายเหยียบโกลนที่ติดอยู่กับอานด้านซ้าย แล้วพยามที่จะยันตัวขึ้นไปบนหลังม้าเหมื่อนจือจือ และถังถัง ที่ทำให้ดูเมื่อครู่ แต่ทำยังไงก็ไม่ขึ้น ฉันรู้สึกเหมื่อนตัวเองมาทำอะไรที่นี้ ขานั้นก็เหยียบโกลนที่ติดอยู่กับอานพยามเหวียงขาให้ขึ้นไปให้ได้ทำอยู่แบบนั้นซ้ำๆ จู่ๆ ตัวฉันก็ลอยสูงไปค่อมที่หลังม้า ฉันตกใจรีบหันหลังไปดูถึงได้รู้ว่าที่แท้เป็นมู่หรงหยวนช่วยยกเอวฉันให้ลอยสูงเพื่อจะได้ค่อมหลังม้าได้

ฉู่อู่เว่ยเห็นฉันขึ้นหลังม้าได้ก็ทรุดนั่งข้างๆ ม้าปรับแก้โกลนที่ติดอยู่กับอานให้พอดีตัว หันไปสอนจือจือ และถังถังว่า “จือจือ ถังเอ๋อร์ พวกเจ้าก็ทำเป็นเล่นไป พวกเจ้าขี่เป็นแล้วก็ว่าเป็นของง่ายจึงละเลยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไป” ก่อนจะหันมองอย่างตำหนิ! “องค์หญิงคิดว่าขี่ม้าเป็นเรื่องเล็กๆ หรือ ขี่ไม่ดี หรือไปกระตุ้นม้าจนพยศ อาจจะตกหลังม้าลงมาตายได้” มู่หรงหยวนลูบแผงคอม้าก่อนจะจับบังเหียน ปีนขึ้นหลังม้านั่งซ้อนหลังอาหนิง เขาใช้แขนข้างหนึ่งโอบกอดร่างของฉันไว้ ฉันได้แต่ตกใจที่จู่ๆ มู่หรงหยวนก็ปีนขึ้นมา ร่างของเขาสูงใหญ่อยู่แล้ว พอเขาโน้มตัวมากระชับบังเหียนด้วยมือทั้งสองข้างแล้ว ฉันก็รู้สึกแปลกๆ เหมื่อนถูกกอดเอาไว้ ร่างของคนทั้งสองก็เคลือนไปข้างหน้า เส้นผมยาวปลิวไสวไปตามกระแสลม หันกลับไปมองก็เห็นมู่หรงหยวนกำลังกระตุ้นม้าให้ควบไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เข้าดูหล่อเหล่า ลมหายใจรดอยู่ข้าหู ฉันถอยห่างไปเล็กน้อย มู่หรงหยวนค่อยๆ อธิบายสอนแทนจือจือ และถังถังอีกรอบหนึ่ง” ที่จริงแล้วจะต้องลองเอาเท้าทั้งสองข้างสวมโกลนก่อน ว่าถนัดรึเปล่า ถ้าไม่ถนัดก็สามารถปรับได้ สายปรับเหมือนสายเข็มขัด เมื่อปรับโกลนเสร็จแล้ว ก็จะทำการปรับสายรัดทึบ ต้องปรับให้พอดี ไม่หลวมหรือแน่นจนเกินไป ถ้าหลวมไปจะทำให้เครื่องม้าหลุดได้ แต่ถ้ารัดแน่นไป อาจทำให้ม้าหายใจไม่ออกได้”

ฉันได้ยินแล้วก็ร้อง “อ้อ” รับรู้ได้ถึงแผงอกที่ชนหลัง และลมหายใจอยู่รดอยู่ข้างหู จนทำให้ฉันต้องเอี้ยวตัวเล็กน้อย แต่พอมู่หรงหยวนกระทุงท้องม้าเบาๆ บังคับม้าเดินหน้า ร่างกายเราก็แนบชิดกันจากที่เอี้ยวตัวหลบก็ต้องนั่งตรงแทน ตามลำตัวม้าที่กำลังขยับไปมา มู่หรงหยวนเอ่ยอยู่ข้างหู” ไม่ต้องเกรง ทำตัวตามสบาย ข้าจะค่อยๆ สอน”

เวลาที่เขาพูดลมหายใจก็จะรดที่ใบหูตลอด ฉันได้แต่เกรงหน้านิ่งมองหลังม้าที่กำลังขี่ รู้สึกร้อนๆ ที่แก้ม และก็ไม่ค่อยมีสมาธิ เหมื่อนจุดสนใจตอนนี้ มันไปอยู่ที่ข้างหูฉันรู้สึกแปลกๆ นี้มันจุดอ่อนไหวในร่างกายชัดๆ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงนุ่มดังที่ข้างหูว่า “ตามองตรง ไปข้างหน้า อาหนิงมองอะไรอยู่ หืม?” ฉันได้ยินแล้วก็เงยหน้ามองตรง เห็นอีกทีพวกเราก็มาที่สนามม้าเล็กๆ ที่มีลูกม้า และม้าหลายตัวเล็มหญ้าอยู่

ข้างหน้ามีม้าของจือจือ และม้าของถังถังเดินนำอยู่ข้างหน้า ด้านข้างก็คือฉู่อู่เว่ยที่ขี่เจ้าชุนหลันมาขนาบข้าง มู่หรงหยวนค่อยๆ สอนเอ่ยว่า “การบังคับม้าเดินถอยหลัง ท่านี้ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่ดึงบังเหียนพร้อมกันทั้งสองข้าง และเอาน่องทั้งสองข้างหนีบตัวม้า ม้าก็จะเดินถอยหลังทันที” เขาหยุดม้าและเดินหน้าอีกเล็กน้อยเลี้ยวซ้ายที ขวาที ก็เอ่ยต่อ “การบังคับม้าให้เลี้ยวซ้ายและเลี้ยวขวา วิธีคือ ดึงบังเหียนข้างใดข้างหนึ่ง ถ้าอยากเลี้ยวซ้ายก็ดึงบังเหียนข้างซ้าย ถ้าอยากเลี้ยวขวาก็ดึงบังเหียนข้างขวา ในการขี้ม้าเรียกคำสั่งนี้ว่า ซ้ายกลับหลังเลี้ยว ขวากลับหลังเลี้ยว ในการเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา สามารถเลี้ยวระหว่างที่กำลังวิ่งเรียบอยู่ หรือระหว่างที่เดินได้ ท่านี้มีอีกคำสั่งหนึ่งที่ผู้สั่งจะสั่งกันคือ ซ้ายกลับหลังหัน ขวากลับหลังหัน โดยใช้ขาหน้าเป็นหลัก วิธีปฏิบัติคือ ต้องทำการหยุดม้าก่อน การเลี้ยวก็เหมือนเดิม คือ เลี้ยวซ้ายก็ดึงบังเหียนข้างซ้าย เลี้ยวขวาก็ดึงบังเหียนข้างขวา แต่ขาต้องใช้ 2 ขาหน้าเท่านั้นในการกลับหลังหัน ถ้าใช้ขาหลัง เรียกคำสั่งนี้ว่า ขาหลังเป็นหลัก ท่านี้ก็ใช้เป็นคำสั่งได้เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยได้ใช้ มีวิธีคือดึงบังเหียนทั้งสองข้างเบาๆ แล้วเอาน่องหนีบตัวม้า ม้าก็จะก้าวขาหลังก่อน จากนั้นก็ดึงบังเหียนข้างซ้ายถ้าเลี้ยวซ้าย ดึงบังเหียนข้างขวา ถ้าเลี้ยวขวา เข้าใจหรือไม่และแบบนี้”

จู่ๆ ม้าก็เริ่มเดินเร็วขึ้นจนวิ่งเหยาะเขาก็เอ่ยต่อว่า “ที่นี้คับแคบ แต่การบังคับม้าวิ่ง วิธีก็ไม่มีอะไรมาก คล้ายๆ กับการเดิน แต่ต่างกันแค่เราเตือนน่องติดต่อกันหลายๆ ครั้ง จากเดินก็จะกลายเป็นวิ่ง ส่วนการลงจากม้านั้นอาหนิงต้องถอดโกลนข้างขวาออก แล้วนำขาขวาพาดข้ามหลังม้า จากนั้นก็ถอดโกลนข้างซ้ายออกแล้วค่อยกระโดดลงมาเบาๆ จำได้หรือไม่” ฉันนั้นฟังที่เขาพูดมา รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง เพราะเขามักจะพูดอยู่ข้างหูแล้ว เวลาที่ลมหายใจเขารดที่ข้างหู ฉันจะมีความรู้สึกแปลกๆ ที่อธิบายไม่ถูกว่ามันคืออะไร แต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไรเขา ตอนที่มู่หรงหยวนพูดจบ ก็เอาคางมาเกยศรีษะ กระชับบังเหียนอีกร่างของฉันก็เหมือนถอยหลังเข้าไปแนบชิดกับแผงอกแกร่งของเขาเข้าไปอีกรับรู้ถึงอกกระเพื่อม หายใจเข้าออกของเขา ฉันรู้สึกร้อนผะผ่าวที่แก้มอยางควบคุมไม่ได้ ความรู้สึกกำกึ่งนี้มันอะไรกัน? ฉันใจง่ายเกินไปจริงๆ เขาเป็นพี่ชายของเพื่อนนะ! มีสติหน่อยสิ

และการสอนฉันก็ได้เปลียนไป จือจือและถังถัง แทบจะขนขนมมานั่งดูฉันเรียนขี่ม้า บางครั้งจู่ๆ สองคนนั้นก็หายตัวไปอยู่บ่อยครั้ง ฉู่อู่เว่ยนี้ก็ไม่ค่อยเห็นหน้า ช่วงนี้ฉันมาที่ จวนมู่หรง บ่อยมากเพื่อมาขอเรียนขี่ม้าและยิงธนู ทั้งเลิกเรียนและวันหยุดก่อนจะเข้าสู่วันประพาสในอีก 2 สัปดาห์ และคนสอนหรือคนทรมาณฉันคือมู่หรงหยวน ในทุกๆ วันที่ไปเรียน เขาสอนแบบตัวต่อตัวตลอด ความใกล้ชิดเหมื่อนในวันแรกที่สอน ฉันรู้สึกเหมื่อนถูกกอดไว้ตลอดเวลาแนบชิดแทบจะฝั่งเข้าไปในร่างของเขาได้อยู่แล้ว

การยิงธนูก็เหมื่อนกัน ช่วยจัดท่ายืน โดยทั่วไปแล้วจะยืนคร่อมเส้นยิง ปลายเท้าขนาดกัน ยกคันขึ้นมาจัดระดับแขนทั้งสองข้าง น้าวสาย จัดปลายศอกขวาและแขนกับหัวไหล่ซ้ายให้ตรง เข้าจุดเล็งหลักที่อยู่ในตำแหน่งใต้คาง สายแตะปากและจมูก ถ่ายน้ำหนักดึงไปที่หลัง เล็ง ปล่อยสาย เขาประคองสอนตลอด หากมองจากภายนอกก็จะดูเหมื่อนถูกกอดเอาไว้ ไม่ห่างไปไหน

----------- ----------

หมายเหตุ/ข้อมูลอ้างอิ่ง

:: หัวข้อ แนะนำศิลปการบังคับม้า และอุปกรณ์การขี่ม้า ในเว> https://pednapatt038.wordpress.com/tag/ศิลปการบังคับม้า/

:: หัวข้อ การจัดท่ายิงธนูพื้นฐาน ในเว> https://www.thailandoutdoor.com/ArcheryClub/Knowledge/BasicShootingForm/basicshootingform.html

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป