Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (มังกรซ่อนพยัคฆ์)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

มังกรซ่อนพยัคฆ์

  • 01/09/2565

ตอนที่ 144

มังกรซ่อนพยัคฆ์

แสงสีสายัณห์เข้มข้น วิกาลคล้อยดึก ม่านราตรีคลี่คลุม สายลมกระโชกปานไม่รู้จักกับความเหน็ดเหนื่อยฉะนั้น คล้ายกับสายลมท่านกำลังเย้าหยอกเปลวไฟในหอห้องครัวมิปาน

เปลวไฟในหอห้องครัวเอง คล้ายกับตื่นเต้นยินดีกระไรปานนั้น ยิ่งสายลมรุนแรง เปลวไฟยิ่งโหมรุนแรงจนกระทั่งโชติช่วง เสียงเถ้าถ่านปะทุราวกับประทัด สายลมรุนแรง เปลวไหม้รวดเร็ว ยิ่งเพิ่มบรรยากาศตึงเครียดให้กับผู้คน

แต่กระนั้นบรรยากาศภายในโรงเตี๊ยม กลับเยือกเย็นลงจนชวนขนหัวลุกกระไรปานนั้น สองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้า เพิ่งจะก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้ายลงมา มันทั้งสองเมื่อเหยียบย่างสัมผัสพื้นชั้นล่างโรงเตี๊ยม ยิ่งเพิ่มความเย็นเยียบประหลาดชนิดหนึ่ง

บรรยากาศโดยรอบพลันสงบนิ่ง มิเพียงความเย็นเยือกราวน้ำแข็งแผ่ซ่านปกคลุม สายลมมิกระโชก เปลวไฟสงบไม่ลุกไหม้ คนยิ่งมิกล้าเคลื่อนไหว เยี่ยนผิง นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิง บัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่ ภาวนาในใจมิให้สองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้าเคลื่อนไหวเช่นกัน

แต่ทว่าสองมารดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้า มันทั้งสองไม่ทราบว่าคนทั้งสามภาวนาในใจเช่นนั้น มันทั้งสองพลันเคลื่อนไหวแล้ว เคลื่อนไหวรวดเร็วยิ่ง รวดเร็วดุจวิญญาณปีศาจ เมื่อทะยานขึ้นจากพื้นโผพุ่งราวสายฟ้าเข้าหาคนทั้งสาม มือทั้งสองกางออก ดูไปคล้ายใบลานขนาดใหญ่ใบหนึ่ง

ปีศาจสองตัว หนึ่งดำ หนึ่งขาว หนึ่งชาย หนึ่งหญิง สะบัดฝ่ามือที่ใหญ่โตปานใบลานอยู่เบื้องหน้าคนทั้งสาม สายลมไม่สงบนิ่งอีกแล้ว เปลวไฟลุกโหมรุนแรงขึ้นสู่ชั้นสองของโรงเตี๊ยม

ฝ่ามือที่หยาบใหญ่กระไรปานนั้น เคลื่อนไหวรวดเร็วกระไรปานนั้น วิกาลที่คล้อยดึกคลี่คลุมอยู่ก่อนแล้ว ยิ่งเพิ่มเงามืดทะมึนดุจเงาปีศาจอยู่เบื้องหน้าคนทั้งสาม สองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้า ส่งเสียงตวาดดังเกรี้ยวกราดว่า

“พวกท่านทั้งสามมาหาที่ตาย?”

ในเสียงตาย ประโยคสุดท้ายยังมิทันกล่าวจบลง ในวิกาลเลือนราง มังกรขาวตัวหนึ่งพุ่งปราดมาดุจประกายสายฟ้า แต่ทว่าหาใช่มังกรขาวไม่? กลับกลายเป็นแส้เงินสีขาวนวลเจิดจ้ากลุ่มหนึ่ง แส้เงินกลุ่มนั้นขยายใหญ่โตยืดยาว มองไปคล้ายมังกรขาวตัวหนึ่งจริง ๆ พร้อมกับเสียงตวาดเกรี้ยวกราดเช่นกันว่า

“พวกท่านทั้งสอง ก็มิเห็นต้องมาหาที่ตาย?”

ทุกสรรพสิ่งพลันสงบนิ่งลงอีกครั้ง ร่างของสองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้ายิ่งสงบนิ่ง มันทั้งสองมิกล้าเคลื่อนไหวใดได้แต่ยืนสงบนิ่ง ที่มิกล้าเคลื่อนไหวเนื่องด้วยแส้ขนอ่อนไหมเงิน ทะลวงทะลุร่างระหว่างลำตัวของพวกมันทั้งสองไป ร่างของปีศาจขาวเส่าไท่ซาโกวอยู่เบื้องหน้า ปีศาจขาวเส่าไท่แป๊ะหยินอยู่เบื้องหลัง สองรางหนึ่งแส้ขนอ่อนไหมเงิน แต่ทั้งสองสามารถใช้ร่วมกันได้ในเวลาเดียวกัน

เอี้ยวค้วงพลันชิงเคลื่อนไหวก่อน มันสะบัดอาวุธเป็นสามง่ามในมือเข้าใส่เปลวไฟกลายเป็นเป็นช่องหนึ่ง แล้วพุ่งร่างทะลวงเปลวไฟออกสู่เบื้องนอก ด้วยท่าร่างรวดเร็วดุจพยัคฆ์ราวมังกร พร้อมกับส่งเสียงกล่าวกลับมาดังว่า

“สองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้า ธุระทางด้านนี้ข้าพเจ้าเอี้ยวค้วงขอมอบให้พวกท่านทั้งสองสะสาง ส่วนหนทางด้านหน้าข้าพเจ้าจะสานต่อจนลุล่วง”

เยี่ยนผิงเห็นเช่นนั้นส่งเสียงร้องบอกต่อนางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิง กับบัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่ว่า

“อาวุโสเซียว ท่านทั้งสองรีบติดตามจับตัวเอี้ยวค้วงเจ้าป่าเก้าหยกกลับมาเร็วเข้า ข้าพเจ้ากับเฉาลู่ฟางจะรีบรุดไปจัดการธุระประการหนึ่งให้ลุล่วงด้วยเช่นกัน”

สองสามีภรรยาแซ่เซียวพุ่งร่างปราด ๆ ติดตามเอี้ยวค้วงไป ส่วนเยี่ยนผิงหันไปอีกทิศทางหนึ่ง ซึ่งคนผู้หนึ่งเพิ่งพุ่งร่างโฉบเข้ามาภายในโรงเตี๊ยม คนผู้นั้นส่งเสียงดังว่า

“อาวุโสชิ้วโส่ว ท่านเยี่ยนผิง ข้าพเจ้าเฉาลู่ฟางมาช้าไปหลายก้าว มิทราบว่ายังมิสายเกินไปใช่หรือไม่?”

เยี่ยนผิงแสดงสีหน้ายินดี แล้วส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“เฉาลู่ฟาง ข้าพเจ้าร้อนรุ่มใจแทบตาย คิดว่าท่านไปเชิญอาวุโสชิ้วโส่วมาไม่ทันเสียอีก ข้าพเจ้าได้แต่ภาวนาแทบตายให้อาวุโสชิ้วโส่วเดินทางมาทัน ถูกต้อง ยังไม่สายเกินไป แต่ทว่าหากอาวุโสเดินทางมาช้ากว่านี้อีกเพียงครึ่งก้าว สถานการณ์คงเลวร้ายมากกว่าดีแล้ว”

เมื่อกล่าวจบเยี่ยนผิงส่งเสียงต่อเฉาลู่ฟางต่อว่า

“เร็วเข้า พวกเราอย่าได้ชักช้า ท่านรีบติดตามข้าพเจ้าไป ไปยังห้องสุดทางระเบียง ก่อนที่เปลวไฟจะลุกไหม้จากห้องครัวไปยังห้องนั้น”

กล่าวจบเยี่ยนผิงพุ่งร่างขึ้นสู่ชั้นสอง วิ่งตรงสู่ห้องสุดทางระเบียง โดยมีเฉาลู่ฟางพุ่งร่างตามติดมาไม่ห่าง หากทั้งสองมัวชักช้าไปกว่านี้ เปลวไฟจากห้องครัวคงลุกไหม้ไปถึงอีกในไม่ช้า

เยี่ยนผิงรีบผลักประตูห้องสุดทางระเบียงเข้าไป ห้องนี้ซึ่งดรุณีในชุดนักบู๊สีเขียวเข้มถูกฆ่าตายนั้นเอง เยี่ยนผิงเข้าสู่ขอบเตียงนอน บนเตียงนอนมิได้นอนอยู่ด้วยซากศพ แต่กลับนอนอยู่ด้วยคนผู้หนึ่ง เมื่อคนผู้หนึ่งมิใช่ซากศพ แล้วเป็นผู้ใด

คนผู้นั้นเมื่อเห็นเยี่ยนผิงวิ่งเข้ามา แสดงสีหน้ายินดีอย่างโล่งใจ คล้ายผลักภูผาออกจากอก คนผู้นั้นกลับเป็นจ่านจือซึ่งนอนอยู่บนเตียง จ่านจือผลัดเปลี่ยนชุดใหม่แล้ว เป็นเสื้อคลุมของดรุณีนักบู๊ผู้นั้น ส่วนนักบู๊ผู้นั้นกลับสวมใส่เสื้อคลุมของจ่านจือ ป่านนี้ดรุณีนางนั้นกับเสื้อคลุมของจ่านจือคงไม่อยู่แล้ว เหลือเพียงกองน้ำเลือดแห้งกรังกองหนึ่งเท่านั้นเอง

เยี่ยนผิงคำนวณไว้ไม่ผิดพลาด ดังนั้นนางจึงดำเนินแผนการโดยแยบยล แยบยลจนกระทั่งเจ้าป่าเก้าหยกเอี้ยวค้วง เอี้ยวเคี้ยก รวมถึงชุดดำผู้นั้น อีกทั้งสองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้ายังพลาดท่าตกหลุมพราง ดังนั้นจ่านจือจึงยังคงไม่ตาย

“จ่านจือ ท่านเป็นเช่นไรบ้าง? ข้าพเจ้ากลับมาแล้ว เฉาลู่ฟางก็มาด้วย มิได้มาโดยลำพัง แต่พาอาวุโสชิ้วโส่วล่วงหน้ามาด้วย เมื่ออาวุโสชิ้วโส่วมาด้วย ทุกเรื่องราวย่อมรวบรัด ทุกเรื่องราวปัญหาคงคลี่คลายได้ง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ”

เยี่ยนผิงวิ่งถึงขอบเตียง จ่านจือนอนลืมตารอคอยอยู่ก่อนแล้ว เฉาลู่ฟางก็พุ่งร่างมาถึงพอดี จ่านจือพ่นลมออกจากปากคำหนึ่งแล้วส่งเสียงกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าเองรุ่มร้อนใจดุจไฟเผา ด้วยเกรงว่าแผนการของท่านจะไม่บรรลุผล กังวลว่าพวกมันจะไม่ตกหลุมพรางที่ท่านขุดไว้ ยังนับว่าโชคดีที่สองหน้ากากเงินนั่น มันสองคนเพียงชะโงกหน้าเข้ามาดูแล้วพลิ้วไป หากมันทั้งสองเข้าตรวจสอบดูถึงริมขอบเตียง ข้าพเจ้าคงจบสิ้นชีวิตแล้ว”

เฉาลู่ฟางเอ่ยกล่าวขึ้นบ้างว่า

“ข้าพเจ้าเองมิได้แตกต่างจากพวกท่านเท่าใดนัก คลุ้มคลั่งใจแทบตาย ราวหัวใจเต้นตูมตามออกมานอกอก ด้านหนึ่งวิตกว่าจะพบอาวุโสชิ้วโส่วหรือไม่?  ด้านหนึ่งกังวลใจเมื่อเจอท่านแล้ว ข้าพเจ้าเมื่อบอกกล่าววาจาออกไป ท่านจะยินยอมเชื่อถือวาจาข้าพเจ้าหรือไม่? มาตรว่าท่านยอมเชื่อถือวาจาข้าพเจ้า สุดท้ายท่านจะรีบรุดมาช่วยเหลือได้ทันเวลาหรือไม่?”

เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวว่า

“หากว่าอาวุโสชิ้วโส่วมาช้ากว่านี้อีกเพียงครึ่งก้าว ข้าพเจ้ากับอาวุโสแซ่เซียวทั้งสอง คงต้องย่ำแย่แล้ว”

จ่านจือส่งเสียงกล่าวสนับสนุนขึ้นว่า

“ถูกต้อง หากท่านย่ำแย่ ข้าพเจ้าคงอย่าได้เอ่ยถึงแล้ว สุดท้ายแม้นไม่ตายด้วยน้ำมือชุดดำผู้นั้น กับสองหน้ากากเงินดำขาวนั้น ข้าพเจ้าจ่านจือยังคงต้องตายภายในเปลวไฟที่ลุกไหม้มาถึงอยู่ดี”

เฉาลู่ฟางกล่าวว่า

“อาวุโสชิ้วโส่ว ท่านกลับอยู่ที่อารามอเทวตา ขณะเวลาที่ข้าพเจ้าเดินทางไปถึง วาจาข้าพเจ้าอาวุโสชิ้วโส่วกลับมิสงสัยไม่ยอมเชื่อถือ สุดท้ายเมื่อท่านทราบว่า จ่านจือท่านตกอยู่ในอันตราย ท่านเพียงบอกให้ข้าพเจ้าล่วงหน้ามาก่อน แล้วท่านจะติดตามมา ท่านกล่าวยืนยันว่าท่านย่อมมาทันเวลาแน่นอน”

จ่านจือกล่าวถามด้วยความสงสัยว่า

“ท่านอาวุโสชิ้วโส่ว ท่านกล่าววาจาเช่นนั้นจริง ๆ?”

เฉาลู่ฟางกลาวยืนยันว่า

ถูกต้อง ท่านอาวุโสชิ้วโส่วกล่าวยืนยันเช่นนั้นจริง ๆ ท่านกล่าวว่าท่านต้องไม่ตาย อีกทั้งยังกล่าวว่าจ่านจือท่านจะต้องพบพานเฉียดใกล้ความตายอยู่หลายครั้ง หากเมื่อไหร่ที่ท่านตายลงจริง ๆ เมื่อนั้นท่านจะประสบพบความสำเร็จสูงสุด”

จ่านจือส่งเสียงกล่าวถามด้วยความสงสัยอีกว่า

“มันจะเป็นเช่นนั้นไปได้เช่นไร? คนตายไปจะพบพานกับความสำเร็จสูงสุดได้เช่นไร? เพียงไม่ตายสภาพของข้าพเจ้าในเวลานี้ ยังจะมีวาสนาได้พบพานกับความสำเร็จอันใด?”

เฉาลู่ฟางแสดงสีหน้ายากอธิบาย มันเองไม่ทราบจะกล่าววาจาเช่นไร? แต่กระนั้นมันยังเชื่อมั่นเปี่ยมล้นต่อนางชีเทวราชชิ้วโส่ว ดังนั้นจึงส่งเสียงกล่าวว่า

“เรื่องนี้ข้าพเจ้าไม่เข้าใจความนัยเช่นกัน แต่ท่านอาวุโสชิ้วโส่ว ท่านกล่าวยืนยันเช่นนั้นจริง ๆ ท่านกล่าวว่าครั้งนี้จ่านจือท่าน ยังมิใช่ประสบเคราะห์อันตรายร้ายแรงถึงที่สุด”

จ่านจือได้แต่พยักหน้าอย่างงมงาย คล้ายเชื่อคล้ายไม่เชื่อ พร้อมกับกล่าวถามเยี่ยนผิงว่า

“แล้วมิทราบว่า สองหน้ากากเงิน ที่แท้เป็นผู้ใดกันแน่? ไฉนมันสองคนจึงหมายมาเอาชีวิตของข้าพเจ้าด้วย”

เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“เป็นสองบุคคลอันตรายในอดีต ครั้งหนึ่งเคยประกอบคุณธรรมความดี แต่ในภายหลังกลับอำมหิตชั่วร้าย ข้าพเจ้าเองกลับไม่เคยทราบเรื่องราวของพวกมันทั้งสองคนเช่นกัน มันสองคนหมายเอาชีวิตท่าน ท่านย่อมมีความสำคัญให้มันลงมือ เพียงแต่การลงมือของพวกมัน ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดชักใยอยู่เบื้องหลัง?”

“เช่นนั้นพวกเรารีบรุดออกไปชมดูให้รู้ความ” เฉาลู่ฟางส่งเสียงกล่าวกระตุ้นขึ้น เปลวไฟลุกไหม้รุนแรงขึ้นทุกขณะ ดังนั้นเยี่ยนผิงรีบประคองจ่านจือลุกขึ้นนั่ง จากนั้นเฉาลู่ฟางทำหน้าที่แบกร่างจ่านจือไว้กลางหลัง ทั้งสามโลดแล่นมุ่งหน้าสู่บันไดทางลงสู่ชั้นล่างโรงเตี๊ยม

เมื่อลงมาถึงชั้นล่าง เปลวไฟแม้โหมรุนแรง แต่กระนั้นคนสามคนยังคงยืนสงบนิ่งมิเคลื่อนไหว หนึ่งนั้นเป็นนางชีเทวราชชิ้วโส่ว อีกสองคนเป็นสองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้า

บัดนี้ฉายาพลิ้วบนยอดหญ้าของมันสองคนกำลังจะสิ้นชื่อ เมื่อใดที่นางชีเทวราชชิ้วโส่ว กระชากแส้ขนอ่อนไหมเงินออกจากร่างพวกมันสองคน พวกมันสองคนต้องสิ้นชื่ออย่างแน่นอน

เมื่อเห็นเฉาลู่ฟางแบกร่างจ่านจือลงมา เยี่ยนผิงก้าวตามติดอยู่ด้านข้าง สองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้าแสดงสีหน้าแปลกประหลาดใจ เมื่อแสดงสีหน้าแปลกประหลาดใจ จากนั้นกลายเป็นตระหนกตกใจ มันสองคนกระทั่งหลงลืมความเจ็บปวดของตนเองไปชั่วขณะ พวกมันทั้งสองคนแทบไม่อยากเชื่อสายตาของตนเอง จ่านจือยังไม่ตาย? แล้วผู้ที่กลายเป็นกองน้ำเลือดบนเตียงนั้นเป็นผู้ใด?”

เยี่ยนผิงก้าวเท้าออกมา ส่งสายตาเจ้าเล่ห์พร้อมปรากฏรอยยิ้มเกิดขึ้นที่มุมปาก ส่งเสียงต่อสองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้าว่า

“พวกท่านทั้งสองมิต้องสงสัยไปดอก ท่านทั้งสองมิได้ตาฝาด คาดคิดมิถึงใช่หรือไม่? ว่าจ่านจือยังมีลมหายใจ พวกท่านมีวาจาใดต้องการกล่าวถามต่อจ่านจือ โปรดรีบกล่าวถาม เวลาของพวกท่านทั้งสองหลงเหลือไม่มากแล้วจริง ๆ เชิญพวกท่านกล่าวถามได้เต็มที่”

ปีศาจขาวเส่าไท่ซาโกว แม้มิกล้าขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว แต่กระนั้นก่อนตาย ขอเอ่ยถามต่อจ่านจือ

“เจ้า...เจ้าคือจ่านจือ?”

จ่านจือกล่าวตอบว่า “ข้าพเจ้าใช่จ่านจือ”

ปีศาจดำเส่าไท่แป๊ะหยินกล่าวว่า

“เจ้า...ยังไม่ตาย เลือดเนื้อกระดูกเจ้ายังคงมิย่อยสลาย?”

จ่านจือส่งเสียงกล่าวตอบว่า “ข้าพเจ้ายังคงมีชีวิต เนื่องด้วยข้าพเจ้ามีชีวิตจึงยังไม่ตาย ดังนั้นเลือดเนื้อกระดูกข้าพเจ้า จึงยังไม่อาจย่อยสลายได้”

“ย่อมเป็นไปมิได้โดยเด็ดขาด หากเจ้าเป็นจ่านจือจริง ๆ เจ้าสมควรย่อยสลายกลายเป็นน้ำเลือดกองหนึ่ง มีเพียงน้ำเลือดกองหนึ่งจึงเป็นจ่านจือได้”

ปีศาจขาวเส่าไท่ซาโกว เอ่ยกล่าวไม่ยินยอมเชื่อถือ จ่านจือสงเสียงกล่าวยืนยันว่า

“ย่อมเป็นไปได้อย่างแน่นอน หากข้าพเจ้าเป็นกองน้ำเลือดกองนั้นจริงดั่งท่านว่า ไฉนข้าพเจ้าจึงยังกล่าววาจาต่อหน้าพวกท่านได้”

นางชีเทวราชชิ้วโส่ว นางยอมกล่าววาจาแล้ว หลังจากยืนสงบนิ่งรับฟังมาระยะหนึ่งแล้ว

“ข้าพเจ้าขอกล่าวยืนยันให้แก่จ่านจือ กองน้ำเลือดจากสถานที่ใด? ยังสามารถเคลื่อนไหวได้ จ่านจือยังเคลื่อนไหวได้ เป็นพวกท่านทั้งสองที่ไม่อาจเคลื่อนไหว”

จากนั้นนางชีเทวราชชิ้วโส่ว ส่งเสียงกล่าวกับจ่านจือว่า

“ท่านประมุขน้อย พวกมันทั้งสองก่อกรรมทำเข็ญเข่นฆ่าคนมามากไม่ทราบจำนวนเท่าใด? พอมาถึงวันนี้ใกล้วาระสุดท้ายของพวกมันบ้าง จึงมิอยากมีเรื่องราวค้างคาใจ เรื่องราวของประมุขน้อย โปรดบอกกล่าวต่อพวกมันให้ทราบกระจ่างเถิด”

เยี่ยนผิงพยักหน้าต่อจ่านจือ เป็นสัญญาณให้เขาบอกเล่ารายละเอียด ดังนั้นจ่านจือจึงเล่าว่า

“หลังจากชุดดำผู้นั้นเข้ามาช่วงชิงหยกเหินลมจากลำคอของข้าพเจ้า ความจริงชุดดำมันต้องการเอาชีวิตข้าพเจ้า จังหวะนั้นเยี่ยนผิงกับบิดามารดาบุญธรรม เข้ามาขัดจังหวะการลงมือของมันเอาไว้ได้เสียก่อน ครั้งแรกลงมือไม่สำเร็จ เยี่ยนผิงยืนยันว่าชุดดำผู้นั้น จะต้องกลับมาลงเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน”

“พวกเจ้ากระทำเช่นไร?” ปีศาจขาวเส่าไท่ซาโกวกล่าวถาม จ่านจือจึงบอกเล่าต่อว่า

“หากครั้งที่สองยังลงมือไม่สำเร็จ จะต้องมีครั้งที่สามที่สี่ติดตามมาไม่สิ้นสุดจบสิ้น จึงได้แต่ไหลตามกระแสน้ำ เล่นละครคล้อยตามแผนการของพวกท่าน โดยนำศพของสตรีนางนั้นมานอนแทนที่ข้าพเจ้า ส่วนข้าพเจ้ากลับไปนอนแทนที่นาง เพียงแตกต่างที่ข้าพเจ้าคือคนเป็น ส่วนนางเป็นคนตาย จากนั้นตกแต่งเสื้อผ้าภายนอกให้แนบเนียน ยามรีบร้อนลงมือ ชุดดำผู้นั้นจึงมิทันตรวจสอบดูก่อน อีกทั้งทะนงตนอวดดีเกินไปในฝีมือ ความผิดพลาดใหญ่หลวงจึงติดตามมา”

ปีศาจดำเส่าไท่แป๊ะหยิน ร้องอ้อคำหนึ่ง แล้วส่งเสียงกล่าวว่า

“ที่แท้เรื่องราวรวบรัดง่ายดายเพียงนี้ เราสองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้า ผาดโผนยุทธจักรถึงกับผิดพลาดได้ หากมิทะนงตนเกินไป ตรวจสอบให้ถ้วนถี่รอบคอบ กองน้ำเลือดที่เรามั่นใจ จะมิกลับกลายเป็นเจ้าได้ในเวลานี้”

จ่านจือส่งเสียงกล่าวว่า

“เนื่องด้วยอาวุโสท่านทั้งสองผิดพลาด ดังนั้นข้าพเจ้าจ่านจือจึงมิได้กลายเป็นกองน้ำเลือด ดังนั้นข้าพเจ้าจ่านจือ จึงขอกล่าวขอบคุณต่อความผิดพลาดของพวกท่าน ท่านทั้งสองประกอบกรรมชั่วในอดีต เพียงแต่กับข้าพเจ้าจ่านจือ พวกท่านทั้งสองกลับปฏิบัติดียิ่ง ข้าพเจ้ากล่าวด้วยใจจริง หากสุดท้ายนี้มีเรื่องใดยังค้างคาอยู่ภายในใจ ข้าพเจ้าจ่านจือยินดีสะสางแทนท่านเอง”

ทันใดนั้นร่างหนึ่งพุ่งฝ่าเปลวไฟมาอย่างเร่งร้อน พอเห็นชัดมันมิได้ทะยานฝ่าเปลวไฟมาด้วยตัวเอง มันมิได้เต็มใจกระทำเรื่องราวเช่นนั้น เพียงแต่อีกฟากฝั่งหนึ่งของเปลวไฟ บุคคลสองคนส่งร่างมันเข้ามา บุคคลสองคนกลับเต็มอกเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง พอส่งมันเข้ามาแล้ว บุคคลทั้งสองจึงกระโดดข้ามเปลวไฟเข้ามา

บุคคลสองคนเป็นสองสามีภรรยาแซ่เซียว บุคคลหนึ่งซึ่งทั้งสองส่งร่างมันเข้ามา คือเจ้าป่าเก้าหยกเอี้ยวค้วงนั้นเอง

ปีศาจดำเส่าไท่แป๊ะหยิน ส่งเสียงร้องถามดังว่า

“เอี้ยวค้วง ท่านจากไปแล้ว ไฉนจึงย้อนกลับมาอีก”

เอี้ยวค้วงส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“ข้าพเจ้ามิได้เต็มใจย้อนกลับมา เพียงแต่มิอาจไม่ย้อนกลับคืนมา ความจริงข้าพเจ้ามีหนทางหลบหนีไปได้ เพียงแต่มิอาจหลบหนี...”

ปีศาจขาวเส่าไท่ซาโกวกล่าวถามว่า

“แต่ท่านก็ยังกลับมา เป็นเรื่องราวอันใด? ถึงกับบีบบังคับให้ท่านกลับมา?”

เอี้ยวค้วงกล่าวตอบว่า “เป็นเพราะท่านทั้งสอง...?”

สองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้า แสดงท่าทียินดีออกมา ก่อนตายยังมีสหายยุทธจักรอีกผู้หนึ่ง ดังนั้นจึงส่งเสียงกล่าวโดยพร้อมเพรียงกันว่า

“เอี้ยวค้วง ท่านกลับห่วงใยเราสองคน”

เอี้ยวค้วงส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“พวกท่านทั้งสองกล่าวผิดไปแล้ว ที่ข้าพเจ้าย้อนกลับคืนมา มิได้ห่วงใยพวกท่านทั้งสองแต่ประการใด? เพียงแต่กลับมาทวงถามสิ่งของบางอย่าง? จากพวกท่าน”

สองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้าสีหน้าแปรเปลี่ยนไป ปีศาจดำเส่าไท่แป๊ะหยินตะคอกเสียงกล่าวถามว่า

“สิ่งของบางอย่างอันใดของท่าน? สิ่งของของท่านไฉนจึงมาอยู่กับเราสองคนได้?”

เอี้ยวค้วงยังมิทันกล่าวตอบ นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิง ชิงกล่าวว่าตอบแทนเอี้ยวค้วงว่า

“ย่อมต้องเป็นยาถอนพิษ ยาถอนพิษของยายเฒ่าพิษหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้ว ยายเฒ่าพิษแม้เจ้าเล่ห์มอบเข็มพิษให้แก่ท่านทั้งสอง เช่นนั้นย่อมต้องส่งมอบยาถอนพิษให้กันพวกท่านด้วยจึงถูกต้อง

เยี่ยนผิงเฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง ขบคิดด้วยเชาวน์ปัญญา รีบส่งเสียงกล่าวสนับสนุนต่อนางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิงว่า

“ถูกต้องแล้ว อาวุโสเซียวกล่าววาจามามิผิดเลย มารดาข้าพเจ้าครั้งหนึ่ง เคยเอ่ยปากขอหยิบยืมเข็มพิษยายเฒ่าพิษมาใช้ นอกจากนางจะให้หยิบยืมเข็มพิษแล้ว ยังมีน้ำใจมอบยาถอนพิษให้ด้วยเพื่อป้องกันความผิดพลาด เนื่องด้วยพิษของนางร้ายกาจน่ากลัวยิ่ง นอกจากตาเฒ่าเข็มวิเศษฝ่านอี้เฉินสามีนาง ยังมิมีผู้ใด? สามารถแก้พิษของนางได้”

ปีศาจขาวเส่าไท่ซาโกว ส่งเสียงร้องว่า

“เข็มพิษของยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้ว ไฉนจึงมาอยู่กับพวกเราได้ พวกเราเพียงมีแต่...”

กล่าวได้เพียงเท่านี้ เยี่ยนผิงทราบได้ทันทีว่า ปีศาจขาวเส่าไท่ซาโกว นางหมายถึงยาพิษสลายกระดูกนั้นเอง ดังนั้นรีบกล่าวแทรกขึ้นว่า

“ถูกต้อง ย่อมเป็นยาถอนพิษเข็ม เพียงแต่เข็มพิษของยายเฒ่าพิษ เพียงแต่ถูกอาวุโสเซียวใช้วิชามือพิสดารกวนอิมฉกฉวยเอาไป โดยที่พวกท่านทั้งสองยังไม่ทันระมัดระวังตัว หากข้าพเจ้าคาดเดามิผิดพลาด อาวุโสเซียวท่านใช้เข็มพิษของยายเฒ่าพิษ กับเจ้าป่าเก้าหยกเอี้ยวค้วงถูกต้องหรือไม่?”

สองสามีภรรยาแซ่เซียวปรบมือดังเกรียวกราว พร้อมกับนางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิง ส่งเสียงกล่าวชื่นชมต่อเยี่ยนผิงว่า

“ถูกต้อง แม่นางเยี่ยนผิง เจ้ากล่าวมาราวกับตาเห็น สามีเราฉกฉวยเข็มพิษที่ตัวสองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้ามาจริง ๆ เพียงแต่ยับมิทันฉกยาถอนพิษติดมือมาด้วย เนื่องด้วยต้องรีบติดตามเอี้ยวค้วงไปจึงไม่มีเวลา”

นางแอ่นแดงเซียวเหยาเซิงกล่าวจบ บัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่ ส่งเสียงกล่าวต่อว่า

“เข็มพิษเป็นของยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้ว ดังนั้นยาถอนพิษจึงจำเป็นต้องใช้ของยายเฒ่าพิษ ภรรยาเราสะเพร่ามิระมัดระวัง พลั้งมือซัดเข็มพิษกลุ่มนั้นออกไป สุดท้ายเป็นเจ้าป่าเก้าหยกเอี้ยวค้วง เอาร่างมารองรับเข็มพิษเหล่านั้นไว้ ในตัวเราสองคนสามีภรรยามิมียาถอนพิษ แต่ในตัวท่านทั้งสองไม่แน่นักว่าอาจมี...?”

ประโยคสุดท้ายบัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่ จงใจเอ่ยกล่าวต่อสองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้า มันทั้งสองได้ยินเช่นนั้น พลันเข้าใจในทุกเรื่องราว มันแค่นเสียงหัวร่อดังยาวนาน ก่อนที่ปีศาจขาวเส่าไท่ซาโกว จะส่งเสียงกล่าวต่อเอี้ยวค้วงว่า

“ท่านเมื่อไปแล้ว ไม่ควรย้อนกลับคืนมาอีก หรือว่าท่านเชื่อถือวาจาของพวกมัน”

เอี้ยวค้วงส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“ข้าพเจ้าคล้ายไม่เชื่อถือวาจาของพวกมัน แต่วาจาท่านทั้งสอง มิทราบวาข้าพเจ้าจะยังเชื่อถือได้หรือไม่? พวกท่านทั้งสองกรุณามอบยาถอนพิษของยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้วให้แก่ข้าพเจ้า”

ปีศาจดำเส่าไท่แป๊ะหยิน ทอดถอนใจแล้วแค่นเสียงหัวร่อ แค่นเสียงหัวร่อแล้วก็ทอดถอนใจอีก จากนั้นส่งเสียงกล่าวต่อเอี้ยวค้วงว่า

“มิว่าเข็มพิษหรือยาถอนพิษ เราสองคนหามีไว้ในครอบครองไม่? ก่อนที่ปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้า จะเดินทางกลับคืนสู่ยุทธภพ ครั้งหนึ่งเคยพบพานยายเฒ่าหมื่นพิษเนี๊ยะซิ้ว นางไม่เคยมอบเข็มพิษกับยาถอนพิษให้แก่เราทั้งสอง แต่สิ่งที่นางมอบ...”

ปีศาจดำเส่าไท่แป๊ะหยินยังมิทันกล่าวจบ เอี้ยวค้วงสอดคำแทรกขึ้นก่อนว่า

“พวกท่านทั้งสองอย่าได้กล่าววาจาโป้ปดต่อข้าพเจ้าแล้ว ในเมื่อพวกท่านทั้งสองมิยินยอมส่งมอบให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเอี้ยวค้วงจึงขอเสียมารยาทค้นเอาจากตัวพวกท่าน ในเมื่อข้าพเจ้ากล่าวขอแต่โดยดี พวกท่านมิยินยอมส่งมอบให้ ข้าพเจ้าจึงจำเป็นต้องเสียมารยาทต่อพวกท่านแล้ว”

กล่าวจบเอี้วยค้วงพุ่งร่งดั่งพยัคฆ์ร้ายเข้าหาสองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้า อาวุธในมือฟาดฟันลงจากกลางอากาศ ทั้งเกรี้ยวกราดทั้งดุดัน สองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้า แม้นทราบแน่นอน หากถอนร่างจากแส้ขนอ่อนไหมเงิน พวกมันทั้งสองต้องตายแน่นอน

แต่ทว่าจะให้ยืนเอาร่างเป็นเป้านิ่งรองรับอาวุธของเอี้ยวค้วง มันทั้งสองหายินยอมพร้อมใจไม่? มันทั้งสองผาดโผนยุทธจักรโชกโชน ยินยอมตายมิยอมถูกหยามความอัปยศในหนนี้ คราครั้งนี้มิยินยอมได้จริง ๆ ดังนั้นปีศาจขาวเส่าไท่ซาโกวซึ่งยืนอยู่ด้านหน้า ปีศาจดำเส่าไท่แป๊ะหยินยืนอยู่ด้านหลัง นางสะบัดฝ่ามือขวับ ๆ ราวจักรผัน ผลักสองฝ่ามือกระแทกใส่อาวุธของเอี้ยวค้วง

เอี้ยวค้วงพลิกร่างกลางอากาศ อาวุธในมือวกกลับมาอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้เกรี้ยวกราดดุดันกว่าในคราวแรก มันเสนออาวุธในมือออกมา กระบวนท่ายิ่งดุร้ายใช้ไม้ตายในฝีมือมัน หากในยามปกติ มันยังคงมิมีขวัญกล้าเทียมฟ้าปานนี้

เพียงแต่ในเวลานี้มันไม่มีหนทางเลือกสายอื่น ผนวกกับสองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้า ถูกสะกดเอาไว้ด้วยแส้ขนอ่อนไหมเงิน ของนางชีเทวราชชิ้วโส่ว อีกทั้งตัวมันเองยังถูกพิษร้าย มันยังไม่ต้องการตาย สุดท้ายได้แต่เลือกหนทางสายนี้

เอี้ยวค้วงควงอาวุธรวดเดียวสิบสามอาวุธ เปลี่ยนแปรเป็นยี่สิบหกอาวุธ เงาอาวุธคลี่คลุมอยู่เบื้องหน้า ก่อนที่จะสลายกลายเป็นอาวุธเดียว

สองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้า เค้นเสียงหนัก ๆ ถีบเท้าพุ่งร่างถอยหลัง เมื่อร่างถอยหลังระยะห่างระหว่างสองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้า กับนางชีเทวราชชิ้วโส่วจึงเพิ่มขึ้น แส้ขนอ่อนไหมเงินในมือนางชีเทวราชชิ้วโส่วจึงเป็นอิสระ สองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้ากลับคืนสู่อิสระเช่นกัน

แท้จริงมันทั้งสองมิต้องการอิสระเช่นนั้น อิสรภาพของพวกมันทั้งสองยังต้องแลกมาด้วยความตาย ความตายของพวกมันอยู่ใกล้เพียงนิดเดียว เส้นสายโลหิตฉีดพุ่งออกมาราวน้ำพุ สองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้าเค้นเสียงหนัก ๆ อีกครั้ง พร้อมกระอักโลหิตออกมาคำโต

ปีศาจขาวเส่าไท่ซาโกวล้วงเข้าไปในอกเสื้อ ล้วงขวดหยกเคลือบใบหนึ่งออกมา จากนั้นโยนใส่เอี้ยวค้วง เอี้ยวค้วงรีบคว้าหมับรับเอาไว้ นางส่งเสียงกล่าวกับเอี้ยวค้วงว่า

“อาศัยยาขวดนี้เพียงขวดเดียว เอี้ยวค้วงท่านถึงกับตัดใจอำมหิต คิดลงมือเอาชีวิตเราทั้งสอง ในเมื่อท่านอำมหิตกับเราก่อน ท่านอย่าได้กล่าวโทษเราในภายหลัง”

เอี้ยวค้วงกลับมิสนใจไยดีต่อสองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้า มันรีบเปิดปากขวดหยกเคลือบ ประกบปากขวดกับริมฝีปาก กรอกยาในขวดหยกเคลือบรวดเดียวกลืนกินลงท้องไป

สองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้า ส่งเสียงหัวร่อประหลาดพิสดารยาวนาน เสียงหัวร่อของมันทั้งสองล้วนชวนสยดสยองจนขนหัวลุกเกรียวกราว

เอี้ยวค้วงกลับมิได้หัวร่อออกมา สองตาเหลือกโพลง ร่างกระตุกสั่นระริก ส่งเสียงร้องพิกลโหยหวนชวนสยดสยองเช่นกัน จากนั้นส่งเสียงกล่าวไม่ปะติดปะต่อ ไม่คล้ายเป็นน้ำเสียงมนุษย์เท่าใดนัก เพียงกล่าววาจาได้เพียงสี่คำ

“ท่าน...ท่านทั้งสอง...?”

สองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้า ไม่คล้ายหัวร่อไม่คล้ายร้องไห้ ไม่กล่าววาจาใดออกมา เอี้ยวค้วงเองมันกล่าววาจาใดไม่ได้เช่นกัน ร่างมันทรุดฮวบกองลงดุจดินเหลวกองหนึ่ง ควันสีขาวขุ่นกลุ่มหนึ่งพวยพุ่งออกมาจากร่างมัน จากนั้นใบหน้ามันบิดเบี้ยวเขียวคล้ำ ลูกตาทั้งสองถลนหลุดออกมานอกเบ้า เส้นผม ผิวหนัง กระดูก หดหายเข้าไปในเสื้อผ้า

พอกลุ่มควันขาวขุ่นจางหาย เหลือไว้เพียงแต่กองน้ำเลือดเพียงกองหนึ่งเท่านั้นเอง

สองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้า กลับปรากฏรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า ปีศาจดำเส่าไท่แป๊ะหยินส่งเสียงกล่าวต่อจ่านจือว่า

“ท่านประมุขน้อยจ่านจือ เราสองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้า ยินดียิ่งนักที่มิได้ย่อยสลายร่างท่านไป”

จากนั้นปีศาจขาวเส่าไท่ซาโกวส่งเสียงกล่าวกับเฉาลู่ฟางว่า

“เจ้าใช่เรียกว่าเฉาลู่ฟางหรือไม่? ช่วยพาท่านประมุขน้อยจ่านจือเข้ามาใกล้ ๆ พวกเรา...”

นางชีเทวราชชิ้วโส่วพยักหน้าต่อเฉาลู่ฟาง นางดูออกว่าสองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้า ก่อนตายคล้ายต้องการวางภาระใดลงกระนั้น? เฉาลู่ฟางพาจ่านจือเข้าไปใกล้ ๆ สองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้า

ปีศาจดำเส่าไท่แป๊ะหยิน ล้วงเศษผ้าเก่า ๆ สีเข้มหม่นคล้ำผืนหนึ่งให้แก่จ่านจือ ปีศาจขาวเส่าไท่ซาโกว ส่งเสียงกล่าวว่า

“เราสองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้า ถึงเวลาต้องชดใช้กรรมแล้ว เราสองคนไม่มีห่วงใด? ให้ต้องกังวลอีกแล้ว ประมุขน้อยเราทั้งสองขออำลา”

กล่าวจบสองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้า ล้มลงหมดสิ้นลมหายใจ ทั้งสองกลับตายตาหลับ บนใบหน้ากลับปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มของคนตาย

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป