ตอนที่ 105
ความลับกระบี่ที่แหลกลาญ
“ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าจ่านจือกลับมาแล้ว ข้าพเจ้าจากไปนานไม่ทราบว่าท่านสบายดีหรือไม่?” จ่านประสานมือคารวะอาจารย์เจ้าโอสถสายรุ้ง และกล่าวซักถามว่าท่านสุขสบายดีหรือไม่ตอนที่เขาไม่อยู่
“เจ้ากลับมาได้จังหวะเหมาะยิ่งนัก อาจารย์สบายดีเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ห่วงเพียงแต่เจ้าจากสำนักไปนาน เกรงว่าจะพบความลำบากไม่น้อย” เจ้าโอสถสายรุ้งกล่าวตอบต่อจ่านจือ
จากนั้นจ่านจือหันมาทางด้านเหล่าขอทาน จ่านจือล้วนรู้จักท่านเหล่านี้เป็นอย่างดี รีบประสานมือแล้วกล่าวทักทายว่า
“ท่านอาวุโสหวง ท่านผู้เฒ่าทิ ท่านผู้เฒ่าหว่าน ท่านผู้เฒ่าเยิ่น ท่านผู้เฒ่าโอ่วและท่านผู้เฒ่าลู่ ทุกท่านเดินทางมานานแล้วหรือไม่? ข้าพเจ้าจ่านจือยินดียิ่งนักที่ได้พบเจอท่านทั้งหลายในที่นี้ อีกทั้งยังมีพี่น้องขอทานอีกหลายท่านที่ข้าพเจ้ามิได้เอ่ยนาม”
ทุกคนรีบเข้ามาทักทายจ่านจือ แล้วสอบถามเรื่องราวต่าง ๆ ที่จ่านจือพบเจอมา จ่านจือเมื่อแนะนำเอี้ยวเซียวให้แก่ทุกคนในที่นั้นได้รู้จักแล้ว เรียกให้ทุกคนนั่งลงแล้วเริ่มบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เขาได้ประสบพบมาให้แก่ทุกคนได้รับทราบ
ขณะที่ทุกคนกำลังสนทนากันอยู่นั้น มีคนจำนวนหนึ่งเดินทางมาถึงพอดี จ่านจือรีบวิ่งออกไปต้อนรับ เมื่อเห็นว่าคนกลุ่มนั้นที่มาเป็นผู้ใด? จ่านจือรีบส่งเสียงทักทายด้วยความยินดี
“เทียนจิ้ง เป็นท่านเอง อ้อลืมไปต้องเรียกว่าท่านประมุขสิถึงจะถูกต้อง ท่านเหวินมู่ ท่านอวี้หว่อ ท่านทั้งสองก็มาด้วย ไม่เจอะเจอกันนาน ทุกคนสบายดีหรือไม่?”
“จ่านจือ อย่าได้เรียกหาข้าพเจ้าว่าท่านประมุขจะได้หรือไม่? ข้าพเจ้าชื่นชอบให้ท่านเรียกหาว่าเทียนจิ้งเช่นเดิมฟังดูไพเราะกว่า ไม่เจอกันนานพวกเราทุกคนสบายดี เพียงแต่มัวจัดการเรื่องราวในพรรค พอทุกอย่างลงตัว อีกทั้งเรายังได้รับข่าวสำคัญเรื่องหนึ่งต้องมาแจ้งแก่ท่านเจ้าโอสถสายรุ้งด้วย แล้วท่านละจ่านจือสบายดีหรือไม่?”
เทียนจิ้ง ซึ่งบัดนี้รับตำแหน่งประมุขพรรคไผ่หลิวคนปัจจุบัน ต่อจากเฉิงปู้กงที่ถูกสังหารเสียชีวิตไป เทียนจิ้งกล่าวว่าเขามีข่าวสำคัญจะมาเรียนแก่เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนด้วย ดังนั้นจ่านจือจึงรีบเชิญทั้งสามเข้าไปยังด้านในทันที
เมื่อเข้ามายังด้านในแล้ว เทียนจิ้งประมุขพรรคกล่าวทักทายเหล่าอาวุโสทั้งหลายพร้อมกับประสานมือคารวะรอบทิศทาง ถึงแม้เขาจะก้าวขึ้นมารับตำแหน่งประมุขพรรคไผ่หลิว แต่ด้านวัยวุฒินับว่าจะอ่อนเยาว์กว่าเหล่าอาวุโสทั้งหลายมากนัก
“ข้าพเจ้าเทียนจิ้งมีความยินดียิ่งนัก ที่ได้พบเจอเหล่าอาวุโสหลายท่านในที่นี้ และที่น่ายินดีแก่ข้าพเจ้ายิ่งกว่า นั่นคือได้พบเจอสหายเช่นจ่านจืออีกครั้ง แต่ถึงกระนั้นวันนี้นอกจากข้าพเจ้ากับศิษย์พี่ทั้งสองจะมีความยินดีแล้ว เรายังมีข่าวร้ายเรื่องหนึ่งที่ต้องแจ้งแก่ทุกท่านให้รับทราบ” เมื่อเทียนจิ้งกล่าวจบหันหน้าทางด้านเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน จากนั้นหันมาสบตากับจ่านจือวูบหนึ่ง แววตาและสีหน้าของเขาแสดงออกถึงความเสียใจกับข่าวที่กำลังจะแจ้งแก่ทุกคน
“เกิดเรื่องราวใดขึ้น? ท่านกล่าวว่าเป็นข่าวร้าย ทุกคนกำลังตั้งใจรับฟัง เทียนจิ้งท่านรีบบอกกล่าวออกมาเร็วเข้า” จ่านจือส่งเสียงกล่าวเร่งเร้าให้เทียนจิ้งรีบบอกกล่าวเรื่องราวออกมา
“ถูกต้อง ที่จ่านจือเจ้ากล่าวมาเราเห็นด้วย ในเมื่อเจ้ากับศิษย์พี่ทั้งสองอุตส่าห์เดินทางขึ้นเขาหมื่นเซียน แสดงว่ามีเรื่องจำเป็นเร่งด่วน เช่นนั้นอย่าได้ชักช้ารีบแจ้งข่าวร้ายที่เจ้ารับทราบออกมาเร็วเข้า ทุกคนกำลังตั้งใจฟังวาจาของเจ้า” เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนกล่าวเห็นด้วยต่อคำพูดของจ่านจือ แล้วหันมากล่าวกับเทียนจิ้งให้รีบแจ้งข่าวร้ายที่ได้รับทราบมา
“เรื่องนี้เป็นแม่นางไป่ใช้ม้าเร็วมาส่งข่าวแก่ข้าพเจ้าเมื่อห้าวันก่อน ข่าวร้ายที่ว่าเกี่ยวกับท่านเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย แม่นางไป่แจ้งว่าหลังจากเดินทางลงจากเขาหมื่นเซียน ในระหว่างทางได้พบเจอกับคนร้ายเป็นชุดดำผู้หนึ่ง ในตอนนั้นท่านเจ้าผาเกาทิเหว่ยได้ให้ศิษย์ทั้งสามเดินทางล่วงหน้ากลับผาก่อน ส่วนท่านเองได้ติดตามชุดดำน่าสงสัยผู้นั้นไป แต่เมื่อแม่นางไป่กับศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รองกลับถึงผาแห่งสายลม พบว่ามีคนผู้หนึ่งได้นำพาท่านเจ้าผากลับมาถึงก่อนแล้ว แต่ที่น่าตกใจและโศกเศร้าเสียใจเป็นที่สุด ร่างของท่านเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย ท่าน...ท่าน”
กล่าวถึงตอนนี้เทียนจิ้งน้ำเสียงสั่นสะท้าน หันมองหน้าทุกคนในที่นั้นเหมือนกับคำพูดที่เขากำลังจะกล่าวออกมานั้น แสนลำบากยากเย็นเหลือประมาณ
“ท่านเจ้าผาแห่งสายลม ท่านเป็นเช่นไร? ไฉนน้ำเสียงท่านจึงแสดงความลำบากใจที่จะกล่าว แถมแววตายังแสดงออกถึงความรันทดเสียใจปานนั้น” เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวถามเทียนจิ้งขึ้น เมื่อเห็นเขากล่าวคำท่านเจ้าผาแล้วน้ำเสียงสั่นกระตุกขาดห้วงไป
“ท่านเจ้าผาแห่งสายลม ท่าน...ท่านเสียชีวิตแล้ว” เทียนจิ้งบอกกล่าวด้วยน้ำเสียงแสดงความเสียใจ
“น้องสี่เสียชีวิตแล้ว! เป็นไปได้เช่นไร? ไหนเจ้ารีบเล่ารายละเอียดออกมาเร็วเข้า” เจ้าโอสถสายรุ้งส่งเสียงกล่าวด้วยความตระหนกตกใจ ทุกคนในสถานที่นั้นต่างแสดงความตระหนกตกใจกับข่าวที่เทียนจิ้งบอกกล่าวจากปาก จ่านจือกับเยี่ยนผิงหันสบตากันอย่างไม่อยากเชื่อวาจาของเทียนจิ้ง
จากนั้นเทียนจิ้งได้บอกเล่ารายละเอียดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้กับทุกคนได้รับทราบ จ่านจือกับเยี่ยนผิงได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นยังป่าเก้าหยกให้แก่ทุกคนในที่นั้นได้รับฟังด้วย เนื่องจากสองเหตุการณ์มีส่วนเกี่ยวข้องกัน
“จ่านจือ เจ้ากล่าวว่าได้พบกับศิษย์ทั้งสามของน้องสี่เช่นนั้นรึ? ยังนับว่าโชคดีที่พวกเขารอดชีวิตไปได้ หากให้เราคาดเดาคนชุดดำผู้นั้นคงต้องการชีวิตของสามคนด้วยเช่นกัน แต่ฟังจากที่เจ้าเล่ามาป่าเก้าหยกลึกลับซับซ้อนปานนั้น ไฉนศิษย์สามคนของน้องสี่จึงหนีรอดออกไปได้ เจ้าเองก็เช่นกันเอาชีวิตรอดออกจากป่าเก้าหยกได้โดยมิได้รับอันตราย มิทราบว่าผู้ใดเป็นคนยื่นมือช่วยเหลือเจ้าออกมา”
เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนหันมากล่าวถามจ่านจือ พร้อมกับสอบถามเกี่ยวกับศิษย์ทั้งสามของเจ้าผาแห่งสายลม เมื่อได้ยินว่าพวกเขาทั้งสามยังมีชีวิตอยู่ และเดินทางกลับไปยังผาแห่งสายลมเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งเมื่อทราบว่าป่าเก้าหยกลึกลับซับซ้อนเต็มไปด้วยค่ายกล จึงกล่าวถามว่าผู้ใดช่วยเหลือจ่านจือกลับออกมาได้
“ถูกแล้วท่านอาจารย์ ข้าพเจ้ากับเยี่ยนผิงหลังจากออกจากหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ได้เดินทางกลับเขาหมื่นเซียน ในระหว่างทางบังเอิญพบเห็นชุดดำสองคนท่าทางไม่น่าไว้วางใจ ดังนั้นจึงได้แอบฟังมันสองคนสนทนากัน จึงทราบว่าพวกมันต่างคิดกำจัดท่านเจ้าผาแห่งสายลมกับศิษย์ทั้งสาม พอทราบว่าท่านเจ้าผาจะต้องใช้เส้นทางผ่านเนินเสือดาวเพื่อเดินทางกลับผา ข้าพเจ้ากับเยี่ยนผิงจึงตัดสินใจใช้เส้นทางลัดตัดป่าใหญ่เพื่อมาเตือนท่านเรื่องนี้ คิดไม่ถึงเมื่อเดินทางเข้ากลางป่าใหญ่ พบพานกับคนกลุ่มหนึ่งผู้ที่เป็นหัวหน้าเรียกตนเองว่าเจ้าป่าเก้าหยกนามเอี้ยวค้วง และยังมีน้องชายอีกผู้หนึ่งนามเอี้ยวเคี้ยก ในป่าเก้าหยกเต็มไปด้วยค่ายกลซับซ้อน ข้าพเจ้ากับเยี่ยนผิงจึงถูกค่ายกลพิสดารนั่นกักตัวเอาไว้ บังเอิญได้พบพานกับศิษย์ของท่านเจ้าผาทั้งสามใช้เส้นทางป่าเก้าหยกเช่นกัน”
จ่านจือบอกกล่าวเรื่องราวเหตุการณ์ที่เขากับเยี่ยนผิงได้เจอะเจอมา และบอกเล่ารายละเอียดที่พบพานศิษย์สามคนของท่านเจ้าผาแห่งสายลม พอจ่านจือเล่ามาถึงตรงนี้เยี่ยนผิงบอกกล่าวต่อจากจ่านจือว่า
“เมื่อได้พบกับแม่นางไป่กับศิษย์พี่ทั้งสองของนาง พวกเราจึงได้ทราบว่าค่ายกลในป่าเก้าหยก คือค่ายกลไหมหยกเก้าชั้น แต่ค่ายกลพิสดารนั่นหาทำเช่นไรนางกับศิษย์พี่ทั้งสองได้ แต่เรื่องราวอาจไม่รวบรัดเช่นนี้ หากมิได้รับการช่วยเหลือจากแม่นางเอี้ยว ดังนั้นข้าพเจ้ากับจ่านจือจึงสามารถรอดพ้นค่ายกลออกมาจากป่าเก้าหยกได้ แม่นางเอี้ยวเมื่อยื่นมือช่วยเหลือเราทั้งสองออกมา จึงไม่สามารถกลับคืนสู่ป่าเก้าหยกได้อีก หากนางกลับไปเจ้าป่าเก้าหยกจะต้องถูกลงโทษนางสถานหนัก นั่นก็คือต้องสังเวยชีวิตให้กับป่าเก้าหยก ความจริงนางเป็นธิดาของเจ้าป่าเก้าหยก แต่กฎไม่อาจละเว้นทุกคนที่ฝ่าฝืนจะต้องตายสถานเดียว ดังนั้นจ่านจือกับข้าพเจ้าจึงได้ให้นางร่วมเดินทางมากับพวกเราด้วย”
เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนหันมองเอี้ยวเซียว แล้วหันมากล่าวกับจ่านจือต่อว่า
“ยังนับว่าเจ้ายังโชคดี ที่ได้แม่นางเอี้ยวผู้นี้ช่วยเหลือ ศิษย์น้องสี่ฝีมือร้ายกาจยากยิ่งที่จะมีผู้ทำร้ายได้ง่ายดาย ผู้ที่ลงมือต่อน้องสี่มีจุดประสงค์ใดกันแน่? ชุดดำลึกลับผู้หนึ่งล้วนถูกเจ้าเปิดเผยโฉมหน้าออกมาแล้ว แถมยังถูกฝ่ามือเจ้าทำร้ายบาดเจ็บ แล้วอีกสองคนเล่าเป็นผู้ใด? เรื่องนี้เห็นทีจะปล่อยไว้นานมิได้ ก่อนอื่นเราคงต้องออกเดินทางไปยังผาแห่งสายลมสักครา ศิษย์น้องสี่จากไปเช่นนี้ เราในฐานะเป็นศิษย์พี่ใหญ่จะไม่เดินทางไปเคารพศพได้เช่นไร? อีกทั้งยังมีศิษย์ทั้งสามของน้องสี่จะต้องขาดอาจารย์คอยอบรมสั่งสอน ความจริงเรานับเป็นอาจารย์ลุงของพวกเขา เจ้ามีความเห็นกับเรื่องนี้เช่นไร?”
จ่านจือเมื่อได้ยินอาจารย์กล่าวถามความคิดเห็น ถูกของอาจารย์ท่านเจ้าผาแห่งสายลมเป็นศิษย์ร่วมสำนักกับอาจารย์ การที่ท่านจากไปกะทันหันเช่นนี้ หากไม่ไปคารวะหลุมฝังศพสักครั้ง นับว่าดูดายทอดทิ้งท่านไปสักหน่อยแล้ว จึงส่งเสียงกล่าวตอบอาจารย์ไปว่า
“ที่ท่านอาจารย์กล่าวมา ข้าพเจ้าเห็นด้วยที่จะเดินทางไปคารวะหลุมฝังศพสักครั้ง แต่เท่าที่ข้าพเจ้าทราบมาจากแม่นางไป่ ผาแห่งสายลมตั้งอยู่บนยอดเขาสูง สถานที่ตั้งลี้ลับไม่เคยเปิดเผยต่อภายนอกมาก่อน หากจะเดินทางไปจริง ๆ ข้าพเจ้าคิดว่าจะต้องติดต่อแม่นางไป่ เพื่อที่ให้นางบอกเส้นทางขึ้นผาแก่พวกเรา เรื่องนี้เห็นที่ต้องรบกวนท่านแล้วเทียนจิ้ง”
จ่านจือกล่าวจบหันมาทางเทียนจิ้ง เมื่อแม่นางไป่ส่งข่าวการเสียชีวิตของท่านเจ้าผาผ่านทางเทียนจิ้ง ดังนั้นแสดงว่าเขาย่อมได้รับความไว้วางใจจากนาง เทียนจิ้งเมื่อได้ยินจ่านจือกล่าวถามเช่นนั้น รีบกล่าวตอบจ่านจือว่า
“พวกท่านทั้งหลายมิต้องเสียเวลาเดินทางไปยังผาแห่งสายลม แม่นางไป่ได้แจ้งกับข้าพเจ้าว่า ผาของนางตั้งอยู่ในสถานที่ลึกลับ ไม่อนุญาตให้ผู้คนเดินทางขึ้นไป นางกับศิษย์พี่ทั้งสองขอเวลาสามเดือนเพื่อฝึกปรือวิทยายุทธ์ หลังจากนั้นนางจะเดินทางลงจากผาพร้อมกับศิษย์พี่ทั้งสอง เพื่อสืบหาคนที่สังหารอาจารย์ของพวกเขา ข้าพเจ้าเองในฐานะประมุขพรรคฝ่ายธัมมะ ไม่อาจนิ่งเฉยดูดายได้เช่นกัน นับจากวันนี้จะออกติดตามหาร่องรอยคนร้าย และต้องขอความร่วมมือจากพวกท่านทั้งหลายให้การช่วยเหลือด้วย”
“เรื่องการสืบหาตัวคนร้าย เราขอทานพเนจรจะส่งข่าวออกไปยังบรรดาขอทานทั้งหมดให้ช่วยสืบหาอีกแรงหนึ่ง ตอนนี้เจ้าอสูรโลกันตร์ได้รับบาดเจ็บ คิดว่ามันจะต้องเก็บตัวรักษาอาการบาดเจ็บสักระยะหนึ่ง ดังนั้นคนของมันและเหล่าพวกพ้องจะต้องหยุดเคลื่อนไหวไประยะหนึ่ง ดังนั้นเราควรใช้โอกาสนี้หาตัวคนร้ายชุดดำอีกสองคนให้จงได้”
ขอทานพเนจรหวงเกาฉือกล่าวแสดงความคิดเห็น ซึ่งทุกคนในที่นั่นต่างเห็นด้วยกับความคิดนี้ ดังนั้นจึงสรุปว่ารอให้สำนักเมฆฟ้าพิรุณ กับตัวแทนของวัดเส้าหลินเดินทางมาถึงเมื่อไหร่ จะดำเนินแผนการไล่ล่าสืบหาตัวคนร้ายที่เคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้ทันที
เมื่อได้ข้อสรุปเช่นนั้น เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนเชื้อเชิญแขกทุกท่านไปพักผ่อนยังสถานที่ซึ่งได้ให้คนจัดไว้ให้ ส่วนจ่านจือถูกเรียกเข้าพบตามลำพัง ก่อนที่จะจากไปเจ้าโอสถสายรุ้งหันมองมาทางด้านเอี้ยวเซียว โดยที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น สายตาที่มองมายากคาดเดา
จ่านจือหันมากล่าวกับเยี่ยนผิงหลายประโยค ก่อนที่จะก้าวติดตามเจ้าโอสถสายรุ้งเข้าไปยังด้านใน เมื่อปิดประตูห้องแล้ว เจ้าโอสถสายรุ้งส่งเสียงกล่าวกับจ่านจือว่า
“จ่านจือ เจ้าเป็นศิษย์เราแม้เพียงไม่กี่ปี แต่เราก็ทราบว่าเจ้าเป็นคนเช่นไร? เจ้าเป็นคนจิตใจดีงามเพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติของจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ หากจะเปรียบเทียบคุณสมบัติใกล้เคียงกับเจ้า ก็น่าจะมีเทียนจิ้งแห่งพรรคไผ่หลิว เฟิ่นมู่เหอซึ่งเป็นศิษย์ของน้องสี่ ถู่ฝูแห่งเส้าหลิน หนานตี้แห่งสำนักเมฆฟ้าพิรุณ และที่จะไม่กล่าวถึงมิได้คงเป็นขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิงอีกคน แม้ว่าคนผู้นี้จะเป็นคนของฝ่ายอธรรมก็ตาม ภายภาคหน้าเจ้าคงได้เชิดชูชื่อเสียงของสำนัก ดังนั้นที่เราเรียกเจ้าเข้าพบเนื่องด้วยเรื่องนี้”
“ข้าพเจ้าจ่านจือ แม้เป็นศิษย์ของท่านไม่กี่ปี แต่พระคุณของท่านที่ถ่ายทอดวิชาให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจดจำมิลืมเลือน พระคุณของท่านข้าพเจ้าจะต้องทดแทนอย่างแน่นอน เรื่องของชื่อเสียงสำนักที่ท่านอาจารย์เป็นห่วงขอท่านอย่าได้กังวล ข้าพเจ้าจะรักษาชื่อเสียงของสำนักมิให้เสื่อมเสีย ไม่ทราบว่าเรื่องที่ท่านเป็นกังวลในตอนนี้ เป็นเรื่องของกระบี่คู่วิเศษ กระบี่สุริยันจันทราใช่หรือไม่?”
จ่านจือส่งเสียงกล่าวถามออกไป เพราะทราบดีว่าอาจารย์นอกจากเป็นห่วงชื่อเสียงของสำนักแล้ว บัดนี้ยังหากระบี่คู่วิเศษไม่พบ หากไม่พบกระบี่คู่วิเศษซึ่งถือเป็นตัวแทนของเจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพได้ ก็ไม่อาจจะแต่งตั้งเจ้าสำนักรุ่นที่สองได้ และที่มากไปกว่านั้นไม่แน่นัก กระบี่ที่กล่าวถึงทั้งสองเล่ม อาจจะมีเบาะแสเกี่ยวข้องกับคัมภีร์ยุทธ์ที่ชาวยุทธ์แย่งชิงอยู่ในตอนนี้ด้วยก็เป็นไปได้
“ถูกต้อง จ่านจือเจ้ากล่าวมามิผิด เรื่องที่เรากังวลมากที่สุดในตอนนี้ คือเรื่องการแต่งตั้งเจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพรุ่นที่สอง แม้เราจะดำรงตำแหน่งชั่วคราวอยู่ในตอนนี้ แต่นับว่ายังไม่สมบูรณ์ ชาวยุทธ์ทั้งหลายต่างทราบว่า ผู้ที่จะเป็นเจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพได้นั้น จะต้องมีกระบี่คู่วิเศษ หากไม่สามารถแสดงกระบี่ทั้งสองเล่ม ชาวยุทธ์ทั้งหลายมีหรือจะยอมรับนับถือในตัวเรา”
เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนกล่าวกับจ่านจือ แม้ในขณะนี้ชาวยุทธ์ต่างทราบว่าท่านรับตำแหน่งดูแลสำนักตำหนักหมื่นเทพ แต่ไม่มีผู้ใดยอมรับเป็นเจ้าสำนักหากไม่มีกระบี่คู่วิเศษ ดังนั้นจ่านจือทราบดีถึงข้อนี้ ถึงเช่นไรเจ้าโอสถสายรุ้งถือว่าเป็นผู้มีพระคุณต่อเขา เมื่อท่านไม่ได้รับการยอมรับนับถือจากบรรดาชาวยุทธ์ เขาเองก็รู้สึกไม่สบายใจด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงส่งเสียงกล่าวตอบต่ออาจารย์ว่า
“เรื่องนี้ข้าพเจ้าจ่านจือเข้าใจดี ทราบถึงความรู้สึกของท่านอาจารย์ เบาะแสกระบี่คู่วิเศษ ทราบว่าท่านอาจารย์พบเห็นความลับนี้แล้ว กระบี่อัคคีน้ำค้างซุกซ่อนความลับเอาไว้ ไม่ทราบว่าความลับที่ท่านอาจารย์พบเห็นเป็นสิ่งใด?”
จ่านจือแม้ทราบความลับในกระบี่อัคคีน้ำค้างก่อนหน้านั้นแล้ว แต่ไม่กล้าที่จะบอกกล่าวต่ออาจารย์ ดังนั้นจึงแสร้งกล่าวถามเจ้าโอสถสายรุ้งเกี่ยวกับความลับที่ท่านค้นพบ
“เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญใหญ่หลวง ความลับที่เราค้นพบบนกระบี่อัคคีน้ำค้าง ไม่อาจบอกกล่าวออกไปได้ แม้แต่เจ้าซึ่งเป็นศิษย์ของเราก็ไม่อาจบอกได้ในตอนนี้ รอให้เราแน่ใจอีกสักหน่อยค่อยแจ้งให้เจ้าทราบว่าเป็นสิ่งใด”
เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน แม้กล่าวว่าค้นพบความลับบนกระบี่อัคคีน้ำค้างแล้ว แต่ก็ไม่บ่งบอกออกมาให้จ่านจือได้รับทราบ จ่านจือความจริงทราบความลับนี้เนิ่นนานแล้ว พอได้ยินอาจารย์กล่าวเช่นนั้นก็มิได้คิดสิ่งใด เข้าใจว่าอาจารย์เกรงว่าตนเมื่อทราบความลับนี้แล้ว ตนจะทำความลับรั่วไหลต่อภายนอก ดังนั้นจึงส่งเสียงกล่าวตอบเจ้าโอสถสายรุ้งไปว่า
“ท่านอาจารย์มิต้องเป็นห่วง เมื่อท่านค้นหาความลับพบแล้วนับว่าน่ายินดี ด้วยความสามารถของท่าน คิดว่าคงสืบหากระบี่คู่วิเศษได้ไม่ยากเย็นนัก ข้าพเจ้าในฐานะศิษย์ก็จะช่วยเหลือเต็มที่ หากพบกระบี่คู่วิเศษเมื่อไหร่ ตอนนั้นท่านอาจารย์ก็จะได้เป็นเจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพโดยสมบูรณ์เสียที ชาวยุทธ์ทั้งหลายจะได้ไม่กล้าไม่นับถือท่านได้อีกต่อไป”
“เจ้ากล่าวเช่นนี้ หมายความว่าหากค้นพบกระบี่คู่วิเศษแล้ว เจ้ายินดีที่จะส่งเสริมอาจารย์ขึ้นเป็นเจ้าสำนักรุ่นที่สองเช่นนั้นรึ?” เจ้าโอสถสายรุ้งส่งเสียงกล่าวถามจ่านจือ
“เจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพรุ่นที่สองเป็นท่านนับว่าถูกต้องแล้ว ท่านอาจารย์เป็นศิษย์คนโตในศิษย์ทั้งหมดห้าคน อีกท่านยังมีกระบี่คู่วิเศษจะมีผู้ใดกล้าขัดขวางท่านได้อีก เมื่อถึงตอนนั้นสำนักตำหนักหมื่นเทพจะกลับมาเป็นที่รู้จักอีกครั้ง แต่ที่ยังไม่มีเบาะแสกลับเป็นคัมภีร์ยุทธ์ วลีสี่ประโยคที่ปรากฏขึ้นในยุทธจักร เป็นผู้ใดกันแน่ที่ปล่อยวลีสี่ประโยคนี้ออกมา หากค้นพบคัมภีร์ยุทธ์ของท่านปรมาจารย์ ต่อไปยุทธ์ภพจะได้สงบสุขเสียที ท่านอาจารย์มีความคิดเห็นเช่นไรเกี่ยวกับเรื่องนี้”
เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนกล่าวตอบว่า
“ถูกของเจ้า หากสามารถค้นหากระบี่คู่วิเศษ อีกทั้งค้นหาคัมภีร์ยุทธ์พบเมื่อไหร่ ตอนนั้นสำนักตำหนักหมื่นเทพ จะกลับมาผงาดยิ่งใหญ่อีกครั้ง ในอดีตสำนักนับว่าเป็นที่หนึ่งแห่งแผ่นดิน แม้แต่วัดเส้าหลินยังยอมรับนับถือ เสียดายเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมาย ท่านอาจารย์จึงตัดสินใจทำลายทุกสิ่งไป มิเช่นนั้นแล้วบัดนี้ชื่อเสียงของสำนักจะยิ่งเกรียงไกรไปมากกว่านี้อีก”
จ่านจือกล่าวถามเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ถึงกระบี่อัคคีน้ำค้าง ซึ่งแท้จริงกระบี่เล่มนี้เป็นสมบัติของเยี่ยนผิง เมื่อท่านอาจารย์ค้นพบความลับนั้นแล้ว ก็น่าจะคืนกระบี่เล่มนั้นให้กับนาง จึงเอ่ยกล่าวขึ้นว่า
“กระบี่อัคคีน้ำค้าง ความจริงแล้วเป็นสมบัติของเยี่ยนผิง ด้วยนางเห็นแก่ข้าพเจ้าจึงได้ให้หยิบยืมกระบี่มา เมื่อท่านอาจารย์ค้นพบความลับแล้ว ก็น่าจะคืนกระบี่ให้แก่นาง มิเช่นนั้นแล้วชาวยุทธ์จะกล่าวตำหนิท่านเอาได้”
“ถูกต้องกระบี่เล่มนี้ เป็นท่านอาจารย์มอบให้แก่ศิษย์น้องห้า แต่เมื่อบนกระบี่ซุกซ่อนความลับสำคัญเอาไว้และส่งผลต่อสำนักตำหนักหมื่นเทพ หากคืนกระบี่กลับให้แก่นางแล้ว เหล่ามารอธรรมต่างทราบแล้วว่ากระบี่มีความลับ เจ้าไม่กลัวว่าพวกเขาจะแย่งชิงกันและค้นหาความลับบนกระบี่หรอกรึ?”
จ่านจือเห็นด้วยต่อคำพูดของอาจารย์ เหล่าชาวยุทธ์ทั้งฝ่ายธัมมะและอธรรม ล้วนทราบทั่วกันเกี่ยวกับกระบี่อัคคีน้ำค้าง หากคืนให้แก่เยี่ยนผิงไป เกรงว่าจะเกิดการแย่งชิงกันขึ้นได้
“หากเป็นเช่นนี้ควรทำเช่นไร? ถึงจะไม่เป็นที่ตำหนิของชาวยุทธ์ทั้งหลาย” จ่านจือกล่าวถามขึ้นต่อเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน
“เรื่องนี้อาจารย์มีทางออกเอาไว้แล้ว”
กล่าวจบเจ้าโอสถสายรุ้งเดินเข้าไปยังมุมห้อง แล้วเปิดลิ้นชักหยิบห่อผ้าออกมาห่อหนึ่ง เมื่อเดินมาวางห่อผ้าลงบนโต๊ะเบื้องหน้าจ่านจือ แล้วส่งเสียงกล่าวกับจ่านจือว่า
“เจ้านำกระบี่อัคคีน้ำค้างไปคืนนาง”
จ่านจือรู้สึกแปลกใจ รีบแก้ห่อผ้าออกดูทันที ภาพที่ปรากฏตรงหน้าในห่อผ้าพบเศษกระบี่และฝักกระบี่รวมหลายชิ้น รีบส่งเสียงกล่าวถามต่ออาจารย์ว่า
“ท่านอาจารย์ นี่เป็นกระบี่อัคคีน้ำค้าง? ไฉนจึงมีสภาพเช่นนี้ หากนำไปคืนแก่เยี่ยนผิง เกรงว่านาง...”
เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนรีบส่งเสียงกล่าวว่า
เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วง เราหาคำตอบเอาไว้ให้แก่เจ้าแล้ว ให้บอกกล่าวต่อนางไปว่า ที่กระบี่อัคคีน้ำค้างมีสภาพเช่นนี้ เนื่องด้วยเราต้องทำลายกระบี่จึงค้นหาความลับพบ หากไม่ทำลายก็ไม่อาจค้นหาความลับในกระบี่ได้ ถึงแม้จะกลายสภาพเป็นเช่นที่เจ้าเห็น แต่มันก็เป็นกระบี่อัคคีน้ำค้างเล่มที่หยิบยืมมา เมื่อเจ้าคืนกลับให้แก่นางแล้ว จะไม่มีชาวยุทธ์กล้ากล่าวตำหนิพวกเราได้ อีกทั้งไม่ทำให้ชาวยุทธ์แย่งชิงกระบี่เล่มนี้อีกต่อไป”
จ่านจือเมื่อได้ทราบเหตุผล ที่ท่านอาจารย์ทำลายกระบี่อัคคีน้ำค้าง นับว่าเป็นเหตุผลที่สามารถบอกกล่าวได้ เพียงแต่ตนกับเยี่ยนผิงทราบดีว่าความลับในกระบี่เป็นสิ่งใด? หากบอกกล่าวต่อเยี่ยนผิงเช่นนี้นางต้องรู้สึกสงสัยอย่างแน่นอน แต่หากตนชี้แจงถึงความจำเป็นเพื่อไม่ให้ชาวยุทธ์แย่งชิงกระบี่เล่มนี้อีกต่อไป คิดว่าเยี่ยนผิงคงต้องรับฟังคำพูดของเขาอย่างแน่นอน
จ่านจือสนทนากับเจ้าโอสถสายรุ้งอีกพักใหญ่ จากนั้นหิ้วห่อผ้าซึ่งภายในบรรจุเศษชิ้นของกระบี่อัคคีน้ำค้างออกมาจากห้องลับ หากอาจารย์ทราบว่าเขากับเยี่ยนผิงทราบความลับนี้อยู่ก่อนแล้ว และความลับนั้นก็อยู่ในตัวเขาแล้วทั้งสองชิ้น เจ้าโอสถสายรุ้งจะรู้สักเช่นไร
เรื่องนี้สร้างความลำบากใจแก่จ่านจืออยู่ไม่น้อย แต่เขาคิดว่าหากมีโอกาสจะบอกเรื่องนี้แก่อาจารย์ หากเขาค้นพบกระบี่คู่วิเศษก่อนอาจารย์ เขาตั้งใจที่จะมอบกระบี่ให้อาจารย์อยู่แล้ว ดังนั้นจึงสรุปว่าค่อยบอกกล่าวความจริงต่ออาจารย์ในตอนนั้น หากเขาได้กระบี่คู่วิเศษมาให้แก่อาจารย์ ท่านคงจะไม่กล่าวตำหนิเรื่องนี้อย่างแน่นอน
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564