Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (มังกรซ่อนร่างพยัคฆ์ซ่อนลาย)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

มังกรซ่อนร่างพยัคฆ์ซ่อนลาย

  • 06/09/2565

ตอนที่ 147

มังกรซ่อนร่างพยัคฆ์ซ่อนลาย

วิกาลมิคล้อยดึก จันทร์คืนเสี้ยวสาดแสงสลัวรางเลือน สายลมหุบเขากระโชกรุนแรง บางครากลับเงียบสงบ บางคราวบังเกิดเสียงหวีดหวิวดังลอดมาจากทิศทางสนโบราณต้นหนึ่ง สนชราทอดเงาผ่านหลังเขาหมื่นเซียนมาชั่วนาตาปี แว่วเสียงแมลงกลางคืนส่งเสียงขับกล่อม ชวนให้เคลิบเคลิ้มงมงาย

เอี้ยวเซียวนอนหลับตาอยู่บนแคร่ไม้ลักษณะครึ่งนั่งครึ่งนอน ทุกครั้งที่ว่างเว้นจากภารกิจ นางมักจะมานอนหลับตา ฟังเสียงดนตรีจากแมลงเหล่านี้ ค่ำคืนนี้ก็เช่นเดียวกัน

ดูจากภายนอกนางคล้ายเคลิบเคลิ้มกระไรปานนั้น แต่จะมีผู้ใดทราบได้? ภายในจิตใจของนางหนักอึ้งตึงเครียด จ่านจือกลับมาแล้ว แท้จริงแล้วนางสมควรดีใจจึงถูกต้อง ศิษย์น้องศิษย์พี่ได้พบหน้ากัน สมควรเบิกบานใจจึงถูกต้อง...หรือว่ามีเรื่องราวใดไม่ถูกต้อง...?

หรือว่านางเห็นสภาพของจ่านจือ ศิษย์พี่ที่ไร้วรยุทธ์ ศิษย์พี่ที่แขนขาใช้การได้ไม่คล่องแคล่ว นางเกรงว่าภาระเหล่านี้จะเป็นหน้าที่นาง เหตุผลเหล่านี้ สมควรให้นางจิตใจหนักอึ้งอยู่ได้ในขณะนี้

เอี้ยวเซียวเติบโตในป่าเก้าหยก ดังนั้นนางจึงแต่งกายรัดกุมแคล่วคล่องตลอดเวลา พกพาดาบวงพระจันทร์มิห่างกายอีกด้วย หลายเดือนมานี้ เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนผู้เป็นอาจารย์ ถ่ายทอดวิชาดาวดึงส์ให้แก่นาง นางเองมิได้สร้างความผิดหวังให้แก่ผู้เป็นอาจารย์ ถึงแม้จะไม่เปรื่องปราดเทียบเท่าจ่านจือก็ตามที หากจะกล่าวในเรื่องพรสวรรค์ในวิชาบู๊ นางยังเป็นรองจ่านจืออยู่ไกลนัก

เอี้ยวเซียวขณะหลับตาล่องลอยไปกับความคิด ริมโสตได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบามุ่งตรงมาทางด้านนี้ เอื้อมมือแผ่วเบาแตะด้ามดาบวงพระจันทร์ รอคอยว่าผู้มาเป็นผู้ใด?

เยี่ยนผิงนางก็เช่นเดียวกัน ในมือถือกระบี่เดินทอดน่องอยู่บริเวณหลังเขา บนใบหน้านางประดับไปด้วยความคิดนานาประการ แต่ภายในจิตใจนั้นคล้ายเบิกบานใจอยู่ไม่น้อย นี่คืออุปนิสัยแท้จริงของนาง มิมีผู้ใดคาดเดาความคิดของนางออก ก่อนหน้านั้นผู้คนเรียกนางเป็นนางมารน้อย คำเรียกหานี้จึงมิผิดไปเท่าใดนัก

เมื่อมองเห็นเอี้ยวเซียวนอนพักผ่อนอยู่บนแคร่ไม้ เยี่ยนผิงจึงส่งเสียงทักทายขึ้นก่อนว่า

“แม่นางเอี้ยวเซียว ท่านหลบมานอนเล่นอยู่ที่นี้เอง ทุกคนต่างเหน็ดเหนื่อยเข้าห้องพักผ่อนกันหมดแล้ว จ่านจือศิษย์พี่ท่านก็พึ่งจะหลับตาไปเมื่อครู่นี้เอง”

เอี้ยวเซียวรีบขยับลุกขึ้นยืน แล้วส่งเสียงกล่าวตอบเยี่ยนผิงไปว่า

“สถานที่นี้เป็นที่นอนพักผ่อนประจำของข้าพเจ้า” จากนั้นกล่าวปฏิเสธต่อทันทีว่า

“ข้าพเจ้ามิได้หลบหน้าผู้ใดมา แม่นางเยี่ยนผิงท่านกล่าวผิดไปแล้ว”

เยี่ยนผิงส่งเสียงหัวร่อร่วนออกมา จากนั้นกล่าวตอบออกไปว่า

“ข้าพเจ้าเพียงกล่าวล้อเล่นท่านเท่านั้นเอง ท่านอย่าได้จริงจังถึงเพียงนั้น”

เอี้ยวเซียวร้องอ้อ จากนั้นกล่าวถามว่า “ท่านออกมาเพียงผู้เดียวกระมัง?”

เยี่ยนผิงรีบส่งเสียงกล่าวตอบว่า “ถูกต้อง เป็นข้าพเจ้าผู้เดียว หรือว่าท่านพบเห็นผู้ใดนอกเหนือจากนี้?”

เอี้ยวเซียวรีบกล่าวตอบว่า “มิมีผู้ใด? ข้าพเจ้าเพียงกล่าวถามท่านเท่านั้นเอง”

เยี่ยนผิงส่งเสียงร้องอ้อ  พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ข้าพเจ้านอนไม่หลับ จึงได้ออกมาเดินเล่น มิทราบว่าข้าพเจ้ามารบกวนเวลาพักผ่อนของแม่นางเอี้ยวเซียวหรือไม่?”

เอี้ยวเซียวสังเกตเห็นคิ้วย่นขมวดบนใบหน้าของเยี่ยนผิง ทราบว่านางมีเรื่องราวให้ครุ่นคิด แน่นอนย่อมเป็นเรื่องราวของจ่านจือ เอี้ยวเซียวนางเองมีเรื่องราวให้ต้องขบคิดเช่นกัน ใช่เรื่องราวของจ่านจือด้วยหรือไม่? ประจวบเหมาะกระไรปานนั้น ทว่าหากเป็นเรื่องราวเดียวกันจริง ๆ

เอี้ยวเซียวรีบส่งเสียงกล่าวตอบว่า “มิได้ ไม่เป็นการรบกวนแต่อย่างใด? แม่นางเยี่ยนผิง ข้าพเจ้าคล้ายเห็นท่านมีเรื่องราวกลัดกลุ้มใจ มิทราบว่าท่าน พอจะระบายออกมาให้ข้าพเจ้ารับทราบได้บ้างหรือไม่?”

เมื่อเอี้ยวเซียวกล่าวถาม เยี่ยนผิงทอดถอนใจคำหนึ่ง จึงส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“เป็นข้าพเจ้ากลัดกลุ้มใจจริง ๆ แม้แต่แม่นางเอี้ยวเซียวท่านยังดูออก ข้าพเจ้าเองคล้ายต้องการระบายออกมา เพียงแต่เรื่องราวนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับจ่านจือ ผู้อื่นมิสมควรให้ข้าพเจ้าบอกกล่าวออกไป แต่ท่านบัดนี้เป็นศิษย์ผู้น้องของเขาแล้ว เช่นนั้นเราเดินไปสนทนากันไปดีหรือไม่?”

เมื่อก้าวเท้าเดิน เยี่ยนผิงเริ่มสนทนาขึ้นก่อนว่า

“ข้าพเจ้า จ่านจือ เฉาลู่ฟาง รวมทั้งบิดามารดาบุญธรรมของเขา มีเรื่องราวหนึ่งซึ่งปกปิด มิได้บอกเล่าออกไปให้ผู้ใดทราบ? แม้แต่จ่านจือเอง เขามีเรื่องราวหนึ่งซึ่งปกปิดพวกเราเช่นกัน”

เอี้ยวเซียวแสดงอาการกระตือรือร้นสนใจยิ่ง ส่งเสียงกล่าวถามรวดเร็วว่า

“มีเรื่องราวใดเกิดขึ้นกับพวกท่าน? แม้แต่ศิษย์พี่จ่านจือก็มีเรื่องราวปกปิดพวกท่านด้วย?”

เยี่ยนผิงแสดงสีหน้าใช้ความคิด เอี้ยวเซียวยิ่งคิดหนักยิ่งกว่า ลุ้นอยู่ว่าเยี่ยนผิงจะบอกเล่าออกมาหรือไม่? แต่แล้วเอี้ยวเซียวค่อยพ่นลมออกมาจากปาก เมื่อเยี่ยนผิงเริ่มบอกเล่าเรื่องราวออกมา

เยี่ยนผิงเริ่มต้นบอกเล่าเรื่องราว เรื่องราวที่เกิดขึ้นยังโรงเตี๊ยมบนเส้นทางสายหลัก นางเล่ามาถึงเหตุการณ์ตอนที่มีคนร้ายลอบเข้ามาทางหน้าต่าง แล้วช่วงชิงหยกเหินลมสองชิ้นของจ่านจือไป เอี้ยวเซียวกระตือรือร้นทวีคูณ ร้องอ้อรับฟังอย่างสนอกสนใจตลอดเวลา ด้วยเกรงว่าคำพูดของเยี่ยนผิงจะตกหล่นไปไม่เข้าหูนางฉะนั้น

ทันใดนั้นห่างออกไปไม่ไกลนัก เดือนเสี้ยวแม้สลัวเลือน เงาไม้ทอดทาบเป็นเงาคล้ายมัจจุราชจากอเวจี แต่กระนั้นยังพอมองเห็นเส้นทาง ในเงามัจจุราชทาบผ่าน กลับมีเงาหนึ่งเคลื่อนไหววูบวาบรวดเร็วผ่านไป

เยี่ยนผิงร้องขึ้นก่อนว่า “นั่นมีเงาคนพุ่งไปยังทิศทางนั้น เป็นผู้คนหรือภูตผีปีศาจกันแน่? พวกเรารีบติดตามไปตรวจสอบดู”

เอี้ยวเซียวรีบกล่าวตอบว่า “หากพวกเราติดตามไปด้วยกัน มาตรว่าเงาคนนั้นเป็นคนร้าย หากเกิดเรื่องราวผิดพลาดมิคาดฝัน คนร้ายเกิดไหวตัว ลำพังพวกเราสองคน ไม่แน่นักว่าจะสามารถรับมือได้ เมื่อถึงเวลานั้นจะมิมีผู้ใดทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้น เอาเช่นนี้เถิด แม่นางเยี่ยนผิงท่านกลับไปแจ้งเรื่องราวแก่ทุกคนให้รับทราบ ข้าพเจ้าคุ้นเคยสถานที่ จะติดตามเงาคนหรือภูตผีนั้นไปเอง ฝากท่านดูแลศิษย์พี่จ่านจือให้ดีด้วย”

เยี่ยนผิงรีบพยักหน้าตกลง ส่งเสียงกล่าวตอบว่า “ตกลงตามที่ท่านว่า ข้าพเจ้าจะรีบกลับไปแจ้งแก่ทุกคนทราบ ทางด้านนี้แม่นางเอี้ยวเซียวต้องลำบากท่านแล้ว ท่านเองโปรดระมัดระวังตัวเอาไว้ให้มาก”

กล่าวจบ เยี่ยนผิงพุ่งร่างปราดไปยังเส้นทางเมื่อขามาทันที ส่วนเอี้ยวเซียวรอคอยให้แน่ใจว่าเยี่ยนผิงคล้อยหลังไปแล้วจริง ๆ จึงสะกิดเท้าพุ่งร่างปราดออกไปเช่นกัน ทิศทางติดตามเงาคนผู้นั้นไปทันที

เหตุผลที่เอี้ยวเซียวกระตุ้นให้เยี่ยนผิงรีบไปนั้น เงาคนที่เคลื่อนไหวดูไปคลับคล้ายกับบิดานางเอี้ยวค้วงกระนั้น เรื่องราวหนึ่งที่นางกลัดกลุ้มใจในขณะนี้ คือเรื่องราวนี้ เรื่องราวของบิดานาง ตอนที่นางจะรีบรุดกลับเขาหมื่นเซียน หลังจากแยกย้ายจากเอี้ยวเคี้ยกผู้เป็นอาของนางแล้ว นางย้อนกลับไปยังโรงเตี๊ยม มิมีสิ่งใดหลงเหลืออยู่เลย เหลือไว้แต่เพียงกองเถ้าถ่าน ดังนั้นนางจึงกลัดกลุ้มใจ

เอี้ยวเซียวเร่งฝีเท้าแผ่วเบาติดตามมา ในที่สุดนางก็ติดตามมาทันเงาหลังคนผู้นั้น นางทิ้งระยะห่างไว้พอสมควร ภายใต้ทิวไม้ปกคลุมรกครึ้ม เป็นเอี้ยวค้วงบิดานางจริง ๆ ขณะที่นางจะพุ่งร่างเข้าไปหา เสียงชายเสื้อปะทะลมพึบพับดังมา พร้อมกับร่างสองสายสาดทะยานมา ทั้งสองสวมใส่หน้ากากเงินปกปิดอำพรางใบหน้า เป็นสองปีศาจดำขาวสองเฒ่าทารกพลิ้วบนยอดหญ้านั้นเอง

เอี้ยวเซียวชะงักเท้าหยุดยั้งท่าร่างเอาไว้มิได้พุ่งร่างออกไป ซุ่มดูอยู่ว่าปีศาจทั้งสองตนรุดมาด้วยเรื่องราวใด?

เอี้ยวค้วงส่งเสียงกล่าวว่า “ครั้งนี้พวกท่านมาช้าไปก้าวหนึ่งแล้ว บนเขาหมางซานพวกท่านทำงานล้มเหลวไม่สำเร็จ โรงเตี๊ยมบนเส้นทางสายหลัก ท่านทั้งสองได้รับมอบหมาย ให้ไปจัดการกับทุกคนที่เหลือ รวมทั้งซากศพของประมุขน้อยจ่านจือ งานของท่านคือลบทำลายหลักฐานทุกชิ้น แต่พวกท่านยังทำงานผิดพลาดอีก จ่านจือไม่ตายมันกลับมาถึงสำนักแล้ว ท่านทั้งสองมีคำกล่าวแก้ตัวเป็นเช่นไร?”

ปีศาจดำเส่าไท่แป๊ะหยิน ส่งเสียงเย้ยหยันกล่าวตอบว่า

“เหตุการณ์ที่เขาหมางซาน เราคำนวณแล้วว่าได้มิคุ้มเสีย จึงได้ถอนตัวเสียแต่กลางคัน ท่านยังมีวานรเหินอั้งเซี๊ยะเปาเป็นหมากอีกตัวหนึ่ง ดังนั้นเราจึงมิอาจยอมรับว่าทำงานผิดพลาดได้”

จากนั้นปีศาจขาวเส่าไท่ซาโกว ส่งเสียงกล่าวต่อว่า

“สำหรับงานของพวกเราที่โรงเตี๊ยม เราทั้งสองเพียงรับหน้าที่ไปทำลายซากศพ ของประมุขน้อยจ่านจือ สำหรับคนอื่น ๆ เป็นหน้าที่พวกท่านสามคน หากทว่าพวกมันทั้งหมดกลายเป็นซากศพ เราก็จะมิเกียจคร้านเก็บกวาดให้ ซากศพที่นอนอยู่บนเตียงมิใช่ประมุขจ่านจือหรือ? เช่นนั้นพวกท่านย่อมทำงานผิดพลาดตั้งแต่แรก ที่ประมุขน้อยจ่านจือกลับมาถึงสำนัก มิใช่เพราะความผิดพลาดของเอี้ยวเซียวบุตรีของท่านดอกรึ? ความจริงประมุขน้อยจ่านจือสมควรตาย ตายภายใต้คมดาบวงพระจันทร์ของบุตรีท่าน”

เอี้ยวค้วงส่งเสียงกล่าวตอบว่า “ถูกต้อง เรื่องราวสมควรเป็นเช่นนั้น แต่ทว่าพวกท่านเมื่อเดินทางไปภายหลัง ยังปล่อยให้พวกมันทั้งหมด รวมทั้งประมุขน้อยจ่านจือมีชีวิตรอดกลับมา”

ปีศาจดำเส้าไท่แป๊ะหยิน ส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“เป็นบุตรีท่านที่ทำงานผิดพลาดตั้งแต่ต้น อ้อ ไม่สินะ? บุตรีท่านทำงานสำเร็จอยู่บ้าง งานชิ้นแรกปลอมแปลงตัวเป็นมารน้อยขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง ตบตาบรรดาชาวยุทธ์ในงานวันเพ็ญเก้าค่ำเดือนยี่”

จากนั้นปีศาจขาวเส่าไท่ซาโกว ส่งเสียงกล่าวต่อว่า

“งานชิ้นที่สอง ที่โรงเตี๊ยมบนเส้นทางสายหลัก นางยังสังหารคนตายไปสามคน อีกทั้งยังช่วงชิงหยกเหินลมกลับมาได้โดยปลอดโปร่ง เพียงแต่สุดท้ายนางทำงานผิดพลาด คนที่นางสังหารเป็นซากศพจัดฉาก หาใช่ประมุขน้อยจ่านจือไม่? แม้นในตอนแรกอาจจะทำงานสำเร็จ แต่สุดท้ายยังมาผิดพลาดได้ในตอนท้าย”

เอี้ยวค้วงจึงส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“เมื่อท่านทั้งสองไปถึงในภายหลัง ไฉนจึงไม่จัดการให้สะอาดเรียบร้อย ยาสลายกระดูกของยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้ว ท่านทั้งสองสมควรพกติดตัวไป หากมิใช่ความผิดพลาดของพวกท่านด้วย จะให้กล่าวโทษผู้ใด?”

ปีศาจขาวเส่าไท่ซาโกว ส่งเสียงหัวร่อฮา ๆ แล้วกล่าวตอบคล้ายกับมีแผนการอันมั่นเหมาะ

“พวกเราเพียงอาศัยความผิดพลาดในครั้งนั้น เพื่อเก็บเกี่ยวความสำเร็จที่ใหญ่ยิ่งกว่า สิบห้าวันหลังจากนี้ จะมีงานชุมนุมชาวยุทธจักรครั้งใหญ่ ณ ลานผาเทพนิรันดร์เขาหมื่นเซียน เราจึงเพิ่งคิดได้ว่ายาสลายกระดูกของยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้ว สมควรนำออกมาใช้ในเวลานั้น ในวันนั้นเราจะใช้ยาสลายกระดูกบีบบังคับประมุขน้อยจ่านจือให้สละตำแหน่ง จากนั้นผู้มีพระคุณของท่านก็จะได้ครอบครองตำแหน่งประมุขยุทธจักรอย่างเต็มตัว เพียงแต่แผนการนี้จะต้องได้รับความร่วมมือจากผู้มีพระคุณของท่านด้วย”

เอี้ยวเซียวรับฟังถึงตอนนี้จึงโล่งอกออกมาได้ ระบายลมออกจากปากจากนั้นก้าวเดินออกมาจากตำแหน่งที่ซุ่มอยู่ พร้อมกับส่งเสียงกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าเอี้ยวเซียว ขอคารวะอาวุโสทั้งสอง บิดาท่านหายหน้าไปยังสถานที่ใด? ข้าพเจ้าร้อนรุ่มใจแทบตาย ท่านอาเคี้ยกก็อีกคนมิส่งข่าวคราวกลับมา ไฉนพวกท่านจึงมาปรากฏตัวพร้อมกันยังสถานที่นี้?”

เอี้ยวค้วงส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“พวกเราปรากฏตัวยังสถานที่นี้มีสิ่งใดแปลกประหลาด? เจ้าต่างหากจึงประหลาดแปลกปลอม มิทราบว่ามาแอบฟังตั้งแต่ต้นหรือไม่?”

เอี้ยวเซียวแสดงสีหน้ากระดาก จากนั้นส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“ข้าพเจ้าติดตามเงาหลังบิดามา จึงได้ยินเรื่องราวตั้งแต่ต้น กระทั่งบัดนี้จึงเพิ่งเข้าใจกระจ่าง เหตุการณ์ที่โรงเตี๊ยมจึงได้ลงเอยเช่นนั้น”

เอี้ยวค้วงพยักหน้า แต่มิได้กล่าวตำหนิแต่อย่างใด? จากนั้นส่งเสียงกล่าวต่อว่า

“หลังจากเหตุการณ์ในโรงเตี๊ยมวันนั้น บิดามีเรื่องราวสำคัญมากมายหลายประการต้องกระทำ จึงมิได้เดินทางกลับป่าเก้าหยก และมิได้ติดต่อกลับไปหาอาเคี้ยกพร้อมทั้งเจ้าด้วย”

จากนั้นปีศาจดำเส่าไท่แป๊ะหยิน ส่งเสียงกล่าวถามว่า

“มิทราบว่าหยกเหินลมสองชิ้นที่เจ้าช่วงชิงมา ส่งถึงมือผู้มีพระคุณของบิดาเจ้าโดยปลอดภัยแล้วหรือไม่?”

เอี้ยวเซียวส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“ล้วนถึงมือผู้มีพระคุณของบิดาเรียบร้อยแล้ว ผู้มีพระคุณของบิดาท่านเองเป็นอาจารย์ของข้าพเจ้า คิดมิถึงจริง ๆ หยกเหินลมสองชิ้น คือสัญลักษณ์ซึ่งสลักอยู่บนกระบี่อัคคีน้ำค้าง ซึ่งเป็นเบาะแสเชื่อมโยงไปถึงกระบี่คู่วิเศษ กระบี่สุริยันและจันทรา ท่านอาจารย์กล่าวว่า เมื่อได้หยกเหินลมสองชิ้นมา เรื่องราวของกระบี่คู่วิเศษย่อมมีหนทางเสาะหาพบ”

เอี้ยวเซียวระบายออกจากปากอีกคำหนึ่ง จากนั้นส่งเสียงกล่าวต่อว่า

“เมื่อเสาะหากระบี่สุริยันจันทราพบ ตำแหน่งเจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพของท่านอาจารย์จึงนับว่ามั่นคงสมบูรณ์ ไม่แน่นักเมื่อพบกระบี่คู่วิเศษ อาจจะพบคัมภีร์สุริยันจันทราฉบับสมบูรณ์ด้วยก็เป็นได้ เมื่อถึงเวลานั้น ท่านอาจารย์คงช่วยพวกท่าน อาวุโสทั้งสองจะได้หายจากอาการใบหน้าบัดเดี๋ยวชราบัดเดี๋ยวทารกได้ ท่านอาจารย์เองคงได้ครอบครองยุทธภพนี้ไว้ในมือสมใจปรารถนาเช่นกัน”

ปีศาจขาวเส่าไท่ซาโกว ส่งเสียงกล่าวว่า

“หากเรื่องราวราบรื่นมาถึงขั้นนี้ เราว่าท่านเอี้ยวค้วง ท่านมิต้องเดินทางกลับป่าเก้าหยกแล้ว มอบหมายให้แม่นางเอี้ยวเซียวบุตรีท่านไปจัดการเถิด เนื่องด้วยเราสองคนกับท่าน ยังมีงานสำคัญประการหนึ่งต้องเดินทางไปจัดการเร่งด่วน ดังนั้นจึงมอบหมายเรื่องราวในค่ำคืนนี้ ให้แม่นางเอี้ยวเซียวรับหน้าที่ไปดำเนินการเถิด”

กล่าวจบปีศาจขาวเส่าไท่ซาโกว ล้วงเข้าไปในอกเสื้อหยิบขวดหยกเคลือบส่งให้กับเอี้ยวเซียว พร้อมกับส่งเสียงสำทับว่า

“ในขวดหยกเคลือบนี้เป็นยาสลายกระดูก ยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วนางกล่าวว่า นี้เป็นยาขวดสุดท้ายแล้วที่นางมี ดังนั้นนางจึงตัดใจมอบให้มา ดังนั้นหน้าที่นี้เราจึงขอมอบหมายให้แก่เจ้า พร้อมกับแจกแจงแผนการในค่ำคืนนี้ให้แก่อาจารย์เจ้าทราบ อย่าได้ผิดพลาดตกหล่นเป็นอันขาด”

เอี้ยวเซียวเอื้อมมือรับขวดหยกเคลือบด้วยความระมัดระวัง จากนั้นซุกเก็บไว้ในอกเสื้อ แล้วส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“ข้าพเจ้าจะเรียนต่อท่านอาจารย์ตามแผนการของพวกท่านมิให้ตกหล่น ส่วนเรื่องส่งข่าวกลับป่าเก้าหยก บิดาโปรดวางใจ สำหรับทางด้านอาจารย์รอง คาดว่าท่านอาจารย์คงส่งข่าวไปด้วยตัวเอง”

ขณะที่จะกล่าววาจาใดต่อไป ไกลออกไปมีแสงคบไฟ พร้อมกับเสียงคนจำนวนหนึ่ง กำลังมุ่งหน้ามาทางด้านนี้ ดังนั้นเอี้ยวเซียวจึงรีบส่งเสียงกล่าวว่า

“คงเป็นแม่นางเยี่ยนผิง นางกับท่านอาจารย์และคนอื่น ๆ พากันติดตามมา พวกท่านรีบจากไป ข้าพเจ้าจะรีบย้อนกลับไปรับหน้าเอาไว้ให้เอง”

กล่าวจบเอี้ยวเซียวพุ่งร่างปราดไป ไปยังตำแหน่งซึ่งกลุ่มคนและแสงคบไฟกำลังมุ่งตรงมา

เมื่อคล้อยหลังเอี้ยวเซียว คนทั้งสามปลดหน้ากากออกมาจากใบหน้า สองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้า มันสองคนตายแล้วพร้อมกับถูกเผาไปในกองเถ้าถ่าน ป่านนี้แม้แต่กองเถ้าถ่านคงปลิวไปในอากาศไม่เหลือไว้แล้ว เอี้ยวค้วงก็เช่นกัน เมื่อมันสามคนตายแล้วไฉนจึงยังมาปรากฏตัวอยู่ที่นี้ได้?

เมื่อปลดหน้ากากออกแล้ว สองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้า ที่แท้เป็นสองสามีภรรยาแซ่เซียวนั้นเอง ส่วนเอี้ยวค้วงกลับกลายเป็นเฉาลู่ฟาง

นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิง ส่งเสียงกล่าวว่า

“เหล่านี้ล้วนเป็นแม่นางเยี่ยนผิง นางคาดการณ์ได้แม่นยำ แม่นางเอี้ยวเซียวผู้นี้ย่อมมีปัญหา แต่บุคคลที่น่าตระหนกตกใจยิ่งกว่า กลับเป็นบุคคลที่พวกเราไม่คาดคิดมาก่อน แท้จริงคนร้ายที่หลบซ่อนอยู่ในเงามืด กลับเป็นเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน อาจารย์ของเซี่ยวจือนั้นเอง”

บัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่ ส่งเสียงกล่าวต่อว่า

“หน้ากากเงินสองชิ้นนี้ บัดนี้เราค่อยทราบกระจ่าง เหตุใดแม่นางเยี่ยนผิงจึงมิให้เผาทำลาย มิหนำซ้ำยังให้พวกเราปิดบังเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโรงเตี๊ยมบนเส้นทางสายหลักไว้อีกด้วย ที่แท้นางวางแผนการเอาไว้แต่ต้น นางเก็บหน้ากากสองชิ้นนี้เอาไว้ เพื่อเปิดโปงเรื่องราวเหล่านี้นั้นเอง”

เฉาลู่ฟางส่งเสียงกล่าวว่า

“แม่นางเยี่ยนผิงฉลาดปราดเปรื่อง ร้อยเล่ห์พันเหลี่ยม อีกทั้งยังมากมายด้วยกลอุบาย แม้กระทั่งข้าพเจ้าเองบางครายังต้องปวดหัวไปกับนาง เนื่องด้วยไม่ทันความคิดเจ้าแผนการของนาง ในเมื่อนางวางแผนการอันมั่นเหมาะ พวกเราจึงต้องดำเนินตามแผนการที่นางวางไว้”

นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิง ส่งเสียงกล่าวสนับสนุนต่อว่า

“เช่นนั้น เรื่องราวเหล่านี้ จะให้เปิดเผยออกไปมิได้ ยิ่งมีคนทราบน้อยเท่าใดยิ่งเป็นผลดีเท่านั้น แม้แต่เซี่ยวจือก็มิอาจให้ทราบเรื่องราวในค่ำคืนนี้ได้ เรื่องราวเหล่านี้จะต้องเป็นความลับ จะให้เขาทราบมิได้เป็นอันขาด ดังนั้นนับจากวันนี้จนกระทั่งถึงวันชุมนุมใหญ่ เซี่ยวจือย่อมต้องปลอดภัยไร้เรื่องราวมารบกวนอยู่ระยะหนึ่ง”

เฉาลู่ฟางส่งเสียงกล่าวว่า

“ข้าพเจ้ามีความคิดเห็นเป็นเช่นนั้น พวกเรารีบรุดกลับไปอย่าได้ชักช้า แผนการต่อจากนี้ผิดพลาดมิได้เป็นเด็ดขาด”

ทั้งหมดใช้อีกเส้นทางหนึ่งวกอ้อมกลับไป ส่วนอีกเส้นทางหนึ่ง เอี้ยวเซียวรีบพุ่งร่างออกมารับหน้าเอาไว้ เป็นเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน พร้อมกับขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ขอทานอาวุโสทั้งสี่ นอกนั้นเป็นคนของสำนักตำหนักหมื่นเทพ

แสงไฟจากคบไม้ส่องสว่างไสวเรืองรอง เอี้ยวเซียวเมื่อพุ่งร่างออกมาส่งเสียงกล่าวว่า

“ท่านอาจารย์ อาวุโสทั้งหลาย ข้าพเจ้าติดตามไปไม่ทัน มิทราบว่าเป็นผู้ใด? เป็นคนร้ายหรือไม่? ข้าพเจ้ายังมิอาจพิสูจน์ได้ เห็นแต่เพียงเงาหลังของมันไม่ชัดเจนเท่าใดนัก คาดว่าพวกท่านติดตามมา มันจึงเตลิดหลบหนีไปไกลโขแล้ว”

เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน รีบส่งเสียงกล่าวถามว่า

“ใช่คนร้ายในชุดดำ ซึ่งเคลื่อนไหวอยู่ก่อนหน้านี้หรือไม่? เอี้ยวเซียวเจ้ามิเห็นลักษณะท่าทางของมันบ้างเชียวรึ?”

เอี้ยวเซียวส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“ค่ำคืนนี้เป็นคืนเดือนเสี้ยว ผนวกกับต้นไม้หนาแน่น ต่อให้เป็นคนร้ายจริง ๆ ก็มิอาจจะมองเห็นชัดถนัดนัก แต่เมื่อครู่ข้าพเจ้ากับแม่นางเยี่ยนผิง เพียงเห็นเป็นเงาวูบวาบผ่านไปเท่านั้น เป็นคนดีหรือคนร้ายยังไม่อาจแน่ใจ”

ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ส่งเสียงขึ้นบ้างว่า

“ในช่วงเวลานี้ มีเหตุการณ์มิคาดฝันเกิดขึ้นติดต่อกัน หนึ่งนั้นจ่านจือถูกถู่ฝูทำร้ายสาหัส เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นที่สำนักอสูรโลกันตร์ ต่อมาเส้าหลินถูกเจ้าประกาศิตหยั่งฟ้าดินฝุ่เต๋อ ร่วมมือกับเจ้าอสูรโลกันตร์และพรรคพวก บุกถล่มวัดเส้าหลิน จากนั้นเกิดเหตุการณ์นองเลือด เกิดขึ้นที่เขาหมางซานสำนักมารสวรรค์ ไม่แน่นักเป้าหมายต่อไป อาจเป็นสำนักตำหนักหมื่นเทพ ก็อาจเป็นไปได้”

เหล่าขอทานอาวุโสต่างพากันส่งเสียงสนับสนุนเห็นด้วย ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ส่งเสียงกล่าวต่อว่า

“นับจากวันนี้กระทั่งถึงวันชุมนุม พวกเรามิอาจชะล่าใจได้ ชุดดำลึกลับผู้หนึ่งพวกเราทราบแล้วว่าเป็นเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน ซึ่งมันก็ออกมายอมรับว่าเป็นมัน แต่สิ่งที่มันมิยินยอมรับคือ มันมิใช่ผู้ที่ลงมือใช้วิชาฝ่ามือพยายมเข่นฆ่าคน ดังนั้นสองชุดดำลึกลับต่างหากที่น่าสะพรึงกลัว  หนึ่งในสองชุดดำต่างหาก ที่ใช่ฝ่ามือพยายมสังหารคน เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอันอยู่ในที่แจ้ง ชุดดำสองคนหลังหลบซ่อนอยู่ในที่ลับ พวกเราจะต้องรัดกุมให้มากไว้”

เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน พยักหน้าคล้อยตามส่งเสียงว่า

“ข้าพเจ้าคล้ายมีความคิดเห็นเป็นเช่นนั้น ดังนั้นจึงให้เหล่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์อยู่คุ้มกันจ่านจือ พวกเราแบ่งกำลังคนออกตรวจตราหาคนร้ายอีกสักเที่ยวหนึ่ง หากเป้าหมายต่อไปเป็นสำนักตำหนักหมื่นเทพ เป้าหมายที่พวกมันต้องการสังหาร ย่อมต้องเป็นข้าพเจ้ากับศิษย์จ่านจืออย่างแน่นอน”

เอี้ยวเซียวส่งเสียงสนับสนุนว่า

“ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับท่านอาจารย์ ศิษย์พี่จ่านจือไร้วรยุทธ์ พวกมันคงคิดฉวยโอกาสนี้ซ้ำเติม ข้าพเจ้าเอี้ยวเซียวจะคอยปกป้องคุ้มกันศิษย์พี่ให้ถึงที่สุด แม้นจะต้องแลกด้วยชีวิตของข้าพเจ้าก็ตาม”

เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ส่งเสียงกล่าวชมเชยดังว่า

“เอี้ยวเซียว เจ้านับเป็นศิษย์น้องอันประเสริฐของจ่านจือ เมื่อเป็นเช่นนี้อาจารย์ล้วนหมดห่วงกังวลแล้ว เช่นนั้นพวกเราแยกย้ายเป็นสามทาง ข้าพเจ้ากับผู้เฒ่าเก้าจะนำคนไปทางหนึ่ง ส่วนเอี้ยวเซียวเจ้านำผู้เฒ่าแปดกับผู้เฒ่าอาวุโสสองท่านไปอีกทางหนึ่ง”

เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ยังมิทันกล่าวจบ เสียงหนึ่งดังสอดขึ้นมาว่า

“ท่านขอทานเฒ่า ท่านไปกับเราสองสามีภรรยาแซ่เซียวก็แล้วกัน ต้องขออภัยที่ติดตามมาล่าช้าไปก้าวหนึ่ง”

สองร่างที่สาดทะยานมา เป็นสองสามีภรรยาแซ่เซียว ผู้ที่กล่าววาจาเป็นบัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่นั้นเอง

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป