Your Wishlist

บุปผาสวรรค์นางร้ายข้ามภพ (ด้ายแดง)

Author: หนิงเซียน

ดวงดอกท้อผลิตบานพร้อมกันถึง 3 ดอก ❤️ นี้คือเรื่องราวของภพชาติใหม่ที่ดวงดอกท้อผลิตบานพร้อมกันถึง 3 ดอก ในความใกล้ชิด สายสัมพันธ์ที่ซับซ้อน ซ้อนเร้น พี่ชายแท้ๆชอบน้องสาว และอีกสองบุรุษ กวนเพื่อนรักที่ชอบผู้หญิงคนเดียวกัน ความทรงจำอาจจะเลือนลางเเต่มันจะไม่มีทางหายไป ด้วยว่าการกระทำ และนิสัยของนางหลุดจากกรอบของสังคมปัจจุบันไปมาก บุรุษเพื่อนซี้ทั้งสามคนนั้นมองนางด้วยสายตาที่หลากหลาย ในใจก็มีความคิดที่แตกต่างกันออกไป

จำนวนตอน :

ด้ายแดง

  • 19/04/2564

จวนสกุลฉู่

เด็กสาวทั้งสามนั่งเล่นในศาลาดอกโบตั๋น ก่อนที่ถังถังจะเอ่ยอย่างเอียงอายว่า “ที่ข้าเรียกพวกเจ้าทั้งสองมาที่จวนก็เพราะว่า..ข้าได้ยินมาว่าภายในวัดหวังต้าเซียนนั้น มีเทพเจ้าด้ายแดง หรือ เทพเจ้าหยกโหลว ที่โด่งดังเรื่องการขอเนื้อคู่สุด ๆ ซึ่งการขอพรกับเทพเจ้าองค์นี้ต้องใช้ด้ายแดงผูกนิ้วเอาไว้ไม่ให้หลุดระหว่างพิธี ตำนานเชื่อว่าด้ายแดงคือเส้นโยงโชคชะตาด้านความรัก สามารถทำได้ทั้งคนโสด และ คนมีคู่แล้ว คนโสดจะเป็นการขอพรให้เจอเนื้อคู่ ส่วนคนมีคู่ ก็จะช่วยทำให้มีรักมั่นคงและยืนยาว” เอ่ยจบก็มองด้วยสายตาที่คาดหวัง อาหนิง และจือจือ ร้องเสียงสูงเป็นชิงล้อเลียนออกมาพร้อมกัน “อ้อออ” จู่ๆ จือจือก็ร้องเรียกเสียงดัง ”พี่รอง! ”อาหนิงและถังถัง หันไปตามสายตาของจือจือก็เห็นชายหนุ่ม 2 คน อายุ 20 ต้นๆพวกเขาล้วนมีรูปร่างคล้ายกัน บึกบึน สูงใหญ่ ราวกับขุนเขา ซ้ำยังมีลาดไหล่กำยำ หน้าตาหล่อเหลาและสายตาคู่คม กับอีกคนก็หล่อเหลาดูไม่ธรรมดา ฉันเห็นแล้วก็ต้องอึ้งไป โอ้แม่เจ้า! ไม่เจอกันไม่กี่ปี กลับมาคราวนี้สองคนนี้หล่อมากจริงๆ พ่อหนุ่มน้อย ฮุ่ยจือเห็นแล้วก็อมยิ้ม ก่อนจะชายแขนเสื้อดึงสติองค์หญิงหลับมา ฉันหันไปมองฮุ่ยจือตามแรงดึงของอีกฝ่ายเห็นรอยยิ้มแล้ว ก็กระแอมไอ หันไปคว้าถ้วยน้ำชามาปกปิดร้อยยิ้มที่มุมปาก

ชายหนุ่มทั้งสองเข้ามานั่งในศาลาดอกโบตั๋น ฉู่อู่เว่ยนั่งข้างน้องสาวเอ่ยเสียงนุ่มว่า “องค์หญิงก็มาด้วยหรือ? “ ฉันได้ยินแล้วก็ต้องขมวดคิ้วทันที่ คนผู้นี้ไม่เปลียนแปลงไปซักนิด กวนประสาทเป็นที่สุด ไม่เคยคุยดีๆได้เลยซักครั้ง โตแต่ตัวจริงๆความหล่อนี้มันอะไรกันแค่เปลื้อกนอกชัดๆ “ก็บอกให้เรียกอาหนิงไง”ฉันนั้นเอ่ยเสียงฮ้วน ไม่สบอารมณ์ มู่หรงหยวนเห็นแล้วก็อมยิ้ม“เอาน่าๆ จะไปไหนกันหรือ เมื่อกี้ได้ยินไม่ชัด” จือจือรีบเอ่ยชวนทันที ”พี่รองก็ไปด้วยกันสิ พวกเราจะไปขอพร ไปวัดกัน คนเยอะๆครึกครืนดี” ฉู่อู่เว่ยและมู่หรงหยวนเอ่ยขึ้นพร้อมกัน “องค์หญิงน้อยก็จะไปด้วยหรือ” / “อาหนิงเจ้าโตขึ้นนะ” ฉันได้ยินแล้วก็ต้องขหมวดคิ้วยืนขึ้นแล้วควงแขนจือจือ เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ไม่ต้องถามแล้ว! ” ก่อนจะเอื้อมมือไปดึงถึงชายแขนเสื้อมู่หรงหยวน “ลากพวกเขาไปให้หมดนั้นล่ะ ถ้าไม่ว่าง ก็คงไม่มานั่งที่ศาลาได้! ”ฉันเดินนำสองพี่น้องมู่หรงออกมาหน้าจวนสกุลฉู่ ก่อนจะนึกขึ้นได้..แล้วจะไปยังไง? วัดนั้นอยู่ที่ไหนล่ะ? ฉันหมุนตัวเข้ามากอดจือจือเอาไว้แน่น ก่อนจะเอ่ยเสียงออดอ้อนว่า “จือจือ~นั่งรถม้า ไปที่วัดกับข้าเถอะน้า~~”พร้อมกับส่งสายตาปริบๆส่งมาให้ มู่หรงหยวนเห็นแล้วก็เอ่ยยิ้มแย้ม “ไม่ลองขี่ม้าไปเองดูละ วันนี้ข้าเอาเจ้าชุนหลันมาด้วย” ฉันนั้นมองอย่างงุนงง?? คนขี่ม้าไม่เป็นแล้วจะให้ไปขี่ม้าได้ยังไง? มู่หรงหยวนเห็นสีหน้างุนงง ก็เอ่ยว่า”อาหนิงลืมแล้วเหรอ? เจ้าชุนหลันม้าพระราชทานที่เจ้าฝากข้าเลี้ยงไง” ได้ยินแล้วก็คิดซักพักหนึ่ง ของพระราชทานๆ ม้า? ก่อนจะร้องเสียงดังออกมา“อ้อ! แต่ข้าก็ยังขี่ม้าไม่เป็น ยังไม่ได้ไปเรียนเลย”ก่อนจะส่งยิ้มแหย่ๆให้

วัดหวังต้าเซียน

สุดท้ายก็มีคนจูงม้ามา3ตัวและรถม้าอีก2คัน เดินทางไปวัดหวังต้าเซียนบนเขา นอกเมืองหลวงไม่ไกลนัก จือจือและฉันกินขนมตลอดทางไปวัด ในรถนั้นบรรจุไปด้วยขนม ถังถังนั้นชะลอม้า ขนาบข้างมาตรงหน้าต่างและยื่นมือเข้ามาเป็นอันรู้กันว่า “เอาขนม” การเดินทางไม่ช้าไม่เร็ว 2 ชั่วโมงก็มาถึงหน้าวัดแล้ว พอลงมาก็เจอคนเข้ามาขอพรไม่ขาดสายที่วัดนี้ดังในด้านขอพรเรื่องความรักจากผู้เฒ่าจันทรา เทพพ่อสือในตำนานของจีนเครื่องรางคือด้ายแดง พวกเราเข้าไปสักการะขอพร รับด้ายแดงมาคนล่ะเส้น สองพี่น้องช่วยกันฉู่อู่เว่ยผูกด้ายแดงให้ถังถัง จือจือต่อคิวรอรับน้ำมนต์ ฉันเห็นมู่หรงหยวนกำลังดูบรรยากาศในวัดที่รมรื่นอยู่ด้านข้าง ก็เอื้อมมือไปผูกด้ายแดงให้ มาในวัดดังทั้งที่ ก็ต้องมีอะไรติดไม้ติดมือกลับไปบ้าง ก่อนจะส่งมือให้เขาผูกให้บ้าง เขาก็ผูกให้แต่โดยดีแล้วลูบศรีษะ ฉันนั้นอดร้องออกมาไม่ได้”ไม่ได้เด็กแล้วนะ” มู่หรงหยวนเอ่ยยิ้มๆ เห็นฉันขมวดคิ้ว ก็ส่งเสียงในลำคอ“อึ้ม ไม่เด็กแล้ว โตแล้ว” ได้ยินแบบนั้นก็เสหันไปมองทางอื่น กลับสบตาคมกริบของฉู่อู่เว่ยเข้าพอดี

ตำหนักเหยียนซีกง (ของเฉินกุ้ยเฟย)

อาหนิงช่วงพักหลังนี้ไม่ได้เข้าหอเหวินหนิงเหมื่อนแต่ก่อน เพราเลิกเรียนต้องตรงไปหาเฉินกุ้ยเฟยเพื่อฝึกร่ายรำกับคณะนางรำ ที่จะขึ้นแสดงในอีก 3 วันข้างหน้า ในงานวันเกิด 39 ปีของหวังฮ่องเต้ งานเลี้ยงวันเกิดนั้นใหญ่มากจะมีการผิดพลาดไม่ได้เลยแม้แต่น้อย มีขุนนางน้อยใหญ่ และท่านอ๋องต่างเข้าร่วมไม่ขาดสาย คณะราชทูตจากแค้วนใกล้เคียงก็ตบเท้าเข้าเมื่องหลวง ทั้งราชทูตแดนบูรพา (ญี่ปุ่น) , ราชทูตแดนตะวันตก (อังกฤษ) ก็ไม่เว้น ช่วงนี้เมื่องหลวงคึกคักมาก แต่ทหารรักษาการณ์ก็มากเช่นกัน เพื่อไม่ให้เกิดอะไรขึ้นในวันสำคัญ เมื่องหลวงจึงกลายเป็นคึกคักแต่ก็แน่นหนาไปในตัว ฉันนั้นก้าวออกนอกวังไม่ได้นอกจากไปเรียนแล้วกลับเท่านั้น เป็นมาเกือบเดือนกว่าแล้วจนกว่าจะจบงานวันเกิดของหวังฮ่องเต้ ถึงจะเข้าสู่สถานการณ์ปกติ

ก่อนเข้าวังนั้นเฉินกุ้ยเฟยก็เป็นหญิงงามอันดับหนึ่งมาก่อน ไม่ว่าจะรูปโฉม กริยา ดนตรี ร่ายรำ ก็เป็นเอกหรือแม้แต่ทำอาหาร ก็ไม่ขาดตกบกพร่อง แม้แต่ท่าดื่มน้ำชาในตอนนี้ก็ดูแตกต่างเหนือผู้อื่นแบบชนชั้นสูง กล่าวอย่างพึงพอใจว่า “หนิงเอ๋อร์ชุดที่แม่ตัดให้เจ้า ต้องระวังด้วย ห้ามซุมซ่ามโก๊ะๆเป็นอันขาด”เอ่ยจบก็ยื่นขนมหวานให้เป็นรางวัล “เพคะท่านแม่” เสียงหวานใสเอ่ยขึ้นก่อนจะอ้าปากให้ป้อนเข้ามา เฉินกุ้ยเฟยขมวดคิ้วสายหน้า ก่อนจะยกยิ้มด้วยความเอ็นดู เด็กคนนี้ก็เป็นแบบนี้ตลอด อดถอนหายใจเสียงดังไม่ได้เอ่ยว่า “เจ้านี้นะ! โตเป็นสาวแล้วยังให้แม่ป้อนอยู่อีก อีกไม่กี่สัปดาห์เจ้าก็จะต้องเข้าพิธีปักปิ่นแล้ว โตเป็นสาวแล้ว!! เข้าใจหรือไม่”นางนั้นลูบศรีษะของลูกสาวอย่างเอ็นดู

ท่ามกลางผู้คนมากมายในวังหลวง เดิมทีตอนที่นางแท้งลูกและไม่อาจมีลูกได้อีกนางก็รู้สึกโดดเดียวยิ่งนัก แต่เมือฮ่องเต้มอบเด็กคนนี้ให้นางดูแล เด็กคนนี้ยิ่งโต ยิ่งห่างเหินนัก นางยิ่งเข้าใกล้ ก็ยิ่งห่างออกไป จนเริ่มปลงแล้ว ตัวนางคงไม่มีวาสนากับเด็ก หลังจากป่วยหนักครั้งนั้น เด็กคนนี้ก็กลับเป็นฝ่ายเข้ามานางเอง มาออดอ้อนเหมื่อนเด็กๆ อะไรอร่อยก็จะเอามาให้นางกินก่อนเป็นคนแรก นางมีลูกสาวบุญธรรม แต่ก็รักใคร่เหมื่อนลูกแท้ๆ เด็กคนนี้มีหัวการค้ามาตั้งแต่เด็ก แถมยังใจกล้าข้ามหน้าข้ามตาไปขอเงินกู้กับฮ่องเต้เอง ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่อยากให้นางเดือดร้อนในวังหลัง แม้แรกๆจะมีปัญหาในวังหลังที่นางยังเด็ก และเป็นองค์หญิง คิดจะทำการค้านั้นไม่เหมาะแต่ฮ่องเต้ก็มาไกล่เกลี้ย จนเรื่องยุติลง และลูกสาวของนางก็ได้พิสูจน์ตัวเองแล้ว

ตำหนักเหม่ยอวี้

หลังจากกลับมาจากตำหนักเหยียนซีกงของเฉินกุ้ยเฟย ก็อาบน้ำเปลียนชุดนอน ใส่เสื้อสายเดียว ที่ปรับแก้จากเอี่ยมและกางเกงขาสั้นนั่งอยู่หน้ากระจก ม่อหลันกำลังสางผมให้ ฮุ่ยจื่อก็รินน้ำเย็นอยู่ด้านข้างนั้น

อาหนิงก็เอ่ยเสียงเบาว่า “ใกล้ถึงวันที่จะพูดเรื่องออกเรื่อนของถังถังแล้วสินะ อีกไม่นานก็จะมีงานเลี้ยงเพื่อทาบทามถังถังแล้ว”

"ใช่เพคะ"ม่อหลันเอ่ยยิ้มแย้ม *ได้ยินว่าฉู่ฮูหยินเลือกอยู่นาน ล้วนแล้วแต่เป็นคุณชายตระกูลใหญ่ ได้ยินว่าวันมะรืนฝูฮูหยินของใต้เท้าฝูหลินอี เจ้ากรมอากร จะมาเป็นแม่สือยืนยันด้วยตัวนางเอง* ฉันนั้นหลีตาลง ฮุ่ยจื่อนั้นมององค์หญิงอย่างคาดเดาอารมณ์ไม่ถูก

ท้องพระโรง  (ช่วงหัวค่ำ)

ขันที่เอ่ยเสียงเล็กแหลม “พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเสด็จ องค์หญิงหนิงเซียนเสด็จ”

พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก้าวเข้ามาในงานอย่างสง่างาม ฉันในวันนี้ถูกม่อหลันจับแต่งองค์ทรงเครื่องเสียเต็มยศ เดินตามหลังเฉินกุ้ยเฟย ตามองตรง อกผ่าย ไหลผึง ในงานมีขุนนางน้อยใหญ่ และท่านอ๋องน้อยใหญ่ต่างนั่งประจำที่กันแล้ว ฉันนั่งด้านข้างของพระสนมเฉินกุ้ยเฟย นี้เป็นครั้งแรกที่มาในงานที่ใหญ่ขนาดนี้ แถมวันนี้จะได้เห็นคนในตระกูลของฮ่องเต้ครบทุกคน ฉันกวาดตาไปยังที่นั้งเชื้อพระวงศ์ด้านข้าง เห็นแล้วก็อดชื่นชมไม่ได้ลูกหลานของฮ่องเต้นี้ดูหล่อเหลาไม่ธรรมดาจริง แถมเหล่าสตรีของฮ่องเต้ก็ดูแตกต่างกันออกไป

ใกล้จะเริ่มงานหวังฮ่องเต้ประคองไทเฮา และฮองเฮาก็เดินตามหลังมาไม่ห่าง เมื่อสามผู้ยิ่งใหญ่นั่งลงแล้ว ทุกคนก็ทำความเคารพทันที เมื่อฮ่องเต้กล่าวเปิดงานเสร็จแล้ว เจ้ากรมพิธีการขอเบิกตัวคณะราชทูตจากแค้วนต่างๆเข้าเฝ้า ทุกอย่างก็เป็นไปตามขั้นตอนที่ยาวเหยีด ก่อนหน้าที่จะเข้ามาในงานเลี้ยงนั้น เฉินกุ้ยเฟยให้ฉันกินทั้งอาหารคาว และอาหารหวานมาเป็นเรียบร้อย เพราะในงานอาจกินอะไรไม่ได้มากนัก ใช้เวลานานมากกว่าคณะราชทูตจากแค้วนต่างๆจะส่งของบรรณาการเสร็จ ฉันสะดุดกับลูกแมวเปอร์เซียตัวส้ม ที่เป็นของบรรณนาการ จากที่งุนง่วงก็ตาลุกวาวขึ้นทันที มันน่ารักจัง ฮองเฮานั้นมองไปโดยรอบก็ไปเห็นสายตาของลูกชายที่กำลังอมยิ้มอยู่ไม่วางตา ใบหน้าเหมือนถอดแบบออกมาจากฮ่องเต้ คล้ายคลึงกันมาก เมื่อมองไปตามสายตาของลูกชาย ก็พบว่ากำลังมองมาที่หนิงเอ๋อร์ไม่วางตา ลุบตาต่ำ อดรำพึงในใจไม่ได้ ”อึม..ตอนนี้หนิงเอ๋อร์กำลังโตเป็นสาวแรกรุ่นแล้ว กิริยา มารยาทก็น่าเอ็นดู รูปโฉมก็โดดเด่นเหนือใคร น่าจะอีกไม่นานก็เข้าพิธีปักปิ่นแล้ว แถมนางยังเป็นทีรักใคร่ของฮ่องเต้ และตระกูลเฉิน ตำแหน่งพระชายารองของรัชทายาทก็ยังว่างเว้นอยู่..” ก่อนจะเงยหน้ายิ้มอ่อนหวาน หันไปชนจอกสุรากับฮ่องเต้ และแล้วเวลาก็เริ่มถึงช่วงการแสดงของเหล่าคุณหนูต่างๆเข้ามาทำการแสดงถวายพระพร พอใกล้ถึงเวลาของฉันๆก็ลงไปร่ายรำอย่างอ่อนช้อยงดงาม ตามแบบฉบับที่เรียนมากับกลุ่มนางรำของเฉินกุ้ยเฟย จนไทเฮาพระราชทานของรางวัลมาให้มากมาย หวังฮ่องเต้ก็ตกรางวัล และฮองเฮาขอลูกแมวจากฮ่องเต้มาตกรางวัลให้ฉัน เป็นลูกแมวเปอร์เซียตัวส้มตัวนั้น ฉันนั้นยิ้มแฉ่ง ตาเป็นประกายอย่างลืมตัวก่อนจะรีบก้มหน้ารับลูกแมวมาอุ้มไว้นิ่งๆคุมรอยยิ้มเอาไว้ให้มากที่สุด เป็นที่ขบขันของสามผู้ยิ่งใหญ่แล้วคนในงานได้แต่ยิ้มขำมองหน้ากันแบบรู้ทัน

พิธีปักปิ่น

พริบตาเดียว องค์หญิงก็สู่วัยปักปิ่น 15 ปี เรื่องความงามยิ่งไม่ต้องพูดถึง ดูงามขึ้นผิดหูผิดตา ใบหน้าขาวนวลเนียน คิ้วโค้งงามดั่งกิ่งหลิว ดวงตาที่เคยกลมโตก็เรียวหงส์งดงามยิ่ง จมูกโดงรั้น แก้มอมชมพู ริมฝีปากแดงระเรื่อกับฟันขาว เรือนผมดำคลับดูนุ่นสลวย ผิวกายขาวนวลเนียนราวกับเต้าหู้ ช่างพูดช่างเจรจาออดอ้อน รูปโฉมก็โดดเด่นเหนือใคร หากไม่บอกว่านางเป็นลูกบุญธรรมก็ไม่อยากจะเชื่อ อาจจะเพราะแบบนี้หวังฮ่องเต้จึงเอ็นดู ตามใจนางมาก วันนี้นางแต่งตัวเต็มยศ ยิ่งดูอ่อนหวานน่ารัก แต่ก็ยั่วยวนดังเด็กสาวแรกรุ่น นางนั่งอย่างสง่างามเคียงข้างสหายสนิด ลูกสาวของท่านแม่ทัพใหญ่ และลูกสาวท่านแม่ทัพภาคเหนือหลังจากเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่น.

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป