ตอนที่ 335 การตายของเหล่าซานและร่างสีดำที่เคลื่อนไหวได้
เพราะแสงจ้าของไข่มุกเรืองแสง ค้างคาวกลุ่มใหญ่จึงได้แต่บินผ่านไป ไม่กล้าเข้ามาข้างใน
ก่อนที่กู้หนิงและเลิ่งเชาถิงจะออกไป เธอพูดกับเหล่าต้าและคนอื่นๆในห้องว่า “นี่เป็นสิ่งที่เขาเลือกเอง ไม่ว่าเขาจะอยู่หรือตาย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน”
เหล่าต้าและคนอื่นๆมองหน้ากัน แม้ว่าเหล่าซานจะเอาชีวิตไปทิ้งข้างนอก พวกเขาก็ไม่สามารถโทษใครได้
“เมื่อพวกเราออกไปแล้ว รีบปิดประตูทันที” กู้หนิงพูดย้ำเตือนพวกเขาอีกครั้ง
คล้อยหลังกู้หนิงและเลิ่งเชาถิง เหล่าต้าปิดประตูทันที ค้างคาวจึงไม่มีโอกาสบินเข้ามาข้างใน
ในอุโมงค์ฝังศพ เหล่าซานกำลังถือคบเพลิงที่กำลังลุกไหม้อยู่ ค้างคาวจึงไม่กล้าเข้าใกล้มากนัก แต่แสงจากคบเพลิงดวงเดียวนั้นอ่อนเกินไปสำหรับค้างคาวนับพัน ทำให้มีค้างคาวบางตัวเข้ามาโจมตีเหล่าซานบ้างเป็นบางครั้งซึ่งทำให้เขาตื่นตระหนก
ส่วนกู้หนิงและเลิ่งเชาถิง พวกเขามีไข่มุกเรืองแสงที่คอยปกป้องพวกเขาจากค้างคาว แต่ถ้าไม่ฆ่าค้างคาวก็ถือว่ายังเป็นอันตรายอยู่ ไม่มีใครรับปากได้ว่าค้างคาวจะไม่โจมตีพวกเขาเมื่อมีโอกาส
ในเวลานี้ กู้หนิงได้ยินเสียงตะโกนที่เจ็บปวดของเหล่าซาน เห็นได้ชัดว่าเขาถูกค้างคาวกัด เหล่าซานใช้ยาแก้พิษของเขาเพื่อห้ามพิษของค้างคาว และถึงแม้ว่าเขาจะรอดชีวิตมาได้ แต่เขาก็ยังอ่อนแอมาก
“ขอถามคุณเป็นครั้งสุดท้าย อยากได้วัตถุพวกนี้หรือชีวิตของตัวเอง?” กู้หนิงยังคงแสดงน้ำใจต่อเหล่าซานโดยให้โอกาสเขาเป็นครั้งสุดท้าย
“ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเธอ!” เหล่าซานตะโกนด้วยความโกรธและเดินต่อไปข้างหน้า
ในเมื่อเขาพูดเช่นนั้น กู้หนิงก็ไม่พูดโน้มน้าวเขาอีก
เธอหยิบเครื่องพ่นไฟออกจากกระเป๋าเป้สะพายหลังและพ่นไฟใส่กลุ่มค้างคาวสีดำ เครื่องพ่นไฟปล่อยเปลวไฟที่มีความยาวสองเมตรและกว้างสิบเซนติเมตร เมื่อเปลวไฟถูกพ่นออกไป ฝูงค้างคาวก็ถูกไฟเผา พวกมันต่อสู้ดิ้นรนแล้วก็ตายตกลงมา
เหล่าซานอิจฉากู้หนิงและเลิ่งเชาถิงมาก เขาอยากจะคว้าไข่มุกเรืองแสงและเครื่องพ่นไฟจากพวกเขา แต่กลัวว่าจะไม่สามารถเอาชนะพวกเขาเพียงลำพังได้
หลังจากพ่นไฟไปสามครั้ง ค้างคาวที่อยู่ด้านหลังกู้หนิงก็ตายเรียบ ยังมีบางส่วนที่บินหลบไปซ่อนตามมุมต่างๆ ตราบใดที่พวกมันไม่เข้ามาโจมตีพวกเธอ เธอก็จะไม่ทำร้ายมัน
กู้หนิงฆ่าเฉพาะค้างคาวที่อยู่ข้างหลังเธอ แต่ค้างคาวที่อยู่หน้าเหล่าซานยังมีอยู่อีกมาก ด้วยคบเพลิงอันลุกโชนเพียงอันเดียว เขาแทบจะหนีไม่พ้นการโจมตีของพวกมัน
เหล่าซานไปที่ห้องโถงที่พวกเขาเปิดไว้ก่อนที่ค้างคาวจะบินออกมา แต่เขาเข้าไปข้างในไม่ได้ทันทีเพราะว่าค้างคาวกำลังบินออกจากห้องโถงนี้ เขามองเข้าไปข้างในอย่างระมัดระวัง
ภายในห้องโถงเหลือค้างคาวอยู่ไม่มาก พวกมันบินหนีทันทีที่เห็นไฟจากคบเพลิง
“อย่าเข้าไปข้างใน!” กู้หนิงพยายามหยุดเหล่าซาน แต่เขาปฏิเสธที่จะฟังเธอ เหล่าซานเดินเข้าไปข้างในและต่อมาก็กรีดร้องด้วยความสยดสยองและเจ็บปวด เมื่อกู้หนิงตามมาถึง เธอเห็นเหล่าซานนอนอยู่บนพื้น มีเลือดออกทั่วตัว เขาตายแล้ว และมีร่างสีดำร่างหนึ่งยืนจังก้าอยู่หน้าเหล่าซาน มันเป็นผีดิบ เธอตกใจมากเมื่อพบว่ามีผีดิบอยู่ในโลกนี้จริงๆ
เป็นเพราะเธอตะลึงมากจนไม่สามารถหยุดเหล่าซานได้ทันเวลา แต่เธอได้เตือนเขาแล้วว่าอย่าเข้าไปข้างใน ถ้าเขาฟังเธอสักนิด เขาจะไม่ถูกฆ่าตาย
ในห้องโถงแรก ชายสามคนได้ยินเสียงกู้หนิงและเสียงกรีดร้องของเหล่าซาน พวกเขามีลางสังหรณ์ว่าเหล่าซานกำลังมีเรื่อง ถ้าเหล่าเกิดเรื่องจริงๆ พวกเขาก็คงจะรู้สึกแย่เหมือนกันเพราะพวกเขาทำงานด้วยกันมาสองปีแล้ว
“ลูกพี่ เหล่าซานเกิดเรื่องหรือ?” เหล่าเอ้อร์ถาม
“ข้าเองก็ไม่รู้” เหล่าซานตอบ
เลิงเชาถิงก็ตะลึงเช่นกันเมื่อร่างกายเคลื่อนไหวสีดำปรากฏขึ้นในสายตาของเขา “นั่นมันตัวอะไรกันแน่?” เขาเคยผ่านสถานการณ์และสถานที่อันตรายมากมาย ต่อสู้ในป่าฝนอเมซอนก็ผ่านมาแล้ว เขาไม่เคยตื่นตระหนกต่อหน้าสัตว์ร้ายหรือศัตรูที่น่ากลัว อย่างไรก็ตาม ร่างกายที่เคลื่อนไหวสีดำนี้แปลกประหลาดและน่ากลัวเกินไป มันดูเหมือนมนุษย์ แต่มีขนสีดำอยู่ทั่วร่าง ดูคล้ายกอริลลา แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่
“ผีดิบ” กู้หนิงเอ่ย ไม่ใช่ผีดิบธรรมดาที่พวกเขาเคยเห็นในภาพยนตร์สยองขวัญ ผีดิบตัวนี้มีกลิ่นเหมือนซากศพที่เน่าเหม็นซึ่งค่อนข้างน่าขยะแขยง
อะไรนะ? ผีดิบ? เลิ่งเชาถิงตกตะลึง เขาเคยได้ยินแต่ว่ามันมีแค่ในนิทานหรือไม่ก็ตำนาน ไม่น่าเชื่อว่าจะมีผีดิบตัวเป็นๆบนโลกใบนี้? มุมมองเดิมของเขาเกี่ยวกับโลกนี้เริ่มเปลี่ยนไป
ผีดิบก็กลัวแสงสว่างและไฟเช่นกัน ดังนั้นมันจึงไม่กล้าเข้าใกล้พวกเขาเพราะไข่มุกเรืองในมือของเลิ่งเชาถิง แต่มันอันตรายยิ่งกว่าฝูงค้างคาม มันโยนโลงใส่พวกเขาโดยไม่ลังเล
มันเกิดขึ้นอย่างกะทันหันและรวดเร็วมาก กู้หนิงและเลิ่งเชาถิงเกือบถูกโลงทับ ทั้งสองกลิ้งหลบไปคนละทาง กู้หนิงหลุดจากแสงไข่มุก ผีดิบได้โอกาสโจมตีเธอทันที
“หนิงหนิง!” เลิ่งเชาถิงตกใจ เขารีบวิ่งไปหาเธอแต่ผีดิบเคลื่อนไหวเร็วกว่าเขามาก มันเข้ามาประชิดตัวกู้หนิงราวสายฟ้าฟาด
กู้หนิงไม่ใช่หญิงสาวเปราะบาง เธอสู้มันกลับด้วยพลังของเธอ ดังนั้นมันจึงไม่ได้ทำให้เธอบาดเจ็บ ในขณะเดียวกันกู้หนิงก็พูดกับเลิ่งเชาถิงว่า “ถือไข่มุกเรืองแสงไว้ อย่าให้หลุดจากมือ!”
กู้หนิงกังวลว่าเลิ่งเชาถิงจะเผลอทิ้งไข่มุกเรืองแสงเพื่อมาช่วยเธอ ถ้าหากไข่มุกเรืองแสงหลุดมือไปมันจะยิ่งทำให้ผีดิบได้เปรียบมากขึ้น และเลิ่งเชาถิงก็จะได้รับผลกระทบจากพลังหยิน
เลิ่งเชาถิงถือไข่มุ่กเรืองแสงไว้แน่น โชคดีที่กู้หนิงไม่บาดเจ็บ แต่เขาก็ยังต้องการเข้าไปช่วยเธอ
ตอนที่ 336 กระดิ่งทองสัมฤทธิ์
เลิ่งเชาถิงระมัดระวัง ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้เร็วเกินไปเพราะกลัวว่าไข่มุกเรืองแสงจะหลุดจากมือ เขาหยิบปืนออกมา ยิงไปที่ด้านหลังของผีดิบ ทว่ากระสุนไม่สามารถทำร้ายมันได้เลย
“ปืนหรือมีดไร้ประโยชน์ มันกลัวแค่แสงสว่างกับไฟเท่านั้น” กู้หนิงพูดกับเลิ่งเชาถิง
ผีดิบหันกลับมาอย่างกะทันหันเมื่อมันถูกยิงที่ด้านหลัง มันต้องการโจมตีเลิ่งเชาถิงแต่กลัวแสงจ้า ดังนั้นมันจึงหันหลังกลับไปโจมตีกู้หนิง
ในช่วงสามวินาทีที่ผีดิบหันหลังกลับ ในที่สุดกู้หนิงก็มีโอกาสดึงเครื่องพ่นไฟออกมาและพ่นไฟใส่มัน
บูม! เปลวเพลิงเผาผีดิบ มันกรีดร้องและกระโดดไปมาอย่างเจ็บปวด กู้หนิงหยิบขวดน้ำมันออกมาแล้วสาดใส่บนตัวผีดิบ เปลวไฟก็โหมแรงขึ้นทันที เสียงกรีดร้องอันเจ็บปวดของผีดิบนั้นค่อนข้างน่ากลัวและได้กลิ่นเหม็นไหม้ฉุนเฉียวมาก
ชายสามคนในห้องโถงห้องแรกต่างรู้สึกหวาดกลัวกับเสียงกรีดร้องอันน่าสะพรึงกลัว และมันก็ไม่เหมือนเสียงของมนุษย์เลยแม้แต่น้อย
“เสียงตัวอะไรน่ะ? มนุษย์ไม่มีทางทำเสียงแบบนั้นได้แน่” ใบหน้าของเหล่าหยวนซีดเผือด เขาตัวสั่นด้วยความกลัวด้านหลังเหล่าต้า
“มีสัตว์ประหลาดตัวอื่นด้วยเหรอ?” เหล่าเอ้อร์ก็กลัวไม่ต่างกันและได้แต่เดาสงสัย
เหล่าต้ายังคงเงียบ ถึงแม้เขาจะคิดว่ามันไม่ใช่เสียงของมนุษย์ เขาก็ไม่ต้องการทำให้ตัวเองกลัว พวกเขาต้องการออกไปดูด้วยตัวเอง แต่ไม่มีใครกล้าขยับตัวแม้แต่ก้าวเดียว
ผีดิบหยุดดิ้นรนหลังจากถูกเผาด้วยไฟแรงนานกว่า 10 นาที มันล้มลงกับพื้น แต่ก็ยังมีไฟลุกท่วมอยู่
“จับตาดูมันไว้เผื่อมันขยับตัวได้อีก ฉันจะไปค้นหาวัตถุโบราณในโลง” กู้หนิงพูดกับเลิ่งเชาถิงก่อนเดินไปที่โลงศพ
กู้หนิงไม่ต้องการให้เลิ่งเชาถิงตามเธอมา เพราะเธอวางแผนที่จะแอบนำวัตถุโบราณไปไว้ในพื้นที่กระแสจิตของเธอ นอกจากนี้ยังมีพลังหยินจำนวนมากรอบๆ วัตถุโบราณเหล่านี้ เธอไม่ต้องการให้เขาสัมผัสพวกมันแม้ว่าเขาจะมีไข่มุกเรืองแสงอยู่ในมือ
ถึงแม้ว่าผีดิบจะหยุดดิ้นรนแล้ว มันยังตัวกระตุกเป็นระยะๆ เลิ่งเชาถิงกังวลว่ามันจะลุกขึ้นมากะทันหัน ดังนั้นเขาจึงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม คอยดูมันไว้
กู้หนิงเดินไปที่โลงศพ มีวัตถุโบราณในโลงศพไม่มาก แต่มูลค่าของมันประเมินค่าไม่ได้ พวกมมันส่วนใหญ่ทำจากทองสัมฤทธิ์ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหลุมศพนี้ต้องสร้างขึ้นในยุคสงคราม
โลงศพมีทองสัมฤทธิ์ 12 ชิ้น รวมถึงดาบทองแดง หม้อทองแดงรูปนกและสัตว์ร้ายรูปปั้นทองสัมฤทธิ์รูปสัตว์ และอื่นๆ วัตถุโบราณเหล่านั้นถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำสนิท และไม่มีสัมผัสของหมอกสีขาวเลย
ชายผู้ถูกฝังอยู่ในโลงศพได้กลายเป็นผีดิบไปแล้ว ดังนั้นวัตถุโบราณที่อยู่ในโลงนี้มีไอพลังชั่วร้ายมาก
กู้หนิงใส่ทองสัมฤทธิ์ห้าชิ้นลงในช่องเก็บของกระแสจิตของเธอ และทองแดงอีกเจ็ดชิ้นถูกยัดใส่ลงในกระเป๋าเป้สะพายหลัง
อันที่จริงเธอใส่ทองสัมฤทธิ์บางส่วนลงในกระเป๋าเป้สะพายหลังเผื่อว่าเขาจะคิดว่ามันแปลกที่กระเป๋าเป้ของเธอดูเหมือนเดิมหลังจากที่เธอใส่ของเข้าไปมากมาย
หลังจากนั้นกู้หนิงก็เดินกลับไปหาเลิ่งเชาถิง ผีดิบยังคงตัวกระตุกเป็นเนืองๆ ดังนั้นพวกเขาจึงยังไปไม่ได้
กู้หนิงใช้ตาทิพย์มองเข้าไปในห้องโถงอีกห้องหนึ่งที่ปิดสนิท ไม่มีโลงศพอยู่ในนั้น มีแต่กล่องไม้และชุดกระดิ่งทองสัมฤทธิ์ เมื่อเห็นกระดิ่งทองสัมฤทธิ์ กู้หนิงก็รู้ได้ทันทีว่ามันต้องมีค่ามาก
กระดิ่งทองสัมฤทธิ์มีทั้งหมด 65 ชิ้น แบ่งเป็น 3 ชั้น 9 กลุ่มตามขนาด ในปี 19XX ในหลุมฝังศพของราชวงศ์โจวตะวันออก มีการขุดกระดิ่งทองสัมฤทธิ์สองชุด กลุ่มหนึ่งประกอบด้วยเก้าชิ้น ในขณะที่อีกกลุ่มประกอบด้วยเจ็ดชิ้น กระดิ่งทองสัมฤทธิ์ได้รับการตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม จากการวิจัยมันเป็นเครื่องมือในราชสำนักของอู่เกา ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง แม้หลังจากถูกฝังอยู่ในดินเป็นเวลา 2,500 ปีแล้ว เสียงกระดิ่งทั้งสองชุดก็ยังส่งเสียงได้ชัดเจนและไพเราะ น่าเสียดายที่ชุดกระดิ่งทองแดงซึ่งประกอบด้วยสามชั้นและเก้ากลุ่มยังคงขาดหายไป
หากมีการค้นพบกระดิ่งทองสัมฤทธิ์ในหลุมศพโบราณนี้ มันจะทำให้เกิดความแตกตื่นในอุตสาหกรรมดนตรี ศิลปะ และโบราณวัตถุ พิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงหลายแห่งจะสู้กันเพื่อแย่งกันครอบครอง ยิ่งไปกว่านั้นทั้งชุดมีมูลค่าอย่างน้อยหลายพันล้านหยวน ซึ่งค่อนข้างน่าตื่นเต้น และในกล่องไม้ก็มีของโบราณชิ้นอื่นๆ
วัตถุโบราณทั้งหมดในห้องโถงนี้ถูกปกคลุมไปด้วยพลังธรรมชาติอย่างหมดจด
กู้หนิงคิดอยู่ครู่หนึ่งและคิดออก วัตถุโบราณที่เธอเพิ่งค้นพบถูกฝังไว้กับชายคนหนึ่ง ซึ่งต้องถูกทรมานก่อนที่จะถูกฆ่า ดังนั้นวัตถุโบราณเหล่านั้นจึงได้รับผลกระทบจากความเกลียดชังอันลึกซึ้งของเขา และห้องโถงนี้ชุดระฆังทองสัมฤทธิ์ถูกแยกออกจากอันนั้น ดังนั้นจึงไม่มีพลังหยินอยู่ในนั้น
ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะหยิบวัตถุโบราณในกล่องไม้ แต่ชุดกระดิ่งทองสัมฤทธิ์นั้นหนักเกินกว่าจะถือได้ กู้หนิงจึงต้องใส่มันเข้าไปในช่องเก็บของกระแสจิต และเธอต้องไม่ให้เลิ่งเชาถิงเห็น ดังนั้นกู้หนิงจึงพูดกับเลิ่งเชาถิงว่า “เชาถิง คุณอยู่ที่นี่ ฉันจะออกไปดู ถ้าคุณห่วงฉันก็ยืนอยู่ตรงประตูคอยดูเจ้าผีดิบตัวนี้และฉันได้”
แน่นอนว่าเลิ่งเชาถิงห่วงกู้หนิง แต่เขารับปากเธอว่าจะยืนอยู่ตรงนี้
ห้องโถงที่กู้หนิงจะเข้าไปดูอยู่ไม่ไกล เพียงสี่เมตรเท่านั้น เลิ่งเชาถิงยืนอยู่ที่ประตู จ้องมองไปที่ผีดิบที่ยังคงไหม้อยู่ และจับตาดูกู้หนิงในเวลาเดียวกัน
กู้หนิงไปใช้ตาทิพย์เพื่อตรวจสอบประตู โชคดีที่ไม่มีกับดักหรือผงพิษ เธอเปิดประตูออก เลิ่งเชาถิงตกใจ เขากังวลว่าจะมีค้างคาวหรือผีดิบตัวอื่นอยู่ข้างใน
“หนิงหนิง!” เลิ่งเชาถิงเรียกกู้หนิงด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรค่ะ” กู้หนิงเอ่ย จากนั้นผลักประตูเข้าไป
เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแปลก ๆ ออกมา เลิ่งเชาถิงก็ผ่อนคลาย กู้หนิงใช้ไฟฉายส่องไปเข้าไปข้างในและพูดกับเลิ่งเชาถิงว่า “ไม่มีอะไรน่ากลัวในนั้น มีแต่ทองสัมฤทธิ์”
เลิ่งเชาถิงโล่งใจ
หลังจากนั้นกู้หนิงก็เดินเข้าไปข้างใน เธอเอากระดิ่งทองสัมฤทธิ์เก็บในช่องเก็บของกระแสจิตของเธอทันที และเปิดกล่องไม้ดู มีทองสัมฤทธิ์อยู่เป็นจำนวนมาก เนื่องจากทองสัมฤทธิ์ค่อนข้างเป็นที่นิยมในช่วงสงครามระหว่างแคว้น กู้หนิงนำกล่องไม้ออกมาแล้ววางลงที่ประตู จากนั้นเธอก็กลับไปตรวจดูผีดิบ ที่ในที่สุดมันก็หยุดกระตุกและเกือบไหม้เป็นเถ้าถ่าน เป็นไปไม่ได้ที่มันจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง