Your Wishlist

เล่ห์รักดวงหทัย [Yaoi] (ตอนที่ 4)

Author: สาววายไตพัง

ชายผู้เปรียบดั่งแม่ทัพ องอาจห้าวหาญ ศัตรูทุกผู้เหล่าต่างหวั่นเกรง แต่หนนี้หลังจากจบศึก ผลกลับกลายเป็นแพ้สงครามถูกจับตัวเป็นเชลยศึก ถูกบุรุษสูงศักดิ์ผู้เป็นถึงอ๋องจอมมารย่ำยี ข้าหรือจะยอมมีชีวิตทนต่อไปได้ ถ้าไม่หนีก็ขอตายเสียดีกว่า!!

จำนวนตอน :

ตอนที่ 4

  • 11/07/2564

ณ แคว้นเหวินฉิน

 

เหมันต์ฤดูกาลยังคงพัดพริ้วไหว ตามกระแสลมเคลือบคลานมิบางเบาลง คลื่นพายุพัดโหมกระหน่ำถาโถมเคลื่อนตัวเข้ามามิเบาบาง เกล็ดหิมะแผ่กระจายร่วงหล่นปกคลุมทั่วพื้นดินสีขาวโพลน เหล่าสรรพสัตวืต่างล้วนจำศีลเพื่อให้ข้ามผ่านค่ำคืนฤดูกาลอันเหน็บหนาว ทุ่งหญ้าอันเขียวขจียามวสันต์ฤดูกาลกลับหลอมรวมกลายเป็นเพียงเกล็ดน้ำแข็งที่กักเก็บความเขียวขจีไว้ภายในเพื่อข้ามพ้นเหมันต์ฤดูกาล

 

หมู่เหล่ามวลพฤกษาที่แย้มกลีบเชิญชวนมวลหมู่เหล่าแมลงให้หลงเข้ามาในดงพฤกษาบานสะพรั่งด้วยกลิ่นหอมหวาน ยามนี้กลีบหุบลงถูกน้ำแข็งหลอมรวมกักเก็บความงามนั้นเพื่อคงความงามเป็นนิรันดร์ มิอาจร่วงโรยตามกาลเวลา

 

ถัดมาพ้นข้ามทิวภูผา กองทหารม้าเหยียบย่างฝีเท้าอันหนักแน่นดุดหินผา เพื่อไต่ปีนจนถึงยอดภูผาอันสูงส่ง 

 

นัยน์ตาคู่สวยเรียวคมหวานของแม่ทัพหลิ่งเฟย เพ่งพินิจที่แผ่นที่เส้นทางในมือ ที่หยิบออกมาจากด้านในอกเสื้อ ก่อนจะใช้ปลายนิ้วชี้จรดไล่ดูจุดที่ยืนอยู่ และจุดหมายปลายทางอีกเพียงครึ่งระยะทาง

 

" ไป!! " แม่ทัพหลิ่งเฟยเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าสีหน้าเรียบเฉย คล้ายกับไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น เพียงแค่สบตากับเหยียนซิ่วใบหน้านิ่งเรียบแปรเปลี่ยนเริ่มออกสีแดง ก่อนขยับมือเฆี่ยนก้นอาชาให้วิ่งต่ออย่างรวดเร็ว

 

" ท่านหลิ่งเฟย คงอยากจะรีบเร่งกลับถึงเมืองหลวง " รองแม่ทัพหลี่หยาง กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะควบอาชาให้วิ่งตามไป

 

อ๋องปิงหยาง และ องค์รักษ์หมิงซิน ซึ่งอยู่ในคราบของชุดอาภรณ์ชาวบ้านสวมคลุมเสื้อผ้าหนา ๆ เพื่อความอบอุ่น รีบเร่งเคลื่อนอาชาให้ขยับกีบเท้าวิ่งตามไป รวมถึงกองกำลังทหารอาชาที่วิ่งติดตามอยู่เบื้องหลัง

 

อ๋องปิงหยางกลับหวนคำนึงถึง เหตุใดที่ทำให้คนงามอย่างแม่ทัพหลิ่งเฟยกลับมีสีหน้าเรียบเฉย แต่เมื่อสบตาเมื่อครู่ใบหน้าแปรเปลี่ยนเกิดสีแดงระเรื่อยดั่งลูกพลับยามสุกงอม เมื่อนึกถึงเพียงนั้นก็ทำให้ปรากฏรอยยิ้มผุดลงบนริมฝีปากอย่างชัดเจน พลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี 

' น่ารักเสียจริง เฟยๆของข้า '

 

" ท่านอ๋อง เช้าวันนี้เหตุอันใด ทำให้ท่านถึงมีความสุขเช่นนี้พะย่ะค่ะ " องค์รักษ์หมิงซินเอ่ยกระซิบด้วยเสียงอันแผ่วเบา ที่พอให้ได้ยินกันเพียงสองคน

 

" ข้ากำลังจะมีชายา " อ๋องปิงหยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะขยับเร่งฝีเท้าตามอาชาคู่ใจของแม่ทัพหลิ่งซิน โดยทิ้งให้องค์รักษ์คนสนิทอย่างหมิงซินตีความหมายว่าเมื่อคืนเกิดเหตุอันใดขึ้น 

.

.

.

 

แสงอรุณยามเช้าแรกแย้ม ทอประกายแสงอร่ามทั่วท้องนภา ท่ามกลางอากาศเหน็บหนาว ละอองเกล็ดหิมะร่วงหล่นโปรยปรายไม่ขาดช่วง พัดพาลมหนาวเข้าแทรกลอดผ่านมาทางหน้าต่าง 

 

ร่างหนึ่งหันหน้าขดตัวชิดผนังห้อง รวมถึงผ้าห่มที่ห่อหุ้มร่างกายราวดักแด้ ถัดมาคือร่างผอมบางที่นอนขดตัวรวมถึงแขนและเรียวขาที่เกี่ยวตวัดกอดร่างอันแข็งแกร่ง เพื่อหลบความเหน็บหนาวจนล่วงเลยมาถึง เช่นเดียวกับร่างของอ๋องปิงหยางที่ใช้แขนอันแข็งแกร่งข้างหนึ่งแทนดั่งหมอนหนุนหัวให้ร่างหลิ่งเฟยที่กอดกระชับร่างของตนแนบแน่น มืออีกข้างก็วางกอดกระชับลงบนเอวเรียวบางเพื่อให้ความอบอุ่น ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน

 

นัยน์ตาคู่เรียวคมสวยเริ่มขยับเปลือกตาขึ้นลง แม่ทัพหลิ่งเฟยแม้จะรู้สึกถึงยามเช้า แต่ก็ยังอดรู้สึกอยากขดตัวซบความอบอุ่นนี้ นิ้วมือเรียวลูบคลำว่าอดขิ้วขมวดบนใบหน้าไม่ได้ว่า เหตุใดผ้านวมผืนนี้ที่เขากอดนี้ถึงแข็งแน่น ก่อนจะค่อย ๆ ลืมนัยน์ตาคู่เรียวคมหวานเพื่อปรับระยะความชัดเจน ก่อนจะพบว่าหมอนหนุนศีรษะ รวมถึงผ้านวมที่สวมกอดนี้แท้จริง แล้วคือร่างกายของเหยียนซิ่นที่กำลังนอนไม่รู้สึกตัว  

 

นิ้วมือแขนและเรียวขาที่พาดสวมกอดอย่างถือวิสาสะจึงต้องค่อยรับเขยิบตัวออกหนี เริ่มจากเรียวขาที่เกี่ยวพาดแข้งขาทั้งสองข้างของเหยียนซิ่ว ค่อยเขยิบออกอย่างช้า ๆ เพื่อระวังไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว ตามด้วยแขนขาวเรียวงามที่ค่อย ๆ ยกขึ้นออก ใบหน้าของแม่ทัพหลิ่งเฟยที่ตื่นตระหนัก รวมถึงเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นบนหลังมือ เริ่มผ่อนคลายเมื่อพบว่าคนที่ตนใช้สวมกอดดั่งหมอนข้างเพื่อหลบความหนาวทั้งคืน ยังไม่รู้สึกตัว ก่อนจะค่อยไปยกศีรษะตนบิดตัวลุกออก

 

แต่ทันใดนั้นมืออันแข็งแกร่งของเหยียนซิ่วกลับดันร่างของแม่ทัพหลิ่งเฟยเข้ามาสวมกอดที่ใต้ร่างดั่งเดิม แม่ทัพหลิ่งเฟยที่ทำอะไรไม่ถูก อยากจะผลักร่างกายตนลุกหนีก็กลัวอีกคนตื่น แต่จะให้อยู่ท่าแบบนี้ก็คงไม่ดี เมื่อคิดได้ดั่งนี้ก็หวั่นวิตก รวมถึงหัวใจที่สั่นไหว แม่ทัพหลิ่งเฟยจึงตั้งสติคิดวิธีออก โดยการดันร่างของตนออกจากการถูกสวมกอดช้า ๆ 

และทำให้ร่างของตนกลิ้งออกมาเกือบตกจากที่นอน 

 

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ รวมถึงการกระทำตกอยู่ในสายตาของอ๋องปิงหยางที่แอบยิ้มหัวเราะชอบใจ อันที่จริงอ๋องปิงหยางรู้สึกตัวมาสักพักแล้ว จึงปล่อยให้แม่ทัพหลิ่งเฟยใช้ร่างของตนแทนหมอนหนุน มือเรียวหนาพลางลูบไล้ใบหน้าของแม่ทัพหลิ่งเฟยอย่างบรรจงเบามือ ก่อนที่นิ้วจะสัมผัสลงที่ริมฝีปากเรียวบางแตกแห้ง จากความหนาวที่เย็นเฉียบ นัยน์ตาเรียวคมราวดั่งดุจพญาอินทรีย์ ทำได้เพียงหยุดการกระทำและจดจ้องมองด้วยความหลงใหล ทว่าไม่นานคนร่างบางก็เริ่มรู้สึกตัวเสียก่อน จึงต้องแกล้งหลับตาเพื่อรอดูปฎิกริยาหลังจากนั้น

 

.

.

.

 

เพียงแค่สามชั่วยาม เสมือนเพียงชั่วอึดใจของกองกำลังทัพไพร่พลทหาร ที่ฝ่าฝันพายุโหมกระหน่ำความเหน็บหนาวที่ไม่มีทีท่าจะเบาลง จวนจนเดินทางมาถึงยังประตูใหญ่ จุดศูนย์กลางของเมืองหลวงแห่งแคว้นเหวินฉิน

 

ประตูเหล็กบานสีแดงสองข้าง มีทหารยืนเฝ้าขนาบข้างละสองคน บางส่วนกระจายกันเดินสำรวจตรวจตราโดยรอบ 

 

ทหารนายหนึ่งซึ่งเฝ้าอยู่ทางประตูเมื่อเห็นกองกำลังทัพไพล่พลทหารก็ส่งสัญญาณเตือนโดยการผิวปาก เหล่าทหารที่เดินสัญจรตามที่ต่างๆเริ่มมารวมตัวกันยืนกั้นทางเข้า จวบจนกระทั่งมองเห็นสัญลักษณ์ของธงลายพยัคฆ์ขาวที่เด่นชัดเจนขึ้น

 

แม่ทัพหลิ่งเฟยชูป้ายสัญลักษณ์ หรือหยกลัญจกรที่แกะสลักบรรจงเป็นลวดลายพยัคฆ์ขาว ถือเป็นตราประจำตำแหน่งของท่านแม่ทัพ

 

 เมื่อเห็นดังนั้นจึงทำให้ทหารผู้หนึ่งซึ่งสวมใส่อาภรณ์แตกต่างจากทหารเฝ้าประตู ซึ่งดูท่าทางน่าจะเป็นผู้บังคับบัญชาออกคำสั่งให้แบ่งขบวนแถวเป็นสองทางเพื่อเปิดทางเข้าให้กองกำลังไพล่พลทหารเดินทางเข้าเมือง

 

" ขออภัยที่เสียมารยาทเมื่อครู่ ข้าน้อยผู้บังคับบัญชาประตูเมือง นามว่า จิ้นเฉิง ได้รับคำสั่งจากเบื้องบน ให้มาเตรียมรอรับพวกท่านเข้าเมืองขอรับ " จิ้นเฉิง ชายหนุ่มวัยกลางคน ใบหน้าเรียบเฉย รวมถึงท่าทางที่นอบน้อม ดูช่างขัดกันเสียทีเดียว

 

" เกรงใจท่านจิ้นเฉินแล้ว ถ้าอย่างไรข้าต้องขอตัวเสียก่อน เหล่ากองกำลังพลทหารมากันอย่างเหนื่อย หวังว่าท่านจิ้นเฉินคงเข้าใจ " แม่ทัพหลิงเคยเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ

 

"…." จิ้นเฉิน ไม่กล่าวอะไรให้มากความเพียงแต่เดินหลบมุมก่อนพายมือเชื้อเชิญให้กองกำลังไพล่พลทหารเดินเข้าตัวเมือง

 

เมื่อผ่านเข้ามาพ้นประตูเมืองแห่งแคว้นเหวินฉิน ตลอดทางเดินทั้งสายเต็มไปด้วยกองกำลังทัพทหารที่เดินเข้ามาเป็นจำนวนมาก เหล่าชาวบ้านที่เดินขวักไขว่ซื้อสินค้า เหล่าพ่อค้า แม่ค้า ต่างกำลังทำการค้าขายต้องหยุดมือลง รวมถึงผู้คนโดยรอบ เมื่อเห็นใบหน้าอันคุ้นเคยของแม่ทัพหลิ่งเฟยที่นำเข้ามาเป็นแถวหน้า ต่างส่งเสียงรอยยิ้มอย่างยินดี บ้างก็วิ่งมายืนต้อนรับ บ้างก็หยุดยืนแล้วส่งรอยยิ้ม

 

" แม่ทัพซิ่นหลิ่งเฟย กองกำลังพยัคฆ์ขาว กลับมาแล้ว " เสียงร้องตะโกนดังขึ้นด้วยความดีใจ

 

" กองกำลังพยัคฆ์นำชัยชนะมาแล้ว " เสียงร้องตะโกนอีกทางส่งเสียงร้องขึ้นด้วยความดีใจ

 

" ท่านแม่ทัพซิ่นหลิ่งเฟย ข้าเอานี่มามอบให้ท่าน คราวที่แล้วท่านช่วยครอบครัวของข้าไว้ ครานี้ข้าขอตอบแทนขอรับ " ชายหนุ่มสวมใส่เสื้อผ้าที่รอยเย็บปิดรอยขาดของเสื้อผ้าที่สวมใส่ วิ่งเข้ามาด้วยรอยยิ้ม รวมถึงยื่นกล้วยหอมหวีหนึ่งมอบให้แม่ทัพหลิ่งเฟยที่หยุดอาชาหยุดนิ่ง 

 

" ขอบคุณในน้ำใจเจ้ามาก ข้าไม่อาจรับของล้ำค่านี้ได้ เจ้าจงนำไปให้ครอบครัวเจ้าเถิด ขาดเหลือสิ่งใดให้มาหาข้าได้ "

 

" ท่านแม่ซิ่นหลิ่งเฟย ท่านช่างเมตตา น้ำใจล้นเหลือ " ชายหนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้มทั้งน้ำตา

 

" ขอบคุณทุกท่านที่ออกมาต้อนรับพวกเราเหล่ากองกำลังพยัคฆ์ขาว ข้ารู้สึกซาบซึ้งน้ำใจพวกท่านยิ่งนัก แต่เวลานี้คงต้องขอตัวไปพักเสียก่อน " แม่ทัพหลิ่งเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้มพลางมองดูผู้คนโดยรอบ ก่อนจะบังคับบังเหียนอาชาให้ก้าวกีบเท้าเดินต่อไป

 

" ท่านแม่ทัพหลิ่งเฟย เสบียงพวกนี้ท่านโปรดวางใจ ข้าจะจัดการนำไปจัดเก็บให้และรวมถึงจัดสรรปันแจกจ่ายส่วนให้ชาวบ้านทุกคน " รองแม่ทัพหลี่หยางเอ่ยขึ้น

 

" ขอบคุณเจ้ามากหลี่หยาง วันนี้ให้พวกทหารนำเสบียงไปเก็บก่อน และให้พวกเขาไปพักผ่อนเสียก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน " แม่ทัพหลิ่งเฟยเอ่ยขึ้นด้วยความห่วงใยกองกำลังทหารที่ร่วมต่อสู้และเดินทางด้วยความอุตสาหะจนมาถึงที่แห่งนี้

 

" ถ้าเช่นนั้น หลังจากนี้ข้าจะขอเชิญท่านไปทานข้าวที่บ้านข้าได้รึไม่ "

 

" ข้ายินดี….ไว้คราวหน้า หลี่หยางเจ้าควรกลับไปอยู่กับครอบครัวเจ้าให้เต็มที่ ไม่ต้องเป็นห่วงข้าเลย " แม่ทัพหลิ่งเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้มอบอุ่น รวมถึงนัยน์ตาคู่เรียวงามที่เก็บหลบซ่อนความรู้สึกบางอย่างไว้ ไม่ให้เผยอออกมา

 

" เช่นนั้น คราวหน้าหวังว่าท่านจะยินดีมาทานข้าวร่วมกันกับครอบครัวของข้า" หลี่หยางเอ่ยด้วยรอยยิ้มตอบกลับ ช่างเป็นภาพที่หาดูได้ยาก เมื่อเทียบกับยามอยู่ในสนามรบ 

 

อ๋องปิงหยางในคราบเหยียนซิ่วที่สวมชุดอาภรณ์ราวกับพ่อค้าที่ติดตามเข้ามากับกำลังกองทัพกำลังสอดส่องมองสภาพแวดล้อมรวมถึงทหารที่เฝ้าตามจุด เพื่อมองหาจุดอ่อนของเส้นทางที่จะเข้าโจมตีได้โดยง่าย รวมถึงเหล่าพ่อค้า แม่ค้า และผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมาโดยรอบ รวมถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ที่ผู้คนต่างมาร่วมยินการมาถึงของกองทัพทำให้อ๋องปิงหยางรู้สึกหลงใหลในตัวของแม่ทัพหลิ่งเฟยมากขึ้น นัยน์ตาเรียวคมหันกลับไปแอบมองร่างของแม่ทัพหลิ่งเฟยอีกครั้ง ก็รู้สึกถึงความไม่พอใจเท่าทวีคูณ เมื่อเห็นรองแม่ทัพหลี่หยางที่พูดคุยอย่างชิดใกล้ โดยไม่เกรงใจตน

 

นี่แหละคือศัตรูหัวใจที่ต้องกำจัดเป็นสิ่งแรก !!

 

อ๋องปิงหยางนึกคิดด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น พาลทำให้องครักษ์หมิ่นซิ่น ได้แต่หวั่นใจว่า ไหน้ำส้มสายชูครานี้คงได้ระเบิดเป็นแน่แท้ แค่นึกถึงเพียงนี้ องครักษ์หมิ่นซิ่น ในคราบเหยียนซิ่น ได้แต่ภาวนาวิงวอนต่อสวรรค์ขอให้ตนมีชีวิตรอดกลับไป 

 

= อ้างอิงคำศัพท์ =

 

น้ำส้มสายชู - หึงหวง

 

ที่มา :: http://writer.dek-d.com/Karry_WJK/writer/viewlongc.php?id=1535683&chapter=13 

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป