Your Wishlist

บุปผาสวรรค์นางร้ายข้ามภพ (กินข้าวกับคนใหญ่คนโต)

Author: หนิงเซียน

ดวงดอกท้อผลิตบานพร้อมกันถึง 3 ดอก ❤️ นี้คือเรื่องราวของภพชาติใหม่ที่ดวงดอกท้อผลิตบานพร้อมกันถึง 3 ดอก ในความใกล้ชิด สายสัมพันธ์ที่ซับซ้อน ซ้อนเร้น พี่ชายแท้ๆชอบน้องสาว และอีกสองบุรุษ กวนเพื่อนรักที่ชอบผู้หญิงคนเดียวกัน ความทรงจำอาจจะเลือนลางเเต่มันจะไม่มีทางหายไป ด้วยว่าการกระทำ และนิสัยของนางหลุดจากกรอบของสังคมปัจจุบันไปมาก บุรุษเพื่อนซี้ทั้งสามคนนั้นมองนางด้วยสายตาที่หลากหลาย ในใจก็มีความคิดที่แตกต่างกันออกไป

จำนวนตอน :

กินข้าวกับคนใหญ่คนโต

  • 19/04/2564

ศาลาข้าง ตำหนักเหม่ยอวี้

สายลมพัดโชย บุปผาผลิบาน ในศาลาเล็ก กำลังมีเสียงเจื้อยแจ้ว ชวนคุยดังอย่างต่อเนื่อง ของดรุณีตัวน้อย กับ 2 นางกำนัลคนสนิด

ผ่านมาหลายวันแล้วที่ฉันก็ยังคงอยู่ที่นี้ เริ่มเข้าใจข้อปฏิบัติ และการวางตัวเวลาอยู่ในวังหลัง ฉันเริ่มต้นไปหาเฉินกุ้ยเฟย คารวะตามทำเนียม เฉินกุ้ยเฟยนั้นสะสวย ผิวขาวอมชมพู อ่อนเยาว์ ดูใจดี อายุประมาณ20กว่าๆ ชอบร้อยมาลัยถวายพระเป็นงานอดิเรก แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถตั้งท้องได้ และเท่าที่ได้ยินฮุ่ยจี่อเล่าให้ฟัง เฉินกุ้ยเฟยเป็นคนฝ่ายฮองเฮา หวังฮ่องเต้นั้นเป็นคนมีลูกยาก และมีลูกชาย5คน ไม่มีลูกสาว พอรับฉันมาเลี้ยงก็กลับมาโปรดรานชมชอบเฉินกุ้ยเฟยอีกครั้ง คุยเรื่องทั้วไปเล็กน้อยก็พาฉันไปหาฮองเฮา และนี้เป็นครั้งแรก ที่ได้พบฮองเฮาของที่นี้ ความสวยสู้สีกับ เฉินกุ้ยเฟย แถมได้ของพระราชทานเล็กๆน้อยๆ รับขวัญหลังจากหายป่วยอีกต่างหาก ใกล้เทียงก็ขอตัวลา ระหว่างทางก็พบฮ๋องเต้เสด็จมาพอดี และนี้ก็เป็นครั้งแรกที่ฉันได้นั่งโต๊ะร่วมกินข้าวกับคนใหญ่คนโตที่สุดในยุคนี้

แต่สถานภาพปัจจุบันนี้หากเรียกแบบปกติ คือ ได้รับการยือหยุ่นอย่างมาก หากเรียกให้แย่ซักหน่อย คือ ไม่ค่อยมีบทบาทตัวตนมากนักแต่ก็เข้าใจได้ เป็นแค่ตัวนนำโชคของฮ่องเต้เท่านั้น แม้จะไม่ได้รับการละเลย หรือโดนลดเงินเบี้ยหวัดตามตำแหน่งแล้ว อาหารการกินทุกอย่างก็ล้วนสบายดี แถมยังให้ไปเรียนที่สำนักหงส์อี ซึ่งเป็นสำนักศึกษาหญิงชื่อดังในฉางอันอีกด้วย

หลังจากที่ หมอหลวงมาตรวจดูอาการเสร็จ พยัคหน้าอย่าพึงพอใจ เพราะช่วงหลายวันที่ผ่านมานั้นฉันไม่มีปัญหาการกินยายาก เหมือนในสมัยก่อน ไม่ว่าจะยาต้ม ยาบำรุง ก็ล้วนแต่กินได้หมด

ช่วงบ่ายๆของวันนั้น เหอมามา คนสนิดของเฉินกุ้ยเฟย ก็แจ้งข่าวว่า ฉันหายป่วยแล้วสามารถกลับไปเรียนได้ตามปกติเพื่อฟื้นฟูความทรงจำ จึงมอบหนังสือกฏระเบียบวังหลังที่เคยขอไว้ เอามามอบให้ด้วยแต่ต้องอ่านตำราเรียนเป็นอันดับแรก หากติดขัดไม่เข้าอะไรก็ให้มาถามได้

เช้าวันถัดมา ฮุ่ยจี่อ ม่อหลัน ก็มาปรนนิบัติรับใช้ตามปกติ และชุดของวันนี้ก็คือชุดนักเรียนของสำนักศึกษาสตรี ขาวขลิบแดงลายดอกไม้ปักด้วยด้ายชมพู ของสำนักหงส์อี ที่นั้นก็มีฝั่งตรงกันข้ามเป็น สำนักซังอี เป็นสำนักศึกษาชายเก่าแก่ที่สุด ขุนนางมีชื่อหลายคนจบจากที่นั้น มีสอนทั้งบุ๋น บู้ ชุดนักเรียนของสำนักศึกษาชายจะเป็น ขาวขลิบน้ำเงินปักลายเมฆด้ายสีฟ้า ฉันพยัคหน้าอย่างพึงพอใจ เมื่อสำรวจความเรียบร้อยหน้ากระจก ผิวขาว นุ่มนิ่มเหมื่อนเต้าหู้ (ช่วงนี้กินยาบำรุง และนมก่อนนอนอยู่ทุกวัน)   คิ้วโค้งงามดั่งกิ่งหลิว ตาหวาน แก้มยุ้ย ริมฝีปากแดงเล็กได้รูป ฟันขาว ม่อหลันนั้นมีฝีมือในการ ทำผม แต่งตัวอย่างมาก จับฉันแต่งนู้น เติมนี้เหมื่อนเล่นแต่งตัวตุ๊กตา

บนรถม้า

จู่ๆก็นึกขึ้นได้ ละสายตาจากถนนที่ครึกครื่นยามเช้า ผู้คนนั้นพลุกพล่าน เอ่ยถามว่า “ข้าอยากรู้ที่สำนักศึกษานี้เขาเรียน อะไรกันบ้างหรอ? หรือเมื่อก่อนข้าเคยเรียนอะไรบ้างแล้วข้ามีเพื่อนบ้างไหม? ”

“ก็เรียนพื่นฐานทั้วไป ไม่ว่าศาสตร์หรือศิลป์เพคะ ส่วนเพื่อน..เอ่อ..บ่าวไม่ทราบ ยังไม่เคยได้ยินองค์หญิงเล่าให้ฟังเพคะ” ม่อหลันตอบและฮุ่ยจื่อเห็นฉันขวมดคิ้วก็อธิบายเพิ่มเติม “หลักสี่คุณธรรม สามคล้อยตาม และศาสตร์กับศิลป์ที่ใช้ในการอบรมกุลสตรีชั้นสูงเพคะ” ฉันได้ยินแล้วก็เงียบไปครู่หนึ่ง พอจะสรุปคราวๆได้ ค่านิยมพื้นฐานที่นี้ก็ยึดหลักของ ขงจื้อ ถูกอบรมภายใต้คำสอนเดียว “หลักสี่คุณธรรม สามคล้อยตาม”ง่ายๆคือ จริยะของสตรี นั้นเอง จะให้มาเป็นหญิงงามสุภาพเรียบร้อย เชื่อฟังคำสั่งบิดา และสามี ฉันนึกภาพตัวเองที่เป็นแบบนั้นไม่ออก?!? พอมาคิดๆ ดูแล้วเนี่ย ถ้าเอาหญิงสาวในยุคปัจจุบันอย่างฉันไปเปรียบเทียบคุณสมบัติของผู้หญิงยุคโบราณแล้วนั้น ฉันที่อยู่ในยุคนี้ได้กลายเป็นกุลสตรีที่ไร้การอบรมไปเลย

หน้าประตูสำนักศึกษาสตรี

รถม้านั้นต่อแถวกันยาว และผู้คนพลุกพล่านเป็นที่สุด ทั้งซ้าย และขวา ดูครึกครื่น ไม่ว่าจะร้านอาหาร แผงลอยพู่กัน หรือเครื่องเขียนต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่เครื่องประดับแปลกตาเล็กๆน้อย ก็ยังมีให้เลือก

“นี้เพคะ กระเป๋านักเรียน กับข้าวกลางวัน พวกอาจารย์ทราบแล้วองค์หญิงป่วยความจำเสื่อม แต่อ่านออก เขียนได้ การเรียนก็ไม่น่าจะเคร่งเครียดมากไม่ต้องฝืน ตอนเลิกเรียนแล้วพวกบ่าวจะมารอรับเพคะ” ม่อหลันส่งยิ้มตาหยีเป็นกำลังใจมาให้

ฉันกับฮุ่ยจื่อลงจากรถม้าก็เห็น อาจารย์อยู่หน้าสำนักศึกษาคอยดูแลเด็กยามเช้า เมื่อฉันทำความเคารพเดินเข้าสำนักศึกษาฮุ่ยจื่อก็พาไปที่ห้องเรียน ที่นี่อนุญาติให้นักเรียนมีบ่าวได้ 1คน จะมีหรือไม่มีก็ได้ ฮุ่ยจื่อมีหน้าที่ฝนน้ำหมึก

ผ่านคาบเช้ามาแล้วฉันรู้สึกก็โชคดีอยู่บ้าง บทเรียนของเด็ก 8 ขวบก็ไม่ยากนัก แต่บางอย่างก็เดาไม่ได้ อย่างพวกกลอน ยิ่งแต่งกลอนสดแล้วนั่น ฉันพูดคำเดียวว่า “ขอผ่าน” กับเล่นพิน ฉันก็นั่งเฉยๆ พอพักกินข้าวเสร็จฉันก็ถือโอกาสเดินสำรวจไปรอบๆกับฮุ่ยจื่อ เท่าที่รู้สึก ฉันไม่มีเพื่อน ไม่ว่าจะตอนนี้ หรือเมื่อก่อนหน้านี้ก็ตาม

ใจฉันก็เข้าได้นะ ถ้าหากเมื่อก่อนเจ้าของร่างยิ้มแย้ม ร่าเริ่งสมวัยก็น่าจะมีเพื่อนเป็นธรรมดา แต่พอมาเป็นฉันแล้ว เห็นการจับกลุ่มพวกใครพวกมันแบ่งตามในสังคมชนชั้น อวดนั้น โชว์นี่ เจ้าของร่างก็คงตัดปัญหากับพวกที่หัดประจบตั้งแต่ยังเด็กไม่อยากยุ่งด้วย ถึงจะมีฐานะในนามเป็นองค์หญิง แต่ก็ไม่ใช่องค์หญิงจริงซ่ะหน่อย เจ้าของร่างเดิมคงใช้ชีวิตเรียบง่าย เจียมตัว สังเกตุจากเพื่อนร่วมห้องเรียน ที่ไม่มีใครมายุ่งกับฉัน เวลาเล่นต่อกลอนรอบห้อง ฉันทำไม่ได้ ขอผ่าน ฉันก็เห็นเด็กพวกนี้ส่งสายตาให้กัน ไม่กล้าขำหรือแซ่วอะไรต่อหน้า และวิชาดนตรีกับวิชาอื่นๆที่ฉันทำไม่ได้ก็เช่นกัน..ก็เข้าใจได้นะ ฉันเป็นเด็กกำพร้าที่ราชวงค์เลี้ยงดู

ระหว่างเดินห่างไปจากที่คนพลุกพล่าน ไปตามทางเดินริมป่าไผ่ข้างทางที่สงบเงียบ ก็เห็นมุมหนึ่งมีเด็กสาวสองคนกำลังย่อตัวสุ่มหัวมุ่งดูอะไรซักอย่าง อยู่ในพุ่มไม้ฉันก็อดอยากรู้ตามเข้าไปดูด้วยไม่ได้ อ้อ ลูกแมวนี้เอง “ที่นี้เลี้ยงแมวได้หรอ? ” เด็กสาวสองคนตกใจสะดุ้งโหย่ง หันหน้ามองฉันเป็นตาเดียว มือนั้นยังถือถ้วยนมเล็กๆ “เอ่อ..เอ่อ..ข้าว่ามันน่าสงสาร” เอ่ออยู่นานสองนาน อีกคนหนึ่งทนไม่ไหวก็พูดแทรกว่า “พวกเราเห็นมันอยู่แถวนี้ ดูท่าจะป่วย..ก็เลยเอานมมามันกินให้” ฉันพยัคหน้าเห็นด้วยเอ่ยว่า “ก็จริง นี้ช่วงหน้าหนาว มันตัวเล็กนิดเดียวเอง” ส่งเสียงในลำคอ อึมมมมม ก่อนจะเอียวไปข้างหลังคว้าชุดกันหนาว และเดินออกไป ตามหาเถาวัลย์กับกิ่งไม้ไม่เล็กไม่ใหญ่ มา4ท่อน กวักมือเรียกสองสาวให้มาช่วยกันทำกระโจมให้แมวแบบง่ายๆ สองสาวมองนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเข้ามาช่วยกันสร้างกระโจมให้แมว เมื่อผูกได้เสาแล้วก็ช่วยกันจัดเสื้อกันหนาวให้เข้าที่เข้าทางเป็นบ้านชั่วคราวของแมวไว้หลบลมหนาว ฉันยิ้มตาหยีและแนะนำตัว “ข้าอาหนิง ป่วยมานาน พอกลับมาเรียนก็ไม่มีเพื่อนแล้ว ขอเป็นเพื่อนด้วยคนได้ไหม? ” เด็กสาวสองคนนั้นหันมองกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมาพยัคหน้า แนะนำตัว “ข้า ถังถัง ส่วนนี้ จือจือ” เอ่ยจบก็ยกยิ้มขึ้น ฉันนั้นชวนพวกเขาคุยเล่นกันก่อนจะลูบหลังลูกแมวอย่างอาลัยอาวรณ์คนละที สองที และกลับไปเข้าเรียนคาบบ่าย.. ฉู่เหวินถัง หรือ ถังถัง ลูกสาวคนที่2ของจวนแม่ทัพภาคเหนือ และ มู่หรงจือ หรือ จือจือ ลูกสาวคนที่3ของจวนแม่ทัพใหญ่ สองคนนี้สนิดกันตั้งแต่เด็กเพราะรุ่นพ่อ รุ่นแม่สนิดกัน แถมนิสัยก็ แก่นแก้ว ซุกซน ชวนให้ปวดหัวเหมื่อนๆกัน เป็นที่เลืองชื่อของคณะอาจารย์ ฉันนั้นเป็นคนคุยเก่งถามนู้นถามนี้ตลอด ถังถัง กับจือจือ ก็ซุกซน รู้ทุกที่ในฉางอัน ร้านไหน อร่อย ไม่อร่อย บอกได้หมด พวกเราคุยถูกคอเข้ากันได้เป็นอย่างดี จริงๆก็เรียนห้องเดียวกันแต่แค่ไม่เคยคุยกันเท่านั้นเอง

หน้าประตูสำนักศึกษาสตรี

อาหนิงเดินมาหยุดอยู่หน้าสำนักศึกษา รำลาส่งถังถังกับจือจือขึ้นรถม้าแล้ว ก็มองรอบข้างเวลานี้มีนักเรียนทั้ง 2 สำนักบ้างเดินซื้อของ บ้างก็นั่งรถม้ากลับ เห็นแล้วก็รู้สึกคิดถึงบรรยากาศเลิกเรียนสมัยก่อนของตัวเองไม่ได้ ก่อนถอนหายใจยาวออกมาหมุนตัวเดินไปหารถม้าของตัวเอง

ระหว่างทางกลับวังหลวงฉันเปิดม่านดูบรรยกาศสองข้างทาง และก็ต้องสะดุดบนร่างของเด็กชายแรกรุ่นคนหนึ่ง ที่ใส่เสื้อผ้าแม้จะไม่สะอาดแต่ก็ไม่สกปรก คุกเขาบนถนนพร้อมกับป้ายขายตัว 50 ตำลึงและด้านข้างก็มีร่างไร้ลมหายใจ 2ร่าง ฉันเห็นแล้วใจก็รู้สึกกลัวขึ้นมา ในหัวก็รู้สึกแย่กับพฤติกรรมการวัดค่าคนด้วยชนชั้น หรือถูกขาย-ขายตัวเองให้เป็นทาส ฉันอาจจะมองในมุมของตัวเองมากเกินไป อยางเด็กคนนี้เขาก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่มีทางเลือก ฉันตัดสินใจแล้วเอ่ยว่า “หยุดรถก่อน” เมื่อลงไปดูก็พบว่า เด็กคนนี้ ผิวขาวซีด ใบหน้าไร้อารมณ์ สายตาไร้แวว ดูสิ้นหวังและท้อแท้ ละสายตาแล้วก็มองร่างทั้งสองถึงได้รู้ว่า น่าจะศพแม่ กับ ยาย เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นกับเรื่องอะไรแบบนี้ เด็กคนนี้ขายตัวเองอยู่ริมถนนหาเงิน เอามาจัดงานศพแม่ กับ ยาย ค่าตัว 50 ตำลึง ชีวิตคนในยุคโบราณมีค่าแค่นี้เองหรือ..

ฉันเดินเข้าไปใกล้ เอ่ยว่า “ขายตัวให้ข้าดีหรือไม่” ฮุ่ยจื่อ กับม่อหลัน มองหน้ากัน ก่อนจะเดินตามฉันไป เมื่อได้ยินที่ฉันเอ่ยก็ส่งสายตาห้ามปราม

“...” เด็กผู้ชาย เงยหน้ามาช้าๆ ฉันส่งยิ้มให้เอ่ยต่อว่า “อืม ว่าไงยินดีหรือไม่” แล้วยื่นมือขาวผ่องเล็กๆส่งไปให้

เด็กผู้ชายพูดเสียงแหบแห้งว่า “ข้าน้อย ไม่อาจให้คุณหนูแปดเปื้อนได้ ข้าน้อยลุกขึ้นเองได้ขอรับ ค่าตัวข้าน้อย 50 ตำลึง ขอเวลาแค่3วันจะมารับใช้คุณหนูขอรับ”

ฉันมองเขานิ่ง ส่งสายตาอ่อนโยน ไร้เดียงสาให้ก่อนจะยกยิ้มขึ้นแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรข้าไม่รีบ ข้าจะไม่ถามชื่อเจ้า แต่ข้าจะตั่งชื่อให้เจ้าใหม่ ต่อไปนี้เจ้ามีชื่อว่า เซี่ยหยางอวิ่น หรือ หยางหยาง เจ้าอายุเท่าไร? ”

“ข้าน้อยอายุ 14 ปี ขอรับ” เอ่ยอย่างนอบน้อม อาหนิงพยัคหน้า

“เจ้าไปจัดการงานศพให้เสร็จตามประเพณีก่อนค่อยกลับมาหาข้า ข้าเรียนอยู่ที่สำนักศึกษาหงส์อี” ว่าแล้วก็เอื้อมมือปลดปิ่นประดับซักอันบนศรีษะมอบให้ เอ่ยต่อว่า “ปิ่นนี้เจ้าเก็บไว้ หากวันที่มาหาข้าค่อยเอามาคืน ข้าชื่ออาหนิงและนี้เงิน 150 ตำลึงข้าขอตัว” กล่าวจบก็หมุ่นตัวเดินกลับไปขึ้นรถม้า

บนรถม้า

ฮุ่ยจื่อ ม่อหลัน มองหน้ากันเหมื่อนมีเรื่องอยากพูด อาหนิงเห็นแล้วก็ยกยิ้มมุมปากเอ่ยว่า “มีเรื่องอะไร จะพูดก็พูดมา พวกเจ้าก็รู้พูดตรงๆกับข้าเลย อ้อมมากไปข้าไม่เข้าใจ”

ฮุ่ยจื่อกล่าวทันที “แบบนั้นจะดีหรือเพคะ” ก่อนจะขมวดคิ้ว

ฉันยิ้ม“ดีสิ ช่วยคนเราก็ทำแต่พอดี ไม่ให้ตัวเองเดือดร้อน อีกอย่างก็เห็นนิเขาลำบากขนาดนั้น”

ม่อหลันพยัคหน้า “แต่แบบนี้พอเด็กนั้นมาจริง องค์หญิงจะทำยังไงเพคะ หรือจะให้เป็นขันที? ”

ฉันมองหน้าม่อหลันแล้วอดยิ้มขำไม่ได้ “แค่อยากช่วยคน ส่วนจะมา ไม่มาก็อีกเรื่องหนึ่งค่อยไว้คิดวันหลังเถอะ”

ตำหนักเฉียนชิง กลางดึกในห้องทรงอักษร

หวังฮ่องเต้หลังจากสะสางฏีกาเสร็จไปบางส่วนก็ถามไถ่ การไปสำนักศึกษาวันแรกของลูกสาว เมื่อทราบข่าวแล้วก็ยกยิ้มอย่างพึงพอใจ อดจะเอ่ยไม่ได้ว่า “การป่วยครั้งนี้ก็ไม่แย่ซ่ะทีเดียว เจ้าว่าไหม? ” ดวงตานั้นฉายชัดถึงความอบอุ่น อ่อนโยน

“พะย่ะคะ” จ้าวกงกง พยัคหน้ารับมีรอยยิ้มประดับที่มุมปาก ก่อนจะรินชาส่งให้ฮ่องเต้.

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป