ตอนที่ 145
ซุกหัวหางเริ่มโผล่
สายลมสงบเงียบ เปลวไฟภายในโรงเตี๊ยมไม่รุนแรงแล้ว เปลวไฟไม่อาจรุนแรง เนื่องด้วยโรงเตี้ยมไม่เหลือเชื้อไฟให้ลุกไหม้ได้อีกแล้ว หลงเหลือไว้เพียงกองเถ้าถ่าน
ล่วงเลยมาสามวันแล้ว บนเส้นทางสายน้อย ซึ่งมาบรรจบกับเส้นทางสายหลัก ขบวนของสองสามีภรรยาแซ่เซียวกำลังก้าวเดินอยู่บนเส้นทางสายนี้
บนเกี้ยวคานอ่อน จ่านจือนอนอยู่ภายในเกี้ยวหลังนี้ เยี่ยนผิงควักเงินถึงห้าร้อยตำลึงทองต่อคน ใช้สี่คนแบกหามเกี้ยวคานอ่อน เดินทางมุ่งหน้าสู่สำนักตำหนักหมื่นเทพ
นอกจากเยี่ยนผิง สองสามีภรรยาแซ่เซียวแล้ว ยังมีเฉาลู่ฟาง นอกจากนี้ในขบวนยังเพิ่มนางชีเทวราชชิ้วโส่วมาอีกผู้หนึ่ง นางตั้งใจเดินทางคุ้มครองจ่านจือให้บรรลุถึงเชิงเขาหมื่นเซียน
เมื่อเส้นทางสายหลักบรรจบกับเส้นทางสายน้อย บนเส้นทางสายน้อย ก้าวย่างด้วยกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง เป็นขบวนขอทาน ขอทานเฒ่าก้าวย่างอยู่ด้านหน้า ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ร่วมด้วยขอทานอาวุโสอีกสี่คน
ด้านหลังเป็นเหล่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ พวกเขากับเหล่าขอทานเดินทางมุ่งหน้าสู่สำนักสำนักตำหนักหมื่นเทพเช่นกัน สองขบวนเผอิญมาบรรจบพบกันบนเส้นทางสายนี้
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือหัวร่อฮา ๆ ส่งเสียงกล่าวทักทายขึ้นก่อนว่า
“ฮา ๆ เราขอทานเฒ่าเบาใจได้แล้ว เมื่อเจ้าอารามอเทวตา นำหน้าขบวนมาด้วยตัวเอง นางชีเทวราชท่านสบายดี?”
นางชีเทวราชชิ้วโส่ว แสดงสีหน้ายินดีเช่นกัน ส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ขอทานเฒ่า เป็นท่าน ข้าพเจ้าสบายดี ข้าพเจ้าคล้ายเบาใจไม่แตกต่างจากท่าน เมื่อพบเจอท่านนับว่าประเสริฐ ข้าพเจ้าเมื่อเดินทางส่งทุกคนยังเชิงเขาหมื่นเซียนแล้ว คงต้องขอตัว เรื่องราวหลังจากนี้รบกวนให้ท่านช่วยเป็นธุระ ช่วยคุ้มครองท่านประมุขน้อยจนบรรลุถึงสำนักตำหนักหมื่นเทพ”
ขอทานเฒ่ากล่าวตอบว่า
“เรื่องราวหลังจากนี้ปล่อยเป็นหน้าที่เรา เราขอทานเฒ่าเข้าใจถึงความลำบากใจของท่าน เซี่ยวจือบาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้ พวกเราสมควรเร่งรุดเดินทาง นำเซี่ยวจือให้ถึงมือเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ผู้เป็นอาจารย์ของเขาเถิด”
ทุกคนในขบวนล้วนเห็นด้วย ต่างเร่งรุดเดินทางต่อในทันที ในระหว่างการเดินทาง บรรดาจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ต่างสนทนาแลกเปลี่ยนเรื่องราวกันอย่างสนิทสนม
โดยเฉพาะเรื่องราวที่เกิดขึ้นยังเขาหมางซานสำนักมารสวรรค์ กับเรื่องราวของจ่านจือที่สำนักอสูรโลกันตร์ มีเพียงเรื่องราวหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง เยี่ยนผิงกลับมิได้บอกเล่าออกมาให้กับทุกคนทราบ
วันเวลาล่วงเลยห้าวันผ่านไป สายลมยังคงพัด แสงแดดยังคงแผดเผา น้ำค้างในยามราตรีกับน้ำค้างยามรุ่งอรุณ แม้จะมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง แต่เหล่านั้นล้วนเป็นน้ำค้างเฉกเช่นเดียวกัน
วันเวลาผ่านไป ทุกสรรพสิ่งย่อมเปลี่ยนไป ผู้คนก็เฉกเช่นเดียวกัน มิมีสิ่งใดในโลกหล้าที่จีรังยั่งยืนและมั่นคง ขุนเขาแม้หนักแน่นยืนหยัดยังมีวันผันแปร จิตใจคนก็เป็นเช่นเดียวกัน ย่อมเปลี่ยนแปรไปไม่แน่นอน มหาสมุทรสุดลึกหยั่งถึง จิตใจมนุษย์ยิ่งลึกล้ำยิ่งกว่า ยังจะหนักแน่นดุจขุนเขาอยู่ได้หรือไม่
แต่สำหรับกับจ่านจือ วันเวลาแม้จะผ่านเลยไปเท่าใด? จิตใจของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปร ยังคงหนักแน่นดั่งหินผา แข็งแกร่งราวศิลา สำหรับกับเขายังคงเป็นลูกผู้ชายชาตรีอันเที่ยงธรรม เปี่ยมล้นด้วยคุณธรรมน้ำมิตร ยกขึ้นวางได้ไม่ยึดติด แม้ในเวลานี้จะบาดเจ็บสาหัส สูญเสียวรยุทธ์หมดสิ้น แต่นั่นปณิธาณอันแรงกล้าของเขายังคงเป็นเช่นเดิม
สายลมเชิงเขาหมื่นเซียนเงียบสงบ แสงแดดกลับไม่เข้มข้นเท่าใดนัก นางชีเทวราชชิ้วโส่วเอ่ยกล่าวต่อทุกคนว่า
“จะช้าหรือเร็วก็ต้องจากกัน นี่ก็บรรลุถึงเชิงเขาหมื่นเซียนแล้ว ธุระของเราเป็นอันลุล่วง เนื่องด้วยเราไม่สะดวกและไม่มีธุระสำคัญอันใด? จึงไม่จำเป็นต้องเดินทางขึ้นเขาหมื่นเซียนอีก แต่ก่อนที่เราจะจากไป ขอกล่าววาจากับท่านประมุขน้อยเพียงลำพังสักครู่หนึ่ง”
ทุกคนพยักหน้ารับทราบ ต่างปลีกตัวออกมานั่งพักผ่อนอยู่อีกฟากหนึ่ง บนเกี้ยวคานอ่อนจ่านจือนั่งอยู่ภายในเกี้ยวหลังนี้ นางชีเทวราชชิ้วโส่วเดินเข้าไปยังหน้าเกี้ยวหลังนี้ ม่านมุกเปิดไว้จ่านจือส่งเสียงกล่าวว่า
“อาวุโสชิ้วโส่ว”
นางชีเทวราชชิ้วโส่วกล่าวกับเขาว่า
“ท่านประมุขน้อย เราคงส่งท่านได้เพียงเท่านี้ ต่อจากนี้ท่านคงได้พบพานกับอาจารย์ของท่านแล้ว อาการบาดเจ็บคงได้รับการเยียวยาจนทุเลาหายดี ท่านประมุขน้อยท่านอย่าได้วิตกคิดมาก แม้ท่านต้องสูญเสียวรยุทธ์ แต่กระบวนท่ามิได้สูญหายไปด้วย”
นางชีเทวราชชิ้วโส่วเว้นจังหวะเล็กน้อยแล้วล้วงเข้าไปในอกเสื้อ หยิบฉวยขวดหยกเคลือบในหนึ่งออกมา เอ่ยกล่าวต่อจ่านจือว่า
“พวกเขาเพียงทำลายวรยุทธ์ของท่านได้ แต่เคล็ดวิชากับกระบวนท่าของท่าน พวกเขามิอาจจะทำลายลงได้”
จากนั้นนางชีเทวราชชิ้วโส่วส่งขวดหยกเคลือบให้แก่จ่านจือ จ่านจือใช้สองมือหนีบจับรับไว้ แล้วหย่อนลงไปในอกเสื้อ นางชีเทวราชชิ้วโส่วเอ่ยกล่าวว่า
“เก็บรักษาเอาไว้ให้ดี นี่เป็นหลักฐานเพียงชิ้นเดียว ที่เราเก็บได้ข้าง ๆ ร่างของน้องสี่ ในค่ำคืนที่ถูกทำร้าย เก็บรักษาเอาไว้กับตัว อย่าได้แพร่งพรายให้บุคคลที่สามทราบเป็นเด็ดขาด โปรดจดจำคำพูดของเราไว้ อย่าได้ไว้วางใจผู้ใดเป็นอันขาด มิตรหรือศัตรูอีกไม่ช้าย่อมต้องเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา”
จ่านจือเอ่ยถามขึ้นว่า
“เรียนถามอาวุโส เมื่อพบพานความตาย จึงประสบพบความสำเร็จสูงสุด มิทราบว่าท่านอาวุโสหมายความว่าเช่นไร?”
นางชีเทวราชชิ้วโส่วสายตาทอประกาย แล้วเอ่ยกล่าว
“เราย่อมหมายความเป็นเช่นนั้นจริง มติแห่งฟ้ามิอาจแพร่งพรายมากหลายได้ เมื่อถึงเวลาท่านย่อมเข้าใจกระจ่าง เสร็จสิ้นธุระของเราแล้ว หากมีวาสนาเราท่านค่อยพบพานกันใหม่”
จ่านจือขยับริมฝีปากคิดเอ่ยกล่าว ร่างของนางชีเทวราชชิ้วโส่วหายลับไปไม่เห็นเงาหลังแล้ว ทุกคนเร่งรุดเดินทางขึ้นเขาหมื่นเซียนต่อในทันที
สายลมปากหุบเขาพัดแผ่ว มรสุมร้ายแห่งเขาหมางซาน บัดนี้คลี่คลายเบาบางลงแล้ว แต่ทว่าซากศพเกลื่อนกลาดบนพื้นลานสำนักมารสวรรค์ เพิ่งจะฝังกลบหมดสิ้นในวันนี้
ในขณะเดียวกันในวันนี้ ขบวนของเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน เดินทางกลับมาถึง ขาดแต่เพียงเจ้าประกาศิตหยั่งฟ้าดินฝุ่เต๋อ กับสมุนมือขวาของมันนามผางกว่าน
เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน ประสบความสำเร็จยังวัดเส้าหลิน กลับพบพานความล้มเหลวยังสำนักมารสวรรค์ หลังจากรับฟังเรื่องราวจากปากของนางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ถึงกับขบกรามกรอด สองมือกำเข้าหากันจนกระดูกลั่นเกรียวกราว
สายน้ำมิอาจไหลกลับ วันเวลาก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน หนึ่งวันให้หลัง หลังจากสะสางเรื่องราวภายในสำนักมารสวรรค์แล้ว นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน นางเดินทางร่วมกับขบวนของเจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน มุ่งหน้าสู่สำนักอสูรโลกันตร์
ภายในห้องโถงใหญ่ มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง มันนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง อาการบาดเจ็บของมันค่อยทุเลาเบาบางลงแล้ว กระทั่งเกือบสายสนิทแล้วก็ว่าได้
ทางด้านขวาของมันยืนอยู่ด้วยเยี่ยเหว่ย และจางจิ้ง ทางด้านซ้ายยืนอยู่ด้วยถงถง และเกาเกา ในเหตุการณ์วันเพ็ญแปดค่ำ เยี่ยเหว่ย กับจางจิ้ง มันฟื้นคืนสติมา กลับพบพานตนเองนอนอยู่ซอกศิลามุมหนึ่ง มันสองคนไม่ทราบได้ว่าไปนอนอยู่ได้เช่นไร? คำถามนี้มีเพียงเฒ่าชราผมยาวขาวโพลนจึงตอบได้
แต่สำหรับถงถง และเกาเกา กลับได้รับความไว้วางใจจากมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง หลังจากมันทั้งสองคนช่วยเหลือชีวิตมัน และคอยปรนนิบัติรับใช้ จนอาการบาดเจ็บของขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงทุเลาจนเกือบหายดี
ความโกรธเกรี้ยวเป็นคำรบสองต้องบังเกิด หลังจากเรื่องราวต่าง ๆ พรั่งพรูออกจากปากของมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง เสียงเปรี้ยงดังสนั่นก้องในห้องโถงใหญ่ โต๊ะตัวหนึ่งแหลกสลายกลายเป็นผุยผง เมื่อกระแทกฝ่ามือลงไป เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน กำสองมือแนบแน่นเค้นเสียงกล่าวว่า
“เรื่องราวเหล่านี้เห็นทีไม่อาจมิสะสาง”
มันทอประกายสายตาวาววับเจิดจ้าดุจอินทรี อำมหิตชั่วร้ายราวพญาแร้งร้าย รังสีเข่นฆ่าทำลายล้างรุนแรงกระไรปานนั้น แล้วกล่าวต่อว่า
“สองสามีภรรยาแซ่เซียวท่าน อีกทั้งท่านเซียนเมามายแปดทิศเชียงชุนชิว พวกท่านมิอาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันกับเรา ยังมีขอทานเฒ่าอีกผู้หนึ่ง นอกจากนี้ยังมีเหล่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์อีก พวกมันคงมิอาจมีอายุขัยยืนยาว”
นางมารเยือกเย็นเหยาเยี๊ยะเหยียน ส่งเสียงกล่าวขึ้นว่า
“เยี่ยนผิง บุตรีข้าพเจ้า นางมิเห็นแก่หน้ามารดา คบหากับจ่านจือ กับเหล่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์เหล่านั้น เมื่อนางเลือกหนทางเดินสายนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่มีวาจาใด? เอ่ยกล่าวต่อท่าน โทษทัณฑ์อื่นแม้นมิอาจละเว้น ถึงเช่นไรนางยังเป็นสายเลือดข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเพียงขอละเว้นโทษตายให้แก่นาง”
ขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง คิดกล่าววาจาใด? ออกมา แต่แล้วกล้ำกลืนคำพูดเอาไว้มิได้กล่าวออกมา มันมิได้บอกกล่าวอาการบาดเจ็บเรื่องหนึ่งของมันออกมา อีกทั้งยังสั่งเถาเถา และเกาเกา มันยังสั่งกำชับมิให้กล่าวเรื่องราวนี้ออกไป แม้กระทั่งเยี่ยเหว่ย กับจางจิ้ง มันทั้งสองคนเองกลับมิทราบอาการบาดเจ็บเรื่องนี้ของมารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงเช่นกัน
หลังจากรวบรวมกำลังคนและยอดฝีมือแล้ว บัดนี้เหล่ายอดฝีมือที่หลงเหลือ ได้แก่ต๊กม้อเต็กลามะ สองเทวทูตซ้ายขวา เจียฮุย เจียจิ้ง มารขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง สำหรับถงถง และเกาเกา มันสองคนปลอมแปลงโฉมได้แนบเนียนยิ่ง แม้กระทั่งนางมารเยือกเย็นเยาเยี๊ยะเหยียน นางยังคงดูมิออกว่ามันสองคน ที่แท้เป็นสองมารฟ้าดิน ต้าเอ่อคา กับหม่าจิ้งเถา สองสมุนของนางเอง
เมื่อส่งข่าวไปยังเจ้าประกาศิตหยั่งฟ้าดินฝุ่เต๋อ กับถู่ฝูยังเส้าหลินแล้ว คำสั่งรวบรวมกำลังคน ถูกจัดส่งออกไปยังสาขาต่าง ๆ ของสำนักมารสวรรค์ และสำนักอสูรโลกันตร์ อีกสิบห้าวันหลังจากนี้ ทั้งหมดจะยกกำลังคนทั้งหมดบุกสำนักตำหนักหมื่นเทพเขาหมื่นเซียน
กล่าวถึงเชียงชุนชิวแห่งหุบเขาวานร หลังจากหนีบร่างของวานรเหินอั้งเซี๊ยะเปาโลดแล่นกลับหุบเขาวานร ระหว่างทางกลับพบพานเรื่องราวมิถูกต้อง รีบหยุดยั้งท่าร่างลงแต่กลางคัน แล้วส่งเสียงกล่าวถามว่า
“ท่านเมื่อติดตามข้าพเจ้ามาถึงที่นี้แล้ว โปรดแสดงตัวออกมาเถิด วิชาตัวเบาของท่านเลิศล้ำถึงเพียงนี้ พลังฝีมือของท่านคงมิต้องกล่าวถึงแล้ว”
พริบตานั้น พุ่มไม้ต้นหนึ่งพลันแยกออก พร้อมกับร่างของคนผู้หนึ่งโผพุ่งออกมา กระบวนท่าที่ใช้คล้ายดั่งอสรพิษร้าย เสียงลมฝ่ามือดังเร่งร้อนอื้ออึง เชียงชุนชิวก้าวถอยหลังอย่างว่องไว เพียงก้าวเดียวที่ก้าวถอย กลับยิ่งต้องตื่นตระหนกอีกครั้งครา มีเรื่องราวมิถูกต้องพลันเกิดขึ้นอีกคำรบสอง
ร่างของวานรเหินอั้งเซี๊ยะเปาซึ่งตลอดเวลาเป็นเช่นปลาตาย บัดนี้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวแล้ว พอเคลื่อนไหวนิ้วจี้ปราดเข้าบริเวณชายโครงของเชียงชุนชิว พร้อมกับส่งเสียงดังว่า
“ท่านกลับหลงกลพวกเราแล้ว”
พร้อมกันนั้นเสียงฉาดดังขึ้นคราหนึ่ง ฝ่ามือของคนผู้ที่พุ่งมาประทับฝ่ามือเข้าใส่บริเวณกึ่งกลางหน้าอก เชียงชุนชิวมิมีปัญญาหลบหลีกหรือปัดป้อง ได้แต่ส่งเสียงร้องหนัก ๆ คราหนึ่ง หากมิถูกจี้สกัดจุดเอาไว้ ฝ่ามือนี้ใช่จะทำร้ายเชียงชุนชิวได้ง่ายดายปานนี้
เชียงชุนชิวพ่นโลหิตสีแดงสดออกมาจากปากคำหนึ่ง กลอกกลิ้งดวงตาไปมา มองวานรเหินอั้งเซี๊ยะเปา แล้วมองเจ้าของฝ่ามือนั้น อดส่งเสียงกล่าวถามต่อคนผู้นั้นมิได้ว่า
“ฝ่ามือเมื่อครู่ เรียกหาว่าวิชาฝ่ามือใด?”
คนผู้นั้นส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“เรียกว่าฝ่ามือพญายม มิทราบว่าท่านเคยได้ยินชื่อวิชาฝ่ามือนี้มาบ้างหรือไม่?”
เชียงชุนชิวกล่าวตอบว่า
“เราไม่เคยได้ยินมาก่อน หรือว่าเป็นวิชาฝ่ามือเดียวกันกับ วิชาฝ่ามือเทพอสูรไร้สำนึก?”
คนผู้นั้นหัวร่อฮา ๆ น้ำเสียงเยือกเย็นยิ่ง กล่าวต่อว่า
“นึกมิถึง ท่านกลับมีความรอบรู้อยู่บ้าง ข้าพเจ้าเองมาตรว่ามีความรอบรู้อยู่ไม่น้อย กลับเสาะหาเส้นทางลับเข้าหุบเขาวานรมิพบ แม้แต่ม่วยม่วยข้าพเจ้า ซึ่งเคยเป็นศิษย์ของหุบเขาวานร นางยังหมดหนทางค้นหาเส้นทางเข้าเช่นเดียวกับข้าพเจ้า ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้ร่างท่าน ถึงแม้จะเป็นร่างที่ไร้วิญญาณ คนของหุบเขาวานร คงมิมีผู้ใดกล้าคัดค้านกระมัง? ให้ศิษย์กลับใจของหุบเขาวานร แบกร่างท่านกลับเข้าไปวิธีการเช่นนี้ ท่านคิดว่าเป็นหนทางอันประเสริฐหรือไม่?”
บัดนี้วานรเหินอั้งเซี๊ยะเปา กลับกลายจากปลาตายเป็นปลาเป็นแล้ว นางดีดร่างคล้ายดั่งมัจฉาคะนองคลื่น เมื่อหยุดยั้งท่าร่างข้าง ๆ คนผู้นั้น ส่งเสียงกล่าวราบเรียบว่า
“ท่านคงคาดคิดมิถึงใช่หรือไม่? ศิษย์ทรยศหุบเขาวานรในอดีต หลังจากสำนึกกลับใจ คิดนำเคล็ดวิชาวานรกลับคืนสู่สำนัก อีกทั้งยังได้ช่วยเหลือท่านจนสุดกำลังโดยไม่หวงแหนชีวิต แต่ทว่าท่านยังพลาดท่าตายภายใต้ฝ่ามือพญายม ข้าพเจ้าป้ายความผิดนี้ให้แก่เจ้าอสูรโลกันตร์หม่าถิงอัน ข้าพเจ้าเพียงนำร่างท่านกลับไป พร้อมกับแจ้งคำสั่งเสียของท่านก่อนสิ้นลมว่า ให้ข้าพเจ้าวานรเหินอั้งเซี๊ยะเปา นำเคล็ดวิชาวานรกลับมาเป็นเจ้าหุบเขา พร้อมกับนำคนของหุบเขาวานรออกไปคิดบัญชีกับผู้ที่ฆ่าท่าน ท่านคิดว่าคนของหุบเขาวานร จะมิยอมเชื่อถือคำพูดนี้ได้หรือไม่?”
เชียงชุนชิวสำรอกพ่นโลหิตออกมาจากปากอีกคำหนึ่ง สองตาเบิกโพลงส่งเสียงแหบหายแผ่วเบาว่า
“พวก...พวกท่าน เป็น...เป็น กอกอ ม่วยม่วย กัน”
กล่าวได้เพียงเท่านี้ เชียงชุนชิวสิ้นลมหายใจ ร่างแม้ไร้ลมหายใจแต่ยังมิทันล้มลง วานรเหินอั้งเซี๊ยะเปารีบแบกร่างเชียงชุนชิวไว้กลางหลัง ส่งเสียงกล่าวกับคนผู้นั้นว่า
“กอกอ เรื่องราวของหุบเขาวานร ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าพเจ้าจัดการเอง ส่วนท่านรีบเดินทางกลับไปอย่าได้ชักช้า คาดว่าป่านนี้ข่าวของประมุขน้อยจ่านจือ ซึ่งหลงเหลือเพียงกองน้ำเลือดเหือดแห้งกองหนึ่ง คงส่งถึงสำนักตำหนักหมื่นเทพ เขาหมื่นเซียนแล้ว”
คนผู้นั้นส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“เช่นนั้นเราแยกย้ายกันทำงาน ระมัดระวังตัวให้มากไว้”
กล่าวจบคนผู้นั้นพุ่งร่างจากไปดั่งเหินบิน วานรเหินอั้งเซี๊ยะเปาเอง แบกร่างเชียงชุนชิวทะยานไป มุ่งหน้าไปตามทิศทางซึ่งเชียงชุนชิวกำลังมุ่งหน้าไป หากนางมุ่งหน้าไปยังเส้นทางสายนี้ คนของหุบเขาวานร หากเห็นร่างของเชียงชุนชิว รับรองรองได้ว่าจะต้องปรากฏตัวออกมาอย่างแน่นอน
สายลมพัดพลิ้วเบาบาง แสงสายัณห์เริ่มเข้มข้น คนยิ่งเร่งเร้าฝีเท้าก้าวเดิน บนเส้นทางขึ้นเขาหมื่นเซียน เบื้องหน้าเป็นพื้นลานกว้าง สำนักตำหนักหมื่นเทพ
เมื่อขบวนของขอทานพเนจรหวงเกาฉือ กับเหล่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์เดินทางมาถึง ยังมิทันบรรลุถึงตึกใหญ่ เอี้ยวเซียววิ่งออกมารับหน้า เมื่อมองเห็นเกี้ยวคานอ่อน นางรีบส่งเสียงกล่าวถามขึ้นทันทีว่า
“เกิดเรื่องราวใดขึ้น? ไฉนพวกท่านจึงเดินทางมาโดยพร้อมเพรียง?”
ทุกคนยังมิได้กล่าวตอบ เอี้ยวเซียวชี้มือไปที่เกี้ยวคานอ่อน พร้อมกับส่งเสียงกล่าวถามต่อว่า
“บนเกี้ยวหลังนั้นเป็นผู้ใด? จ่านจือเล่า? เขาไปยังสถานที่ใดไม่เห็นเดินทางมาพร้อมกับพวกท่าน?”
เยี่ยนผิง จ้องมองใบหน้าเอี้ยวเซียวตรง ๆ จากนั้นเลื่อนสายตาลงมาจับจ้องยังดาบวงพระจันทร์ ซึ่งเหน็บไว้หว่างเอวของนาง เยี่ยนผิงแสดงสีหน้าเสียใจ เอ่ยกล่าวตอบเอี้ยวเซียวว่า
“เรื่องราวยืดยาวยิ่ง หากจะให้บอกเล่าตรงนี้คงเมื่อยขบขายิ่ง บนเกี้ยวหลังนั้นเป็นจ่านจือ เขาได้รับบาดเจ็บรุนแรง ข้าพเจ้าคิดว่ารีบนำเขาเข้าไปด้านใน แล้วรีบเชิญอาจารย์ของเขามาตรวจดูอาการก่อนดีหรือไม่?”
เอี้ยวเซียวแสดงสีหน้าตระหนกตกใจ รีบวิ่งเข้าไปยังเกี้ยวหลังนั้น เมื่อบรรลุถึง รีบเอื้อมมือเปิดม่านมุกออก จากนั้นส่งเสียงร้องว่า
“จ่านจือ ท่านเป็นเช่นไรบ้าง? เป็นท่านจริง ๆ ใช่หรือไม่?”
ปากส่งเสียงกล่าวถาม ศีรษะรีบชะโงกเข้าไปภายในเกี้ยวคานอ่อน ปฏิกิริยาของเอี้ยวเซียว คล้ายกับไม่ยอมเชื่อถือคำพูดของเยี่ยนผิงกระนั้น นางคล้ายไม่เชื่อว่าภายในเกี้ยวหลังนี้จะเป็นจ่านจือจริง ๆ เยี่ยนผิงรีบก้าวเท้าเข้ามา พร้อมกับส่งเสียงกล่าวว่า
“แม่นางเอี้ยวเซียว คล้ายกับท่านไม่เชื่อถือข้าพเจ้ากระนั้น? ท่านคล้ายไม่เชื่อว่าภายในเกี้ยวหลังนี้จะเป็นจ่านจือจริง ๆ?”
จ่านจือภายในเกี้ยวส่งเสียงเอ่ยกล่าวว่า
“เยี่ยนผิง ท่านคงเข้าใจผิดคิดเป็นเช่นนั้น คงเพราะแม่นางเอี้ยวเซียวรู้สึกตระหนกตกใจ กอปรกับเป็นห่วงอาการของข้าพเจ้า จึงได้รีบร้อนลนลานเช่นนั้น”
จากนั้นส่งเสียงกล่าวต่อเอี้ยวเซียวว่า
“ที่ข้าพเจ้าจ่านจือกล่าวมาเมื่อครู่ แม่นางเอี้ยวเซียวท่านมีความเห็นเป็นเช่นไร? ถูกต้องดั่งข้าพเจ้ากล่าวหรือไม่?”
เอี้ยวเซียวรีบส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ถูกต้อง คำกล่าวของท่านที่กล่าวมาเมื่อครู่ล้วนถูกต้อง ข้าพเจ้ามีความรู้สึกเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เช่นนั้นเชิญทุกท่านเข้าไปยังตึกใหญ่ นั่งพักผ่อนดื่มน้ำชาให้หายเหน็ดเหนื่อย ข้าพเจ้าเอี้ยวเซียวจะรีบไปเรียนต่อท่านเจ้าโอสถสายรุ้งเดี๋ยวนี้”
กล่าวจบเอี้ยวเซียวรีบก้าวเท้านำหน้าไปทันที แต่ทว่าประกายสายตาของนาง คล้ายกับยังมิยินยอมเชื่อถือว่าภายในเกี้ยวหลังนั้นจะเป็นจ่านจือจริง ๆ
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564