ตอนที่ 197 ปะการังสีแดง
ถึงแม้ชิงหัวกรุ๊ปจะเป็นส่วนหนึ่งของแก๊งฉิง แต่ไม่ได้พึ่งพาแก๊งฉิง เพราะมีเครือข่ายของตัวเองจะได้ไม่ต้องรบกวนแก๊งฉิง ดังนั้นไม่มีใครเชื่อว่าโจวเจิ้งหงจะมีสายสัมพันธ์กับแก๊งฉิง ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับชิงหัวกรุ๊ป
อุตสาหกรรมของชิงหัวกรุ๊ปไม่ได้มุ่งเน้นที่เมือง G ดังนั้นแม้ว่าจะมีทรัพย์สินมากกว่าแสนล้านหยวน แต่ก็จัดอยู่ในอันดับสี่ของเศรษฐีเมือง G การจัดอันดับความร่ำรวยในเมือง G วัดจากทรัพย์สินที่อยู่ในเมือง G เท่านั้น
อย่างไรก็ตามไม่มีใครสามารถเข้าใจได้ว่าโจวเจิ้งหงสามารถเชิญบุคคลสำคัญเกือบครึ่งในเมือง G มาร่วมพิธีเปิดได้อย่างไร คนเหล่านี้ไม่ได้มาเพื่อเห็นแก่โจวเจิ้งหงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจของพวกเขาเองด้วย
ชิงหัวกรุ๊ปมอบปะการังสีแดงสูงยี่สิบเซนติเมตรและกว้างสิบห้าเซนติเมตรให้กับทางหยกบิวตี้จิวเวอรี่ ปะการังนี้ทั้งใหญ่และหายาก
ปะการังสีแดงนี้เป็นปะการังที่เติบโตในธรรมชาติ มันค่อนข้างเติบโตช้าและไม่งอกใหม่ ปะการังสีแดงมีอยู่ในทะเลช่องแคบไม่กี่แห่ง (ช่องแคบไต้หวันช่องแคบญี่ปุ่นช่องแคบบอลติกและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน) เนื่องจากพื้นที่ทะเลมีข้อจำกัด ปะการังสีแดงจึงมีค่ามาก ปะการังสีแดงยังเป็นพลอยออร์แกนิกที่มีสีที่โดดเด่นเตะตา และเนื้อสัมผัสที่เป็นประกาย มันเติบโตในทะเลลึกที่ความลึก 1,000 ถึง 2,000 เมตร ได้รับการระบุให้เป็นหนึ่งในสามของอัญมณีอินทรีย์ พร้อมด้วยไข่มุกและอำพันและหนึ่งในเจ็ดสมบัติในพระไตรปิฎกตะวันออก ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความปรารถนาดีมาตั้งแต่สมัยโบราณ
ปะการังสีแดงนี้มีมูลค่ามากกว่าสิบล้านหยวนซึ่งทำให้ทุกคนอ้าปากตาค้าง รวมถึงกู้หนิง เธอต้องยอมรับว่าซื่อตู้เย่มีน้ำใจกว้างขวางจริงๆ ราคาไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นคือปะการังสีแดงเป็นของหายาก ในตลาดแทบไม่มีขาย
กู้หนิงชอบมันมากตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น และตัดสินใจจะนำมันกลับบ้านเป็นของสะสมส่วนตัวของเธอ
เลิ่งเชาถิงแอบเสียใจที่เห็นกู้หนิงพอใจกับของขวัญจากซื่อตู้เย่ เขาไม่ชอบเจ้าปะการังสีแดงตัวนี้
หลังจากนั้น กงหยวน เสนาธิการกองทัพในเมือง G ก็มาถึง การมาถึงของเขาทำให้เกิดเสียงกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง อะไรกัน? แม้แต่ทหารยศสูงก็มางานนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ?!
ไม่จำเป็นต้องถามเลิ่งเชาถิง กู้หนิงก็เข้าใจได้ทันทีว่าเขาต้องเป็นคนจัดการเรื่องนี้ แต่เธอค่อนข้างประหลาดใจกับตำแหน่งของกงหยวน
เขาเป็นถึงเสนาธิการยศพันเอกในกองทัพ ถ้าเลิ่งเชาถิงสามารถส่งเขามาที่นี่ได้ เลิ่งเชาถิงก็ต้องเป็นญาติของเขาหรืออยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า
กู้หนิงโอนเอียงไปในข้อสองมากกว่า
ถ้าเขามีตำแหน่งสูงกว่ากงหยวน อย่างน้อยๆก็ต้องระดับพลตรี
คิดได้เช่นนั้น เธอก็มองเขาด้วยสายตาแสดงความประหลาดใจ
เขารู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่และไม่คิดจะปิดบังอยู่แล้ว “พลตรี”
พลตรี! เขาเป็นถึงระดับพลตรี!
อายุยี่สิบห้าก็มียศพลตรีประดับบ่าแล้ว! นี่มันสุดยอดของสุดยอด ปกติคนที่ได้ยศพลตรีก็มีแต่คนอายุสี่สิบปีไปแล้วไม่ใช่เหรอ
กู้หนิงอดกลั้นหายใจไม่ได้ เธอคิดในใจว่า ‘เลิ่งเชาถิง นี่นายอายุเท่าไหร่กันตอนเข้ากองทัพครั้งแรก? และนายทำผลงานอะไรบ้างถึงส่งผลให้นายเลื่อนยศเร็วขนาดนี้?’
จู่ๆกู้หนิงก็รู้สึกอยากร้องไห้ เป็นเรื่องยากมากที่จะได้เป็นถึงพลตรี เขาต้องเสี่ยงชีวิตตัวเองนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อแลกกับตำแหน่ง
คิดถึงอันตรายทั้งหลายที่เขาได้ประสบมาในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ หัวใจของเธอก็เจ็บปวดเหมือนมีใครเอาอะไรมาจิ้มแทง เธอต้องการตรวจดูรอยบาดแผลที่อยู่ตามร่างกายของเขา ต้องมีรอยแผลบนตัวเขา คำถามคือมากหรือน้อยแค่นั้น
เลิ่งเชาถิงไม่เก่งเรื่องรักๆใคร่ๆ แต่เขาฉลาดมาก เขาสัมผัสได้ว่ากู้หนิงกังวลจากอารมณ์ของเธอ เขารู้ว่าเธอเป็นห่วงเขา เขาดีใจที่เป็นเช่นนั้นแต่ก็อดรู้สึกแย่ไม่ได้ เพราะเขาไม่อยากให้เธอกังวลเรื่องเขา เขาทำได้เพียงพูดปลอบเธอไปว่า
“ผมสบายดี”
กู้หนิงไม่พูดอะไร พยายามสงบจิตสงบใจ ไม่ใช่เวลาที่จะร้องไห้
ฉินอี้ฟานสังเกตเห็นกู้หนิงดูใส่ใจและเป็นกังวลกับผู้ชายคนที่อยู่ข้างกายเธอ เขารู้สึกเจ็บลึกในใจ ดูเหมือนว่าพวกเขาสองคนคงเป็นแฟนกัน
กงหยวนมอบตัวอักษรเขียนด้วยพู่กันของศิลปินผู้มีชื่อเสียง จ้วงหลี่
ในตอนนี้ชื่อเสียงของหยกบิวตี้เป็นที่รู้จักไปทั่ว ไม่มีใครเคยเห็นกลุ่มบริษัทหรือคนสำคัญมากมายที่มาร่วมงานเดียวกันมาก่อน ร้านหยกบิวตี้จิวเวอรี่ไม่ใช่ร้านขนาดใหญ่ แต่ค่อนข้างมีชื่อเสียงเลยทีเดียว
สิ่งที่ทำให้ฝูงชนตะลึงไม่แพ้กันคือคุณภาพของหยกที่หยกบิวตี้จิวเวอรี่ใช้ หยกทั้งหมดอยู่ในระดับปานกลางและระดับสูง
เมื่อเวลาเดินมาถึงสิบโมง โจวเจิ้งหงจึงเริ่มกล่าวเปิดงาน
“แขกผู้มีเกียรติ สุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ เพื่อนๆของกระผม สวัสดีทุกๆท่าน! วันนี้เรามาที่นี่เพื่อจัดพิธีเปิดร้านเรือธง หยกบิวตี้จิวเวอรี่ ในฐานะตัวแทนของ บริษัทหยกบิวตี้จิวเวอรี่จำกัด ขอแสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อทุกท่านมีมางานวันนี้!”
“หยกเป็นแก่นแท้ของทุกสิ่ง เชิญทุกท่านเพลิดเพลินกับ ‘มงกุฎแห่งหินอันทรงคุณค่า’ ซึ่งมีความหมายที่ดีในเรื่องของโชค ปัญญา และบารมี หยกบิวตี้จิวเวอรี่ของเราจะสร้างเครื่องประดับหยกระดับไฮเอนด์ ขออวยพรให้หยกบิวตี้จิวเวอรี่มีอนาคตที่เฟื่องฟู! ขอบคุณทุกท่านที่มางานวันนี้! ขอบคุณมากจริงๆครับ!"
หลังจากกล่าวเปิดงานจบ เสียงปรบมือก็ดังขึ้น จากนั้นถึงเวลาตัดริบบิ้น หยวนเจิ้งหลิน กงหยวน และอาจารย์ไป๋เป็นคนตัดริบบิ้น หลังจากตัดริบบิ้นเสร็จ แขกที่มาร่วมงานสามารถทำการจองหยกจักพรรดิได้
กู้หนิงคิดว่าคงมีไม่กี่คนที่ยอมจ่ายหยกในราคาแพง แต่คาดไม่ถึงว่ามีคนจองมากกว่าสิบคน อย่างไรก็ตามหยกจักรพรรกดิไม่ใหญ่พอที่จะตอบสนองความต้องการของพวกเขา ดังนั้นจึงมีอีกทางเลือกให้พวกเขา
โชคดีที่กู้หนิงได้เตรียมแผนสองเอาไว้
อีกทางเลือกหนึ่งคือเสนอราคาอย่างลับๆ ลูกค้าสามารถเขียนราคาประมูลและประเภทของเครื่องประดับที่ต้องการลงบนกระดาษ จากนั้นส่งกระดาษให้คนงาน คนงานจะกระดาษทั้งหมดและผู้ซื้อที่เสนอราคาดีที่สุดจะได้หยกจักรพรรดิไป
ไม่นานผลก็ออมา ไม่ต้องสงสัย อาจารย์ฝูและอาจารย์ไป๋ชนะได้แหวนซึ่งราคาสูงกว่าเครื่องประดับชิ้นอื่น
กู้หนิงทำเงินได้มากกว่าร้อยล้านหยวนในวันแรกตั้งแต่ร้านยังไม่เปิด
แต่เนื่องจากเป็นเพียงการจองเท่านั้น ลูกค้าจึงมัดจำเพียงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของราคา
ยิ่งไปกว่านั้นจะมีช่องว่างระหว่างจำนวนกรัมที่กำหนดไว้ล่วงหน้าและจำนวนกรัมสุดท้าย หากเครื่องประดับเกินจำนวนกรัมที่กำหนดที่ลูกค้าจองไว้ก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเพิ่ม และลูกค้าจะได้รับมากกว่าจำนวนกรัมที่กำหนดไว้ในราคาเดิม และหากเครื่องประดับไม่ตรงตามจำนวนกรัมที่ลูกค้าจองไว้ราคาที่กำหนดไว้ ราคาก็จะถูกลงตามไปด้วย
เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปและยอมรับว่าน้ำหนักของเครื่องประดับไม่สามารถแม่นยำ 100% ได้
ตอนที่ 198: เลิ่งเชาถิงหึง
แน่นอนว่ากู้หนิงไม่ฉกฉวยผลผระโยชน์จากลูกค้า เครื่องประดับจะหนักกว่าหรือเบากว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ สิ่งสำคัญคือให้ลูกค้าได้ราคาดีที่สุด
อีกอย่างเธอไม่ได้ใช้เงินซื้อหยกมาแพง
โจวเจิ้งหงชวนเชิญแขกร่วมรับประทานอาหารด้วยกันที่โรงแรมฮวงเติ้ง
ฉินอี้ฟาน ลี่เจินหยู ลี่เจินเจิน ไม่ได้แสดงตัวตั้งแต่เริ่มงานจนจบงาน
พนักงานร้านยังอยู่ที่ร้าน ไม่ได้ตามโจวเจิ้งหงไปที่โรงแรม พวกเขากะว่าจะกินข้าวกันตอนบ่าย
ร้านหยกบิวตี้จิวเวอรี่อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมฮวงเติ้ง เดินไปไม่กี่นาทีก็ถึง ดังนั้นคนส่วนใหญ่เลือกเดิน บางส่วนก็ขับรถไป
ระหว่างพัก เลิ่งเชาถิงมีโอกาสได้พูดคุยกับกู้หนิงตามลำพัง “ผมมีอะไรจะให้คุณด้วย”
“หืม อะไรเหรอคะ?” กู้หนิงประหลาดใจและสงสัย เธอเดินตามเขาไปที่ลานจอดรถ
เลิ่งเชาถิงหยิบเอากล่องไม้ออกมาจากรถ กล่องขนาดเท่าสองกำปั้น
กู้หนิงเปิดออกดู และสัมผัสได้ถึงพลังงานที่รุนแรงพุ่งเข้าใส่หน้าของเธอ เธอสั่นเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน เธอแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง มีเพชรขนาดใหญ่สองอันอยู่ในนั้น อันหนึ่งสีน้ำเงินและอีกอันสีแดง ทั้งสองขนาดใหญ่เท่าไข่นกกระทา
นอกจากนี้ยังมีสร้อยข้อมือหยกสีแดงเลือดหมู และหยกสีม่วงขนาดเท่าไข่ มันเป็นหยกระดับสูงที่เรียกว่าตาสีม่วง
กู้หนิงไม่รู้ราคาเพชร แต่เธอรู้จักหยกตาสีม่วงและสร้อยข้อมือหยกสีเลือดหมู
หยกตาสีม่วงอยู่ในระดับเดียวกับหยกฮกลกซิ่ว หยกตาสีม่วงนี้มีขนาดเท่ากับไข่ ราคาของมันไม่ต่ำกว่าสิบกว่าล้าน
ส่วนสร้อยข้อมือหยกสีเลือดหมูก็มีค่ามากไม่ต่างกัน กู้หนิงเคยอ่านข่าวในเน็ตว่าสร้อยหยกสีเลือดหมูที่หนักสี่สิบหกกรัมประมูลขายได้ที่ราคาสี่ร้อยแปดสิบล้านหยวน แต่สร้อยข้อมือในกล่องนี้น่าจะหนักหลายกรัม!
โดยปกติราคาประมูลจะสูงกว่าราคาตลาดมาก และราคาที่แน่นอนของเครื่องประดับขึ้นอยู่กับผู้ซื้อ ตัวอย่างเช่นทองคำมีมูลค่าสามร้อยหยวนต่อกรัมบางครั้งมีมูลค่าสองร้อยหยวนต่อกรัม ราคาของมันเปลี่ยนไปมาตลอด
“มันมีค่ามากกว่าของเขา” เลิ่งเชาถิงพูดเสียงเรียบ
กู้หนิงนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ เธอไม่รู้ว่าเขาพูดเรื่องอะไร
เลิ่งเชาถิงพูดต่อว่า “สร้อยข้อมือหยกชิ้นนี้มีค่ามากกว่าปะการังสีแดง”
ได้ยินเช่นนั้นกู้หนิงก็ร้องอ๋อในใจ เธอเข้าใจความหมายของเขาแล้ว เธอหัวเราะออกมาท้องคัดท้องแข็ง
เขาหึงเหรอเนี่ย แค่เพราะซื่อตู้เย่ส่งของขวัญราคาแพงมาให้เธอ!
กู้หนิงได้ทีจึงพูดยั่วเขาไปว่า “นายหึงเหรอ?”
เลิ่งเชาถิงหน้าแดง เขาไม่ได้ปฏิเสธ
กู้หนิงไม่รู้จะทำเช่นไรดี เลิ่งเชาถิงค่อนข้างอ่อนไหวง่ายในเรื่องนี้ วันนี้เขาหึงซื่อตู้เย่ถึงสองครั้ง
อันที่จริงไม่ใช่ความผิดของเขาทั้งหมด เพราะเธอยังไม่ตกลงเป็นแฟนเขา เขาเลยรู้สึกไม่มั่นคง เขากลัวว่าเธอจะทิ้งเขาไปหากเขาทำอะไรไม่ดี
“ฉันชอบมันมากจริงๆค่ะ” พูดจบ กู้หนิงก็เอาสร้อยข้อมือสวมที่ข้อมือตัวเอง
ไม่เพียงแค่ชอบ แต่เธอยังซาบซึ้งใจมาก มันสวยและมีค่ามากเหลือเกิน ที่สำคัญที่สุดคือมาจากเขา ยกเว้นสร้อยข้อมือ กู้หนิงดูดซับพลังงานจากของชิ้นที่เหลือในกล่อง
เมื่อวานนี้ตาทิพย์ของเธอดูดซับพลังงานจนเต็มแล้ว และระยะการมองเห็นของเธอขยายออกไปไกลถึงหนึ่งกิโลเมตร
“ไปได้มาจากไหนคะ?” กู้หนิงถามด้วยความอยากรู้
“ผมได้มาระหว่างปฏิบัติหน้าที่ บางอันก็มีคนส่งมาให้ มีอีกมากที่เมืองหลวง” เลิ่งเชาถิงตอบ
เขาไม่มีความสนใจในพวกอัญมณีต่างๆ ในสายตาของเขามันก็ไม่ต่างจากหินทั่วๆไป หากมันไม่มีราคาค่างวด เขาคงไม่เก็บเอาไว้
แต่ตอนนี้เมื่อเขารู้ว่าเธอชื่นชอบอัญมณีเป็นพิเศษ เขาจึงเก็บมันไว้ให้เธอ
กู้หนิงไม่รู้ว่าเขากลับไปเมืองหลวงเพื่อเอาของขวัญมาให้เธอจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ เธอรู้สึกอยากร้องไห้อีกครั้ง บ่อน้ำตาตื้นจริง เธอคิดในใจ ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนประเภทพูดจาอ่อนหวาน แต่ทุกสิ่งที่เขาทำนั้นมีค่ามากกว่าคำสัญญาดาษดื่นทั่วๆไป การกระทำย่อมเสียงดังกว่าคำพูด
กู้หนิงพยายามสกัดกั้นอารมณ์ที่อยากจะร้องไห้ และพูดว่า “คุณช่วยเก็บไว้ให้ฉันสักพักก่อนได้ไหมคะ? ฉันไม่สะดวกที่จะรับในตอนนี้”
มันไม่สะดวกที่เธอจะถือกล่องใบใหญ่แบบนี้ และยิ่งมีเลิ่งเชาถิงอยู่ด้วย เธอจึงไม่สามารถเก็บมันเข้าไปในช่องเก็บของในตาทิพย์ของเธอได้
เขารับกล่องมาและเก็บมันไว้ที่เดิม
จากนั้นทั้งคู่ก็พากันไปโรงแรมฮวงเติ้ง เพราะอาจารย์ไป๋และแขกคนสำคัญอยู่ที่นั่น กู้หนิงไม่ไปไม่ได้
สิ่งที่เกิดขึ้นในงานเปิดตัวร้านหยกบิวตี้จิวเวอรี่กลายเป็นกระแสก่อนที่จะออกข่าวเรื่องเล่าหกโมงครึ่งเสียอีก เมื่อข่าวออกอากาศก็เกิดกระแสในโลกอินเทอร์เน็ตในช่วงเวลาสั้นๆ ทุกคนทึ่ง โดยเฉพาะคนที่ทำงานในอุตสาหกรรมอัญมณี
โชคดีที่หยกบิวตี้ทำแค่เครื่องประดับที่ทำจากหยกเท่านั้น และยังไม่ได้ทำเครื่องประดับจากอัญมณีอย่างอื่น
ในขณะนั้นเชาผิงก็ฟื้นขึ้นมา แต่ปฏิกิริยาแรกของเขาคือการถามสถานการณ์ของหยกบิวตี้ แทนที่จะเป็นรถของตัวเอง
คุณนายเชาเอาแต่จ้องข่าว และเกิดความรู้สึกอิจฉา “ที่รัก วันนี้ร้านหยกบิวตี้จิวเวอรี่เป็นข่าวใหญ่! คนดังกว่าครึ่งหนึ่งของเมือง G มาร่วมงานเปิดตัวรวมถึงตระกูลอี้ ตระกูลไป๋ ชิงหัวกรุ๊ป ตระกูลโอ ตระกูลฝู และแม้แต่ผู้ว่า! เสนาธิการกองทัพก็ยัง......”
คุณนายเชายังพูดไม่ทันจบ เชาผิงก็ถูกข่าวตีแสกหน้า ช็อกตาตั้ง เขากระอักเลือดก่อนหมดสติไปอีกครั้ง
“ที่รัก! ที่รัก! หมอๆ ได้โปรด.....” คุณเชาตื่นตระหนกวิ่งออกไปตามหมอ
ในช่วงเวลาเดียวกัน เว่ยจื่อหมิง ผู้จัดการทั่วไปของชิงหัวกรุ๊ปติดสินใจว่าลูกชายของเขาต้องได้รับการแก้แค้น ถึงแม้จะเป็นความผิดของลูกชายของเขา เขาย่อมต้องปกป้องลูกชายไม่ว่าเขาจะทำอะไรผิด กระนั้นเขาก็ยังลังเลหลังพบว่ารถของเลิ่งเชาถิงเป็นของตระกูลอี้
แก๊งฉิงไม่กลัวตระกูลอี้ แต่เขาไม่เป็นเช่นนั้น