Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (คืนสู่สำนัก)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

คืนสู่สำนัก

  • 15/08/2565

ตอนที่ 104

คืนสู่สำนัก

จ่านจือ เยี่ยนผิงและเอี้ยวเซียว ทั้งสามเมื่อเห็นใกล้มืดค่ำจึงเสาะหาโรงเตี๊ยมที่หนึ่ง เมื่อสั่งอาหารสองสามอย่างรับประทาน จากนั้นแยกย้ายเข้าห้องพักเนื่องด้วยอ่อนล้าจากการฝ่าค่ายกลไหมหยกเก้าชั้นนั้นเอง เยี่ยนผิง กับเอี้ยวเซียวเปิดห้องพักด้วยกันหนึ่งห้อง จ่านจือปลีกตัวเข้าสู่อีกห้องหนึ่งไม่ไกลจากกันเท่าใดนัก

“แม่นางเอี้ยว ท่านจากป่าเก้าหยกมาเช่นนี้ ไม่ทราบว่าบิดาท่านจะออกติดตามหาท่านหรือไม่?” เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวถามเอี้ยวเซียว

“เรื่องนั้นข้าพเจ้าไม่มั่นใจนัก แต่หากบิดาจะออกติดตาม คิดว่าคงไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าแต่เป็นเสื้อไหมหยก กับหยกเหินลมเสียมากกว่า”

“เสื้อไหมหยก? แม่นางเอี้ยวนำสิ่งนี้ออกมาจากป่าเก้าหยกด้วยเช่นนั้นหรือ?” เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวถาม

“ถูกต้อง ข้าพเจ้าสวมใส่เสื้อไหมหยกติดตัว นอกจากนั้นผู้มีพระคุณของบิดาจะต้องทวงถามถึงหยกเหินลม ที่ข้าพเจ้าพกติดตัวอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นบิดาจะต้องส่งคนออกติดตามข้าพเจ้า เพื่อทวงถามสิ่งของ”

“หากบิดาท่านติดตามหาท่านพบ ไม่ทราบว่าแม่นางเอี้ยวจะเดินทางกลับป่าเก้าหยกหรือไม่?” เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวถามต่อ

“หากข้าพเจ้ากลับคืนสู่ป่าเก้าหยก มีแต่ร่างเท่านั้นที่จะนำกลับไป กฎของป่าเก้าหยกหากละเมิดกฎออกมาโดยมิได้รับอนุญาต มีแต่ต้องตายสถานเดียว เช่นนั้นข้าพเจ้าจึงไม่มีหน้ากลับไปอีกแล้ว” เอี้ยวเซียวกล่าวตอบ พลางแสดงสีหน้าเด็ดเดี่ยวตัดใจไม่คิดหวนกลับป่าเก้าหยกอีก

“แล้วต่อจากนี้แม่นางเอี้ยวคิดทำเช่นไร?” เยี่ยนผิงส่งเสียงกล่าวถามต่อ

“เมื่อข้าพเจ้าตัดใจไม่คิดหวนกลับป่าเก้าหยกอีก ต่อจากนี้ข้าพเจ้าควรสืบสาวหาประวัติตนเอง แท้จริงแล้วชาติกำเนิดของข้าพเจ้าเป็นผู้ใดกันแน่? มีเพียงหยกเหินลมที่ฝากไว้กับจ่านจือเป็นเบาะแส ดังนั้นนับจากวันนี้ข้าพเจ้าคงต้องรบกวนท่านกับจ่านจือแล้ว หากข้าพเจ้าชำนาญเส้นทางและสถานที่มากกว่านี้ ข้าพเจ้าคงไม่คิดรบกวนพวกท่านทั้งสองอีก” เอี้ยวเซียวกล่าวตอบเยี่ยนผิง

“อย่าได้ถือเป็นการรบกวน ในเมื่อท่านเป็นคนช่วยเหลือข้าพเจ้า กับจ่านจือออกมาจากป่าเก้าหยก พระคุณของท่านเราย่อมตอบแทน เรื่องที่ท่านจะติดตามเราทั้งสองจะกล่าวว่าเป็นการรบกวนได้เช่นไร?” เยี่ยนผิงกล่าวตอบ พร้อมกับกล่าวกับเอี้ยวเซียวว่าอย่าได้ถือเป็นการรบกวน เพราะนางเองมีพระคุณต่อนางกับจ่านจืออยู่ไม่น้อย

“แม่นางเยี่ยน เขาหมื่นเซียนเป็นสถานที่อันใด? แล้วมีความเกี่ยวข้องใดกับจ่านจือ ก่อนที่จะเดินทางถึงเขาหมื่นเซียน รบกวนท่านช่วยบอกเล่าความเป็นมาแก่ข้าพเจ้าจะได้หรือไม่?” เอี้ยวเซียวสอบถามความเป็นมาของเขาหมื่นเซียน เยี่ยนผิงเห็นว่านางอาศัยอยู่แต่ในป่าไม่ทราบเรื่องราวภายนอกเท่าใดนัก ดังนั้นก่อนจะหลับนอนนางจะบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในยุทธภพให้แก่เอี้ยวเซียวได้รับทราบ

ส่วนจ่านจือพอทำธุระส่วนตัวแล้ว ก่อนจะล้มตัวลงนอน อดมิได้ที่จะล้วงหยกเหินลมสองชิ้นขึ้นมาพิจารณา หยกชิ้นที่อยู่กับตนสลักอักษรคำ “จ้าว” แล้วหยกชิ้นของแม่นางเอี้ยวเล่า? ใช่สลักอักษรใดไว้หรือไม่? เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขารีบถลันลุกแล้วเดินเข้าไปสู่แป้นเทียนไขซึ่งจุดเอาไว้

จ่านจือค่อย ๆ พลิกหยกไปมาหาอักษรว่าสลักไว้หรือไม่? เป็นจริงดั่งที่เขาคาดคิดเอาไว้ ด้านหนึ่งของหยกมีอักษรอยู่จริง ๆ

“คำว่า “ซิ่ว” ของเราสลักคำว่า “จ้าว” อักษรสองคำนี้มีความหมายถึงสิ่งใด? และเกี่ยวข้องกันอย่างไร?” จ่านจือส่งเสียงกล่าวกับตัวเองเบา ๆ พร้อมกับใช้ความคิดต่าง ๆ นานา ในที่สุดเขาก็คิดอะไรไม่ออก ดังนั้นจึงดับเทียนไขแล้วล้มตัวลงนอนพักผ่อน

ผ่านไปห้าวัน เหมาต้า มู่เหอและไป่ชิง ทั้งสามเดินทางกลับถึงผาแห่งสายลม พอเหยียบย่างเข้าสู่เขตผาบรรยากาศช่างดูเงียบเหงา ผู้คนในผาต่างแต่งกายด้วยชุดไว้ทุกข์โพกผ้าขาว

“เกิดอะไรขึ้น? ไฉนผู้คนจึงมีสีหน้าโศกเศร้ายิ่งนัก” ไป่ชิงส่งเสียงกล่าวถามขึ้นต่อพี่ใหญ่ และพี่รองของนาง

“พี่รองกับพี่ใหญ่ล้วนเดินทางมาพร้อมกับเจ้า ในผาเกิดเรื่องราวใดขึ้นย่อมไม่อาจทราบเช่นเดียวกับเจ้า หากต้องการทราบว่าเกิดเรื่องราวใดขึ้น พวกเรารีบรุดเข้าไปยังด้านในอย่าได้ชักช้า” มู่เหอกล่าวตอบไป่ชิง แล้วรีบสาวเท้าก้าวเข้าสู่ด้านในสำนักทันที

ไป่ชิงกับเหมาต้าไม่รอช้า รีบวิ่งตามมู่เหอไป ภายในสำนักทุกคนล้วนแต่งกายเฉกเช่นเดียวกัน สีหน้าทุกคนบ่งบอกว่าโศกเศร้าเสียใจรุนแรง เมื่อเห็นทั้งสามกลับมา คนผู้หนึ่งประสานมือทักทาย

"คารวะท่านทั้งสาม พวกท่านกลับมาแล้ว"

“อาหวง เกิดเรื่องอันใดขึ้นในสำนัก? ไฉนทุกคนจึงดูโศกเศร้าเสียใจ แถมยังแต่งกายคล้ายไว้ทุกข์ให้กับผู้ใด?” มู่เหอส่งเสียงกล่าวถามขึ้นในทันที

“ท่านมู่ ท่านเหมา แม่นางไป่ เมื่อพวกท่านกลับมาแล้ว หากท่านทั้งสามอยากทราบว่าเกิดเรื่องราวใดขึ้น? จงรีบรุดไปชมดูยังด้านหลังผาเถอะ ที่นั้นท่านจะทราบว่าเกิดเรื่องราวอันใด? นอกจากนั้นยังมีคนผู้หนึ่งรอคอยพวกท่านมาสามวันแล้ว” คนที่ชื่ออาหวงกล่าวตอบทั้งสาม พร้อมกับบอกให้ทั้งสามไปดูยังด้านหลังผา และยังบอกอีกว่ามีคนผู้หนึ่งรอคอยพวกตนเป็นเวลาสามวันแล้ว

ไม่รอช้าทั้งสามรีบวิ่งไปยังด้านหลังผาในทันที ขณะที่เท้าวิ่งภายในใจรู้สึกสังหรณ์แปลก ๆ คล้ายกับว่าสูญเสียสิ่งของมีค่าไปกระนั้น ไม่นานนักทั้งสามก็บรรลุถึงหลังผา พอสายตากระทบพบว่าคนผู้หนึ่งแต่งกายสีขาวยืนนิ่งสงบอยู่

“นางชีเทวราชชิ้วโส่ว!” ทั้งสามส่งเสียงร้องออกมาพร้อมกันด้วยความแปลกประหลาดใจ

“พวกเจ้าทั้งสามไฉนเพิ่งกลับมา ทราบหรือไม่? เรารอคอยพวกเจ้าเป็นเวลาสามวันแล้ว” นางชีเทวราชชิ้วโส่ว ส่งเสียงราบเรียบกล่าวต่อทั้งสาม

“ท่านกล่าวว่ารอคอยพวกเราสามคน ไม่ทราบว่าท่านมีธุระอันใด? แล้วท่านสืบทราบได้เช่นไร? ว่าผาแห่งสายลมตั้งอยู่ที่นี้” มู่เหอรีบกล่าวถามออกไป

“ธุระของเรานางชีเทวราชย่อมไม่มี แต่ธุระของผู้อื่นที่ไหว้วานต่างหากเล่า? ที่ทำให้เราต้องเสียเวลารอคอยพวกเจ้า ถูกต้องเราไม่ทราบสถานที่ตั้งของผาแห่งสายลม แต่เป็นน้องสี่บ่งบอกต่อเรา ดังนั้นเราจึงได้เสาะหาสถานที่ตั้งของผาแห่งสายลมจนพบ” นางชีเทวราชชิ้วโส่วส่งเสียงกล่าวตอบ

“น้องสี่ที่ท่านว่า ใช่หมายถึงอาจารย์ของพวกเราใช่หรือไม่?” ไป่ชิงรีบส่งเสียงกล่าวถามต่อนางชีเทวราชทันที เหมาต้า กับมู่เหอต่างรู้สึกแปลกใจเช่นกัน แต่ไหนแต่ไรเท่าที่ทราบมา นางชีเทวราชชิ้วโส่วไม่เรียกหาอาจารย์ของพวกตนว่าน้องสี่ แต่วันนี้นางเอ่ยคำน้องสี่ออกจากปาก

“ถูกต้อง พวกเจ้าทั้งสามเข้าใจมิผิด น้องสี่ที่เรากล่าวถึงหมายถึงอาจารย์ของพวกเจ้า ไม่ทราบว่าครั้งสุดท้ายพวกเจ้าพบอาจารย์พวกเจ้าที่ใด?” นางชีตอบคำถามแล้วกล่าวถามทั้งสามว่า พบเจอเจ้าผาแห่งสายลมครั้งสุดท้ายที่ใด?

“พวกเราแยกย้ายกับอาจารย์ที่เนินเสือดาวราวหกวันก่อน ในตอนนั้นอาจารย์ไล่ติดตามคนชุดดำผู้หนึ่งไป ส่วนพวกเราใช้เส้นทางตัดผ่านป่าใหญ่เพื่อกลับผา แต่ไม่คาดฝันพบเจอป่าลึกลับนามป่าเก้าหยก สถานที่นั้นเต็มไปด้วยค่ายกลและคนโฉดชั่ว ทำให้พวกเราทั้งสามเสียเวลายิ่งนัก จึงเดินทางกลับผาล่าช้ากว่าปกติ ในป่าเก้าหยกพวกเรายังได้พบเจอกับจ่านจือ และแม่นางเยี่ยนผิงอีกด้วย” เหมาต้าส่งเสียงกล่าวตอบต่อนางชีเทวราชชิ้วโส่ว แล้วบอกเล่าถึงสาเหตุที่ทำให้เดินทางกลับผาล่าช้า พร้อมกับไม่ลืมที่จะบอกว่าได้พบเจอจ่านจือ กับเยี่ยนผิงให้นางชีเทวราชชิ้วโส่วได้รับทราบ

“พวกเจ้าพบกับจ่านจือด้วยเช่นนั้นรึ? เขาเป็นเช่นไรบ้าง? ใช่เดินทางกลับไปยังเขาหมื่นเซียนแล้วหรือไม่?” นางชีเทวราชส่งเสียงกล่าวถามถึงจ่านจือ

“เขาสบายดี แต่มีความลำบากอยู่บ้าง ไม่ทราบว่าป่านนี้จะทำลายค่ายกลไหมหยกเก้าชั้นกลับเขาหมื่นเซียนได้แล้วหรือไม่? หากทำลายค่ายกลสำเร็จเขากล่าวกับพวกเราว่าจะเดินทางกลับเขาหมื่นเซียน” ไป่ชิงส่งเสียงตอบต่อนางชีเทวราชชิ้วโส่ว

“แล้วธุระที่ท่านได้รับการไหว้วาน ไม่ทราบว่าเป็นธุระเรื่องใด? และผู้ใดเป็นผู้ที่กล้าไหว้วานคนเช่นท่านได้” มู่เหอส่งเสียงซักถามนางชีเทวราชชิ้วโส่ว เกี่ยวกับธุระที่นางได้รับการไหว้วานมา และถามว่าผู้ที่กล้าไหว้วานนางเป็นผู้ใด?

“ธุระที่เรานางชีเทวราชชิ้วโส่ว ได้รับการไหว้วานมาล้วนเกี่ยวข้องกับพวกเจ้า ส่วนคนที่กล้าไหว้วานเราเป็นผู้ใดนั้น? เจ้าทั้งสามต้องการทราบเช่นนั้นรึ?” นางชีกล่าวตอบแล้วถามขึ้น ในคำถามคล้ายแฝงเลศนัยบางประการ          

“ถูกต้องพวกเราสามคนต้องการทราบ ผู้ใดกันที่ไหว้วานท่านได้? แถมยังเป็นธุระเกี่ยวกับพวกเราสามคนด้วย รบกวนท่านรีบบอกกล่าวออกมาให้กระจ่าง” ไป่ชิงเป็นคนส่งเสียงกล่าวถามด้วยความอยากรู้

“หากพวกเจ้าทั้งสามต้องการทราบ เรานางชีเทวราชชิ้วโส่วจะบอกต่อพวกเจ้า แต่พวกเจ้ารับปากต่อเราได้หรือไม่? ว่าพวกเจ้าจะต้องทำใจดี ๆ ไว้ ไม่ว่าจะรับทราบหรือพบเห็นสิ่งใดต่อจากนี้ พวกเจ้าจะต้องทำใจแบกรับเอาไว้ให้ได้ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม หากพวกเจ้าไม่รับปาก เรานางชีเทวราชชิ้วโส่วย่อมไม่อาจบอกกล่าวต่อพวกเจ้าได้”

“พวกเรารับปากท่าน ไม่ว่าจะทราบสิ่งใดจากท่านนับต่อจากนี้ พวกเราจะไม่หวั่นไหวและทำใจแบกรับเอาไว้ให้ได้ ขอเชิญท่านกล่าวออกมาเร็วเข้า” ทั้งสามกล่าวออกมาโดยพร้อมเพรียง

“ก่อนจะบ่งบอกพวกเจ้า มีคนอีกผู้หนึ่งมารอคอยพวกเจ้าเช่นกัน เราต้องการให้พวกเจ้าทั้งสามได้คารวะคนผู้นี้ก่อน” นางชีเทวราชชิ้วโส่วกล่าวถึงคนอีกผู้หนึ่ง จากนั้นชี้มือไปยังด้านหนึ่งที่นางยืนอยู่ ทั้งสามรีบวิ่งไปตามทิศทางที่นางชี้ไปทันที นางชีเทวราชชิ้วโส่วเดินตามทั้งสามไป พร้อมกับส่งเสียงพึมพำขึ้นว่า

“พวกเจ้าจะช้าเร็วก็ต้องเสียใจ มิสู้เสียใจเสียแต่ตอนนี้ เวลาที่เหลือจะได้มีไว้สำหรับแก้แค้นให้แก่อาจารย์ของพวกเจ้า”

เมื่อทั้งสามวิ่งมาถึง เห็นก่อเป็นเนินดินหลังหนึ่ง บนเนินดินปักป้ายสลักอักษรว่า “ที่ฝังศพเกากงทิเหว่ย” (คำกงเป็นคำเรียกขานผู้ตายด้วยความเคารพ มักเขียนอยู่หลังแซ่ ถัดมาค่อยเขียนชื่อผู้ตาย)

“ท่านอาจารย์!” ทั้งสามส่งเสียงร้องขึ้นด้วยความตกใจ เมื่อเป็นป้ายสุสานสลักอักษรชัดเจน รีบวิ่งเข้าไปแล้วคุกเข่าลงตรงหน้าสุสาน โขกศีรษะทำความเคารพด้วยน้ำตานองหน้า หลังจากซึมเซาอยู่เป็นเวลานาน โดยมีนางชีเทวราชชิ้วโส่วยืนชมดูอยู่ด้านข้าง ทั้งสามลุกขึ้นแล้วเดินเข้าหานางชีเทวราช

“เป็นผู้ใด?” มู่เหอส่งเสียงกล่าวถามต่อนางชีเทวราชชิ้วโส่วในทันที

“เป็นชุดดำผู้หนึ่ง? เราทราบแต่เพียงนี้ ตอนที่พบน้องสี่ถูกทำร้าย เราเองไปสายก้าวหนึ่ง หากไม่เช่นนั้นคงยื่นมือเข้าช่วยเหลือได้ทัน คนชุดดำผู้นั้นคงเป็นคนเดียวกันกับที่พวกเจ้าเล่ามา” นางชีเทวราชชิ้วโส่วกล่าวตอบ

“ท่านอาจารย์ฝีมือนับว่าไม่ธรรมดา ไฉนจึงพลาดท่าเสียทีแก่คนชุดดำชั่วนั้นได้ง่ายดายเพียงนี้” ไป่ชิงส่งเสียงกล่าวขึ้น

“หากมิใช่วิชาฝ่ามือที่คนชุดดำนั่นใช้ เป็นฝ่ามือพญายมแล้วละก็ น้องสี่คงไม่ต้องพบจุดจบอนาถเช่นนี้ ในยุทธภพคู่ปรับของฝ่ามือนี้มีเพียงไม่กี่วิชา หนึ่งในนั้นเป็นฝ่ามือพุทธธรรมพิสุทธิ์ที่จ่านจือใช้ ครั้งงานชุมนุมหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ดังนั้นคนที่เป็นเป้าหมายกำจัดจะต้องเป็นจ่านจือรวมอยู่ด้วย” นางชีเทวราชชิ้วโส่วบอกกล่าวแก่ศิษย์ทั้งสามของผาแห่งสายลม

“หากเป็นเช่นนั้น จ่านจือย่อมตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง ชุดดำผู้นั้นที่แท้เบื้องหลังเป็นผู้ใดกันแน่? เท่าที่ข้าพเจ้าทราบมาผู้ที่สำเร็จวิชาฝ่ามือพญายมมีเพียงเจ้าอสูรโลกันตร์ หากแต่ตอนนี้มันพักรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ภายในสำนัก ดังนั้นชุดดำที่ลงมือสังหารท่านอาจารย์จะต้องเป็นผู้อื่น และที่น่ากลัวคนชุดดำผู้นี้สำเร็จวิชาฝ่ามือพญายมอีกด้วย ไม่ทราบว่าท่านอาวุโสชิ้วพอจะทราบหรือไม่? ว่าคนชุดดำผู้นี้เป็นใคร?” มู่เหอกล่าวถามต่อนางชีเทวราชชิ้วโส่ว

“คนชุดดำผู้นี้จะเป็นใคร? อีกไม่นานทุกคนคงได้ทราบกัน ตอนนี้เรายังไม่อยากพูดอะไรมาก ส่วนจ่านจือพวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง เด็กน้อยผู้นี้มีวาสนาชะตากล้าแข็ง ภายภาคหน้าเขาจะได้เป็นใหญ่อย่างแน่นอน อีกทั้งเรายังพบหลักฐานสำคัญชิ้นหนึ่ง ตกอยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุเท่าใดนัก คาดว่าเป็นคนชุดดำมันทำตกหล่นเอาไว้ รอให้เราได้พบจ่านจือและยอดฝีมือคนอื่น ๆ ก่อนค่อยนำออกมาแสดงต่อหน้าทุกคน” นางชีเทวราชกล่าวคำ

“ร่างของท่านอาจารย์ เป็นท่านอาวุโสชิ้วเป็นผู้นำมา? พวกเราในฐานะศิษย์ผาแห่งสายลมขอขอบพระคุณในน้ำใจของท่านในครั้งนี้ แล้วที่ท่านกล่าวเมื่อครู่ว่า มีคนไหว้วานให้ท่านมาทำธุระให้ ธุระนั้นเป็นสิ่งใด?” มู่เหอกล่าวขอบคุณนางชีเทวราชชิ้วโส่ว ที่นางนำร่างของเจ้าผาแห่งสายลมกลับมา อีกทั้งยังทำการสร้างสถานที่ฝังศพให้กับท่านด้วย แล้วกล่าวถามถึงธุระที่นางถูกไหว้วานมา

“ผู้ที่ไหว้วานเรานางชีเทวราชชิ้วโส่ว เป็นน้องสี่ของเราเอง ก่อนสิ้นลมเขาได้ฝากให้เรานำบันทึกวิชาประจำสำนัก และวิชาที่เขาคิดค้นขึ้นมาใหม่ มามอบให้แก่พวกเจ้าทั้งสามคน และเราได้รับปากต่อน้องสี่ว่า จะอยู่อบรมสั่งสอนช่วยชี้แนะวิทยายุทธ์ของพวกเจ้าด้วย น้องสี่ยังฝากคำสั่งมาอีกว่า ให้แต่งตั้งมูเหอเป็นเจ้าผาแห่งสายลมรุ่นต่อไป ดังนั้นเราจะอาศัยอยู่ที่นี้สักสามเดือน คิดว่าภายในสามเดือนจะช่วยชี้นำพวกเจ้าให้ก้าวหน้ามากทีเดียว” นางชีเทวราชชิ้วโส่วกล่าวตอบ และบอกถึงเรื่องบันทึกวิชาประจำสำนัก อีกทั้งคำสั่งแต่งตั้งมู่เหอเป็นเจ้าผาแห่งสายลมรุ่นต่อไป

“ข้าพเจ้าเฟิ่นมู่เหอน้อมรับคำสั่งท่านอาจารย์” มู่เหอรีบคุกเข่าลงแล้วกล่าวคำรับคำสั่ง พร้อมกับยื่นมือออกรับบันทึกวิชาประจำสำนัก ที่นางชีเทวราชชิ้วโส่วยื่นส่งให้

“ข้าพเจ้าเฟิ่นไป่ชิง ขอคารวะท่านอาวุโสชิ้ว ที่ท่านจะอยู่สั่งสอนอบรมวิทยายุทธ์ให้แก่พวกเรา” ไป่ชิงประสานมือกล่าวคำขอบคุณต่อนางชีเทวราชชิ้วโส่ว เหมาต้าก็เช่นเดียวกัน รีบประสานมือกล่าวคำขอบคุณต่อนาง

“เอาละ ตอนนี้เจ้ามู่เหอ เมื่อขึ้นเป็นเจ้าผาแห่งสายลมแล้ว ก่อนอื่นจงรีบเรียกคนทั้งหมดมาประชุมแล้วแจ้งให้ทราบทั่วกัน เมื่อจัดการเรื่องราวในสำนักเรียบร้อยแล้ว เราจะเริ่มสั่งสอนวิชาในบันทึกให้แก่พวกเจ้าทั้งสามในทันที” นางชีเทวราชชิ้วโส่วกล่าวกับทั้งสาม แล้วบอกให้แยกย้ายกันไปพักผ่อน ส่วนนางเดินเงียบงันไปยังหน้าหลุมฝังศพเจ้าผาแห่งสายลมเกาทิเหว่ย นางยืนสงบนิ่งทบทวนเรื่องราวและเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอดีตที่ผ่านมา จากนั้นส่งเสียงกล่าวเบา ๆ ว่า

“น้องสี่ นึกไม่ถึงเลยว่าท่านจะเป็นศิษย์คนแรกในศิษย์จำนวนห้าคน ที่ต้องลาจากโลกนี้ไป แต่ขอให้เจ้าอย่าได้ห่วง เราพี่สามของเจ้าจะอบรมสั่งสอนศิษย์ทั้งสามแทนท่านเอง ภายหน้าพวกเขาจะต้องมีส่วนร่วมในการแก้แค้นให้กับท่านอย่างแน่นอน”

จากนั้นนางเดินกลับเข้าไปยังสถานที่พัก ซึ่งมู่เหอได้สั่งให้คนจัดที่พักให้แก่นางใหม่ ต่อจากนี้ศิษย์ทั้งสามคงได้รับการอบรมจากนาง แน่นอนนางเป็นผู้ที่มีทักษะยุทธ์เลิศล้ำ การที่นางยอมชี้แนะให้ย่อมก้าวหน้ารวดเร็ว

วันนี้จ่านจือพร้อมทั้งเยี่ยนผิง และเอี้ยวเซียว เหยียบย่างเข้าสู่เขตเขาหมื่นเซียน เดินทางอีกเพียงครึ่งวันก็บรรลุถึงสำนักตำหนักหมื่นเทพ เมื่อเห็นคนทั้งสอง ซื่อเหมี่ยน กับเอวี่ยอี้เซินรีบวิ่งเข้ามาต้อนรับด้วยความดีใจ หลังจากทักทายกันไม่กี่คำ ซื่อเหมี่ยนกล่าวต่อจ่านจือว่า

“เซี่ยวจือ เจ้ามาถึงได้ประเสริฐนัก ตอนนี้ท่านเจ้าโอสถสายรุ้ง ค้นพบเบาะแสบางอย่างในกระบี่อัคคีน้ำค้างแล้ว เจ้ามาจะได้ช่วยออกความคิดเห็นอีกแรงหนึ่ง เวลานี้ท่านเจ้าโอสถสายรุ้งรอคอยเจ้าอยู่ และยังมีอาวุโสขอทานหลายท่าน พักอยู่สำนักตำหนักหมื่นเทพอีกด้วย”

“เซี่ยวจือ แม่นางเยี่ยนเชิญด้านใน แล้วแม่นางท่านนี้มีนามว่ากระไร? มิทราบว่าเดินทางมากับเจ้าใช่หรือไม่?” เอวี้ยอี้เซินส่งเสียงเชื้อเชิญจ่านจือ กับเยี่ยนผิง เมื่อพบว่านอกจากทั้งสองแล้ว ยังเพิ่มดรุณีน้อยหน้าตาหมดจดอีกผู้หนึ่ง จึงส่งเสียงกล่าวถามจ่านจือว่านางมีชื่อเสียงเรียงนามใด

“เจ้เจ้ทั้งสอง ข้าพเจ้าจะแนะนำให้ท่านทั้งสองได้รู้จัก นางมีชื่อว่าแม่นางเอี้ยวเซียว เป็นธิดาของเจ้าป่าเก้าหยกเอี้ยวค้วง เป็นนางที่ช่วยข้าพเจ้า กับแม่นางเยี่ยนผิงออกจากป่าเก้าหยก ดังนั้นเมื่อนางละเมิดกฎช่วยเหลือพวกเรา นางจึงไม่อาจกลับไปยังป่าเก้าหยกได้อีกต่อไป ข้าพเจ้ากับแม่นางเยี่ยนเห็นว่านางไม่คุ้นเคยเส้นทางและสถานที่ อีกทั้งนางยังไม่มีที่ไป จึงได้ชักชวนนางร่วมเดินทางมากับพวกเรา” จ่านจือแนะนำเอี้ยวเซียวให้แก่ซื่อเหมี่ยน กับเอวี้ยอี้เซินได้รู้จัก แล้วหันมากล่าวกับเอี้ยวเซียวว่า

“แม่นางเอี้ยว นี่คือเจ้เจ้ที่แสนดีของข้าพเจ้า พี่ซื่อเหมี่ยน กับพี่เอวี้ยอี้เซิน”

“ข้าพเจ้าเอี้ยวเซียว ยินดีที่ได้รู้จักท่านทั้งสอง ต้องรบกวนท่านด้วย หากข้าพเจ้ามีที่ไปแล้ว จะรีบเดินทางไปจากที่นี้โดยทันที” เอี้ยวเซียวประสานมือคารวะแก่ซื่อเหมี่ยน และเอวี้ยอี้เซิน วาจาที่นางกล่าวนุ่มนวลไพเราะกว่าครั้งที่อยู่ยังป่าเก้าหยก เนื่องด้วยเห็นว่าจ่านจือแสดงออกถึงความเคารพแก่นางทั้งสอง ดังนั้นนางจึงใช้วาจาสุภาพไพเราะขึ้น จ่านจือ กับเยี่ยนผิงเมื่อได้ยิน ต่างลอบแสดงความยินดีต่อนางที่รู้จักปรับตัวได้รวดเร็ว

“อย่าได้เสียเวลาสนทนากันตรงนี้ รีบเข้าไปคารวะท่านเจ้าโอสถสายรุ้งเร็วเข้า อีกทั้งอาวุโสหลายท่านก็รอคอยเซี่ยวจือเช่นกัน” ซื่อเหมี่ยนกล่าวคำให้ทุกคนรีบเข้าไปยังด้านในสำนักตำหนักหมื่นเทพ เพราะนอกจากเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนแล้ว ยังมีเหล่าขอทานและยอดฝีมือจากสถานที่ต่าง ๆ พากันเดินทางขึ้นมายังสำนักตำหนักหมื่นเทพ สาเหตุคงเป็นเรื่องการรับมือกับเหล่ามารอธรรมนั่นเอง

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป