Your Wishlist

บุปผาสวรรค์นางร้ายข้ามภพ (แม่ค้าตัวน้อย)

Author: หนิงเซียน

ดวงดอกท้อผลิตบานพร้อมกันถึง 3 ดอก ❤️ นี้คือเรื่องราวของภพชาติใหม่ที่ดวงดอกท้อผลิตบานพร้อมกันถึง 3 ดอก ในความใกล้ชิด สายสัมพันธ์ที่ซับซ้อน ซ้อนเร้น พี่ชายแท้ๆชอบน้องสาว และอีกสองบุรุษ กวนเพื่อนรักที่ชอบผู้หญิงคนเดียวกัน ความทรงจำอาจจะเลือนลางเเต่มันจะไม่มีทางหายไป ด้วยว่าการกระทำ และนิสัยของนางหลุดจากกรอบของสังคมปัจจุบันไปมาก บุรุษเพื่อนซี้ทั้งสามคนนั้นมองนางด้วยสายตาที่หลากหลาย ในใจก็มีความคิดที่แตกต่างกันออกไป

จำนวนตอน :

แม่ค้าตัวน้อย

  • 19/04/2564

ตำหนักเหม่ยอวี้

เมื่อร่างเล็กล้มลงบนเตียงนอนใหญ่ที่หนานุ่ม กับหมอนขนเป็ดขนาดใหญ่ที่ทำเองที่ทำเอง 2ใบ อาหนิงกำลังเหม่อมองเพดาน เรื่องของหยางหยางถึงจะเศร้าแต่คนยังมีชีวิตก็ต้องอยู่ต่อไป จะพักโรงเตี๋ยมก็ไม่ใช่ทางแก้ จะให้เข้าวังนี้ก็หนักเลย ในเมื่อคิดไม่ออกก็ลุกขึ้น จุดตะเกียงหยิบกระดาษกันพู่กัน มาระบายความคิดออกไป เขียนไปพักใหญ่ๆก็หยิบมาอ่านดู ก่อนจะเกิดความคิดดีๆ

อาหนิงหยิบกระดาษอีกหลายแผ่น ก่อนจะมาร่างเขียน “แผนขอเงินกู้ เพื่อเปิดร้านอาหาร 12 ชั่วยาม” ใช้เวลาร่างอยู่นาน ก่อนจะยิ้มอย่างพึงพอใจ เก็บของแล้วเตรียมตัวนอน รอให้ถึงเช้าวันใหม่

เช้าวันถัดมา

ฮุ่ยจี่อ ม่อหลัน ก็มาปรนนิบัติรับใช้ตามปกติ และชุดของวันนี้ก็คือสีชมพูอ่อนไล่สีปักดอกไม้งดงามผ้าคาดอกสีขาวดูสะอาดตา ปักปิ่นประดับลายดอกไม้ อาหนิงมองสำรวจตัวเอง ก็ยกยิ้มอ่อนหวานออกมา เอ่ยว่า “เช้านี้ไปหาท่านแม่แล้วข้าจะไปหาเสด็จพ่อต่อเลยก่อนจะไปเรียนร่ายรำ เจ้าให้คนไปแจ้งอาจารย์สอนพิน กับมอบค่าเสียเวลาที่เข้ามาในวังต่างหากด้วย”

“เพคะ” ฮุ่ยจื่อรับคำแล้วถ่อยออกไป ม่อหลันกำลังเลือกปิ่นดอกไม้เตรียมจะปักเพิ่ม เอ่ยว่า “เตรียมขนมไปฝาก 2ตำหนัก มากหน่อยดีไหมเพคะ” ฉันรับคำในลำคอ “อึม”

ตำหนักเฉี่ยนชิง

อาหนิงเดินมาหยุดยืนที่หน้าตำหนักเฉี่ยนชิง มองดูความอลังการในศิลปะยุคโบราณ ที่นี้เป็นของที่พักฮ่องเต้ที่ตกทอดมาหลายต่อหลายรุ่นจนมาถึงยุคปัจจุบัน เห็นแล้วก็อดถอนหายใจไม่ได้ จำได้ว่าวันแรกที่มาถึงที่นี้ก็นอนอยู่บนเตียงมังกรของฮ่องเต้แล้ว ฮ่องเต้หนุ่มเป็นห่วงไป๋หนิงเซียนคนนี้จริงๆ ความรู้สึกตอนที่เขากุมมือนั้นเย็นมาก มันปลอมเหมื่อนสายตาและใบหน้าไม่ได้ ไม่ว่าออดอ้อนอะไรเขาก็รับมุกหมด แถมเขายังดูใจดีผิดปกติ ถ้าหากเทียบกับหนังที่เคยได้ดูมา

สำหรับเขาผู้ชายอายุราวๆ 30-35 ปี ฉันที่เป็นผู้หญิงคนยุคปัจจุบันไม่ถือว่าแก่อะไร เพราะเขาดูแลตัวเองดีมากแถมหน้าตายังดูดีมากอีกด้วย ดูหล่อเหมื่อนนายแบบมีมุมไหนมองว่าแก่บ้าง ฉันยังอดอึ้งไม่ได้ตอนที่ฮุ่ยจื่อกับม่อหลันเล่าในช่วงแรกๆว่า เขามีลูกถึง5คน มีหลานชาย หลานสาวแล้ว นอกจาก รูปหล่อ รวย มีอำนาจแล้ว ก็เข้าใจได้เลยทำไม? สตรีวังหลังต้องแก่งแย่งผู้ชายคนเดียว นอกจากลุ่มหลงในหลายๆความหมายแล้ว สถานที่นี้เมื่อเข้ามาแล้วมันออกไม่ได้ ก็คงต้องแย่งกันเพื่อให้มีที่ยื่น

หลังจากที่ฉันยื่นนิ่ง ปลงตกกับตัวเองเสร็จ ก็ก้าวเข้าไปใกล้ขันทีหน้าห้อง “เสด็จพ่ออยู่หรือไม่? ”

“พะย่ะคะ ให้ขานชื่อเข้าเฝ้าเลยหรือไม่พะย่ะคะ” ขันทีเอ่ยอย่างนอบน้อม อาหนิงพยัคหน้าเบาๆ

ขันทีจึงขานชื่อเสียงแหลม “องค์หญิงหนิงเซียน ขอเข้าเฝ้าพะย่ะคะ” ครู่หนึ่งก็มีเสียงเรียกและจ้าวกงกงก็ออกมารับ

ฉันหายใจเข้าลึกๆก่อนจะก้าวเข้าไปยังตำหนักเฉี่ยนชิง เดินไปเรื่อยๆตามจ้างกงกงนำทาง ก็ถึงห้องทรงอักษร

ห้องทรงอักษร

เมื่อก้าวเข้ามาแล้วอาหนิงก็ทำความเคารพเต็มพิธีการและคุกเขาลง ครู่หนึ่งได้สติแล้วฮ่องเต้ก็เข้าประคองให้ลุกขึ้น ”จะมากพิธีไปใย ลุกขึ้นๆ” เขาเอ่ยเสียงนุ่ม อมยิ้มมองมา ฉันนั้นยิ้มตามเขา ”ไม่ได้หรอกเพคะ วันนี้ลูกมีเรื่องจะปรึกษาและก็..ขออนุญาติด้วย คือว่า..”ฉันนั้นมองหน้าฮ่องเต้ ก่อนจะเอ่ยว่า “ลูกกำลังคิดการใหญ่ ทรงพอมีเวลาครู่หนึ่งไหมเพคะ”

หวังฮ่องเต้นั้นเลิ๊กคิ้วสูง “ลูกมาหาพ่อมีสิ่งใดอยากได้หรือ พ่อฟังอยู่ เล่ามาเถิด” ฉันนั้นได้ยินแล้วก็ยิ้มแป้น ก่อนจะจับมือฮ่องเต้ เงยหน้ามองเขา เห็นเขาไม่ว่าอะไรก็ดึงเขาไปนั่งที่เก้าอี้มังกรตัวเดิม แล้ววางกระดาษลงบนโต๊ะ เอ่ยว่า “นี้เป็นสัญญาขอกู้ยืมเงินเพคะ และแผ่นนี้คือแผนเปิดร้านอาหาร 12 ชั่วยาม ในเมืองหลวงเพคะ” ฉันเห็นสีหน้าเขาไม่เปลียนแปลงอะไรมากนักนอกจากแปลกใจครู่เดียวก็หายไป จึงก็เอ่ยต่อว่า “ลูกอยากมีร้านค้าเป็นของตัวเอง ลูกชอบทำอาหารใจลูกจึงอยากเปิดร้านอาหาร ช่วงเช้าก็เป็นอาหารที่หลากหลาย ช่วงค่ำเหลาสุรา อาหารก็เน้นใช้ตามฤดูกาล และประดับการตกแต่งจานใช้ดอกไม้ให้ดูอ่อนช้อยน่าทาน อาหารมีทั้งของเราเองกับต่างแดน ไม่ว่าจะแดนบูรพา (ญี่ปุ่น) หรือแถบแดนตะวันตก (อังกฤษ) เป็นอาหารประยุกษ์ ใช้วัถุดิบท้องถิ่นของเราเองนำมาประกอบอาหาร” เมื่อเห็นว่ายังเงียบอยู่จึงมองฮ่องเต้และเหลียวมองจ้าวกงกง

แล้วคิดจะขายของต่อไป “ไม่ใช่การละเล่น แต่ลูกคิดว่า ถ้าอยากทำก็ลงมือทำเลยดีกว่า เอาแต่คิดก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ประสบการณ์ชีวิตขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราทำก็เหมื่อนประโยคนั้น ที่ลูกอ่านเจอมา  “คนไม่เก่ง พอจะสอนให้เก่งขึ้นได้ แต่คนไม่ดี ยากมากที่จะทำให้มันเป็นคนดีได้ (จักรพรรดิคังซี พระองค์ทรงมีพระดำริวไว้ *อันนี้ของจริงนะคะ*) ” เพราะฉนั้น..ลูกจึงมาขอปรึกษาเสด็จพ่อก่อนจะทำอะไรลงไป” กล่าวจบนั่งยองๆ เกาะแขนหวังฮ่องเต้ ถูไถไปมาแล้วกระพริบตาปริบๆส่งสายตาออดอ้อนให้หวังฮ่องเต้ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงแผ่วว่า “แล้วลูก..ก็จะมากู้เงินด้วย ถ้าเป็นอย่างที่ลูกคิดไว้ ภายใน 2-3ปี ลูกสามารถคืนเงินได้ ทั้งต้นและดอกเบี้ยเพคะ” เมื่อเห็นว่าหวังฮ่องเต้ยังเงียบอยู่ ก็ใช้ท่าไม้ตาย ยกมือของฮ่องเต้ขึ้นมาแล้วเอามากุมไว้ที่แก้มข้างหนึ่ง เอียงคอแล้วช้อนตามอง “น้า..น้าเพคะ เสด็จพ่อเพิ่งอคติ ใช้คนก็ต้องดูที่ความสามารถ อย่าเพิ่งอคติว่าลูกอายุน้อย ลูกไม่ได้ดูแลเอง ลูกวางคนเป็นหลงจู้ไว้แล้วแต่ต้องฝึกเขา ลูกจะตรวจดูบัญชีด้วยตัวเอง กับคิดเมนูอาหารหลายอย่างเสริมเข้าไป บางอย่างหากไม่เข้าใจ ลูกคิดว่าจะไปปรึกษาหารือกับห้องเครื่อง ให้เขาช่วยสอน ลูกก็จะทำอาหารเป็นหลายๆอย่างด้วยนะเพคะ ออกจะเป็นกุลสตรี ไม่ลองก็ไม่รู้เพคะเสด็จพ่อ”เอ่ยจบก็ยิ้มอ่อนหวานให้หวังฮ่องเต้

สายตานั้นฉายชัดถึงความคาดหวัง ขายของเต็มที่แล้วนะ! หวังฮ่องเต้ก้มมองหน้าฉันครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมองดูเอกสารที่วางบนโต๊ะมือเขาก็ยังถูกฉันกุมไว้อยู่ ไม่ได้ปล่อยมือไปไหน เมื่ออ่านวิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่งก็หันมาก้มมองฉันแล้วพยัคหน้าให้ ฉันนั้นยิ้มแป้นอย่างดีใจ “ขอบคุณเสด็จพ่อมากเลยเพคะ ลูกรักเสด็จพ่อเพคะ” หวังฮ่องเต้ได้ยินแล้วก็อดหัวเราะเสียงดังไม่ได้ ก่อนจะลูบศรีษะหนิงเอ๋อร์อย่างเอ็นดู เรื่องนี้เขามองว่าจะใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก แต่ที่อดตกใจไม่ได้คือ ความคิดของลูกสาวเขาในวัย 8 ปี สิ่งแรกที่คิดจะทำคือการค้า แถมยังมาปรึกษาเล่าสิ่งที่คิดให้ฟังอีกต่างหาก มีหรือคนเป็นพ่อจะไม่สนับสนุน

เขาเอ่ยยิ้มๆ “หนิงเอ๋อร์เจ้ามีร้านที่มองแล้วหรือ ถึงได้มาปรึกษาเราเรื่องเปิดร้าน แถมจำนวนเงินก็ไม่ไม่ใส่ตัวเลขเสียอีก ขีดยาวไว้เท่านั้น”

อาหนิงหน้าสลดลง สายหน้าแล้วเอ่ยว่า ”ก็ตรงนี้ล่ะเพคะที่เป็นปัญหา ลูกมีแต่ความคิดแถมเป็นสตรีในห้องหอจะรู้ได้ยังว่าตรงไหนทำเลดี ไม่ดี เรียกง่ายก็คือ..ซื้อร้านให้หน่อยแล้วลูกผ่อนจ่ายเพคะ” หวังฮ่องเต้ได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมา จ้าวกงกงนั้นก้มหน้าอมยิ้ม “แบบนี้ก็ได้หรือ? ” อาหนิงพยัคหน้าหงึกๆ

หวังฮ่องเต้เห็นลูกสาวแล้วก็ต้องสายหัว ส่งเสียง อึ้ม ในลำคอ ”เจ้ากลับไปก่อน เดียวเราจะดูให้” อาหนิงเงยหน้าขึ้นทันที “ขอบพระทัยเพคะเสด็จพ่อ ลูกขอตัวก่อนนะเพคะ” ก่อนจะย่อตัวแล้วถอยออกไป

หวังฮ่องเต้ขมวดคิ้ว”เจ้าดูสิ! ใช่ได้ที่ไหนกัน”แม้จะกล่าวตำหนิ แต่ปากนั้นยิ้มไม่หุบ ก่อนจะสั่งงานจ้าวกงกง “เจ้าไปตาม เฉินผิงผิง ที่สำนักตรวจสอบมาหาเราที เราอยากได้ร้านอาหารไม่ใหญ่ไม่เล็กให้หนิงเอ๋อร์ซักร้าน โยกคนไปช่วงค่ำที่หนิงเอ๋อร์จะทำเหลาสุรา ต้องมีคนที่เชื่อใจได้อยู่ในนั้นด้วย แล้วอย่าลืมไปดูว่าคนที่หนิงเอ๋อร์ว่างตัวไว้เป็นหลงจู้คือใคร” จ้าวกงกงนั้นรับคำ “พะย่ะคะ” ก่อนถอยออกมาจากห้อง แล้วเดินทางไปยังสำนักตรวจสอบ

โรงเตี๊ยม

อาหนิงนั่งเล่นในศาลาดอกโบตั๋นในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง หยางหยางกำลังอ่านกระดาษแผ่นหนึ่ง อย่างเหงื่อตก อยู่ฝั่งตรงกันข้ามของโต๊ะกลม ในนั้นเขียนอธิบายเป็นข้อๆ ทั้งเปิดร้านอาหาร 12 ชั่วยาม ที่เป็นทั้งเหลาอาหาร และเหลาสุรา แถมยังวางตัวให้เป็นหลงจู้ เขานั้นทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายเป็นแต่อาจต้องรื่อฟื้นเสียหน่อย จะให้แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเขาก็คิดว่าไม่มีปัญหาอะไร การทำการค้าก็ต้องมีปัญหาบ้างอยู่แล้ว แต่ข้อที่ว่า..อ่านภาษาปากออก หมายความว่าอย่างไร?

อาหนิงเห็นหยางหยางวางกระดาษลง ก็เอ่ยว่า “คิดว่าพอจะทำได้หรือไม่ เหลาอาหาร กับเหลาสุรา อาจต้องมีหลงจู้ผู้ช่วยอีกคน หรือสองคน แล้วให้หยางหยางเป็นหลงจู้ใหญ่ คอยคุมงานอีกที คิดว่ายังไง คิดว่าพอจะเรียนรู้ไหวไหมมีข้อสงสัยหรือไม่”

หยางหยางนั้น พยัคหน้าไม่ปฏิเสธ “แต่ที่ว่าให้อ่านภาษาปากออก หมายความว่าอย่างไร? หรือขอรับคุณหนู”

อาหนิงไม่ตอบ แต่กลับมองไปที่ม่อหลันแล้วรับกระดาษมา “ตอนนี้ ข้าจะสอนวิธีทำบัญชีรายรับ รายจ่ายเบื้องต้นให้เจ้าก่อนว่าพอทำได้ไหม? ” ด้วยเพราะความจำของหยางหยางดีมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เลยเรียนรู้ได้ไว เมื่อพอทำได้แล้ว อาหนิงก็พาหยางหยางออกไปหาคนๆหนึ่งในตลาด ทุกคนที่นี้เรียกเขาว่าลุงใบ้ ก่อนหน้านี้ถังถัง กับจือจือ เคยพาอาหนิงมากินขนมตลาดที่นี้ก่อนกลับจวน ทำให้ได้เจอกับลุงใบ้คนนี้เขาโดยบังเอิญ ลุงใบ้อ่านปากคนได้ว่าเขานั้นพูดอะไร แม้จะไม่ได้เอ่ยเสียงเลยก็ตาม อ่านตามรูปปากของอีกฝ่าย และสามารถใช้ภาษามือได้ ลุงใบ้ไม่ได้เป็นใบ้ แต่มีแม่เป็นใบ้ แกมีอาชีพขายซาลาเปาในตลาด อาหนิงจึงจ้างเขาให้สอนวิธีอ่านปากคน และภาษามือกับหยางหยาง ให้หยางหยางกินอยู่ช่วยงานกับลุงใบ้จนกว่าอาหนิงจะมีร้านอาหารจริงๆขึ้นมา

ใจกลางเมืองหลวงฉางอัน

หลายวันผ่านไป หวังฮ่องเต้และคนสนิดนั้นปลอมตัวเป็นสามัญชนออกมานอกวังกับลูกสาว นอกจากมาดูชาวเมือแล้วก็พาลูกสาว มาดูทำเลที่จะเปิดร้านอีกด้วย อาคารหลังนี้หวังฮ่องเต้นั้นคิดราคาไม่แพงให้ 80,000 ตำลึง ซื้อกิจการต่อพร้อมคนและอุปกรณ์ข้าวของ แถมยังอยู่ในทำเลทอง ใจกลางเมืองหลวงฉางอันอีกด้วย เตื่อนไว้ข้อเดียว ให้คนเก่าอยู่เหมื่อนเดิมเพราะเราไปขอซื้อกิจการต่อจากเขามาและในสัญญาก็เขียนเอาไว้ชัด แถมถ้าเราไล่เขาออกพวกเขาก็ไม่มีที่ไป แล้วยังต้องจ้างคนใหม่ มาสอนงานอีกแบบนี้ได้ไม่คุ้มเสีย แถมเจ้ายังเด็กหลงจู้เดิมก็มี จ้างเขาไว้ช่วยงานเจ้าจะได้ศึกษางานไปด้วยสงสัยอะไรก็มีคนคอยถามได้ ก่อนจะยื่นฉโนดที่ดิน และกรรมสิทธิ์ร้านค้าให้ ตอนนี้ในทะเบียนก็เป็นชื่อ ไป๋หนิงเซียน

ก่อนจะเข้าไปในร้านแล้วสั่งของมากินกันสองคนพ่อลูก ก็คุยกันเรื่องเงินกู้ยืม สรุปงานนี้โดนไป 100,000ตำลึง 80,000 ตำลึง ค่าร้าน และยืมเพิ่มอีก 20,000 ตำลึง สำหรับเงินหมุ่นเวียนในร้านทั้งค่าซื้อวัตถุดิบและเงินเดือนของคนงานกับแม่ครัว เงินจำนวณนี้สามารถวางใจได้สบายๆถึง1ปีกว่า ก่อนกลับอาหนิงก็เรียกหลงจู้เข้ามาพูดคุยในห้องเป็นการส่วนตัว ฮ่องเต้นั่งจิบชาดูลูกสาวตัวน้อย..

“ไม่ทราบว่าหลงจู้ชื่ออะไรหรือเจ้าค่ะ ข้าชื่อหนิงเซียน เรียกอาหนิงเฉยๆก็ได้เจ้าค่ะ ข้าคิดทำการค้าจริงจังนะเจ้าค่ะ ไม่ได้ทำเล่นอาจมีหลายอย่าที่ไม่เข้าใจก็ต้องให้หลงจู้แน่นำด้วยนะเจ้าค่ะ” หลงจู้นั้นรีบเอ่ย "มิกล้าๆขอรับ"

“ข้าน้อยชื่อ เซียวเซียนเหยา ขอรับคุณหนู”ท่าทางเกรงใจยิ่ง

“ปกติคนที่ร้านเรียกหลงจู้ว่าอะไรหรือเจ้าคะ ข้าจะได้เรียกถูก”

หลงจู้เหยา ขอรับคุณหนู”อาหนิงพยัคหน้า เอ่ยต่อว่า “ข้าขอให้ท่านพ่อช่วยเหลือเรื่องร้านอาหารเพราะคิดจะพัฒนาเพิ่มเติมเป็นเหลาอาหารตอนช่วงเช้า ช่วงค่ำก็เป็นเหลาสุรา อาจมีการเปลียนแปลงแบบนี้ในอีก 2-3ปี ข้างหน้าอยากให้หลงจู้เหยาช่วยคุยกับคนที่ร้าน ค่อยๆปรับตัวกัน แล้วเข้าใจแนวทางของร้านที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเร็วๆนี้ อ้อ อีกอย่างแต่อีกซัก2อาทิตย์ข้าจะฝากหลงจู้เหยาช่วยสอนงานให้เด็กคนหนึ่ง ข้าวางตัวเขาเป็นหลงจู้ช่วงเช้า ท่านสอนงานเขาเต็มที่ได้เลยนะเจ้าค่ะ เสมือนเขาเป็นหลงจู้ผู้ช่วยของท่าน ก่อนส่งมอบงานต่อให้ในอีก2ปีข้างหน้า ส่วนหลงจู้เหยา ขอให้ท่านช่วยดูแลช่วงค่ำเหลาสุราในอนาตคด้วยนะเจ้าคะ” หลงจูแหยาได้ยินดังนั้นแล้วก็มีความคิดการค้ามากมายผุดออกมา ก่อนจะเอ๋ยรับคำขยันขันแข็ง “ขอรับคุณหนู” หวังฮ่องเต้มองดูลูกสาวสั่งการเหมื่อนผู้ใหญ่ตัวน้อยๆ ก็อดอมยิ้มออกมาไม่ได้ รีบคว้าถ้วยน้ำชามาบังไว้กลัวลูกสาวเห็นแล้วจะเสียความมั่นใจไป ก่อนจะพากันกลับวังหลวง ขากลับก็ให้จ้าวกงกงไปส่งหนิงเอ๋อร์ที่ตำหนักเหม่ยอวี้แทนเขา.

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป