ตอนที่ 199: ถูกทิ้ง
มันเป็นความผิดของเว่ยเฟยหง ถ้าเขาแอบใช้กำลังของแก๊งฉิงช่วยแก้แค้นตระกูลอี้ เจ้านายของเขาคงลงโทษเขาแน่นอนหากเรื่องแดงออกไป ถึงแม้เว่ยจื่อหมิงจะกล้าบ้าบิ่น แต่จำเป็นต้องยอมแพ้
กรณีที่เว่ยเฟยหงก่อเรื่องอีก เขาต้องบอกลูกชายให้ระมัดระวังกว่านี้ เว่ยเฟยหงย่อมต้องเชื่อฟังพ่อของเขา
หลังจากทานอาหารเสร็จ กู้หนิงก็กลับไปที่ร้านกับโจวเจิ้งหง ตอนนี้ที่ร้านมีคนอยู่มากมาย
หยกจักรพรรดิถูกจองเต็ม แต่ยังจัดแสดงที่ร้านไว้ทั้งวันเพื่อให้คนเข้ามาเยี่ยมชม
เมือง G เป็นเมืองที่พัฒนาแล้วและมีคนรวยมากมายในเมืองนี้
กู้หนิงคุ้นหน้าคนๆหนึ่ง เป็นผู้หญิงที่เคยกินข้าวกับลี่เจินเจินครั้งก่อนที่กู้หนิงบังเอิญเจอลี่เจินเจินที่ร้านอาหาร
ถึงแม้จะเคยเจอหน้ากันแค่ครั้งเดียว กู้หนิงจำได้แม่นด้วยความทรงจำที่ไม่เหมือนใครของเธอ
เมื่อเห็นซูจิง กู้หนิงเผลอมองหาลี่เจินเจินว่าอยู่ที่นี่ด้วยรึเปล่า ตอนนี้เธอพร้อมแล้วที่จะเอาคืนลี่เจินเจิน แต่ลี่เจินเจินไม่อยู่ในร้าน ซูจิงมาช้อปปิ้งกับผู้ชายอายุราวๆสามสิบ
“จิงจิง ลี่เจินเจินไม่รู้ว่าคุณมาที่นี่เพื่อซื้อเครื่องประดับใช่ไหมครับ?” ผู้ชายที่มากับเธอถามขึ้น
“ฉันไม่ได้บอกเธอค่ะ ถ้าเธอรู้ว่าฉันมาที่นี่แทนที่จะไปร้านของเธอ เธอต้องโกรธฉันแน่ แต่เครื่องประดับที่ร้านของเธอธรรมดาจะตายไป และฉันไม่ชอบแบบด้วย แบรนด์ไฮเอนด์อื่นก็แพงเกินไป ร้านนี้เพิ่งเปิดและวันนี้ลูกค้าได้รับส่วนลดสิบเปอร์เซ็นต์ ฉันเลยอยากมาดูหน่อยค่ะ” ซูจิงพูดและบ่นลี่เจินเจินเล็กน้อย
ผู้ชายคนนั้นเงียบ ซูจิงจึงพูดเสริมขึ้นว่า “อ้อ เจินเจินไม่กินข้าวกับเราบ่ายนี้นะคะ เธอจะไปพบเราที่หยงเล่อคลับพรุ่งนี้เก้าโมงเช้า”
กู้หนิงได้ยินชัดเจน หลังจากรู้ตารางลี่เจินเจิน กู้หนิงก็คิดอะไรบางอย่างได้ เป็นเวลาที่เหมาะพอดี เธอจะไม่มีวันพลาดเป็นอันขาด
“ได้ แต่ผมเกรงว่าจะมีคนผิดหวังน่ะสิ” ผู้ชายคนนั้นพูดติดตลก
“ความจริงแล้วฉันเห็นใจเสิ่นนะคะ เขาเป็นหนุ่มเพลย์บอย แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปมากเพื่อเจินเจิน น่าเสียดายที่เจินเจินไม่ชอบผู้ชายคนอื่น” ซูจิงกล่าว
“แต่ผมกลับเห็นใจลี่เจินเจิน เธอตกหลุมรักผู้ชายที่ไม่ได้ชอบเธอมานานหลายปี ผมไม่เห็นว่าเธอจะได้ลงเอยกับเขา” ฝ่ายชายพูดขึ้น
“ใช่! ไม่เหมือนเราที่รักกันอย่างลึกซึ้ง” ซูจิงกล่าวพลางควงแขนชายหนุ่มอย่างมีความสุข
อย่างไรก็ตามกู้หนิงสัมผัสได้ว่าฝ่ายชายไม่ได้รู้สึกมีความสุขเหมือนซูจิง บางทีเขาอาจไม่ได้รักเธออย่างลึกซึ้งเหมือนที่เธอคิด
กู้หนิงไม่ได้ใช้เวลาอยู่ที่ร้านนาน เธอจากไปพร้อมเลิ่งเชาถิง
“ตอนนี้จะไปไหนต่อ?” เลิ่งเชาถิงถามกลังจากทั้งคู่เข้ามานั่งในรถ
กู้หนิงมีคำถามแบบเดียวกันกับเขา พวกเธอควรไปไหนต่อดี?
ขณะนั้นโทรศัพท์มือถือของเลิ่งเชาถิงก็ดังขึ้น ไม่ว่าเขาจะอยู่ไหนหรือทำอะไร ตราบใดที่เขาไม่ติดอะไร เขาจะรับสายเสมอ โดยเฉพาะคนที่โทรเข้ามาเป็นทีมของเขา ทีมของเขามักโทรหาเขาเพราะมีเรื่องสำคัญ
ครั้งนี้คนที่โทรเข้ามาคือซู่จินเฉิน เลิ่งเชาถิงไม่คิดปิดบังจึงรับสายสายต่อหน้ากู้หนิง “ว่าไง?”
“บอส นายอยู่ไหน?” ซู่จินเฉินถาม พูดให้เจาะจงคือบ่นนั่นเอง
“นายมีเรื่องสำคัญจะพูดหรือเปล่า?” ได้ยินเสียงซู่จินเฉิน เลิ่งเชาถิงรู้ได้ทันทีว่าเขาไม่มีเรื่องสำคัญที่จะพูด
“ที่จริงก็ไม่สำคัญเท่าไหร่ ฉันแค่อยากรู้ว่านายอยู่ไหนตอนนี้ เมื่อวานฉันมาเมือง F แต่โทรศัพท์นายปิดเครื่อง” ซู่จินเฉินพูด เขารู้สึกเหมือนตัวเองถูกทิ้ง
“นายมีเวลาว่างมากสินะ?” เลิ่งเชาถิงถาม
สัญชาตญานของซู่จินเฉินสัมผัสได้ถึงอันตราย ถ้าเขาบอกว่าว่าง เขาต้องถูกส่งไปที่ไหนสักแห่งแน่ “ปะ เปล่า ฉันยุ่งมาก แค่นี้นะ บาย”
ซู่จินเฉินวางสายทันที
“ฮ่า ฮ่า” กู้หนิงหัวเราะเสียงดัง เธอถามด้วยความสงสัยว่า “ทำไมเขาต้องกลัวคุณด้วย?”
ซู่จินเฉินชอบทำตัวเหมือนเด็กเวลาอยู่ต่อหน้าเลิ่งเชาถิง
“ผมลงโทษเขาไปหลายครั้ง” เลิ่งเชาถิงตอบ
“อ้อ งั้นซู่จินเฉินก็พูดถูกที่คุณใจร้ายและชอบลงโทษเพื่อนร่วมงานสินะ?” กู้หนิงถาม ถึงแม้เธอจะไม่เชื่อก็ตาม
เลิ่งเชาถิงเริ่มประหม่า อธิบายอย่างไม่รีรอว่า “เปล่านะ! พวกเราถูกฝึกมาอย่างเข้มงวด ผมลงโทษพวกเขาก็ต่อเมื่อพวกเขาขี้เกียจ พวกเขาเลยกลัวผมน่ะ”
“อืม ฉันคิดว่าคุณทำถูกแล้วค่ะ” กู้หนิงเห็นด้วย เธอเข้าใจอย่างชัดแจ้งว่าการฝึกนั้นโหดร้ายเพียงไร เมื่อคุณขี้เกียจหรือไม่เป็นไปตามมาตรฐานของการฝึก จะต้องถูกลงโทษหนัก ถ้าแข่งแกร่งไม่พอก็ต้องถูกให้ออก
กู้หนิงก็ยังไม่รู้ว่าจะไปไหนต่อดี โอ้ใช่!
“ไปที่ถนนขายของเก่า!” กู้หนิงพูด
ข่าวของหยกบิวตี้จิวเวอรี่แพร่ไปทั่วเมืองเมือง G ผู้คนต่างตะลึงกับพิธีเปิดที่ยิ่งใหญ่
คนนอกอาจลืมเรื่องนี้ไปไม่นานหลังจากที่พวกเขาอ่านข่าว แต่คนวงในโดยเฉพาะนักธุรกิจเครื่องประดับและคนรักหยกกลับไม่สนใจเรื่องนี้ไปมากกว่านี้
เชาผิงตื่นขึ้นมาหลังจากนั้นไม่นาน แต่เขาก็ยังไม่สามารถยอมรับความจริงได้ว่าโจวเจิ้งหงเป็นเจ้าของหยกบิวตี้จิวเวอรี่ที่สร้างความฮือฮาไปทั่วเมือง เขาอยากจะลืมมันทั้งหมด แต่ข่าวทางทีวีทำให้เขานึกถึงเรื่องนี้
“แล้วเรื่องประตูกับรถล่ะ? หาเจอรึยังว่าใครเป็นคนทำ?” เชาผิงถามด้วยความโกรธ เขาคิดไม่ออกว่าเขาไปทำใครไม่พอใจ ถึงได้มาทำลายประตูบ้านและรถของเขา
“ยังไม่รู้ว่าใครทำค่ะ รปภ.บอกว่าเทปบันทึกเสียหายหมด ฉันคิดว่าเป็นการจัดฉาก! มีคนตั้งใจทำเรื่องนี้และรปภ.คนนั้นต้องรับสินบน ฉันโทรหาตำรวจเรียบร้อยแล้วค่ะ” คุณนายเชาโมโหไม่ต่างกัน เธอเชื่อว่านี่ไม่ใช่อุบัติเหตุ
“หรือจะเป็นโจวเจิ้งหง? คุณเพิ่งจ้างนักเลงไปทำลายร้านของเขาเมื่อวาน จากนั้นประตูบ้านของเราและรถของคุณก็ถูกทำลายวันนี้ ไม่ใช่เขาฉันก็นึกไม่ออกแล้วว่าจะมีใครอื่นอีก” คุณนายเชากล่าว
เชาผิงคิดตาม คำพูดของภรรยามีแนวโน้มเป็นไปได้สูงมาก วันนี้ร้านหยกบิวตี้จิวเวอรี่เปิดตามแผนซึ่งหมายความว่าแผนของเขาผิดพลาดเมื่อคืน
พวกนักเลงคงทรยศเขาหากจำเป็น!
ตอนที่ 200: ซื้อที่ดิน I
เพื่อให้แน่ใจ เชาผิงรีบหยิบโทรศัพท์มือถือโทรหาหัวหน้านักเลงทันที
หัวหน้านักเลงยังไม่รับสายของเขา ดังนั้นเชาผิงจึงโทรหาหัวหน้าหูแทน
หัวหน้าหูรับสาย “สวัสดี มีอะไรครับคุณเชา?”
“สวัสดีครับหัวหน้าหู นักเลงที่ช่วยผมไปจัดการร้านของโจวเจิ้งหงเมื่อคืนนี้ พวกเขาไม่รับสายผมเลย ผมไม่รู้ว่าทำไม ผมคิดว่าพวกเขาทำงานพลาด คุณช่วยผมติดต่อพวกเขาทีได้ไหมครับ?” ถึงแม้เชาผิงจะโมโหจนเลือดขึ้นหน้า แต่ไม่กล้าใส่อารมณ์กับหัวหน้าหู
“จริงหรือ? พวกนั้นเกิดเรื่องหรือเปล่า?” หัวหน้าหูประหลาดใจที่ร้านหยกบิวตี้จิวเวอรี่สามารถรับมือกับนักเลงพวกนั้นได้
หัวหน้าหูรับคำขอร้องจากเชาผิง “เดี๋ยวผมลองติดต่อพวกเขาให้ ได้เรื่องยังไงจะแจ้งอีกที”
“ขอบคุณมากครับ!” เชาผิงพูดขอบคุณแล้ววางสาย
“ที่รัก ถ้าหากว่าโจวเจิ้งหงเป็นคนทำลายประตูบ้านและรถของเราจริงๆละคะ?”
“ถ้าหากเป็นมันจริง พวกเราก็จะทำแบบเดียวกับมัน! ครั้งมันทำให้ผมสูญเงินไปแสนหยวน!” เชาผิงกัดฟันกรอด ราวกับว่าตัวเป็นเป็นเหยื่อของเรื่องนี้
ถ้าเขาไม่ไปหาพวกนักเลงมาทำลายร้าน โจวเจิ้งหงก็คงไม่มาเอาคืนเขา อีกอย่างโจวเจิ้งหงไม่ใช่คนทำ เชาผิงเพียงแค่ไม่ชอบโจวเจิ้งหงเท่านั้น
แน่นอนว่าเชาผิงไม่โง่ขนาดแก้แค้นโจวเจิ้งหงอย่างเปิดเผย เขาวางแผนจะแก้แค้นลับๆ
กู้หนิงกับเลิ่งเชาถิงไม่ได้ไปที่ถนนขายของเก่าเพราะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นระหว่างทางไปถึงที่นั่น
พวกเธออยู่ในย่านเก่าของเมือง G และมีผู้คนมากมายรวมทั้งตำรวจรวมตัวกันบริเวณทางเข้าถนนแห่งหนึ่ง กำลังโต้เถียงกันอย่างดุเดือด
เลิ่งเชาถิงที่เป็นถึงเจ้าหน้าที่ทหารไม่สามารถละเลยได้ เขาจึงจอดรถไว้ข้างทาง แล้วลงจากรถเดินไปที่เกิดเหตุ
คนสองกลุ่มกำลังยืนโต้เถียงกันอยู่ท่ามกลางคนมุง
กลุ่มหนึ่งเป็นพลเมืองมีไม้และไม้กวาดอยู่ในมือ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งเป็นตำรวจทุกคนถือปืนในมือ
“ติงเป่ยเว่ย การใช้ความรุนแรงกับตำรวจถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ในฐานะอาจารย์อาวุโส คุณน่าจะทราบเรื่องนี้นะ! กล้าดียังไงถึงได้ถึงได้นำคนมาต่อต้านเรากลางถนน! คุณจะต้องถูกจับไปสถานีตำรวจ!” ผู้ชายอายุสามสิบปีพูดเสียงดังใส่ชายอายุสี่สิบ
“เป็นคุณต่างหากที่ไม่ซื่อสัตย์! คุณโทษพวกเราไม่ได้ พวกเราเห็นด้วยที่นักธุรกิจจำเป็นต้องได้ที่ดินเพื่อพัฒนาเมืองใหม่ แต่อย่างน้อยคุณก็ต้องให้ราคาที่สมเหตุสมผลกับพวกเราด้วยสิ!” ติงเป่ยเว่ยเถียงกลับอย่างไม่ลดราวาศอก
ได้ยินแบบนั้นกู้หนิงก็เข้าใจสถานการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต้องการที่ดิน แต่ถูกปฏิเสธเพราะค่าตอบแทนต่ำ
“ใช่! คิดว่าพวกเราไม่รู้เหรอ การเข้าซื้อที่ดินในตงเชิงเมื่อปีที่แล้วเป็นตัวอย่างที่ดี ที่ตั้งของที่ดินมีลักษณะคล้ายกับถนนเจิ้งหยาง และโครงสร้างมีมูลค่าสองหมื่นหยวน ในขณะที่ดินอยู่ที่หนึ่งหมื่นหยวนต่อตารางเมตร ดูตอนนี้สิ พวกคุณคิดจะทำอะไร? โครงสร้างมีราคาแค่หนึ่งหมื่นห้าพันหยวนและที่ดินมีราคาแค่เจ็ดพันหยวนต่อตารางเมตร ทำแบบนี้ไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยรึไง?” อีกคนพูดด้วยความไม่พอใจ
“ทำไมคุณถึงได้ร้ายกาจแบบนี้? ไม่กลัวถูกพระเจ้าลงโทษเลยเรอะ?”
พลเมืองวิพากษ์วิจารณ์
ได้ยินเช่นนั้นกู้หนิงก็ไม่พอใจ นี่มันไม่ยุติธรรมเลย!
เธอสำรวจพื้นที่รอบๆ เป็นทำเลที่ดีมากและสมเหตุสมผลหากมีมูลค่าโครงสร้างอยู่ที่สองหมื่นหยวน และที่ดินมีราคาหนึ่งหมื่นหยวนต่อตะรางเมตร แม้ว่าจะเป็นเขตเมืองเก่าที่ไม่เจริญเท่าเขตใหม่ แต่มีโรงเรียนอยู่รอบๆ รวมถึงโรงเรียนประถม มัธยมต้น และมัธยมปลาย ดังนั้นหลายคนจึงมาซื้อบ้านกันที่นี่เพื่อที่จะได้มีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น
คิดได้แบบนั้นกู้หนิงก็คิดอะไรขึ้นมาได้ เธอตัดสินใจจะซื้อที่ดินนี่เอง
ในเมื่อหงหยุนเรียลเอสเตจให้ราคาต่ำแก่พวกเขา เธอจะเสนอราคาสูงกว่าที่สมเหตุสมผล
“คุณ...” ผู้ชายที่ยืนประจันหน้ากับติงเป่ยเว่ยชื่อว่าจางกวงตี้ เขาเป็นผู้นำในย่านนี้ และเข้าไม่รู้ว่าจะโต้เถียงกับคนกลุ่มนี้ยังไง เพราะเขามีแผนจะเอาเงินพิเศษเข้ากระเป๋าตัวเอง
“จางกวงตี้ ถ้าหงหยุนเรียลเอสเตจไม่สามารถให้ราคาที่สมเหตุสมผลแก่พวกเราได้ พวกเราไม่รับปากว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ติงเป่ยเว่ยพูด
“ได้! มาดูกันว่าคุณจะทำอะไรได้!” จางกวงตี้ไม่รู้จะแก้ปัญหายังไงแล้วตอนนี้ ดังนั้นเขาทำได้แค่พูดข่มขู่ก่อนเดินจากไปพร้อมตำรวจ
โชคดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บกับเหตุการณ์วุ่นวายนี้
หลังจากที่จางกวงตี้และตำรวจกลับไป กู้หนิงก็เดินเข้าไปหาติงเป่ยเว่ย
ถึงแม้เลิ่งเชาถิงจะไม่รู้ว่ากู้หนิงคิดจะทำอะไร เขารอในรถตามที่เธอบอก
“สวัสดีค่ะคุณติง ขอฉันพูดเป็นการส่วนตัวได้ไหมคะ?” กู้หนิงถามอย่างสุภาพ
ในเมื่อติงเป่ยเว่ยสามารถนำคนมาต่อต้านการซื้อที่ดินได้ เขาต้องมีอิทธิพลต่อคนแถวนี้พอสมควร
ติงเป่ยเว่ยคิดว่ากู้หนิงเป็นเด็กนักเรียนคนหนึ่ง แต่เขาไม่รู้จักเธอ แต่ในเมื่อเธอมีเรื่องอยากจะพูดกับเขา เขาก็ไม่ปฏิเสธ ติงเป่ยเว่ยเดินหลบไปคุยกับกู้หนิงที่ข้างทาง
“เธออยากจะพูดอะไรกับฉันเหรอ?” ติงเป่ยเว่ยถาม เขายังอารมณ์เสียไม่หายแต่พยายามทำตัวสุภาพต่อกู้หนิง
กู้หนิงไม่ปิดบังความตั้งใจของเธอ และถามออกไปตรงๆว่า “ฉันเห็นว่าคุณทะเลาะกับคนมาซื้อที่ดิน เป็นเพราะคุณไม่อยากย้ายออกจากที่ตรงนี้หรือคุณไม่พอใจค่าตอบแทน?”
ติงเป่ยเว่ยถอนหายใจและอธิบายว่า “ฉันอาศัยอยู่ที่นี่มาสิบกว่าปี แน่นอนว่าไม่อยากย้ายออก แต่พวกเรารู้ว่าเมืองจำเป็นต้องพัฒนา ไม่ช้าหรือเร็วก็ต้องมีการรื้อถอนอยู่ดี พวกเราไม่อาจสู้กับรัฐบาลได้ แต่...แต่ราคาที่หงหยุนเสนอนั้นต่ำเกินไป”
“ถ้าหากว่าฉันสามารถให้ราคาที่สมเหตุสมผลกับคุณได้ สิ่งก่อสร้างราคาสองหมื่นหยวน และพื้นที่ตึกรอบๆราคาหนึ่งหมื่นหยวนต่อตารางเมตร คุณเต็มใจจะขายให้ฉันไหมคะ?”
“อะไรนะ?” ติงเป่ยเว่ยตกใจ เขาไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
ถ้าผู้หญิงอายุสามสิบปีพูดกับเขา เขาคงไม่ตกใจขนาดนี้ แต่เธอน่าจะเป็นเพียงเด็กสาววัยรุ่นเท่านั้น