Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (หมอกร้ายเริ่มคืบคลาน)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

หมอกร้ายเริ่มคืบคลาน

  • 02/09/2565

ตอนที่ 146

หมอกร้ายเริ่มคืบคลาน

ตึกใหญ่ ภายในย่อมกว้างขวางรโหฐาน บัดนี้ล้วนชุมนุมไปด้วยบรรดามิตรสหายชาวยุทธจักร

จ่านจือถูกแยกออกมาอีกห้องหนึ่ง เยี่ยนผิงตามติดมิห่างกาย เอี้ยวเซียวหายหน้าไปไม่นานนัก กลับออกมาพร้อมกับเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน

เมื่อศิษย์อาจารย์ได้พบหน้ากัน มิทราบว่าความรู้สึกภายในจิตใจของทั้งสองศิษย์อาจารย์เป็นเช่นไร? เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนคล้ายชราภาพลงไปบ้าง แต่ยังคงรักษาบุคลิกภาพของผู้เยี่ยมยุทธ์เอาไว้ไม่เปลี่ยนแปลง สีหน้าของผู้เป็นอาจารย์เปี่ยมล้นเมตตา แต่คล้ายยังตระหนกตกใจอยู่ในสายตาและบนใบหน้า

จ่านจือส่งเสียงกล่าวทักทายขึ้นก่อนว่า

“ศิษย์จ่านจือคารวะท่านอาจารย์ มิพบพานท่านไม่นาน คล้ายกับมิได้เจอะเจอเนิ่นนานแรมปี ท่านอาจารย์สบาย?”

เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“เราสบายดี เพียงแต่ชราลงไปบ้าง ส่วนเจ้าจากคำบอกเล่าของเอี้ยวเซียว คงต้องลำบากมากมายนัก อาการบาดเจ็บภายนอกยังดูมากมายเพียงนี้ อาการบาดเจ็บภายในคงมิต้องให้กล่าวถึงแล้ว”

น้ำเสียงที่กล่าวของเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน สะทกสะท้อนยิ่ง ท่านก้าวเดินเข้ามา แล้วทรุดนั่งลงตรงหน้าจ่านจือ ซึ่งปูไว้ด้วยอาสนะทอลวดลายสุริยันและจันทรา เมื่อจับตรวจชีพจรของจ่านจืออยู่ครู่หนึ่ง ส่งเสียงกล่าวว่า

“จุดชีพจรล้วนสูญสิ้น เอ็นมือเท้าขาดสะบั้น กระดูกแขนขายังถูกหักทำลาย แม้นกระดูกอาจมีวันต่อติด แต่พลังยุทธ์ที่ฝึกปรือกลับสูญสิ้นอันตรธาน อาจารย์เวทนาสงสารเจ้ายิ่ง คาดคิดมิถึงจะต้องพบพานวาสนาอาภัพถึงเพียงนี้”

เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนทอดถอนใจ แววตาเวทนาสะทกสะท้อนสงสารจ่านจือยิ่ง ท่านเคลื่อนย้ายมาทางด้านหลังของจ่านจือ ทาบทับสองฝ่ามือลงบนแผ่นหลังของเขา หลังจากทั้งสองหลับตาอยู่ครู่หนึ่งจึงลืมตาขึ้น

เมื่อเคลื่อนย้ายจ่านจือไปยังห้องพักแล้ว เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน หันมากล่าวกับเยี่ยนผิง และเอี้ยวเซียวว่า

“เราจะออกไปต้อนรับเหล่าชาวยุทธจักร คิดว่าหลังจากนี้คงมีชาวยุทธจักรอีกมากมายเดินทางขึ้นเขาหมื่นเซียน เราเป็นคนส่งข่าวออกไปถึงชาวยุทธจักรเอง อีกสิบห้าวันหลังจากนี้ จะมีชุมนุมใหญ่อีกครั้งยังเขาหมื่นเซียนแห่งนี้”

เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ไม่ปล่อยให้เยี่ยนผิง กับจ่านจือเอ่ยถามเกี่ยวกับเรื่องราวการชุมนุม ส่วนเอี้ยวเซียวคล้ายนางทราบเรื่องราวนี้อยู่ก่อนแล้ว เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน เอ่ยกล่าวต่อเยี่ยนผิงว่า

“เราผู้เป็นอาจารย์แม้เวทนาสงสารศิษย์เพียงใด? แต่สำหรับการดูแลเขาแล้ว เจ้าน่าจะทำหน้าที่นี้ได้ดียิ่งกว่าเรา ดังนั้นเราจึงต้องรบกวนเจ้าแล้ว หลังจากอาบน้ำผลัดเปลี่ยนชุดใหม่แล้ว เราจะบอกให้คนนำเก้าอี้นั่งมีล้อมารับตัวเขาไปยังห้องโถงใหญ่”

จากนั้นหันมากล่าวกับเอี้ยวเซียวว่า

“เจ้าเองรีบติดตามเราออกไป ปล่อยให้พวกเขาอาบน้ำผ่อนคลายสักครู่ เรายังมีเรื่องราวมากมายต้องกล่าวกับเหล่าชาวยุทธจักร”

กล่าวจบ เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ก้าวเท้าออกไปจากห้องนั้น เอี้ยวเซียวนางก็เช่นกัน หันมาสบตากับจ่านจือ และเยี่ยนผิงวูบหนึ่ง ก่อนที่จะก้าวเท้าตามติดออกไป

จ่านจือ กับเยี่ยนผิง ทั้งสองหันมาสบตากันวูบหนึ่งเช่นกัน จากนั้นมองตามเงาหลังของเอี้ยวเซียวไป สิ่งที่ทั้งสองจับจ้องมอง กลับเป็นดาบวงพระจันทร์ซึ่งเหน็บอยู่ที่ซอกเอวของเอี้ยวเซียวนั่นเอง

เยี่ยนผิงหลังจากเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้กับจ่านจือแล้ว หยิบชุดใหม่ผลัดเปลี่ยนให้กับเขา จ่านจือแขนขาล้วนถูกดามพันเฝือกไม้เอาไว้ ไม่อาจเคลื่อนไหวได้สะดวกนัก

ขณะที่เยี่ยนผิงนางเข้าไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ จ่านจือรู้สึกสะทกสะท้อนกับชะตาของตนเองมิได้ ในห้วงความคิดหวนนึกถึงหลิวซุ่นกงกงแห่งหมู่ตึกกระเรียนฟ้าขึ้นมา ในเวลานี้สภาพของเขาย่อมไม่แตกต่างกับอาวุโสหลิวซุ่นเท่าใด สภาพของท่านครั้งถูกกักขังยังเขตหวงห้ามของสำนักอสูรโลกันตร์

จ่านจือหยุดยั้งความคิดลง เมื่อเยี่ยนผิงก้าวออกมาในชุดใหม่ นางอยู่ในชุดสีน้ำทะเลเข้ม ซึ่งดูงดงามปานเทพธิดา งดงามยิ่งกระทั่งจ่านจือเผลอลืมตัวจ้องมองนางจนตาค้างตะลึงงัน

“จ่านจือ ท่านเป็นกระไรไป? ไฉนจ้องมองข้าพเจ้าปานนั้น”

จ่านจือค่อยรู้สึกตัว บอกกล่าวออกไปตามตรงว่า

“เยี่ยนผิง ท่านในชุดใหม่งดงามเหลือเกิน งดงามจนกระทั่งข้าพเจ้าคล้ายกลายเป็นตัวโง่งม คล้ายตกอยู่ในห้วงความฝันอันล่องลอยปานฉะนั้น”

จากนั้นน้ำเสียงเปลี่ยนแปรเป็นสะทกสะท้อนกล่าวว่า

“แต่บัดนี้ข้าพเจ้ามิได้คล้ายกลายเป็นตัวโง่งม แต่เป็นตัวโง่งมจริง ๆ แล้ว สภาพของข้าพเจ้าในตอนนี้ ไม่แตกต่างจากคนพิกลพิการผู้หนึ่งเท่านั้นเอง และนั้นมิใช่ความฝัน ทุกสิ่งทุกอย่างทุกเรื่องราวล้วนเป็นความจริง เป็นความจริงที่ข้าพเจ้ามิอาจไม่ยอมรับ ข้าพเจ้ายอมรับเช่นนั้นแล้วจริง ๆ”

เยี่ยนผิงในคราแรกคิดจะหัวร่อออกมา ในท่าทีและคำพูดของจ่านจือ ในที่สุดนางมิได้หัวร่อออกมา นางมิได้กระทำเช่นนั้น แต่กลับก้าวเข้ามาแล้วคว้ามือจ่านจือมาเกาะกุมไว้ จากนั้นส่งเสียงกล่าวกับเขาว่า

“จ่านจือ ท่านอย่าได้กล่าววาจาดูแคลนตนเองเช่นนั้น ต่อให้ท่านคล้ายเป็นตัวโง่งมจริง ๆ ข้าพเจ้าเยี่ยนผิงยังไม่คิดจะทอดทิ้งท่าน กลับจะเป็นเช่นแขนขาให้แก่ท่าน ในเวลานี้เรามิอาจไว้วางใจผู้ใดได้จริง ๆ ดังนั้นท่านจึงไม่อาจท้อแท้สิ้นหวังได้ ผู้ใดอยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด ในไม่ช้ามันจะต้องเปิดเผยตัวตนออกมาอย่างแน่นอน”

เยี่ยนผิงแสดงท่าทีอย่างมั่นอกมั่นใจ พร้อมกับให้กำลังใจต่อจ่านจือ จากนั้นส่งเสียงกล่าวต่อว่า

“เหตุการณ์ผันผ่านมาถึงบัดนี้ มีอยู่หลายครั้งที่ท่านเฉียดใกล้ความตาย สุดท้ายท่านกลับมิได้ตาย อาวุโสหลิวซุ่นคล้ายมีสภาพเดียวกันกับท่าน สุดท้ายท่านยังรักษาอาการของอาวุโสได้ ดังนั้น...”

จ่านจือทราบว่าเยี่ยนผิงจะกล่าววาจาใด? ดังนั้นจึงสอดคำขึ้นก่อนว่า

“อาวุโสหลิวซุ่นกับข้าพเจ้าย่อมแตกต่างกัน ในตอนนั้นข้าพเจ้ายังมีพลังวัตร ยังมีกำลังภายในเปี่ยมล้น จึงสามารถใช้เคล็ดวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็นของเส้าหลินรักษาอาการท่าน มาตรว่าในเวลานั้น ท่านอาวุโสถูกหักกระดูกแขนขาไปด้วย ข้าพเจ้าอาจยังมีความสามารถใช้วิชาชะล้างไขกระดูกของเส้าหลิน รักษาอาการของท่านได้เช่นกัน แต่สำหรับตัวข้าพเจ้าเองในเวลานี้ แม้ทราบเคล็ดวิชาทั้งสองของเส้าหลิน แต่ไม่อาจใช้รักษาให้กับตนเองได้”

เยี่ยนผิงแม้หมดสิ้นคำพูดใดจะเอ่ยกล่าวออกมา แต่ยังคงนึกหาคำพูดอย่างมั่นอกมั่นใจกล่าวออกมาว่า

“ข้าพเจ้าเชื่อมั่นแน่ว่าในภายหน้าย่อมมีหนทาง วาจาของอาวุโสชิ้วโส่วย่อมมิแปลกปลอม ท่านจะต้องพบพานกับความสำเร็จสูงสุด”

เยี่ยนผิงมิกล้าเอ่ยกล่าวว่า เมื่อท่านพบพานกับความตาย จึงพบพานกับความสำเร็จสูงสุด จึงได้เพียงเอ่ยกล่าวประโยคหลังเท่านั้นเอง

ประตูห้องพักถูกเคาะติดต่อกันสองครั้ง คงเป็นคนของเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ท่านคงส่งคนมารับเขาไปยังห้องโถงใหญ่ เยี่ยนผิงพุ่งตรงไปเปิดประตูออกด้วยไม่ไว้วางใจ

หน้าห้องพักวางอยู่ด้วยเก้าอี้นั่งแบบมีล้อตัวหนึ่งตั้งอยู่ แต่ผู้ที่เคาะเรียกมิใช่ผู้อื่น กลับเป็นเทียนจิ้ง และไป่ชิง ด้านหลังของคนทั้งสองยังยืนอยู่ด้วยพี่สาวทั้งสองของเขา ซื่อเหมี่ยน กับเอวี้ยอี้เซินนั่นเอง

นางทั้งสองแม้ยืนอยู่ด้านหลัง แต่น้ำเสียงส่งขึ้นก่อน ซื่อเหมี่ยนส่งเสียงกล่าวว่า

“เซี่ยวจือ พี่สาวใหญ่มาแล้ว เจ้าทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้วหรือไม่?”

เอวี้ยอี้เซิน ส่งเสียงกล่าวต่อว่า

“พี่สาวรองของเจ้าก็มาแล้วเช่นกัน พวกเรามารับเจ้าไปยังห้องโถงใหญ่”

ขณะที่ทั้งสองส่งเสียง เยี่ยนผิงเชื้อเชิญให้ทั้งหมดเข้ามาภายในห้องพัก เทียนจิ้งเข็นเก้าอี้นั่งเข้ามา เฟิ่นไป่ชิงก้าวเท้าเดินเคียงข้าง เมื่อเก้าอี้นั่งอยู่ห่างจากเตียงนอนราวสองก้าว พี่สาวทั้งสองของจ่านจือ รีบเข้ามาช่วยกันประคองจ่านจือลงนั่งยังเก้าอี้

หลังจากเยี่ยนผิงปิดประตูลงแล้ว ทั้งหมดจึงรีบพากันไปยังห้องโถงใหญ่ โดยเทียนจิ้งรับหน้าที่เข็นเก้าอี้นั่งให้แก่จ่านจือ ภายในห้องโถงใหญ่ทุกคนนั่งดื่มน้ำชา สุรา อาหารว่าง ทุกคนรอคอยจ่านจือ คล้ายกับในห้องโถงใหญ่ ในวันนี้มีเรื่องราวใดให้รับทราบ

หลังจากนั้นเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ลุกขึ้นแล้วก้าวออกมายังกลางห้องโถง แล้วส่งเสียงกล่าวว่า

“วันนี้ข้าพเจ้า เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน มีเรื่องราวบอกกล่าวต่อทุกท่านอยู่สองเรื่อง เรื่องแรกนั้นย่อมเกี่ยวข้องกับทุกท่านและชาวยุทธจักร เรื่องที่สองนั้นย่อมเกี่ยวข้องกับสำนักตำหนักหมื่นเทพ”

เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ท่านหันมาทางด้านจ่านจือ แล้วหันไปกล่าวกับทุกคนว่า”

“ข้าพเจ้ามีศิษย์คนหนึ่ง นั้นก็คือจ่านจือ ความสามารถของเขามิต้องกล่าวถึง ทุกท่านล้วนให้การยอมรับนับถือ กระทั่งเขาได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้นำ เป็นประมุขยุทธภพคนปัจจุบัน ข้าพเจ้าเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน แม้นทำหน้าที่นี้แทนเขาชั่วคราว ยังไม่อาจสร้างผลงานได้ดีนัก”

หันมามองจ่านจือวูบหนึ่งแล้วกล่าวต่อ

“ถึงเช่นไรตำแหน่งนี้ยังต้องส่งคืนให้แก่เขา ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้ส่งเทียบเชิญออกไปทั่วยุทธภพ อีกสิบห้าวันหลังจากนี้ ลานผาเทพนิรันดร์เขาหมื่นเซียน จัดชุมนุมชาวยุทธจักรครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง”

หยุดเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อว่า

ส่วนหัวข้อที่จะสรุปกันในวันนั้น ข้าพเจ้าค่อยบอกกล่าวพร้อมกันในวันนั้น ส่วนเรื่องที่สอง ซึ่งข้าพเจ้าจะแจ้งแก่ทุกท่านในวันนี้ ล้วนเกี่ยวข้องโดยตรงต่อสำนักตำหนักหมื่นเทพ”

เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนหันมาทางเอี้ยวเซียว แล้วส่งเสียงกล่าวว่า

“เอี้ยวเซียว เจ้าก้าวออกมา”

เอี้ยวเซียวรีบส่งเสียงกล่าวรับว่า

“ข้าพเจ้าเอี้ยวเซียวน้อมรับคำสั่งท่าน”

กล่าวจบก้าวเท้าออกมายังกลางห้องโถง จากนั้นเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ท่านหันไปทางจ่านจือ แล้วเอ่ยกล่าวว่า

“รบกวนเจ้านำจ่านจือออกมา”

เทียนจิ้งพยักหน้ารับทราบแล้วเข็นเก้าอี้ออกมายังกลางห้องโถง จากนั้นถอยกลับไปยังตำแหน่งเดิม เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ส่งเสียงกล่าวต่อทันทีว่า

“จ่านจือเป็นศิษย์ที่เก่งกล้าสามารถ ที่ผ่านมามิได้สร้างความผิดหวังให้แก่ข้าพเจ้าและสำนักเลยแม้แต่น้อย แต่ชะตาฟ้ามิอาจฝืน บัดนี้ศิษย์ข้าพเจ้าสูญเสียวรยุทธ์ แขนขาใช้การได้ไม่เหมือนเดิม ข้าพเจ้าในฐานะอาจารย์ รู้สึกสะทกสะท้อนยิ่ง ในภายภาคหน้าได้แต่หวังพึ่งพาศิษย์”

เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน สลับสายตามองจ่านจือ และเอี้ยวเซียวกล่าวต่อว่า

“ข้าพเจ้าแม้รู้สึกเสียใจในชะตาของจ่านจือ แต่ยังมีเรื่องราวน่ายินดีประการหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าจะบอกกล่าวแก่ทุกท่าน รวมทั้งจ่านจือ หลังจากจ่านจือลงจากเขาไปในคราวนั้น ข้าพเจ้าได้รับเอี้ยวเซียวเป็นศิษย์อีกผู้หนึ่ง ศิษย์คนนี้มีความเฉลียวฉลาด อีกทั้งปฏิภาณความสามารถมิได้เป็นรองศิษย์พี่ของนางเท่าใดนัก”

จากนั้นเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน หันมาทางเอี้ยวเซียวแล้วส่งเสียงกล่าวว่า

“เอี้ยวเซียว เจ้าในฐานะศิษย์ผู้น้อง ยังมิได้คารวะศิษย์ผู้พี่ของเจ้าอย่างเป็นทางการ รีบเข้าไปคารวะศิษย์พี่ของเจ้าเร็วเข้า”

จากนั้นหันมากล่าวกับจ่านจือว่า

“จ่านจือ อาจารย์ยินดีกับเจ้าด้วย เจ้ามีศิษย์น้องกับเขาผู้หนึ่งแล้ว”

เอี้ยวเซียวรีบก้าวเท้าเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าจ่านจือ จากนั้นประสานมือทั้งสองขึ้นตรงหน้า ส่งเสียงเอ่ยกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าเอี้ยวเซียว คารวะศิษย์พี่จ่านจือ”

จ่านจือพยักหน้ารับพร้อมกับส่งยิ้มยินดีให้แก่นาง จากนั้นหันมากล่าวกับผู้เป็นอาจารย์และเอี้ยวเซียวว่า

“ข้าพเจ้าจ่านจือ ขอแสดงความยินดีต่อท่านอาจารย์ และขอแสดงความยินดีต่อศิษย์น้องเอี้ยวเซียว อาจารย์มีศิษย์เพิ่มมาอีกผู้หนึ่ง ภายภาคหน้าต้องสร้างชื่อเสียงให้แก่สำนักและอาจารย์ได้อย่างแน่นอน”

จากนั้นเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ส่งเสียงกล่าวกับเอี้ยวเซียวว่า

“เอี้ยวเซียว เจ้ารีบคารวะต่อท่านอาวุโสทุกท่าน รวมทั้งเหล่าชาวยุทธจักรทั้งหลายด้วย”

เอี้ยวเซียวรีบปฏิบัติตาม ประสานมือคารวะขึ้นโดยรอบ ส่งเสียงกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าเอี้ยวเซียว ศิษย์สำนักตำหนักหมื่นเทพ ขอคารวะต่อท่านอาวุโสทุกท่าน รวมทั้งเหล่าผู้กล้าชาวยุทธจักรทั้งหลาย ข้าพเจ้าเอี้ยวเซียวยังต้องขอรับคำชี้แนะจากทุกท่านทั้งหลายในภายหน้า หากมีสิ่งใดโปรดรบกวนอบรมสั่งสอน”

ในน้ำเสียงเอ่ยกล่าวของเอี้ยวเซียว มีมารยาทและถ่อมตัวยิ่ง เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ฉีกยิ้มกว้างอยางภาคภูมิใจ ภายในห้องโถงใหญ่ล้วนดังเกรียวกราวด้วยเสียงปรบมือ ผสานกับเสียงดังอื้ออึงโห่ร้องยินดี พอเสียงในห้องโถงเบาบางลงแล้ว เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ส่งเสียงกล่าวกับเอี้ยวเซียวว่า

“เจ้าในฐานะศิษย์น้อง เอี้ยวเซียวเจ้านับเป็นของขวัญล้ำค่าสำหรับศิษย์พี่จ่านจือ ส่วนเจ้าเล่า? มีของขวัญใดจะมอบให้แก่ศิษย์พี่ของเจ้าหรือไม่?”

เอี้ยวเซียวโปรยยิ้มอ่อนหวานต่อจ่านจือ แล้วหันไปกล่าวกับผู้เป็นอาจารย์ว่า

“ข้าพเจ้าเอี้ยวเซียว มิคาดคิดว่าศิษย์พี่จ่านจือจะกลับมารวดเร็วเพียงนี้ จึงยังมิได้จัดเตรียมของขวัญใดเอาไว้ให้ แต่เมื่อเห็นศิษย์พี่บาดเจ็บกลับมาสาหัสปานนี้ ข้าพเจ้าเอี้ยวเซียวจึงคิดจะมอบเสื้อคลุมไหมหยกให้ศิษย์พี่ไว้สวมใส่ เสื้อคลุมไหมหยกมีสรรพคุณประหลาด อาจมีส่วนช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้ศิษย์พี่หายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพียงแต่ข้าพเจ้าทราบว่าศิษย์พี่ย่อมปฏิเสธไม่ยอมรับไว้เด็ดขาด ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเพียงมอบให้ศิษย์พี่หยิบยืมสวมใส่ไว้ชั่วคราวเท่านั้นเอง”

เป็นความจริงดั่งเอี้ยวเซียวกล่าว หากจะให้เป็นของขวัญ จ่านจือยังไม่กล้ารับอย่างเด็ดขาด สิ่งของล้ำค่าปานนั้น สำหรับเขาแล้วไม่เหมาะแก่การมีไว้ในครอบครอง แต่เมื่อเจตนาของเอี้ยวเซียวเพียงเพื่อให้เขาหยิบยืมใส่ไว้ชั่วคราวเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ เขาจึงไม่อาจปฏิเสธน้ำใจของเอี้ยวเซียวได้

เอี้ยวเซียวหลังจากถอยออกไป กลับเข้ามาใหม่อีกครั้งพร้อมกับในมือเพิ่มเสื้อคลุมไหมหยก เสื้อคลุมไหมหยกถักทอจากเส้นไหมหยกพันปี ศาสตราวุธฟันแทงมิเข้า อีกทั้งยังไม่เกรงกลัวน้ำไฟ นอกจากนั้นยังมีสรรพคุณประหลาด เอี้ยวค้วงเคยบอกกล่าวว่ามันมีฝีมือก้าวหน้ารวดเร็ว ด้วยสวมใส่เสื้อคลุมไหมหยกนี้

เอี้ยวเซียวจัดแจงสวมใส่เสื้อคลุมไหมหยกให้แก่จ่านจือศิษย์พี่ โดยมีเยี่ยนผิงลงมือช่วยเหลืออีกแรงหนึ่ง เมื่อเรียบร้อยแล้ว เยี่ยนผิงเข็นเก้าอี้กลับไปยังตำแหน่งเดิม รวมทั้งเอี้ยวเซียวก็ถอยกลับไปยังตำแหน่งเดิมเช่นกัน

เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน นั่งลงร่วมโต๊ะกับขอทานพเนจรหวงเกาฉือ บัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่ นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิง ขอทานเก้าทิกว่อ ขอทานแปดหว่านฉี ขอทานรักษากฎทั้งสอง ผู้เฒ่าลู่และผู้เฒ่าโอ่ว

ส่วนจ่านจือกับเยี่ยนผิง นั่งร่วมโต๊ะเดียวกันกับเทียนจิ้งหัวหน้าพรรคไผ่หลิว ไป่ชิงศิษย์ของผาแห่งสายลม พี่สาวทั้งสองแห่งสำนักหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว อีกโต๊ะหนึ่งเป็นศิษย์ของผาแห่งสายลม เฟิ่นมู่เหอตอนนี้รับตำแหน่งเจ้าผาเรียบร้อยแล้ว เหมาต้าศิษย์คนโต ถัดมาเป็นศิษย์ของพรรคไผ่หลิวอีกสองคน เหวินมู่ กับอี้หว่อ สุดท้ายเป็นสองศิษย์แห่งสำนักเมฆฟ้าพิรุณ หนานตี้ กับกุ้ยโส่วนั้นเอง ส่วนเฉาลู่ฟางกลับเดินไปมา

จ่านจือยังคงคีบจับอาหารไม่ค่อยถนัดนัก อาหารบางอย่างยังต้องอาศัยเยี่ยนผิงคีบใส่ปากให้กับเขา

หลังจากเสร็จสรรพจากมื้ออาหารแล้ว ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อน แต่สำหรับจ่านจือ เยี่ยนผิง เฉาลู่ฟาง รวมทั้งสองสามีภรรยาแซ่เซียว ทั้งหมดเลือกบริเวณริมผาเทพนิรันดร์ เป็นสถานที่พักผ่อนสนทนากัน

เยี่ยนผิงเป็นผู้เอ่ยกล่าวขึ้นก่อนว่า

“ทุกท่านคิดว่าแม่นางเอี้ยวเซียวผู้นี้เป็นเช่นไร?”

“เป็นเช่นไร? ท่านหมายถึงเรื่องราวใด? รีบบอกกล่าวออกมาให้กระจ่าง”

เฉาลู่ฟางส่งเสียงกล่าวถามด้วยความสงสัย

เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวตอบรวดเร็วว่า

“เป็นข้าพเจ้าคิดไปเองหรือไม่? ภายใต้สายตาจริงใจของนาง คล้ายเคลือบฉาบด้วยสิ่งที่ยากจะอธิบายประการหนึ่ง เรื่องที่เกิดขึ้นที่โรงเตี๊ยม ไฉนข้าพเจ้าจึงนึกถึงนางขึ้นมา ยิ่งอาวุธที่นางพกพา กลับทำให้ข้าพเจ้านึกถึงบาดแผลที่ลำคอของสตรีในชุดนักบู๊ผู้นั้น”

จากนั้นนางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิงส่งเสียงกล่าวเห็นด้วยว่า

“เยี่ยนผิง มิเพียงแต่เจ้าที่เข้าใจเป็นเช่นนั้น เรากับสามีต่างเห็นตรงกัน บาดแผลที่ลำคอของสองคนบนโรงเตี๊ยม คล้ายกับมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาวุธของแม่นางเอี้ยวเซียว บาดแผลเช่นนั้น มีเพียงดาบวงพระจันทร์จึงสามารถกระทำได้”

บัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่ ส่งเสียงกล่าวขึ้นบ้างว่า

“แต่ที่เราทราบมาจากเซี่ยวจือ แม่นางเอี้ยวเซียวตัดขาดความสัมพันธ์กับบิดานางแล้ว ดูจากปฏิกิริยาของนาง คล้ายกับไม่รู้สึกโศกเศร้าเสียใจต่อการตายของเอี้ยวค้วงบิดานาง บางทีนางอาจสะบั้นความสัมพันธ์กับบิดานางแล้วจริง ๆ ก็เป็นไปได้”

จ่านจือเงียบงันฟังอยู่นาน ส่งเสียงกล่าวถามทุกคนขึ้นว่า

“แต่ถ้าหากนางยังไม่ทราบ? ไม่ทราบว่าบิดาของนางตายแล้ว”

ทุกคนเงียบกริบ เงียบฟังว่าจ่านจือจะกล่าววาจาใดต่อไป

“เยี่ยนผิง เป็นท่านที่สั่งทุกคนมิให้บอกเล่าเรื่องราวซึ่งเกิดขึ้นยังโรงเตี๊ยมออกไป อีกท่านยังกล่าวเห็นด้วย ที่ปล่อยให้เปลวเพลิงเผาทำลายหลักฐานไปไม่ทิ้งร่องรอย ท่านคงมีคำพูดที่สามารถอธิบายได้กระจ่าง”

เยี่ยนผิงคล้ายตัดสินใจกระไรบางอย่าง จากนั้นส่งเสียงกล่าวมาว่า

“ข้าพเจ้าเมื่อทราบแผนจักจั่นทองลอกคราบ จึงได้ดำเนินแผนการย้ายดินเปลี่ยนฟ้า ภายในโรงเตี๊ยมมิได้มีเพียงเอี้ยวค้วง กับเอี้ยวเคี้ยก แต่ข้าพเจ้ามั่นใจ มิใช่สองปีศาจดำขาวเฒ่าทารกนั้นอย่างแน่นอน หากสองคนนั้นปรากฏกายตั้งแต่แรก พวกเราคงมิได้มาสนทนากันในเวลานี้เป็นเด็ดขาด”

ทุกคนส่งเสียงเห็นด้วย เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวต่อว่า

“ดังนั้นข้าพเจ้าจึงต้องการทำลายหลักฐานทิ้งไป แม้แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นยังให้ปิดปากสนิท ซึ่งพวกเราปิดปากสนิทเท่าใด? ยิ่งกระตุ้นให้บางคนต้องการให้เราเปิดปากออกมา เมื่อถึงเวลานั้นหางมันย่อมโผล่ออกมาเอง”

จ่านจือส่งเสียงกล่าวถามเยี่ยนผิงว่า

“เยี่ยนผิง ท่านยังคงสงสัยในตัวของเอี้ยวเซียว?”

เยี่ยนผิง ส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“มิเพียงแต่ข้าพเจ้าสงสัย ข้าพเจ้าทราบ ท่านเองก็มีข้อสงสัยในตัวนางด้วยเช่นกัน อาวุโสเซียวทั้งสองก็เช่นกัน”

จากนั้นเยี่ยนผิงหันมากล่าวกับเฉาลู่ฟางว่า

“แม่นางเอี้ยวเซียว นางยิ่งน่าสงสัยที่สุด ท่านเห็นนางลนลาน สายตามิเชื่อมั่นว่าภายในเกี้ยวจะเป็นจ่านจือจริง ๆ ไฉนนางจึงไม่เชื่อถือ ค่ำคืนนี้พวกเราจะกระตุกหางคนร้ายกัน เฉาลู่ฟางท่านจะต้องช่วยเหลือข้าพเจ้า”

เยี่ยนผิงแจกแจงแผนการในค่ำคืนนี้ สำหรับจ่านจือเขามีเรื่องราวหนึ่งซึ่งยังมิได้บอกเล่าออกไป สายตาของนักฆ่าผู้นั้น นักฆ่าผู้ที่บุกเข้ามาแย่งชิงหยกเหินลมจากคอของเขาไป ภาวนาให้สายตานักฆ่าคู่นั้น มิได้มีอยู่เพียงคู่เดียวในยุทธภพอันสับสนวุ่นวายนี้

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

 

 

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป