Your Wishlist

เล่ห์รักดวงหทัย [Yaoi] (ตอนที่ 3[2/2])

Author: สาววายไตพัง

ชายผู้เปรียบดั่งแม่ทัพ องอาจห้าวหาญ ศัตรูทุกผู้เหล่าต่างหวั่นเกรง แต่หนนี้หลังจากจบศึก ผลกลับกลายเป็นแพ้สงครามถูกจับตัวเป็นเชลยศึก ถูกบุรุษสูงศักดิ์ผู้เป็นถึงอ๋องจอมมารย่ำยี ข้าหรือจะยอมมีชีวิตทนต่อไปได้ ถ้าไม่หนีก็ขอตายเสียดีกว่า!!

จำนวนตอน :

ตอนที่ 3[2/2]

  • 21/04/2564

ณ แคว้นเหวินฉิน

 

 

ฤดูกาลเหมันต์เข้าเคลือบคลาน สายน้ำนทีที่เคยรินไหลเดินทางผ่านซอกโขดหิน รวมทั้งกัดเซาะลัดเลาะริมทาง ต่างหยุดนิ่งไม่ไหวติง แปรผันเป็นน้ำแข็งผืนหนา เกล็ดหิมะ รวมเกล็ดคริสตัลสีใสร่วงหล่นลงสู่พื้นดินปกคลุมต้นหญ้าสีเขียวชอุ่ม ราวกับปูด้วยพื้นพรมทางเดิน

 

 

เหล่าขบวนกำลังพลกองทัพเคลื่อนไหวฝีเท้ารีบเร่ง ไม่มีการหยุดพักผ่อนย่างเข้าสู่สามวันติด มีเพียงหยุดพักดื่มน้ำและให้หญ้าแก่เหล่าอาชา เหล่ากำลังพลทหารอาชา เหล่าพลทหารฝีเท้า และเหล่าทหารขนเสบียง ต่างมุ่งหมายกลับเข้าสู่แคว้นเหวินฉิน ต่างหวังเพียงจะได้กลับไปพบเจอครอบครัวที่รอพบหน้า

 

 

ไม่รู้ว่าวันเวลาผันผ่านมากี่ปีแล้ว ตั้งแต่อ๋องฉิงเทียนซือจากไป จนเข้าสู่รัชสมัยอ๋องฉิงเหวินจาง ที่ขึ้นครองสู่บัลลังก์ด้วยวัยหนุ่มคึกคะนอง แววหูเบาเชื่อคำปราศัยของเหล่าขุนนางชั่วที่คอยหวังในลาภยศ ศักดิ์ดินา จนทำให้บ้านเมืองเกิดความยากลำบากลำเข็ญของชาวประชาราษฎร กลุ่มพยัคฆ์ดำที่เคยมีความสำคัญ ก็ถูกลืมเลือนจนถูกยุบลง มีเพียงคนบางกลุ่มที่เข้ามารวมตัวอยู่ในกลุ่มพยัคฆ์ขาว เพื่อร่วมรบต่อสู้กับแม่ทัพซิ่นหลิ่งเฟย ถึงแม้จะมีใบหน้างดงามราวกับหญิงสาว แต่ความเฉลียวฉลาด การวางกองกำลังพล บุกตีฟันฝ่าต่อกรกับข้าศึกไม่เคยหวั่นเกรงกลัวต่อสิ่งใด นำมาสู่ชัยชนะจนเป็นที่ประจักษ์และที่ยอมรับนับถือของเหล่าทหาร 

 

 

แม่ทัพหลิ่งเฟยใบหน้าที่ดูงดงามราวกับหญิงสาวภายใต้เสื้อคลุมที่ทำจากหนังเสือโคร่ง รวมถึงผ้าพันคอสีขาวที่ช่วยปกปิดรอยแดงจ่ำบนลำคอที่เลือนหายไปบางส่วน กำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด จนกระทั่งเสียงหนึ่งช่วยปลุกให้ตื่นขึ้นจากภวังค์

 

 

" เรียนท่านแม่ทัพหลิ่งเฟย เมื่อครู่นกพิราบนำข่าวมาส่งจากประตูหน้าว่า รอคอยเตรียมต้อนรับกองกำลังพล " รองแม่ทัพหลี่หยางเอ่ยขึ้นหลังจากที่ที่บังคับอาชาเทียบเคียงด้านข้างแม่ทัพหลิ่งเฟย " ตามแผนที่ถ้าเราข้ามผ่านลำธารนี้ไป และเคลื่อนไปก็จะถึงด่านประตูหน้าขอรับ " พร้อมกับวาดนิ้วมือชี้ไปที่แผนที่

 

 

โดยมีนัยน์ตาดุจดั่งพญาอินทรี จ้องมองตรงมาไม่ห่างด้วยท่าทีนิ่งเฉย แต่ภายใต้แววตานิ่งเรียบกลับไปด้วยอารมณ์ภายในคลุกกรุ่นด้วยเปลวเพลิงริษยา  ตั้งแต่กองทัพออกเดินทางอ๋องปินหยางก็ได้แต่ลักลอบแอบมองคนที่หมายปองอยู่ห่างๆ ด้วยท่าทีนิ่งสงบเพื่อให้แผนลักลอบเข้าเมืองสำเร็จไปได้ด้วยดี 

 

 

" หลี่หยาง ถ้าเป็นไปตามที่เจ้าคำนวณจากแผนที่นี้ กองกำลังไพร่พลทั้งหมดก็จะเดินทางถึงในค่ำคืนนี้  " นัยน์ตาเรียวหวานจ้องตาขึ้นมองใบหน้าของรองแม่ทัพหลี่หยาง เพื่อรอฟังคำตอบอีกครั้ง

 

 

" ใช่แล้วขอรับ เป็นไปตามที่ท่านแม่ทัพหลิ่งเฟยกล่าว " รองแม่หลี่หยางกล่าวขึ้นด้วยท่าทีปกติ โดยไม่อาจรู้เลยว่า อ๋องปินหยางในคราบเหยียนซิ่ว กำลังอัดอั้นอารมณ์แทบทนไม่ไหว ด้วยความอิจฉานัยน์ตาคู่สวยดูจะเอาใจใส่รองแม่ทัพหลี่หยาง 

 

 

' เฟยเฟย ถ้าเจ้าได้รู้ว่าความจริงว่าหลี่หยางคนผู้นั้นยอมทรยศเจ้า เพื่อหวังลาภยศ ยอมละทิ้งบ้านเมือง ยอมเข้ามาสวามิภักดิ์รับใช้อยู่ใต้อำนาจของข้า ข้าอยากรู้เสียจริงเจ้าจะมองคนผู้นั้นด้วยแววตาเช่นไร และข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าคนที่ดีกับเจ้านั้นคือข้าผู้นี้ ' อ๋องปินหยางในคราบเหยียนซิ่วครุ่นคิดในใจ ก่อนจะลอบสักเกตเห็นแผนที่ในมือแม่ทัพหลิ่งเฟย พร้อมกับจดจำภาพในแผนที่ด้วยนัยน์ตาอันเฉียบแหลม 

 

 

" อีกไม่นานก็จะเดินถึงแล้ว พวกเจ้าสองพี่น้องจะได้แวะพักผ่อนเสียที "

 

 

" เอ่อ….เรื่องที่พักข้าน้อยทั้งสองยังไม่มีขอรับ "

 

 

" เหยียนซิ่วเจ้ากล่าวเกินไปแล้ว พวกท่านทั้งสองมาคราวนี้ ก็ควรมาแวะพักบ้านข้าสิ "

 

 

" พี่หลี่หยาง ข้าเห็นว่าอาจจะเป็นภาระท่านเสียเปล่า ครอบครัวท่านออกจะใหญ่โต พวกข้าทั้งสองย่อมไม่กล้ารบกวนท่านเด็ดขาด "

 

 

" เอ่อ….เช่นนั้น เหยียนซิ่วกับเหยี่ยนซิ่น ถ้าพวกเจ้าไม่รังเกียจมาพักที่จวนของข้าก็ได้ ข้าพักอยู่คนเดียว มีบ่าวรับใช้พักอยู่เพียงเล็กน้อย พื้นที่อาจจะพอให้พวกเจ้าเข้ามาพักได้ "

 

 

" ท่านหลิ่งเฟยช่างเมตตาแก่พวกข้าน้อย เช่นนั้นข้าน้อยขอพำนักพักที่จวนของท่านแม่ทัพหลิ่งเฟยนะขอรับ "

 

 

" ดี...จวนของข้าไม่เคยมีแขกผู้ใดมาเยี่ยมเยือนนานเสียแล้ว " รอยยิ้มเจือจางปนแววตาหมองเศร้า 

 

 

" จงอย่าได้เสียเวลาเลย รีบเร่งเดินทางกันก่อนประตูเมืองหลวงจะปิดลง " แม่ทัพหลิ่งเฟยเอ่ยเสียงขึ้นด้วยแววตาแปรเปลี่ยน ก่อนจะขยับเท้าทีบเร่งอาชาให้ขับฝีเท้าวิ่งเร็วขึ้น

 

 

รองแม่ทัพหลี่หยางมิปริปากเอ่ยคำใด มีเพียงรีบเร่งขับเคลื่อนอาชาวิ่งตามไปประกบคู่เคียงแม่ทัพหลิ่งเฟย ภาพเบื้องหน้าฉายภาพเข้าสู่แววตาของอ๋องปิงหยางด้วยแววตาโกรธเคือง ก่อนจะเร่งฝีเท้าอาชาให้วิ่งติดตามไป โดยมีหมิงซินตามติดไปเงียบๆ ทั้งที่ในใจเฝ้าภาวนาขอให้ผู้เป็นนายอย่าได้ตบะแตก ด้วยแววตาแฝงประกายราวกับกินน้ำส้มสายชู**

 

 

ระยะทางผ่านทางภูผาสูงชันอย่างยากลำบากด้วยความขดเคี้ยว บางคราต้องลงจากหลังอาชาสลับเดินทางเท้า เหล่าพลทหารเท้าต้องช่วยกันพยุงเกวียนเสบียงลากขึ้นทางสูงชัน ฟันฝ่าความเหน็บหนาว จวบจนมาถึงเวลายามค่ำคืน

 

 

.

 

 

.

 

 

.

 

 

ยามห้าย(เวลา 21.00-22.59 น.) 

 

 

ดวงเดือนเพ็ญเปล่งแสงส่องสว่างเรืองรองทั่วท้องนภา เป็นแสงส่องสว่างเดียวที่นำทางเดินยามค่ำคืนจวบจนมาถึงหน้าทางเข้า

 

 

ประตูใหญ่ทางเข้าเมืองหลวง กำแพงเหล็กที่ตั้งตระหง่านสูงใหญ่ ด้านบนมีไพร่กำลังทหารยืนเฝ้าประจำตำเเหน่ง ล้วนเป็นเหล่าพลธนู หอส่งสัญญาณที่ตั้งสูงมีทหารเพียงหนึ่งยืนเฝ้ามองดูรอบทิศ ทถกอย่างอยู่ในสายตาการคำนวณของอ๋องผิงหยางอย่างรอบคอบ เหลือเพียงก้าวเดินเข้าสู่ดินแดนแห่งแคว้นเหวินฉิน 

 

 

เหล่ากองกำลังพลทัพเคลื่อนพลเดินทางเข้ามาถึงหน้าประตูใหญ่ทางเข้าเมืองหลวงที่ใกล้จะถูกปิดลงเสียแล้ว ทหารนายหนึ่งผู้ประตูทางเข้าเอ่ยเสียงขึ้น

 

 

" ไม่ทราบว่าผู้มาใหม่คือผู้ใด เหตุใดจึงมาถึงยามวิกาล "

 

 

" เราคือกองกำลังพลพยัคฆ์ขาว และนี่คือแม่ทัพซิ่นหลิ่งเฟย พวกเจ้ายืนเฉยอยู่ไย ทำไมไม่หลีกทางให้พวกเราอีก " รองแม่ทัพหลี่หยางเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึกก้องไม่พอใจพร้อมแสดงตราประจำตัว

 

 

" ขออภัยขอรับ พวกเราทำตามหน้าที่เท่านั้น ขอให้ท่านแม่ทันซิ่นหลิ่งเฟยอย่าได้โกรธเคือง " ทหารนายหนึ่งกล่าวขึ้นก่อนหันไปสั่งให้ทหารประจำประตูเปิดประตูบานใหญ่ออก

 

 

เหล่ากองทัพทหารต่างก้าวเคลื่อนขบวนทันทีที่ประตูใหญ่ทั้งสองบานถูกเปิดขึ้น รวมถึงเกวียนเสบียงอาหาร เครื่องใช้ต่างๆ ก็ถูกเคลื่อนเข้ามาสมทบ 

 

 

ท้องนภาที่มืดครึ้มมีเพียงแสงจากโคมไฟถูกจุดประดับตลอดทางเดิน เป็นแสงสว่างนำทางเดินที่เงียบเหงา บ้านเรือนผู้คนต่างปิดเงียบลง ร้านค้าตามทางเดินที่เคยครึกครื้นก็เหลือเพียงความว่างเปล่า ถนนหนทางไร้ผู้คน เหล่าทหารที่เหน็ดเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ใบหน้าแห้งผาก อิดโรย ริมฝีปากแตกกร้านราวผุยผง ตลอดระยะทางเดิน นัยน์ตาคู่สวยเรียวงามของแม่ทัพหลิ่งเฟยคาดคะเน กว่าจะเดินทางถึงใจกลางเมืองหลักก็คงอีกยาวไกล จึงกวาดสายตามองหาโรงเตี๊ยมที่พอจะมีเปิดอยู่บ้าง เพื่อจะใช้พำนักหลบลมหนาวและอาหารให้เหล่ากองกำลังทหารที่สภาพต่างอิดโรย ร่างกายผายผอมแห้งแล้ง ขบวนเหล่ากองทัพเคลื่อนมาได้สักพักก็พบโรงเตี๊ยมที่ยังคงเปิดประตู

 

 

" หลี่หยาง ทางข้างหน้ามีโรงเตี๊ยม คืนนี้พวกเราจะพักกันที่นี่ ขอแค่หลบลมหนาวไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยเดินทาง "

 

 

" ขอรับท่านแม่ทัพหลิ่งเฟย "

 

 

" หยุด " เสียงคำสั่งแม่ทัพหลิ่งเฟย เอ่ยขึ้นเหล่ากองทัพหยุดเคลื่อนตัวทันที 

 

 

" ใต้เท้าไม่ทราบว่าพวกท่านมาถึงที่แห่งนี้ด้วยเหตุใด ภาษีที่ร้านค้าเพิ่งจ่ายไป หรือๆ…. " ชายชราวิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากประตูหน้าร้านด้วยความตื่นตระหนก ด้วยตกใจที่เห็นกองกำลังทัพกลุ่มใหญ่มาเยี่ยมที่โรงเตี๊ยมยามค่ำคืน

 

 

" อย่าได้ตื่นตกใจไป พวกข้าแค่ต้องการที่พำนักหลบหนาวในค่ำคืนนี้ ไม่ทราบว่าพอมีที่พำนักและอาหารเหลือบ้างรึไม่ "

 

 

" ขออภัยที่ข้าน้อยเสียมารยาทลืมแนะนำตัวไป ข้าน้อยคือเถ้าแก่ขอรับ เชิญๆพวกท่านเข้ามาพักก่อนขอรับ " ชายชราซึ่งเป็นเถ้าแก่รีบพายมือเชื้อเชิญต้อนรับ ก่อนจะหันไปสั่งคนงานด้านในให้ออกมาต้อนรับ " เสี่ยวเอ๋อ ออกมาต้อนรับแขกเร็วๆ เตรียมที่พักและอาหารด้วย "

 

 

" เถ้าแก่คืนนี้ พวกเราต้องขอรบกวนแล้ว "

 

 

" ใต้เท้า โรงเตี๊ยมของข้าน้อยอาจจะไม่ใหญ่มาก อาจจะมีห้องรับรองได้ไม่เพียงพอขอรับ "

 

 

" เถ้าแก่เพียงแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ขอแค่มีที่พักให้หลบความหนาวไปได้ และมีอาหารเพียงพอ "

 

 

" ขอรับใต้เท้า ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยขอตัวไปเตรียมรับรองพวกท่านก่อนนะขอรับ "

 

 

" ท่านแม่ทัพหลิ่งเฟย ด้านบนมีห้องว่างเหลืออยู่ไม่มาก เชิญท่านขึ้นไปพักก่อนเถอะ ทางนี้ข้าน้อยจะช่วยดูแลให้ " รองแม่ทัพหลี่หยางเอ่ยขึ้นหลังจากเข้ามาสำรวจโดยรอบ

 

 

" หลี่หยางคืนนี้พวกเรามานอนรวมกันเถอะ จริงสิพวกเจ้าทั้งสองจะรังเกียจไหม ถ้าข้าจะชวนพวกท่านมานอนรวมด้วยกัน "

 

 

 " ไม่เลยขอรับ พวกข้าทั้งสองยินดีอย่างยิ่ง " อ๋องผิงหยางในคราบเหนียนซิ่วเอ่ยขึ้นอย่างไม่ลังเล นัยน์เรียวคมดุจพญาอินทรีเปล่งประกาย

 

 

" ดีตกลงกันตามนี้ คืนนี้คงต้องลำบากพวกเจ้าแล้ว "

 

 

.

 

 

.

 

 

.

 

 

อาหารหลากหลายถูกนำวางเรียงลงบนโต๊ะ รวมถึงน้ำชา เพราะแม่ทัพหลิ่งเฟยสั่งห้ามดื่มสุรา เพราะต้องออกเดินทางตั้งแต่เช้า และอีกนัยหนึ่งที่ยังคงแก้ไม่ตกในใจคือคืนวานนั้นเกิดอะไรขึ้น ยามเช้ามาจึงมีรอยแดงก่ำรอบคอ

 

 

 ' หรือว่ายามสุราเข้าปากจนเมามาย ข้าเสียสติทำอะไรลงไป '

 

 

" ท่านแม่ทัพหลิ่ง อาหารพร้อมแล้วเชิญทานเถอะขอรับ " เสียงของรองแม่ทัพหลี่หยางเอ่ยขึ้นจึงทำให้แม่ทัพหลิ่งเฟยดึงสติตื่นขึ้น 

 

 

" ทานกัน พรุ่งนี้เช้าพวกเราเดินทางอีกครึ่งค่อนวันก็น่าจะถึงใจกลางเมืองหลวงเสียที หลี่หยางและเหล่ากองทหารของข้าจะได้ไปหาครอบครัวเสียที "

 

 

' หลิ่งเฟยเจ้าช่างดีเหลือเกิน….เพราะเจ้าช่วยข้าไว้ ข้าจึงได้มีชีวิตอีกครั้ง ข้าจะพาเจ้าไปอยู่เคียงข้างข้า ' อ๋องปิงหยางครุ่นคิดได้พักหนึ่ง ก็ทำได้ลอบมองดูท่าทางของแม่ทัพหลิ่งเฟยอย่างชื่นชม

 

 

.

 

 

.

 

 

.

 

 

เตียงแผ่นไม้ขนาดกว้างนำมาต่อกันจึงมองดูนอนได้สีคนพอดี รองแม่ทัพหลี่หยางเลือกนอนหลบมุมด้านซ้าย โดยมีแม่ทัพหลิ่งเฟย ถัดมาคือ อ๋องปิงหยางในคราบเหยียนซิ่ว ส่วนเหยียนซิ่นในคราบองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ต่ออ๋องปิงหยางเลือกที่จะปูที่นอนลงบนพื้นด่านล่าง

 

 

ดั่งคำว่าศีรษะลงหมอน ความเหน็ดเหนื่อยล้าก็จะจางหายไป ความง่วงนอนจะเข้ามาแทนที่ ระหว่างที่ผู้คนภายในห้องหลับใหล มีเพียงอ๋องผิงหยางที่หันจ้องมองใบหน้าของแม่ทัพหลิ่งเฟยยามหลับใหล ทั้งที่นัยน์ตาคู่เรียวคมอยากจะเอื้อมแขนโอบกอดคนตรงหน้าไว้ข้างกาย เพื่อช่วยคลายความเหน็บหนาวในค่ำคืนนี้ 

 

 

ขณะที่นัยน์ตาของอ๋องปิงหยางใกล้หลับลงเข้าสู่นิทรา ก็สัมผัสได้ถึงแขนเรียวยาวที่พาดวางลงบนหน้าอก และตามด้วยขาอีกข้างที่พาดทับลงมังกรที่นิ่งสงบลงเมื่อครู่ จนตอนนี้เริ่มตื่นขึ้น สภาพของแม่ทัพหลิ่่งเฟยที่นอนดิ้นไม่เก็บกิริยา เสื้อผ้าเปิดขึ้นทำให้เห็นนวลผิวขาวราวเกล็ดหิมะ รวมถึงเม็ดดอกบงกชสีแดงก่ำตั้งชูชัน ที่เผยออกให้เห็นอกกลม อ๋องปิงหยางทำได้เพียงสกัดกั้นอารมณ์และค่อยๆเอื้อมมือหยิบผ้าคลุมมาปกปิดเรือนร่างตรงหน้า และพยายามปล่อยลมหายใจเข้าออกอย่างช้าๆเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ ใช้เวลาค่อนข้างนานก่อนจะหลับสู่นิทราหลับใหล 

 

" เจ้าอยากให้ข้าล่วงเกินรึ " อ๋องปิงพึมพำเพียงบางเบาก่อนเสียงเงียบหายไปเหลือเพียงเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ 

 

 

ยามค่ำคืนเหมันต์ฤดูหิมะร่วงหล่นโรยโปรยปราย ราวท่วงทำนองกระแสเพลงดีดกู่เจิง** แว่วเสียงลมหนาวช่วยขับกล่อมให้ผู้คนล้วนหลับใหล บุปผาต่างหลบซ่อนความงาม เหลือเพียงกลีบดอกบ๋วยเบ่งบานเด่นสง่ายังส่งกลิ่นหอตลบอบอวล

 

 

= อ้างอิงคำศัพท์ =

 

 

กินน้ำส้มสายชู

 

อาการหึงหวง

 

ที่มา :: 

 

http://writer.dek-d.com/Karry_WJK/writer/viewlongc.php?id=1801730&chapter=14 

 

 

กู่เจิง

 

เป็นเครื่องดนตรีแบบดั้งเดิมของจีน เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย 

 

ใช้มือดีด การแสดงกู่เจิงเป็นคุณสมบัติหนึ่งที่ผู้มีการศึกษานิยมบรรเลง

 

ที่มา :: http://chinese2u.blogspot.com/2013/06/blog-post_21.html?m=1

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป