Your Wishlist

เล่ห์รักดวงหทัย [Yaoi] (ตอนที่ 5)

Author: สาววายไตพัง

ชายผู้เปรียบดั่งแม่ทัพ องอาจห้าวหาญ ศัตรูทุกผู้เหล่าต่างหวั่นเกรง แต่หนนี้หลังจากจบศึก ผลกลับกลายเป็นแพ้สงครามถูกจับตัวเป็นเชลยศึก ถูกบุรุษสูงศักดิ์ผู้เป็นถึงอ๋องจอมมารย่ำยี ข้าหรือจะยอมมีชีวิตทนต่อไปได้ ถ้าไม่หนีก็ขอตายเสียดีกว่า!!

จำนวนตอน :

ตอนที่ 5

  • 11/07/2564

ณ แคว้นเหวินฉิน

 

เหมันต์ฤดูกาลเคลือบคลานเข้ามาปกคลุมทุกทั่วผืนหญ้าที่เคยเขียวขจีกลับกลายเป็นผืนพรมสีขาว หมู่เหล่าพฤกษานานาพันธุ์ที่เคยชูช่อบานสะพรั่ง ยามนี้กลับถูกเกล็ดน้ำแข็งความงามไว้รอฤดูเหมันต์เคลื่อนคล้อยหายไป

 

หมู่เหล่าสรรพสัตว์ที่เคยเวียนวนอยู่รอบพงไพรต่างหลบซ่อนหาไออุ่น เพื่อหลับใหลต่างจำศีล ความเงียบสงบ อ้างว้างเงียบเหงาเปรียบดั่งกับทิวเขาสูงที่ตั้งตระหง่านไม่ไหวเกรงต่อสี่ฤดูกาลที่เวียนวนมาบรรจบ

 

จวนสกุลซิ่น

 

หลังจากเหล่ากองกำลังทหารแห่งพยัคฆ์ขาวที่เพิ่งเดินทางกลับเข้ามาได้ไม่นาน อ๋องฉิงเหวินจาง ได้มอบหมายให้ เจ้ากรมวัง เสนาบดีกรมพิธีการจัดการเตรียมการต้อนรับการกลับมาของกองทัพพยัคฆ์ขาวที่นำชัยชนะมาสู่แคว้นเหวินฉิน รวมถึงนำราชสาส์นไปมอบให้แก่ แม่ทัพซิ่นหลิ่งเฟย ด้วยตนเอง

 

มือเรียวบางคลี่ม้วนราชสาส์นกางออก อ่านเนื้อหาใจความ จึงม้วนเก็บ ภายในใจที่คำนึงถึงช่วงเวลากาลเก่ายามวัยหนุ่มแรกรุ่น ที่ได้ประสบพบเจอกับท่านอ๋องฉิงเทียนซือ

ผู้เป็นบิดาของอ๋องฉิงเหวินจาง ซึ่งได้ทอดสายตาเรียวคมดั่งขุนเขา เชื้อเชิญเข้ารับราชการสังกัดกองกำลังทัพพยัคฆ์ขาว เพื่อนำพาแคว้นเหวินฉินผ่านพ้นภัยจากการบุกรุกของแคว้นข้าศึกที่เฝ้ามองอยากจะครอบครองแคว้นเหวินฉินที่อุดมสมบูรณ์พรั่งพร้อมให้มีอิ่มปากท้องตลอดทั้งปี หลิ่งเฟยยังคงจดจำระลึกถึงเมื่อครั้งอดีตท่านอ๋องฉิงเทียนซือ เอ่ยกล่าวชื่นชมตนที่กล้าหาญเข้าปราบกองกำลังศัตรูจนพ่ายแพ้ได้สำเร็จ จึงได้รับการพระราชทานและปูนบำเน็จ 

 

ทุกการฝึกฝน จนนำพาชัยชนะมามอบให้แคว้นเหวินฉิน มีเพียงความปรารถนาอันแรงกล้าที่เป็นแรงผลักดัน คือ การได้ยืนอยู่ในตำแหน่งที่สามารถยืนเคียงข้างอดีตท่านอ๋องฉิงเทียนซือ รวมถึงการได้รับคำชื่นชมจากน้ำเสียงกระแสรับสั่ง ไม่ว่าจะมอบหมายคำสั่งให้ทำสิ่งใด แม้ต้องแลกด้วยชีวิต เขายินดีพร้อมทุกเมื่อ เมื่อหวนคำนึงได้ว่าครานี้ไม่เหมือนกาลเก่าดั่งเช่นวันวาน นัยน์ตาคู่สวยหรี่หมองลง

 

สายลมพริ้วไหว ส่งกรุ่นกลิ่นหวนหอมขจรดอกไห่ถัง ที่บานสะพรั่งเต็มต้นไม้ใหญ่ กิ่งก้านที่แข็งแกร่งได้มีเงาสะท้านของคนผู้หนึ่ง ชายหนุ่มร่างหนา อาภรณ์ที่สวมใส่ด้วยเนื้อผ้าดิบธรรมดา มิอาจบ่งปิดความองอาจน่าเกรงขามได้ นั่นคือ อ๋องหยางปิน ซึ่งลอบปีนขึ้นแอบหลบซุ่มจ้องมองมายังเบื้องล่างผ่านหน้าต่าง มาเป็นเวลาสักพัก

 

'ภายใต้สาสน์มีเพียงคำเชิญ เหตุอันใดเจ้าถึงมีสีหน้าหม่นหมองลง' ริมฝีปากเรียวหนาอ๋องหยางปินเผยอขึ้นอย่างครุ่นคิด

 

.

 

.

 

.

 

เวลาผ่านล่วงเลยไปนานเพียงใด…แต่กลับรู้สึกเหมือนผ่านเพียงชั่วครู่

 

ยามรู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่าน้ำชาในถ้วยที่คอยส่งควันร้อนกรุ่นกลิ่นหอมใบชามลายหายไป เหลือเพียงความจืดจาง

 

หลิ่งเฟยเพียงยกขึ้นแตะลงบนฝีปากก็ต้องวางลง ด้วยน้ำชาถ้วยนี้เย็นชืดไร้รสชาติเสียแล้ว พลางลุกขึ้นยืนทรงตัวขึ้น ก่อนเดินออกจากห้อง อีกด้านบนต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านปกคลุม มีร่างองอาจของชายผู้หนึ่งที่เฝ้าจับจ้องมองไม่ให้คลาดสายตา อ๋องหยางปิน ที่ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ ได้แต่วนความคาดเดาไว้หลากหลาย ก่อนจะค่อยลอบติดตามหลิ่งเฟยไป

 

.

 

.

 

.

 

 

"ท่านหลิ่งเฟย" 

 

"..."

 

"ท่านหลิ่งเฟย" เสียงที่เอ่ยเรียกพลางวิ่งไล่หลังมาแต่ไกล ร้องเรียกชายหนุ่มใบหน้าเรียวงามที่กำลังเดินครุ่นคิดอย่างเหม่อลอย

 

"..." ฝีเท้าที่ก้าวเดิน พลันหยุดลง เมื่อรู้สึกถึงเสียงตะโกนเรียกและเสียงฝีเท้าที่กำลังใกล้เข้ามา ก่อนจะค่อยหันไปมองก็พบว่าไม่ใช่ใครอื่น 

 

"ท่านหลิ่งเฟย...ขะ ข้านึกว่าจะตามท่านไม่ทันเสียแล้ว" อ๋องหยางปินในคราบเหยียนซิ่ว อาภรณ์ชุดพ่อค้าหนุ่มต่างถิ่น ไม่อาจปกปิดความกำยำของร่างกาย เอ่ยด้วยน้ำเสียงหอบหายใจ

 

"เหยียนซิ่ว เหตุใดเจ้าจึงไล่ตามข้ามา มีสิ่งอื่นใดรึไม่" หลิ่งเฟยเพียงกล่าวด้วยความสงสัย ด้วยใบหน้าเรียบ

 

"ข้าน้อย เห็นท่านออกมาเพียงผู้เดียวไม่ได้บอกกล่าวใคร กลัวว่าท่านจะมีภัย...จึงรีบเร่งฝีเท้าติดตามท่านมาขอรับ" เหยียนซิ่วกล่าวด้วยใบหน้ากังวล เป็นเพียงละครบทหนึ่ง เพื่อหวังผลความใกล้ชิดมากขึ้น

 

"ฮ่าๆ" หลิ่งเฟย

 

"..." อ๋องหยางปิน

 

"ข้าทำให้เจ้ากังวลขนาดนั้นเชียว เพื่อเป็นการไถ่โทษ ข้าจะพาเจ้าเดินรอบเมือง" หลิ่งเฟย

 

"นับเป็นบุญของข้าผู้ต้อยต่ำที่ท่านเมตตา ให้ข้าได้รับใช้เคียงข้างกายท่าน" อ๋องหยางปิน

 

"เหยียนซิ่ว เจ้าพูดเกินไปเสียแล้ว" หลิ่งเฟย

 

"ข้าน้อยผู้ต่ำต้อย ไฉนเลยจะกล้าเทียบเคียงท่านหลิ่งเฟย" อ๋องหยางปิน

 

"ช่างเถอะ ข้าเองก็นับว่าได้เจ้ามาเป็นสหายเพิ่มขึ้น" หลิ่งเฟย

 

'สหาย?' อ๋องหยางปิงเพียงนึกคิดโดยไร้แสดงอารมณ์ทางสีหน้า 

 

"ข้าไม่ได้เดินเล่นเมืองแห่งนี้มานานมากแล้ว ที่นี่ดูเปลี่ยนไปมาก" น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาเปล่งไปด้วยแววตาความเศร้าหมอง

 

"เมืองที่ข้าน้อยอยู่แตกต่างจากท่านไม่มากนัก สภาพอากาศของที่นั่นมิอาจสู้เท่า แต่ก็เป็นถิ่นกำเนิดที่ข้าเติบโตมา ข้าเองก็อยากจะเชิญท่านหลิ่งเฟยไปสัมผัสเยือนเมืองของข้า"

 

"ในเมื่อเจ้ามาถึงที่นี่แล้ว ก็คิดเสียว่าที่นี่ก็เปรียบเสมือนบ้านของเจ้า"

 

"ท่านอยากให้ข้าอยู่ที่นี่รึ"

 

"เจ้าจะอยู่รึไม่นั้นคือสิ่งที่เจ้าต้องตัดสินใจ ข้ายินดีต้อนรับเสมอสหาย"

 

"ท่านหลิ่งเฟย ข้าขอคำสัญญาจากท่านสักหนึ่งเรื่องได้รึไม่"

 

"สัญญา...ถ้าข้าช่วยเจ้าได้ข้ายินดี"

 

"สัญญาว่าไม่ว่าข้าน้อยจะขออะไร ท่านจะยินยอมทำตาม ข้าน้อยขอเพียงหนึ่งข้อเท่านั้น"

 

"สัญญาไม่กลับคำพูด"

 

"มิใช่ว่าข้าน้อยมิเชื่อในคำพูดของท่าน แต่ข้าน้อยก็อย่าได้สิ่งที่แทนคำยืนยัน"

 

"ถ้าเช่นนั้น ข้าคงมีเพียงสิ่งนี้ที่แทนคำสัญญาได้รึไม่" หลิ่งเฟยหยิบสิ่งที่ซ่อนอยู่ในอกเสื้อ หยกเนื้อขาวสะอาดที่ถูกแกะสลักเป็นลวดลายนกกระสาสองตัวประกบคู่ "ของสิ่งนี้ท่านแม่มอบให้ข้าไว้หมั่นหมายคู่ครอง แต่สำหรับข้าคือของดูต่างหน้าไว้คิดถึงท่าน"

 

"ของล้ำค่าเช่นนี้ ข้ามิอาจอาจเอื้อม" อ๋องหยางปินในคราบเหยียนซิ่ว แววตาสุกสกาว ดั่งลิงโลด แต่เก็บซ่อนไว้ด้วยท่าทางสุขุม นอบน้อม 

 

"รับไปสิ ข้าให้เจ้าเก็บรักษาไว้ครึ่งนึง เมื่อใดที่ข้าทำตามคำขอเจ้าสำเร็จ เจ้าก็จงนำมาคืนข้า นกกระสาสองตัวควรประกบคู่กันหวนคืนสู่ถิ่น" หลิ่งเฟยกล่าวก่อนจะแยกหยกแกะนกกระสาหตัวหนึ่ง มอบให้อ๋องหยางปินในคราบเหยียนซิ่ว

 

"ของล้ำค่าเช่นนี้ ข้าจะเก็บรักษาไว้อย่างดี" อ๋องหยางปินในคราบเหยียนซิ่ว กล่าวก่อนจะหยิบมาสวมลงในคอด้วยรอยยิ้มแฝงนัยน์ตาความหมายเอ่อล้นท่วมท้น 

 

.

 

.

 

.

 

"ท่านหลิ่งเฟย ลองทานผลไม้นี่สิ หวานสดชื่น" อ๋องหยางปินซึ่งสวมอาภรณ์เนื้อผ้าดิบสีพื้น มวยผมม้วนเกล้าขึ้นผูกด้วยผ้าสีพื้น เพื่อกลมกลืนผู้คนสวมรอยในคราบเหยียนซิ่ว เอ่ยขึ้นขณะกำลังเคี้ยวตุ้ยราวเด็กชายตัวน้อย สองมือถือแตงโมที่ถูกตัดแบ่งชิ้นราวพระจันทร์เสี้ยว 

 

"เจ้านี่…เด็กน้อยเสียจริง" หลิ่งเฟยสวมอาภรณ์ด้วยเนื้อผ้าแพรสีฟ้าอมเขียวอ่อน ชายผมที่ปล่อยลงถูกรวบด้วยผ้าแพรสีขาวนวลสะอาด รอยยิ้มขบขันเอ่ยอย่างไม่ถือสา พลางยกชายแขนเสื้อขึ้นเช็ดมุมปากด้วยเมล็ดแตงโมเปรอะเปื้อนเลอะมุมปากของร่างคนตัวสูงกว่า 

 

ภาพบรรยากาศที่ผู้คนชาวเมืองเดินขวักไขว่รายล้อม พ่อค้า แม่ค้า ต่างส่งเสียงร้องเรียกเชิญชวนลูกค้าแวะเข้าร้าน โรงเตี๊ยมที่มีเสี่ยวเอ้อ ชายหนุ่มร้องเรียกลูกค้าเข้าร้าน ร้านขายเครื่องเงิน ที่ต่างชวนเชิญหญิงสาว เข้ามาเลือกเครื่องประดับที่ทำจากเครื่องเงิน ด้วยลวดลายสวยงาม 

 

ไม่มีสิ่งใดทำให้อ๋องหยางปินผู้ตกหลุม ตื่นขึ้นจากภวังค์ ราวกับบรรยากาศรอบตัวมีเพียงแค่คนสองคนที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน รอยยิ้มบนริมฝีปาก เสียงหัวเราะที่หลุดออกมาเล็กน้อย กลับทำให้หัวใจที่แสนเย็นชา เต้นรัวเร็วดังกลองคำราม

 

"เหยียนซิ่ว ปิ่นสองชิ้นนี้ เจ้าว่าชิ้นไหนสวยที่สุด" หลิ่งเฟย

 

"สวย ขอรับ" อ๋องหยางปินในคราบเหยียนซิ่วเอ่ยด้วยความเหม่อลอยราวถูกมนต์สะกด

 

"ท่านป้า ท่านพอจะมีปิ่นปักผมรูปดอกไห่ถังรึไม่" หลิ่งเฟย

 

"ผู้หญิงที่ท่านมอบให้ นางจะต้องมีความสุขที่สุด เชิญเลือกเลยเจ้าค่ะ"

 

"ท่านป้า ข้าเอาสีขาวนวลอ่อนชิ้นนี้" หลิ่งเฟย

 

"นายท่าน ท่านช่างตาถึงเจ้าค่ะ"

 

บทสนทนาแม้เป็นเพียงคำทั่วไป แต่กลับบาดลึกหัวใจของคนที่ยืนอยู่ด้านข้างได้ดี ใช่แล้วคนผู้นั้น คือ อ๋องหยางปิน 

 

'หญิงสาวผู้โชคดีนั่นคือผู้ใด ข้าอยากจะรู้จักเสียจริง'

 

.

 

.

 

.

 

จวนสกุลซิ่น

 

หลังจากกลับมาจากการเดินเล่นในตลาด หลิ่งเฟยก็สั่งให้คนรับใช้นำของไปเก็บ และแยกตัวออกมาไปยังทิศตะวันออก อีกเรือนหนึ่งที่แยกออกจากเรือนหลัก ก่อนหน้านั้นเขาได้สั่งกำชับกับคนรับใช้ว่าห้ามให้ผู้ใดเข้ามา 

 

บานประตูถูกเปิดออก ก่อนที่ร่างของหลิ่งเฟยจะก้าวเดินตรงเข้าไป ยังใจกลางห้องโถง ก่อนจะหยุดยืนที่ภาพวาดของหญิงสาวที่มีใบหน้างดงามสะคราญ คล้ายกันราวกับชายหนุ่มผู้มีใบหน้างดงามไม่ต่างกัน จนคนผู้หนึ่งที่แอบลักลอบซ่อนตัวเข้ามาหลังพุ่มต้นไม้ใหญ่ จ้องมองสลับไปมาระหว่างคนเบื้องล่างกับภาพวาดหญิงสาว

 

"น้องสาว ข้ากลับมาแล้ว"

 

"ข้าเอาปิ่นปักผมดอกไม้ถังที่เจ้าชอบมาฝากเจ้า" หลิ่งเฟยเอื้อมมือล้วงหยิบปิ่นปักผมออกจากอกเสื้อ

 

"ปิ่นปักผมชิ้นนี้ มีราคาไม่มาก ไม่ใช่ว่าพี่ชายคนนี้ไม่ใส่ใจ ข้าขอโทษที่มิอาจหาของที่มีราคามากกว่านี้ให้เจ้า "

 

"น้องสาว รอบนี้ข้านำชัยชนะกลับมา แต่น่าเสียดาย...ที่ไม่ได้ยินเสียงของเจ้าร่วมยินดี" หยดน้ำตาใสร่วงพรั่งพรูออกจากเปลือกตาทั้งสองข้าง

 

'ที่แท้นางผู้นั้นก็คือน้องสาว' อ๋องหยางปินได้คำตอบที่น่ายินดี ก็เผยรอยยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะทอดสายตาไปทางภาพวาดหญิงสาวด้วยใบหน้าจริงจัง พลางให้คำมั่นในใจว่า 'น้องสาวข้าขอสัญญาในนามอ๋องหยางปิน ข้าผู้นี้จะดูแลหลิ่งเฟยอย่างดี เพราะเขาคือดวงหทัยของข้า'

 

ดอกบ๊วย ชูช่อกิ่งก้านบานสะพรั่ง อวดโฉมความงดงามเฉิดฉาย มิหวั่นเกรงไหวต่อความเหน็บหนาวเย็น ส่งกลิ่นหวานหอมล่องลอยตามลมโบกไหวพัด มิอาจหวั่นเกรงต่อสิ่งใด ดั่งร่างของชายหนุ่มที่มีความแข็งแกร่งในภายนอก แต่ก็มีความอ่อนไหว สง่างามซ่อนอยู่ภายใน 

 

อ้างอิง

📌ดอกไห่ถัง

ที่มา : https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1784325775209788&id=1469378343371201

 

📌 ดอกเหมย หรือ ดอกบ๊วย

ที่มา : http://www.chinatalks.co/chinatalks/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99/

…………………………..

 

ขอบคุณที่แวะมาอ่านนักอ่านและนักเขียนทุกท่านค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักและพบกันผ่านตัวอักษรค่ะ อ่านแล้วงง ก็เช่นเดิมผิดพลาดประการใดขออภัยค่ะ

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า