ตอนที่ 143
แผนจักจั่นทองลอกคราบ
สายลมยามค่ำคืนโชยเหน็บหนาวราวปลักน้ำแข็ง โคมไฟทางระเบียงแกว่งไกวไปมา ภายในโคมไฟพลิ้วไหวเต้นระริก คล้ายมืดคล้ายสว่างสลับกันไปมา แสงสว่างจากโคมไฟเรืองรองเลือนราง ฉาบทาบผ่านซี่ลูกกรงระเบียง คลับคล้ายดั่งเงาของคนยืนซุ่มดูอยู่ปานฉะนั้น
กลับมิมีผู้ใดยืนซุ่มดูอยู่ เงาของระเบียงมิได้เคลื่อนไหว ที่เคลื่อนไหวกลับเป็นเงาคนวูบไหวนอกระเบียง เยี่ยนผิงพุ่งร่างปราด ๆ ติดตามไป หลังจากทะยานร่างลงจากระเบียง ตีลังกาขวับทอดหนึ่งสองเท้าจึงสัมผัสพื้นเฉอะแฉะแผ่วเบา
เงาคนวูบวาบเคลื่อนไหวอยู่เบื้องหน้า เยี่ยนผิงพุ่งร่างปราด ๆ ติดตามไป วิชาตัวเบาของคนผู้นั้นแม้นยอดเยี่ยม แต่ทว่าเยี่ยนผิงยอดเยี่ยมยิ่งกว่า อีกเพียงไม่กี่ก้าวก็ติดตามร่างนั้นมาทัน
เมื่อติดตามมาทัน กระบี่ในมือถูกชักออกมาจากฝัก พร้อมตะโกนร้องก้องว่า “โปรดหยุดเท้าให้กับเรา”
คนผู้นั้นหาได้หยุดเท้าไม่? ฟาดสามง่ามในมือกลับหลัง สองเท้ายังคงวิ่งตะบึงไป เสียงเช้งพลันดังสดใส กระบี่กับสามง่ามปะทะกันคราหนึ่ง บังเกิดเป็นประกายสายฟ้าแปลบปลาบ
คนผู้นั้นอาศัยแรงปะทะเมื่อครู่ ใช้เคล็ดการหยิบยืมพลัง พุ่งร่างออกไปถึงสามสี่วา เยี่ยนผิงทะยานร่างตามติด เป็นชัดแล้วว่าผู้ที่เคลื่อนไหวอยู่เบื้องหน้า เป็นเสี่ยวเอ้อในโรงเตี๊ยมผู้นั้นนั่นเอง
ประกายกระบี่เจิดจ้าในความมืด คนยิ่งคล้ายผีเสื้อล้อบุปผาในยามราตรี เยี่ยนผิงจ่อจี้กระบี่แต่ไกล กระบี่ยังมิทันบรรลุถึง ประกายกระบี่ร้อนเย็นขุมหนึ่งบรรลุถึงก่อน เสี่ยวเอ้อผู้นั้นร่ำร้องดังว่า
“วิชากระบี่อัคคีน้ำค้าง”
เยี่ยนผิงร้องตอบว่า “ถูกต้อง สายตาของท่านนับว่าไม่เลวเลย”
แต่ก่อนที่ปลายกระบี่จะบรรลุถึง เสียงเฟี้ยว ๆ ประหลาดพลันดังขึ้น จุดแต้มวาววับในความมืดปรากฏขึ้นเบื้องหน้า เยี่ยนผิงพลิกท่าร่างกลางอากาศ หยิบยืมพลังจากหลังเท้าซ้าย พุ่งร่างลอยขึ้นอีกครึ่งวา แล้วตีลังกากลางอากาศรอบหนึ่ง
เสียงซี่ ๆ พุ่งผ่านข้างกายเบื้องล่างไปอย่างเร่งร้อน พอทิ้งเท้าลงกับพื้นอย่างแผ่วเบา เสี้ยวเอ้อผู้นั้นพลันหายสาบสูญไปไร้ร่องรอยแล้ว
ทางด้านสองสามีภรรยาแซ่เซียว คำนวณตามสถานการณ์กระจ่างชัดดุจนับนิ้วบนฝ่ามือ เยี่ยนผิงเพียงผู้เดียว จะสามารถรับเอี้ยวเคียก กับอีกคนชุดดำผู้นั้นได้หรือไม่
ดังนั้นนางแอ่นแดงสบสายตาวูบหนึ่ง สบสายตากับบัณฑิตประหลาด บัณฑิตประหลาดรับทราบความนัย สะอึกกายโผพุ่งเข้าหาเอี้ยวค้วง
นางแอ่นแดงรีบพุ่งร่างเฉียง ๆ ออกไป จากนั้นพุ่งตรงสู่บันไดทางขึ้นชั้นสอง พอเท้าเหยียบย่างสัมผัสพื้นขั้นบันไดเพียงขั้นแรก มองขึ้นไปบันไดขั้นสุดท้าย ยืนอยู่ด้วยบุคคลสองคน ดูจากการแต่งกายย่อมเป็นหนึ่งชายหนึ่งหญิง แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งซึ่งคล้ายคลึงกัน นั้นก็คือหน้ากากที่สวมทับอยู่บนใบหน้า
นางแอ่นแดงส่งเสียงอุทานดังว่า
“พวกท่านเป็นสองนักฆ่าหน้ากากเงิน?”
หนึ่งในสองนักฆ่าหน้ากากเงิน ส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ถูกต้องย่อมเป็นย่อมเป็นเรา บนใบหน้าของเราสวมทับหน้ากากเงินชัดเจนถึงเพียงนี้ คงมิแปลกปลอมเป็นบุคคลอื่นได้เช่นไร?”
ผู้ที่กล่าวตอบเป็นน้ำเสียงของสตรี จากนั้นเป็นเสียงบุรุษภายใต้หน้ากากเงินส่งเสียงดังว่า
“ท่านเองเป็นนางแอ่นเซียวเหยาเซิง ก่อนหน้านี้ท่านมิได้เป็นอัปลักษณ์อาภรณ์แดง? เคลื่อนไหวไปมาสืบสาวเรื่องราวบางประการอยู่ในยุทธจักรสักระยะหนึ่ง ถูกต้องหรือไม่?”
บัณฑิตประหลาดขณะโผพุ่งร่างเข้าหาเอี้ยวค้วง ในเสี้ยวเวลานั้นหางตาพลันเหลือบแลเห็น บนบันไดขึ้นสุดท้ายปรากฏบุคคลสองคน เป็นสองบุคคลซึ่งกำลังสนทนาอยู่กับภรรยาตนเอง ดังนั้นจึงชะงักท่าร่าง พุ่งกลับมาทิ้งเท้าลงข้าง ๆ นางแอ่นแดงแล้วส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ข้าพเจ้าเองเคยเคลื่อนไหวในยุทธจักรสักพักหนึ่งเช่นกัน พวกท่านทั้งสองทราบหรือไม่? ในช่วงระยะเวลานั้น ข้าพเจ้าสืบสาวเรื่องราวใดอยู่?”
สองนักฆ่าหน้ากากเงินส่งเสียงหัวร่อฮา ๆ แล้วบุรุษนักฆ่าหน้ากากเงิน ส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ที่แท้เป็นท่าน ในตอนนั้นคือเฒ่าประหลาดเซียวเจียนซู่ ท่านปลอมแปลงตัวได้ไร้พิรุธยิ่ง จนในตอนนี้เราค่อยทราบว่า เฒ่าประหลาดก็คือบัณฑิตประหลาดเซียวเจียนซู่”
บัณฑิตประหลาดส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ฮา ๆ สองนักฆ่าหน้ากากเงิน พวกท่านกลับมีหูตากว้างขวาง กลับยังทราบว่า เราทั้งสองเป็นสองสามีภรรยาแซ่เซียว เรื่องราวที่เราสืบสาวอยู่คราวนั้น เรื่องหนึ่งล้วนไม่เกี่ยวข้องใดกับพวกท่าน”
นางแอ่นแดงส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ส่วนอีกเรื่องราวหนึ่ง อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกท่านอยู่บ้าง”
สตรีนักฆ่าหน้ากากเงินรีบส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“เป็นเรื่องราวอันใด? ไฉนจึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเรา”
แต่ก่อนที่ทุกคนจะได้กล่าววาจาใด? เยี่ยนผิงวิ่งปราดเข้ามาภายในโรงเตี๊ยม เมื่อเห็นสองนักฆ่าหน้ากากเงินอดแสดงสีหน้าแปรเปลี่ยนมิได้ ยิ่งเมื่อเหลือบแลเห็นเถ้าแก่โรงเตี๊ยมเป็นเอี้ยวค้วง ยิ่งต้องเปลี่ยนแปรสีหน้า พร้อมกับยกมือชี้นิ้วไปยังเอี้ยวค้วง พร้อมกับกล่าวว่า
“ที่แท้เถ้าแก่โรงเตี๊ยมกลับเป็นท่าน เช่นนั้นเสี่ยวเอ้อผู้นั้นย่อมเป็นน้องชายท่านเอี้ยวเคียก ข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว นี่คงเป็นแผนจักจั่นทองลอกคราบของพวกท่าน ช่างเป็นแผนการอันร้ายกาจ นอกเหนือจากนี้แล้ว ยังดำเนินแผนการย้ายดินเปลี่ยนฟ้า แต่น่าเสียดายแผนการของพวกท่าน ถูกข้าพเจ้าจับพิรุธได้เสียก่อน”
เอี้ยวอ้วงในคราบของเถ้าแก่โรงเตี๊ยม ระเบิดเสียงหัวร่อกึกก้องกังวาน พร้อมกับปรบมือดังเกรียวกราว แล้วส่งเสียงกล่าวว่า
“แม่นางเยี่ยนผิงนั่นเอง ได้พบกันอีกครั้งหลังจากพบกันครั้งนั้นยังป่าเก้าหยก เจ้ายังคงเฉลียวฉลาดปราดเปรื่องไม่เปลี่ยนไปเลย หากมิใช่แม่นางเปิดเผยแผนการของเรา เราคงจากไปไม่ทิ้งร่องรอยอันใดเอาไว้”
เอี้ยวค้วงเจ้าป่าเก้าหยกหยุดวาจาเล็กน้อย แล้วเอ่ยกล่าวต่อว่า
“น่าเสียดาย แผนการจักจั่นทองลอกคราบ กับแผนย้ายดินเปลี่ยนฟ้าถูกแม่นางเปิดเผยได้เสียก่อน แต่ถึงกระนั้นแผนการของเราดำเนินการจนสำเร็จลุล่วง แม่นางแม้เฉลียวฉลาดปราดเปรื่องปานใด? สุดท้ายยังคงถูกแผนล่อเสือออกจากถ้ำ หลอกแม่นางออกสู่ภายนอก ปล่อยให้จ่านจือที่ได้รับบาดเจ็บถูกคมดาบคมกริบตัดขั้วหัวใจ สุดท้ายมันยังคงต้องตายแน่นอน”
เยี่ยนผิง สองสามีภรรยาแซ่เซียว แสดงสีหน้าตระหนกตกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น แสดงว่าว่าเอี้ยวค้วงวางแผนการไว้ล่วงหน้า จากคำกล่าวของมัน จ่านจือย่อมเสียชีวิตแล้ว
สตรีนักฆ่าหน้ากากเงิน ส่งเสียงกล่าวต่อจากเอี้ยวค้วงว่า
“เด็กน้อยจ่านจือผู้นี้ ชะตากล้าแข็งนัก จากคำบอกเล่า มันล้วนเฉียดผ่านความตายมาหลายครั้งครา ดังนั้นเพื่อให้แน่ใจว่ามันตายจริง เราจึงได้เข้าไปในห้องของมัน แล้วใช้ยาพิษสลายกระดูกของยายเฒ่าหมื่นพิษกับร่างไร้ลมหายใจของมัน ยาพิษนี้แม้แต่กระดูกยังย่อยสลายได้ ดังนั้นเลือดเนื้อผิวหนังของมันจึงนับเป็นเช่นไรได้ สุดท้ายหลงเหลือเพียงกองน้ำเลือดกองหนึ่งเท่านั้นเอง”
คำพูดของสตรีนักฆ่าหน้ากากเงิน กล่าวราบเรียบไร้เรื่องราว ความอำมหิตของคนผู้นี้สุดหยั่งคาด ที่ผ่านมาในอดีต มันสองคนอาละวาดคร่าชีวิตผู้คนในยุทธจักรมานับไม่ถ้วน
ผู้ที่ตายภายใต้การลงมือของพวกมัน ล้วนเป็นชาวยุทธจักรมีชื่อมีฝีมือไม่ชั่วช้าต่ำทราม ดังนั้นสิบกว่าปีที่ผ่านมา พวกมันทั้งสองหายหน้าไร้ร่องรอย จึงยังไม่มีผู้ใด? ต้องมาตายภายใต้น้ำมือของพวกมัน
สองนักฆ่าหน้ากากเงิน ไม่เคยเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริง ดังนั้นยุทธภพนี้ยังไม่มีผู้ใดทราบ? ว่าภายใต้หน้ากากเงิน ใบหน้าอันแท้จริงของพวกมันอัปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัวสักเพียงใด
เบื้องนอกโรงเตี๊ยม สายลมกระโชกรุนแรง ราตรีกาลค่ำคืนนี้ช่างแสนยาวนาน ยังคงห่างไกลย่ำรุ่งอยู่มากโข สายลมที่รุนแรงโชยพัดกลิ่นควันลุกไหม้กระไรบางอย่าง? สองสามีภรรยาแซ่เซียวกับเยี่ยนผิงมิมีเวลาขบคิด หากคิดจะสลัดหลุดพ้นจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้เห็นทีจะไม่ง่ายดาย เจ้าป่าเก้าหยกส่งเสียงกล่าวต่อว่า
“ดังนั้นเมื่อร่องรอยกับเรื่องราวค่ำคืนนี้ถูกเปิดเผย เราจึงต้องทำลายหลักฐานทุกชิ้นในโรงเตี๊ยมแห่งนี้...”
เจ้าป่าเก้าหยกกวาดสายตามายังบัณฑิตประหลาด นางแอ่นแดง พร้อมทั้งเยี่ยนผิง แล้วส่งเสียงกล่าวต่อว่า
“โดยเฉพาะหลักฐานสามชิ้นสุดท้าย ลำพังเราผู้เดียวประเมินตนเองว่า ไม่สามารถจัดการกับพวกท่านได้ ดังนั้นเราจึงได้เชิญสองนักฆ่าหน้ากากเงินมาจัดการกับพวกท่าน อีกทั้งได้วางเพลิงโรงเตี๊ยมแห่งนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นแผนการใหญ่ในครั้งนี้ เห็นที่ใกล้ปิดบัญชีลงแล้ว”
ทางด้านโรงครัว ก่อเกิดกลุ่มควันพวยพุ่ง เปลวไวเริ่มลุกไหม้รุนแรง ส่งกลิ่นไหม้เหม็นคล้ายดั่งผู้ใด? ย่างเนื้อทิ้งเอาไว้ก็มิปาน กลิ่นไหม้คละคลุ้งรุนแรง ย่อมเป็นซากศพที่กองซ้อนทับกันไว้ ถูกเปลวไฟไหม้ย่างเผาเกรียมเป็นแน่
เยี่ยนผิงสบตากับนางแอ่นแดง อีกทั้งบัณฑิตประหลาด จากนั้นส่งเสียงกล่าววาจา
“อาวุโสเซียว ข้าพเจ้าเรียนถามท่านทั้งสอง ก่อนหน้าที่ข้าพเจ้าจะได้รู้จักกับพวกท่าน พวกท่านเคยบอกกล่าวกับข้าพเจ้า ว่ามีอยู่เรื่องราวหนึ่ง ซึ่งพวกท่านกำลังสืบสาวเรื่องราวประติดปะต่อ มิทราบว่าเป็นเรื่องราวอันใด?”
“เป็นเรื่องราวใด? เป็นเรื่องราวเกี่ยวข้องกับเราสองคน ซึ่งท่านกล่าวถึงเมื่อครู่หรือไม่?”
บุรุษนักฆ่าหน้ากากเงิน ส่งเสียงกล่าวถามด้วยความกระตือรือร้น บัณฑิตประหลาดกล่าวตอบเยี่ยนผิง และนักฆ่าหน้ากากเงินว่า
“เป็นเรื่องราวหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับชาวยุทธจักร หลังจากที่ขันทีเฒ่าเล่าอี ถูกขันทีหลิวซุ่นกงกงแห่งหมู่ตึกกระเรียนฟ้าฆ่าตาย นักฆ่าหน้ากากเงินก็หายหน้าไปจากยุทธภพ ประจวบเหมาะกับในช่วงเวลานั้นยุทธภพวุ่นวายสับสน คนดีคนร้ายคล้ายแยกแยะไม่ชัดเจน เก้าสำนักมีชื่อคล้ายเสื่อมถอยลง ผู้นำเก้าสำนักในเวลานั้นสมควรเป็นสี่ปีศาจ หนึ่งในสี่ปีศาจสีตัวขณะนั้น เป็นปีศาจค้างคาวแป๊ะอ้วงเป็นเจ้าสำนัก”
นางแอ่นแดงส่งเสียงกล่าวต่อว่า “พอขันทีเฒ่าเล่าอีตายลง สองนักฆ่าหน้ากากเงินพลันหายหน้า สำนักสี่ปีศาจพลันถดถอย พลอยทำให้แปดสำนักที่เหลือเสื่อมโทรมลงด้วย ในที่สุดทั้งเก้าสำนักหลบลี้หนีหน้าหายไปจากยุทธภพ
สตรีนักฆ่าหน้ากากเงินส่งเสียงกล่าวขึ้นว่า
“พวกท่านทั้งสองมีความรอบรู้อยู่ไม่เลวเลย เรื่องราวในตอนนั้น เป็นดั่งที่พวกท่านเล่ามา แล้วมีเรื่องราวใดเกี่ยวข้องกับพวกเรา”
บัณฑิตประหลาดส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ในตอนแรกข้าพเจ้าล้วนไม่ทราบ ว่ามีส่วนใดเกี่ยวข้องกับพวกท่าน? แต่หลังจากสืบสาวแกะร่องรอยโดยละเอียด กลับสืบทราบเรื่องราวหนึ่ง...”
“เรื่องราวใด?” บุรุษนักฆ่าหน้ากากเงินสวนคำกล่าวถาม นางแอ่นแดงส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“เป็นเรื่องราวของปีศาจอีกสองตัว...”
“มีเรื่องราวเช่นนี้? ปีศาจอีกสองตัวมีลักษณะพิเศษอันใด? ไฉนจึงเข้ามาพัวพันกับเรื่องราวที่พวกท่านกำลังสืบสาว?”
สตรีหน้ากากเงินรีบกล่าวถามด้วยความกระตือรือร้น นางแอ่นแดงส่งเสียงกล่าวตอบรวดเร็วว่า
“เรื่องราวไม่สมควรประจวบเหมาะกันเช่นนี้ ดังนั้นปีศาจอีกสองตัว มันมีศิษย์อยู่สี่คน ประกอบด้วยปีศาจหนูแป๊ะฮั้ง ปีศาจงูขาวแป๊ะฮ้วง ปีศาจค้างคาวแป๊ะอ้วง ปีศาจจิ้งจอกแดงแป๊ะเอี้ย ดังนั้นมันจึงก่อตั้งสำนักสี่ปีศาจ จากนั้นแต่งตั้งปีศาจค้างคาวแป๊ะอ้วงเป็นเจ้าสำนัก ผู้เป็นอาจารย์คือปีศาจสองตัว ดังนั้นศิษย์ทั้งสี่ย่อมเป็นปีศาจเช่นกัน พวกท่านเห็นด้วยกับข้าพเจ้าหรือไม่?”
บุรุษนักฆ่าหน้ากากเงินส่งเสียงในลำคอดังอืมม์ แล้วกล่าวว่า
“เราสองคนคล้ายเห็นด้วยกับพวกท่านทั้งสอง เชิญพวกท่านทั้งสองรีบกล่าวต่อไป”
บัณฑิตประหลาดกล่าววาจาต่อว่า
“เมื่อขันทีเฒ่าเล่าอีตาย สองนักฆ่าหน้ากากเงินพลันหายหน้าไปด้วย เก้าสำนักยังเสื่อมโทรมก่อนจะเงียบหายไป ปีศาจสองตัวยังมาไร้ร่องรอย ดังนั้นข้าพเจ้าจึงปะติดเรื่องราว ทั้งหมดนี้ย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องกัน”
สตรีนักฆ่าหน้ากากเงิน กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งประหลาดพิกลว่า
“เป็นเพียงการปะติดเรื่องราว นำเหตุการณ์มาประสานต่อติดกัน แต่ยังไม่มีหลักฐานใด? ที่สามารถยืนยันได้ว่าเกี่ยวข้องกับสองปีศาจ และมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเราสองคน”
เยี่ยนผิงแย้มยิ้ม โยกคลอนศีรษะไปมาเที่ยวหนึ่ง คล้ายกับนึกคิดเรื่องราวบางประการ จากนั้นเอ่ยกล่าวว่า
“ถูกต้อง เรื่องราวของสองอาวุโส เพียงปะติดเรื่องราว แต่ยังมีเค้ามูลความจริงอยู่บ้าง ดังนั้นเมื่อนำเรื่องราวของสองอาวุโส มารวมกับเรื่องราวของข้าพเจ้า และเพิ่มหลักฐานชิ้นหนึ่งเข้าไปเล่า? มิทราบว่าจะคลายปมเปิดเผยเงื่อนงำของพวกท่านได้หรือไม่?”
บุรุษนักฆ่าหน้ากากเงิน กับสตรีนักฆ่าหน้ากากเงิน ก้าวเท้าลงบันไดมาอีกหนึ่งขั้น เมื่อหยุดยืนบุรุษนักฆ่าหน้ากากเงิน ส่งเสียงเย็นเยียบแหลมคมราวกระบี่ แฝงน้ำเสียงทุ้มใหญ่ปานระฆังกังวานดังว่า
“ประเสริฐ โกวเนี้ยน้อยนางนี้กลับมีเรื่องราวกับพวกเขาด้วย เป็นเรื่องราวอันใด? กลับหลักฐานชิ้นหนึ่งซึ่งเจ้าเอ่ยถึง หากเป็นจริงเช่นนั้น เจ้าจงรีบเสนอออกมา”
เยี่ยนผิงสะบัดฝ่ามือขวับคราหนึ่ง สตรีนักฆ่าหน้ากากเงินสะบัดฝ่ามือเกือบพร้อมเพรียงกันขวับคราหนึ่ง ในซอกนิ้วเพิ่มกระดาษแผ่นหนึ่ง สตรีนักฆ่าหน้ากากเงิน ใช้มือข้างที่ว่างเปล่าหยิบแผ่นกระดาษเล็ก ๆ จากซอกนิ้ว พร้อมกับส่งเสียงกล่าวว่า
“ยอดเยี่ยม โกวเนี้ยน้อยนางนี้ กลับมีกำลังภายในไม่ต่ำทราม แผ่นกระดาษเล็ก ๆ กลับซัดขว้างได้ยอดเยี่ยมดุจอาวุธลับ ภายภาคหน้าฝีมือนางคงน่ากลัวแล้ว”
เยี่ยนผิงกล่าวตอบออกไปว่า “ขอบคุณท่านที่กล่าวชม ฝีมือข้าพเจ้าว่ายอดเยี่ยม ยังเทียบมิได้กับมารดา กับอีกผู้หนึ่งคือเจ้าของแผ่นกระดาษเล็ก ๆ ในมือท่าน”
สตรีนักฆ่าหน้ากากเงิน รีบคลี่แผ่นกระดาษในมือออก เมื่ออ่านอักษรบนแผ่นกระดาษปฏิกิริยาเปลี่ยนแปรไป ก้าวเท้าลงบันไดมาอีกหนึ่งขั้น พร้อมกับขยำแผ่นกระดาษไว้ในอุ้งมือ บดจนแผ่นกระดาษกลายเป็นผุยผงร่วงกราวคล้ายละอองฝุ่นผง ปลิวไปในละอองกลุ่มควันที่พัดมากับสายลม
สายลมโชยพัดรุนแรง เปลวไฟในห้องครัวยิ่งโหมรุนแรง เปลวอัคคีเริ่มลุกไหม้รุนแรงกินบริเวณกว้างขวางขึ้น สายลมรุนแรง กลุ่มควันทวีความรุนแรง เปลวไฟยิ่งโหมลุกรุนแรงยิ่งกว่า แต่ทว่าน้ำเสียงสตรีนักฆ่าหน้ากากเงินกลับเยือกเย็นลง เยือกเย็นลงราวกับน้ำแข็งหล่มหนึ่ง จากนั้นส่งเสียงกล่าวว่า
“วันนี้เราทั้งสองนักฆ่าหน้ากากเงิน มิอาจปลดปล่อยพวกท่านทั้งสามไปจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้ได้ เราจะบดขยี้พวกท่านทั้งสาม เป็นเช่นแผ่นกระดาษเมื่อครู่ในมือเรา”
เยี่ยนผิงมิได้แสดงท่าทีหวาดกลัว ส่งเสียงกล่าวต่อว่า
“ด้วยระดับฝีมือเช่นพวกท่านทั้งสอง ย่อมสามารถบดขยี้พวกเราสามคนได้ง่ายดายปานเหยียบมดปลวก แต่กระนั้นข้าพเจ้าก็ได้เปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของสองนักฆ่าหน้ากากเงิน ที่แท้ท่านทั้งสองคือ สองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้า ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ของสี่ปีศาจแห่งสำนักสี่ปีศาจ ปีศาจดำเส่าไท่แป๊ะหยิน กับปีศาจขาวเส้าไท่ซาโกว
สองนักฆ่าหน้ากากเงินส่งเสียงหัวร่อฮา ๆ ก้องกังวาน พร้อมกับยกมือขึ้นปลดหน้ากากเงินบนใบหน้าออกมา เผยให้เห็นใบหน้าอันแท้จริงเป็นคราแรก
สองนักฆ่าหน้ากากเงิน ที่แท้เป็นคนของสำนักสี่ปีศาจ เป็นอาจารย์ของสี่ปีศาจซึ่งถูกฆ่าตายเชิงเขาหมื่นเซียน และเมื่อไม่นานมานี้ ปีศาจแมงป๋องเงินปึงคุ้น ก็มาถูกฆ่าตายที่สำนักมารสวรรค์เขาหมางซาน มันสองคนเป็นคนเป็นปีศาจสองตัวจริง ๆ ปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้า ฝ่ายชายเป็นปีศาจดำเส่าไท่แป๊ะหยิน ฝ่ายหญิงเป็นปีศาจขาวเส่าไท่ซาโกว ระดับพลังฝีมือร้ายกาจ กำลังภายในกับวิชาตัวเบายอดเยี่ยมสูงส่ง จนยากหาผู้ใดทัดเทียมได้ ที่ผ่านมามีผู้สังเวยชีวิตให้กับมันมานับครั้งไม่ถ้วน
ปีศาจดำเส่าไท่แป๊ะหยินก้าวเท้าลงมายืนเคียงข้างกับปีศาจขาวเส่าไท่ซาโกว แล้วส่งเสียงปานระฆังใหญ่เกรี้ยวกราดว่า
“พวกท่านทั้งสาม มิสมควรเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของพวกเราออกมา พวกเราสองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้า อดีตเป็นพรตสำนักมาตรฐานมีชื่อสำนักหนึ่ง ด้วยหลงผิดคิดฝึกวิชานอกรีตแขนงหนึ่ง แม้นมีฝีมือรุดหน้า แต่ทว่าใบหน้ากลับกลายเป็นทารก บางครั้งกลับแก่ชราดั่งผู้เฒ่า เรื่องราวเหล่านี้ยังมีผู้ใดทราบ?”
จากนั้นปีศาจขาวเส่าไท่ซาโกว ส่งเสียงเกรี้ยวกราดน้ำเสียงแหลมเล็กแสบแก้วหูปานแมลงกรีดร้องว่า
“ปีศาจดำขาวหรือปีศาจเฒ่าทารกพลิ้วบนยอดหญ้า จึงถือกำเนิดเกิดมา การได้ระบายโทสะลงมือเข่นฆ่าคน จึงช่วยให้เรามีใบหน้าดั่งเช่นคนปกติ เมื่อจำเป็นต้องฆ่าคนเพื่อรักษาสภาพใบหน้า ดังนั้นเราทั้งสองหายหน้าไปจากยุทธภพ ปกปิดใบหน้าภายใต้หน้ากากเงิน เข้าสังกัดนักฆ่าของราชสำนัก ภายใต้บังคับบัญชาของขันทีเฒ่าเล่าอี”
เยี่ยนผิง นางแอ่นแดง บัณฑิตประหลาด ยืนรับฟังจนแทบตะลึงงัน ที่แท้สองปีศาจดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้า มีเรื่องราวจำเป็นคับแค้นอยู่ส่วนหนึ่ง เพียงแต่ใบหน้าที่แปรเปลี่ยนไป ไม่จำเป็นถึงกับต้องฆ่าคน ดังนั้นเยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวถามว่า
“แล้วมิทราบว่า เนื้อหาในกระดาษแผ่นนั้น พวกท่านทั้งสองจะอธิบายว่าเช่นไร?”
ปีศาจขาวเส่าไท่ซาโกวกล่าวตอบว่า
“ต่อมาเราสืบทราบว่า วิชาหนึ่งในคัมภีร์สุริยันจันทราสามารถรักษาอาการใบหน้าเฒ่าทารกนี้ได้ เราทั้งสองจึงได้วางแผนการขึ้นมาหลายประการ หากบอกเล่าไปช่างยืดยาวยิ่ง จนกระทั่งโอกาสมาถึง วันอำลาบู๊ลิ้มทำลายล้างคัมภีร์ยุทธ์ เพ็ญสิบห้าค่ำเดือนแปดสารทตงชิว ก่อนที่เจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพลวี้ยู่เฉียน จะทิ้งร่างฝังสังขารพร้อมกับคัมภีร์ยุทธ์สุริยันจันทรา ภายใต้ผาเทพนิรันดร์ เราทั้งสองช่วงชิงคัมภีร์ยุทธ์กลับมาได้”
“ภายหลังจากนั้นเล่า?” เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวถาม
ปีศาจดำเส่าไท่แป๊ะหยินกล่าวตอบว่า
“แต่ยังมิทันได้พลิกอ่าน พลันถูกช่วงชิงไปอีกทอดหนึ่ง ดังนั้นเราทั้งสองจึงได้หายตัวไป จนกระทั่งวลีสี่ประโยคปรากฏขึ้นในยุทธจักร ความหวังของพวกเราจึงสว่างขึ้นมาอีกครั้ง จึงได้ลอบติดต่อกับกุนซือแห่งสำนักมารสวรรค์เขาหมางซาน โดยในตอนนั้นเรามิทราบว่า นางเป็นวานรเหินอั้งเซี๊ยะเปา ศิษย์ทรยศของหุบเขาวานร”
เยี่ยนผิงหยุดคิดแล้วกล่าวสืบต่อว่า
“เมื่อท่านมิมีอิสระ วานรเหินกับพวกท่านติดต่อกัน ย่อมต้องมีคนกลางติดต่อให้ คนกลางที่ว่าอาจเป็นไปได้ว่าเป็นบุคคลอื่นที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับราชสำนัก เนื่องด้วยพวกท่านยังอยู่ใต้บังคับบัญชาของราชสำนัก ดังนั้นประการนี้ขันทีเฒ่าเล่าอีจึงยังไม่ตาย เมื่อมันยังไม่ตายท่านทั้งสองจึงยังไม่อาจถอนตัว เมื่อท่านทั้งสองไม่อาจถอนตัว ขันทีเฒ่าเล่าอีมันหลบซ่อนตัวอยู่ยังสถานที่ใด?”
สองมารดำขาวพลิ้วบนยอดหญ้าปรบมือเกรียวกราว พร้อมกับปีศาจขาวเส่าไท่ซาโกว ส่งเสียงกล่าวชมเชยว่า
“วิเศษ โกวเนี้ยน้อยเจ้าช่างยอดเยี่ยม กล่าวเรื่องราวของเราออกมาราวกับตาเห็น ถูกต้องเรื่องราวล้วนเป็นเช่นนั้น พวกท่านทั้งสามกลับก่อกวนเรื่องราวมากหลายไปแล้ว ดังนั้นพวกท่านทั้งสามคนจงเตรียมตัวตาย”
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564