ตอนที่ 39
ประมือสองลามะ
ผู้ที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น เมื่อเห็นว่าคนชุดดำทั้งสองหลบหนีจากไปแล้ว จึงหันมาทางมู่เหอกับไป่ชิงแล้วคนผู้หนึ่งในจำนวนสองคน ส่งเสียงกล่าววาจาต่อทั้งสองขึ้นว่า
“ประสกน้อยทั้งสองลุกขึ้นเถอะคนร้ายหนีไปแล้ว มิทราบว่ามีสิ่งใดให้อาตมาทั้งสองช่วยเหลือหรือไม่ ขอกล่าวถามประสกทั้งสองพอจะทราบหรือไม่? ว่าคนชุดดำทั้งสองที่ทำร้ายประสกเป็นผู้ใด ไฉนถึงได้คิดทำร้ายประสกทั้งสองให้ถึงตายด้วย”
มู่เหอกับไป่ชิงรีบเก็บกระบี่คืนฝักพร้อมกับพยุงร่างลุกขึ้น พบว่าผู้ที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือตนทั้งสองเอาไว้เป็นหลวงจีนสองรูปครองจีวรสีเหลืองเข้ม บนใบหน้าเต็มไปด้วยความเมตตาการุณย์หนวดเคราคิ้วยาวล้วนแซมด้วยสีขาวประปราย ทั้งสองเฮียม่วยรีบประสานมือแก่หลวงจีนทั้งสอง แล้วมู่เหอกล่าววาจานอบน้อมว่า
“ข้าพเจ้ามีชื่อว่าเฟิ่นมู่เหอ ส่วนนางมีชื่อว่าเฟิ่นไป่ชิงเป็นน้องสาวของข้าพเจ้า ขอบพระคุณท่านไต้ซือทั้งสองยิ่งนักที่ยื่นมือช่วยเหลือเราสองพี่น้องเอาไว้ หากมิเช่นนั้นป่านนี้ข้าพเจ้ากับน้องสาวคงตายภายใต้น้ำมือของสองคนนั่นแล้ว ขอเรียนตามตรงเราทั้งสองหาทราบได้ว่าคนชุดดำสองคนนั่นเป็นผู้ใด ทราบแต่เพียงว่าคนทั้งสองคิดช่วงชิงสิ่งของจากเราทั้งสองไป เมื่อได้สิ่งของที่ต้องการแล้วกลับจะฆ่าเราทั้งสองปิดปากโชคดีที่ท่านไต้ซือทั้งสองเข้าช่วยเหลือเอาไว้ได้ทัน”
เมื่อมู่เหอกล่าวจบไป่ชิงจึงกล่าวขึ้นบ้างว่า
“ไม่ทราบว่าท่านไต้ซือทั้งสองมีนามสูงส่งว่ากระไร? ข้าพเจ้ากับพี่ชายจะได้จดจำนามของผู้มีพระคุณทั้งสองเอาไว้ ภายภาคหน้าจะได้บอกกล่าวต่อผู้คนให้รับทราบถึงความเมตตาของท่านไต้ซือทั้งสองออกไป”
หลวงจีนอีกรูปหนึ่งจึงกล่าวตอบไป่ชิงว่า
“อาตมามีนามว่าเทียนเกา ส่วนผู้นี้เป็นศิษย์พี่ของอาตมานามว่าเต้าเฉียน อาตมาทั้งสองเป็นศิษย์ผู้น้องของท่านเจ้าอาวาสต้าทงไต้ซือแห่งวัดเส้าหลิน พอดีกำลังเดินทางกลับวัดผ่านมาเห็นประสกทั้งสองถูกทำร้ายเข้าเลยได้ยื่นมือเข้าช่วย การช่วยเหลือผู้เดือดร้อนเป็นหน้าที่ของผู้ทรงศีลประสกทั้งสองอย่าได้เกรงใจ”
ที่แท้หลวงจีนทั้งสองเป็นศิษย์น้องของเจ้าอาวาสแห่งวัดเส้าหลินต้าทงไต้ซือนั่นเอง หลังจากสนทนากับสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นอีกไม่กี่ประโยค หลวงจีนทั้งสองต่างพลิ้วร่างจากไปด้วยท่าร่างวิชาตัวเบาที่สูงส่งยอดเยี่ยม หลังจากนั้นไป่ชิงกับมู่เหอเดินทางกลับโรงเตี้ยมเจ็ดดาว ไม่ไกลเท่าใดนักในเงามืดภายใต้ต้นไม้มีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องดูเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นโดยตลอด เมื่อทุกคนจากไปหมดสิ้นแล้วเจ้าของดวงตาคู่นั้นก็อันตรธานหายไปด้วยเช่นกัน
ทางด้านจ่านจือหลังจากติดตามผู้ที่ซัดอาวุธลับเข้าใส่มาได้ระยะหนึ่ง เงาร่างนั้นพลันหยุดเท้าลงเมื่อเขาเคลื่อนกายเข้ามาใกล้ร่างของคนผู้นั้นพบว่าที่แท้เป็นเยี่ยนผิงนั่นเอง พอเห็นจ่านจือเคลื่อนกายเข้ามาห่างราวสามก้าวนางจึงส่งเสียงกล่าวขึ้นว่า
“จ่านจือท่านติดตามข้าพเจ้ามาทำไม ไฉนไม่อยู่ท่องเที่ยวชมความงามของโคมไฟกับสหายของท่านเล่า?”
“ที่แท้เป็นท่านนั่นเอง ข้าพเจ้าต้องเอ่ยถามท่านเสียมากกว่า ว่าไฉนจึงต้องล่อให้ข้าพเจ้าจ่านจือติดตามมาด้วย”
“จ่านจือเป็นท่านติดตามข้าพเจ้ามาเอง ข้าพเจ้ามิได้บอกกล่าวให้ท่านติดตามมาแม้แต่ประโยคเดียว เป็นท่านเสียรู้โง่เขลาติดตามข้าพเจ้ามาเองจะกล่าวโทษผู้อื่นได้เช่นไร”
จ่านจือเมื่อได้ยินเยี่ยนผิงกล่าววาจาต่อเขาเช่นนั้น พลันฉุกคิดขึ้นมานี่คงเป็นแผนล่อเสือออกจากถ้ำ หรือว่าสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นจะประสบเคราะห์กรรมแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่คิดให้มากความเสียเวลารีบหันหลังกลับวิ่งจากมาโดยไม่สนใจเยียนผิงแต่ประการใด ได้ยินเสียงเยี่ยนผิงนางตะโกนไล่หลังเขาดังความว่า
“ต่อให้ท่านกลับไปสิ่งที่ได้พบเห็นคงมีเพียงซากศพของสหายท่านเท่านั้น ข้าพเจ้าเยี่ยนผิงมิได้ผิดคำพูดที่ได้รับปากต่อท่านเอาไว้แม้แต่น้อย ข้าพเจ้ามิได้ลงมือแต่ว่าเป็นผู้อื่นลงมือต่อสหายท่าน ดังนั้นท่านจะกล่าวโทษข้าพเจ้าเยี่ยนผิงมิได้”
จ่านจือไม่สนใจคำพูดของเยี่ยนผิงเร่งฝีเท้ากลับมายังเส้นทางเดิม ไม่นานนักเมื่อวิ่งข้ามสะพานที่จากมาเมื่อครู่กลับพบกับความว่างเปล่าไม่มีร่างของสองเฮียม่วยแต่อย่างใด เมื่อเดินสำรวจบริเวณโดยรอบพบว่ามีร่องรอยการต่อสู้และยังพบคราบโลหิตตกอยู่บนพื้นอีกด้วย
จ่านจือมิรอช้ารีบเร่งฝีเท้ากลับโรงเตี้ยมเจ็ดดาวทันที เมื่อบรรลุถึงโรงเตี้ยมรีบสอบถามเถ้าแก่จึงได้รับคำตอบว่าสองเฮียม่วยกลับมาถึงแล้ว นอกจากนั้นเถ้าแก่โรงเตี้ยมยังรายงานต่อเขาว่าดูท่าทางคนทั้งสองจะได้รับบาดเจ็บกลับมาอีกด้วย จ่านจือได้ยินเช่นนั้นรีบวิ่งกระโจนขึ้นชั้นสองเคาะห้องของมู่เหอร้องเรียกด้วยอาการร้อนรน
ผ่านไปไม่นานประตูห้องถูกเปิดออกมองเข้าไปภายในห้อง เห็นไป่ชิงนางนั่งอยู่บนม้านั่งกลางห้องส่วนผู้ที่เดินออกมาเปิดประตูเป็นมู่เหอพี่ชายนาง ทั้งคู่เมื่อเห็นหน้าจ่านจือรีบส่งเสียงเรียกอย่างยินดีเชื้อเชิญให้เข้าไปแล้วปิดประตูลง
หลังจากสอบถามเรื่องราวไป่ชิงได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้แก่จ่านจือได้รับทราบโดยมิได้ปิดบัง จ่านจือเมื่อตรวจดูอาการบาดเจ็บของทั้งสองเฮียม่วยแล้วส่งเสียงบอกว่าไม่ต้องห่วง พร้อมกับล้วงไปในอกเสื้อส่งมอบต้นหญ้ามังกรดำให้แก่ทั้งสองรับประทานรักษาอาการบาดเจ็บ เขาบอกว่าโชคดีที่อวัยวะภายในมิได้เป็นอะไรมาก มีเพียงภายนอกที่บอบช้ำจากแรงซัดของฝ่ามือ หากสองเฮียม่วยมีพลังฝีมืออ่อนด้อยอีกสักหน่อย อาจจะหนักหนาสาหัสกว่านี้หลายเท่านัก
ค่ำคืนนี้จ่านจือจึงอาศัยหลับนอนห้องเดียวกับมู่เหอ ส่วนไป่ชิงนางอาศัยอยู่อีกห้องซึ่งติดกัน รุ่งเช้าหลังจากทำธุระเสร็จสิ้นแล้ว เขาตรวจดูอาการของสองเฮียม่วยอีกครั้งพบว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง อาการบาดเจ็บเกือบทุเลาหายหมดสิ้นแล้ว มู่เหอกล่าวต่อเขาว่าหญ้ามังกรดำช่างมีสรรพคุณวิเศษนัก รักษาอาการบาดเจ็บได้ทุเลาหายดีภายในชั่วข้ามคืน
เมื่อออกมาจากโรงเตี้ยมเจ็ดดาวแล้ว จ่านจือบอกกล่าวกับสองเฮียม่วยว่าขอแวะไปโรงเตี้ยมต้าเหอชุนก่อน เขาได้นัดหมายกับอาจารย์เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนเอาไว้ที่นั่น มู่เหอกับไป่ชิงทั้งสองบอกว่าดีทีเดียวมิได้เจอเจ้าโอสถสายรุ้งนานมากแล้ว ดังนั้นทั้งสามจึงรีบเดินทางมุ่งหน้าสู่โรงเตี้ยมต้าเหอชุนทันที
ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงครึ่งชั่วยามทั้งสามบรรลุถึงโรงเตี้ยมต้าเหอชุน เมื่อรอคอยไม่เห็นเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนปรากฏตัว ดังนั้นทั้งสามสั่งบะหมี่มารองท้องกันคนละชามเพื่อฆ่าเวลา กระทั้งบะหมี่ในชามหายลงท้องของทั้งสามหมดสิ้นแล้ว ยังไม่เห็นวี่แววของเจ้าโอสถสายรุ้งแต่อย่างใด ขณะที่ทั้งสามกำลังปรึกษากันว่าจะกระทำประการใดต่อไป พลันมีเสียงหนึ่งส่งเสียงเอื้อนเอ่ยมาจากโต๊ะข้าง ๆ ดังความว่า
“มิทราบว่าท่านทั้งสามกำลังหาคนอยู่ถูกต้องหรือไม่?”
ทั้งสามรีบหันไปยังทิศทางของเสียง ผู้กล่าววาจาเป็นชายชราอายุราวแปดสิบปี ดูจากสารรูปแต่งกายด้วยชุดเสื้อผ้าเก่า ๆ เค้าหน้าอิดโรยผอมซูบเหลือเพียงผิวหนังห่อหุ้มกระดูก คิ้วเคราและหนวดยาวรุงรังขาดการดูแลเอาใจใส่ รูปร่างไม่แตกต่างกับใบหน้ามากนักดูผอมแห้งแต่ทว่ายังมีเสื้อผ้าปกคลุมเนื้อหนังเอาไว้เท่านั้นเอง แต่ที่แตกต่างไม่เหมือนคนทั่วไปชายชราผู้นั้นมีก้อนเนื้อโหนกนูนอยู่บริเวณกลางหลังขนาดใหญ่ ชายชราผู้นั้นนั่งอยู่โต๊ะติดกันกับทั้งสามซึ่งก่อนหน้านั้นโดยมิทันสังเกตเห็น จึงมิทราบว่าชายชราผู้นี้มานั่งอยู่ตั้งแต่เมื่อใด เมื่อได้ยินคำถามว่ากำลังหาคนอยู่ใช่หรือไม่ ทั้งสามคนจึงรู้สึกแปลกประหลาดใจยิ่งนักที่ชายชราผู้นี้ทราบว่าพวกเขากำลังรอคอยคนอยู่ ดังนั้นไป่ชิงจึงส่งเสียงกล่าวถามขึ้นว่า
“เรียนอาวุโส ท่านทราบว่าเราทั้งสามกำลังหาคน? มิทราบว่าอาวุโสทราบได้เช่นไรว่าพวกเราทั้งสาม กำลังติดตามหาคนผู้หนึ่งอยู่”
“ฮาฮา ข้าพเจ้าย่อมทราบว่าพวกท่านทั้งสามกำลังติดตามหาคน และยังทราบด้วยว่าคนที่ท่านทั้งสามกำลังเสาะหาเป็นผู้ใด ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในยุทธภพมิอาจหลบหลีกหลุดรอดหูตาของข้าพเจ้าไปได้ แม้แต่เรื่องที่ท่านทั้งสองถูกทำร้ายเมื่อคืนยังมิอาจรอดพ้นสายตาของข้าพเจ้าไปได้เช่นกัน”
ทั้งสามเมื่อได้ยินดังนั้นต่างหันมองหน้ากันอย่างฉงน เพราะเรื่องราวที่ชายชราผู้นั้นกล่าวออกมาล้วนถูกต้องทั้งสิ้น ดังนั้นจ่านจือจึงรีบกล่าวถามขึ้นว่า
“หากเป็นเช่นนั้นข้าพเจ้าขอเรียนถามอาวุโส ผู้ที่ลงมือทำร้ายสหายทั้งสองของข้าพเจ้าเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาเป็นผู้ใด หากท่านทราบได้โปรดบอกแก่ข้าพเจ้าจะได้หรือไม่?”
“เรื่องนี้ข้าพเจ้าย่อมทราบแน่แก่ใจว่าเป็นฝีมือผู้ใด? แต่มิอาจบอกกล่าวแก่พวกท่านทั้งสามได้ เรื่องราวที่ข้าพเจ้าทราบหากว่าผู้ใดต้องการถามรายละเอียดจากข้าพเจ้า จะต้องจ่ายค่าตอบแทนให้กับข้าพเจ้าก่อน ส่วนราคาขึ้นอยู่กับความยากง่ายของข่าวและเรื่องราวที่ต้องการ มิทราบว่าท่านทั้งสามยังต้องการทราบอยู่หรือไม่? หากต้องการทราบรีบจ่ายมาแล้วข้าพเจ้าจะบอกกล่าวเรื่องที่พวกท่านอยากทราบแลกเปลี่ยน”
คนทั้งสามได้ยินชายชรากล่าววาจาเช่นนั้น ต่างเริ่มไม่แน่ใจว่าจะเชื่อถือคำพูดของชายชราผู้นี้ได้มากน้อยประการใด มู่เหอจึงรีบกล่าวถามชายชราผู้นั้นขึ้นว่า
“แล้วมิทราบว่าอาวุโสต้องการค่าตอบแทนมากน้อยเท่าใด? เพื่อแลกเปลี่ยนกับเรื่องราวที่พวกเราทั้งสามต้องการ”
“ค่าตอบแทนข้าพเจ้ามิได้ต้องการเป็นเงินทองหรือสิ่งของมีค่าแต่ประการใด แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการกลับเป็นคนผู้หนึ่ง หากท่านทั้งสามนำคนผู้นั้นมาพบข้าพเจ้าได้พวกท่านต้องการข่าวสารใด ข้าพเจ้าจะบอกกล่าวให้รับทราบโดยละเอียดมิปิดบัง”
“อาวุโสคำพูดของท่านจะเชื่อถือได้เช่นไร เมื่อครู่ท่านเป็นคนกล่าวออกมาเองว่าทุกเรื่องราวในยุทธภพมิอาจหลุดรอดจากหูตาของท่านได้ แล้วไฉนเพียงคนผู้หนึ่งจึงสามารถหลุดรอดหูตาอาวุโสไปได้ ในเมื่อท่านทราบทุกเรื่องราวน่าจะทราบว่าบุคคลผู้นี้อยู่ที่ใด? ไฉนต้องให้เราทั้งสามติดตามแล้วนำมาพบกับท่านด้วยเล่า”
เป็นไป่ชิงนางกล่าวถามขึ้นเมื่อได้ยินชายชราผู้นั้นกล่าวออกมาว่าค่าตอบแทนที่ต้องการคือให้นำพาคนผู้หนึ่งมาพบกับท่าน ชายชราผู้นั้นเมื่อได้ยินไป่ชิงกล่าวถามเช่นนั้นปั้นสีหน้าเป็นไม่พอใจนัก จากนั้นรีบลุกขึ้นจากโต๊ะก้าวเดินจากไป แต่ก่อนจากไปกล่าววาจาทิ้งท้ายความว่า
“ท่านทั้งสามไม่อยากช่วยเหลือข้าพเจ้ามิเป็นไร ข้าพเจ้าเฒ่าประหลาดเซียวเจียนซู่รู้ทุกเรื่องราวก็จริง แต่มีเพียงเรื่องเดียวคือเรื่องคนผู้นั้นที่ข้าพเจ้ามิอาจสืบข่าวคราวหาเบาะแสได้ ส่วนคนที่พวกท่านทั้งสามกำลังเสาะหามีฉายาว่าเจ้าโอสถสายรุ้งนามเส้าเยี๊ยะเทียนถูกต้องหรือไม่? เมื่อคืนตอนใกล้รุ่งข้าพเจ้าเฒ่าประหลาดเซียวเจียนซู่พบเห็นคนผู้นั้นต่อสู้อยู่กับหลวงจีนต่างถิ่นสองรูป มิทราบว่าป่านนี้จะยังมีชีวิตหลงเหลืออยู่หรือไม่”
กล่าวจบชายชราผู้นั้นที่เห็นในตอนแรกซึ่งดูคล้ายคนหมดสิ้นเรี่ยวแรงแม้แต่จะก้าวเดินยังดูว่าลำบากยิ่ง สะกิดเท้าพุ่งร่างด้วยวิชาตัวเบาอันยอมเยี่ยมชั่วพริบตาเดียวหายวับไปจากคลองจักษุของทั้งสาม เหตุการณ์เกิดขึ้นรวดเร็วกะทันหันทำให้จ่านจือกับมู่เหอและไป่ชิงถึงกับตื่นตระหนกตกใจออกมา คาดคิดไม่ถึงว่าชายชราท่าทางอ่อนแรงผู้นั้นจะมีวิชาตัวเบาสูงส่งยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้
เมื่อได้ยินชายชราผู้ที่เรียกหาตนเองว่าเฒ่าประหลาดเซียวเจียนซู่ บอกกล่าวก่อนจากไปว่าเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนต่อสู้อยู่กับหลวงจีนต่างถิ่นสองรูป ทำให้คนทั้งสามเริ่มไม่สบายใจขึ้นมา ว่าคำพูดของเฒ่าประหลาดเมื่อครู่เป็นจริงหรือเท็จประการใด
นอกเมืองลั่วหยาง
ร่างสามสายโลดแล่นเลือนรางดั่งสายลมพัดผ่าน ผู้ที่อยู่ด้านหน้าสุดเป็นชายเลยวัยกลางคนสวมชุดยาวสีเทาเข้ม สองร่างที่ตามติดอยู่ด้านหลังห่างไม่ถึงห้าก้าวเป็นลามะครองจีวรสีเหลืองเข้มประมาณอายุชรากว่าอยู่หลายสิบปี ชายผู้เหินร่างอยู่ด้านหน้ามิมีอาวุธติดกาย ลามะสองรูปที่ติดตามผู้หนึ่งในมือเพิ่มพลองเหล็กยาวเลยศีรษะคำนวณดูน้ำหนักน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าหกร้อยชั่ง ส่วนลามะอีกรูปหนึ่งในมือถือไม้เท้าเหล็กส่วนปลายของไม้เท้าทำเป็นรูปศีรษะสุนัขป่าแยกเขี้ยวดุดัน น้ำหนักน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าหกร้อยชั่งเฉกเช่นเดียวกัน
เมื่อร่างสามสายทะยานเข้ามาในระยะใกล้ ผู้ที่อยู่ด้านหน้าที่แท้เป็นเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ส่วนลามะสองรูปยังมิเคยปรากฏตัวในจงหยวนมาก่อนแม้แต่คราเดียว ดูจากลักษณะวัยน่าจะแปดเก้าสิบปีหนวดเคราคิ้วของลามะทั้งสองล้วนขาวโพลนดุจเส้นไหม ร่างลามะทั้งสองที่วิ่งติดตามมาท่าร่างรวดเร็วน่ากลัว เมื่อมองดูฝีเท้าของทั้งสองพบเห็นว่าเท้าแทบไม่สัมผัสพื้นแต่ความเร็วของฝีเท้าเป็นที่น่าตระหนก แม้แต่เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนทุ่มเทท่าร่างวิชาตัวเบาทั้งหมดออกมา ยังมิสามารถหลุดรอดจากการติดตามของสองลามะได้
กล่าวย้อนไปราวยามอิ้ง(ประมาณสี่นาฬิกา) ขณะที่เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนกำลังเดินทางไปยังโรงเตี้ยมต้าเหอชุน ระหว่างทางกลับพบกับลามะสองรูปนี้เข้ายังมิทันที่จะได้กล่าววาจากระไรกัน ลามะทั้งสองรูปต่างตรงเข้าหาแล้วลงมือต่อท่านโดยปราศจากสาเหตุดังนั้นท่านจึงโต้ตอบลามะทั้งสองไป ทั้งสามต่อสู้ติดต่อกันราวสามชั่วยามยังมิอาจทราบผล ด้านฝีมือสูสีก่ำกึ่งแต่เมื่อสองรุมหนึ่งเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนย่อมเสียเปรียบเป็นธรรมดา
ดังนั้นเจ้าโอสถสายรุ้งจึงสู้พลางถอยพลาง อาศัยที่ท่านมีความชำนาญสถานที่และเส้นทางมากกว่าสองลามะ จึงใช้วิชาตัวเบาทั้งหมดที่มีเพื่อสลัดสองลามะแต่ยิ่งทุ่มเทท่าร่างเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ กลับพบว่าลามะทั้งสองรูปกลับเพิ่มฝีเท้าตามติดขึ้นเท่านั้น ท่านความจริงกำลังจะเดินทางไปโรงเตี้ยมต้าเหอชุน เพื่อทิ้งเครื่องหมายบอกให้จ่านจือเดินทางไปวัดเส้าหลินโดยที่ท่านจะเดินทางไปก่อนล่วงหน้า แต่ยังไม่ทันบรรลุถึงโรงเตี้ยมดังกล่าวกลับพบกับสองลามะเข้าเสียก่อน แถมยังมิทันได้ไต่ถามพูดคุยถูกสองลามะลงมือจู่โจมโดยไม่ทราบสาเหตุ
ทั้งสามทุ่มเทฝีเท้าวิ่งตะบึงมาได้อีกร้อยกว่าลี้เป็นพื้นที่โล่งกว้าง ขณะที่เจ้าโอสถสายรุ้งกำลังคิดว่าจะทำเช่นไรต่อไป หนึ่งในสองลามะขว้างพลองเหล็กเข้าขัดขวางอย่างเร่งร้อนดุดัน เสียงพลองเหล็กพุ่งแหวกฝ่าอากาศห่างไม่ถึงหนึ่งก้าว โดยมิต้องเหลียวกลับไปมองเจ้าโอสถสายรุ้งพุ่งร่างลอยสูงขึ้นจากพื้นดิน พร้อมกับฝ่าเท้าข้างขวาเตะย้อนกลับหลัง เสียงดังทึบเมื่อเท้าสัมผัสกับปลายพลองเหล็กอันเกรี้ยวกราดนั้น พร้อมกันท่านตวาดกลับไปว่า
“รับพลองของท่านกลับคืนไป”
พลองเหล็กหนักราวห้าหกร้อยชั่งพุงกลับมาหาสองลามะที่ติดตามอยู่ด้านหลังดุจลูกธนูถูกปล่อยสุดแรงออกจากแหล่ง พร้อมกันนั้นยังบรรจุพลังดาวดึงส์ท่าที่ห้านามดาวทะยานฟ้าเข้าสู่ตัวพลองเหล็กจนเปี่ยมล้น
“ซาซือตี๋(ศิษย์น้องสาม) อาตมาขอต้านรับพลองเหล็กนี้ให้แก่ท่าน”
กล่าวจบมาละอีกรูปหนึ่งรีบสะอึกเข้าต้านรับพลองเหล็ก โดยควงไม้เท้าเหล็กหัวสุนัขป่าเป็นวงคล้ายบุพผาวงหนึ่งฟาดฟันเข้าหาระหว่างกลางพลองเหล็กที่บรรจุลมปราณของเจ้าโอสถสายรุ้งมาเต็มเปี่ยม เสียงดังปงสนั่นไปรอบบริเวณพร้อมกับไม้เท้าเหล็กหัวสุนัขป่าคล้ายเปลี่ยนสภาพเป็นแม่เหล็กอันมหึมา เมื่อไม้เท้าเหล็กสัมผัสกับพลองเหล็กกลับดึงดูดเอาไว้แล้วเหนี่ยวนำหมุนวนรอบไม้เท้าเหล็กอยู่หลายรอบด้วยกัน ก่อนที่จะเหวี่ยงพลองเหล็กส่งคืนให้กับลามะอีกรูปหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
“ขอบคุณตั่วซือเฮีย(ศิษย์พี่ใหญ่) อย่ารอช้าท่านกับอาตมารีบผนึกกำลังเข่นฆ่าคนผู้นี้เพื่อเป็นการแก้แค้นให้กับต๊กม้อเต็ก หากวันนี้ไม่สามารถฆ่าคนผู้นี้กับมือท่านกับอาตมาจะมีหน้ากลับไปพบกับยี่ซือเฮีย(ศิษย์พี่รอง)ได้อย่างไร นึกไม่ถึงการเดินทางมาหาหลานศิษย์ครั้งนี้ นอกจากจะไม่ได้พบหน้ายังทราบว่าถูกคนฆ่าตายไม่เห็นซากศพอีกด้วย”
“เช่นนั้นจะรอช้าอยู่ไย? รีบลงมือจัดการสังหารเสียให้สิ้น”
ลามะสองรูปเมื่อกล่าวจบต่างพุ่งร่างเข้าหาเจ้าโอสถสายรุ้งโดยพร้อมเพรียง พลองเหล็กกับไม้เท้าเหล็กหัวสุนัขป่าต่างแยกย้ายจู่โจมเข้าใส่ร่างของท่านด้วยกระบวนท่าดุร้ายหมายขวัญ เจ้าโอสถสายรุ้งสองมือซ้ายขวาใช้ออกด้วยท่าที่แปดในวิชาดาวดึงส์ นามดาวล้อมเดือนเคลื่อนฟ้าย้ายดิน บรรยากาศรอบบริเวณแปรเปลี่ยนเป็นขมึงตึงเครียดในบัดดล
อากาศในตอนแรกที่สว่างโปร่งใสบัดนี้ถึงกับถูกปกคลุมด้วยปราณพลังของวิชาดาวดึงส์หนาแน่น เศษกิ่งไม้และใบไม้รอบข้างถูกดึงดูดให้หมุนคว้างเป็นรูปวงกลมอยู่โดยรอบคนทั้งสาม ดูคล้ายกับการโคจรของดวงดาวในห้วงจักรวาลปานฉะนั้น
ปราณพลังไร้สภาพของทั้งสามจู่โจมพัวพันกันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน เจ้าโอสถสายรุ้งเคลื่อนย้ายเศษกิ่งไม้ใบไม้ที่อยู่โดยรอบพุ่งเข้าหาร่างทั้งสองของลามะ สองลามะรีบควงอาวุธในมือเข้าต้านรับโดยไม่ร้อนรน ภายในใจกลับครุ่นคิดขึ้นว่าวิชาของคนจงหยวนช่างร้ายกาจยิ่งนัก ภายในท่าเดียวสามารถแปรเปลี่ยนกระบวนท่าได้ไม่สิ้นสุด นอกจากนั้นภายในความแข็งกร้าวยังแฝงความเยือกเย็นอ่อนหยุ่นอีกด้วย
ดังนั้นลามะทั้งสองจึงมิกล้าชะล่าใจ เมื่อเห็นว่าผ่านไปหลายร้อยกระบวนท่าแม้จะผนึกกำลังสองคนยังหามีเปรียบเจ้าโอสถสายรุ้งได้ ดังนั้นลามะที่ใช้พลองเหล็กจึงจู่โจมใส่ท่อนล่างของเจ้าโอสถสายรุ้งด้วยความแรงและเร็วสุดบรรยาย เป็นการบีบบังคับให้เจ้าโอสถสายรุ้งเคลื่อนกายลอยสูงขึ้นสู่ด้านบน ในขณะเดียวกันลามะอีกรูปที่ใช้ไม้เท้าเหล็กหัวสุนัขป่ารอคอยจังหวะอยู่ก่อนแล้ว
เมื่อร่างของเจ้าโอสถสายรุ้งพุ่งกายขึ้นสู่เบื้องสูง ไม้เท้าเหล็กหัวสุนัขป่าจู่โจมฟาดฟันใส่บริเวณหัวไหล่ของท่านสุดกำลัง ส่วนด้านล่างพลองเหล็กเคลื่อนไหวจากล่างขึ้นบนตามติด เจ้าโอสถสายรุ้งมิลนลานมือซ้ายตะปบเข้ากับปลายไม้เท้าเหล็กหัวสุนัขป่า ในขณะที่สภาวะท่าร่างยังไม่หยุดยั้งฉุดดึงรั้งไม้เท้าหัวสุนัขป่าลอยขึ้น ร่างของเจ้าโอสถสายรุ้งตั้งฉากกับพื้นท่านอยู่ด้านบน ลามะเจ้าของไม้เท้าเหล็กหัวสุนัขป่าอยู่ด้านล่างติดพื้น
ส่งผลให้พลองเหล็กของลามะอีกรูปที่เขี่ยขึ้นมาจากพื้นดินพลาดเป้า ลามะรูปนั้นรีบรั้งดึงพลองเหล็กในมือคืนกลับ แล้วแฝงพลังลมปราณจนเต็มเปี่ยมล้นทะลัก จากนั้นพุ่งปลายพลองเหล็กตรง ๆเข้าหาตำแหน่งศีรษะของเจ้าโอสถสายรุ้ง ซึ่งบัดนี้ขาทั้งสองของท่านชี้ฟ้าศีรษะอยู่ด้านล่างมือซ้ายกดปลายไม้เท้าหัวสุนัขป่าเอาไว้โดยใช้เคล็ดวิชาถ่วงพันชั่ง เมื่อเหลือบเห็นพลองเหล็กหนักไม่ต่ำกว่าห้าหกร้อยชั่งพุ่งเข้ามาอย่างเร่งร้อน จึงเกร็งลมปราณเข้าสู่ใจกลางฝ่ามือขวาแล้วต้านรับปลายพลองเหล็กเอาไว้อย่างถนัดถนี่
ภาพที่เห็นอยู่ในขณะนี้เจ้าโอสถสายรุ้งเท้าชี้ฟ้าอยู่ด้านบน สองมือกดปลายไม้เท้าเหล็กหัวสุนัขป่ากับปลายพลองเหล็กเอาไว้ ส่วนปลายของอาวุธทั้งสองอีกด้านเป็นลามะสองรูปอยู่ด้านล่าง ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายคิดจะใช้กำลังภายในเข้าตัดสินผลแพ้ชนะกัน ลามะทั้งสองรูปผนึกลมปราณเข้าสู่ตัวไม้เท้าเหล็กหัวสุนัขป่ากับพลองเหล็กโดยพร้อมเพรียง
เจ้าโอสถสายรุ้งใช้เคล็ดวิชาถ่วงพันชั่งผสมผสานกับเคล็ดวิชาดาวดึงส์ เหนี่ยวนำอากาศธาตุรอบข้างเข้าสู่ปลายเท้าทั้งสอง จากนั้นโคจรผ่านจุดอุ้ยตงบริเวณหัวเข่าด้านหลังผ่านจุดแป๊ะไฮ้บริเวณขาพับด้านในเข้าสู่จุดซิ้งข่วยศูนย์กลางท้องน้อย จากนั้นปล่อยออกทางมือซ้ายเป็นพลังสุดร้อนสุริยันอันร้อนแรง มือขวาปล่อยออกด้วยพลังสุดเย็นเยียบจันทรา ทั้งสองมือซ้ายขวายังหล่อรวมธาตุดินน้ำลมไฟอันเป็นสุดยอดของวิชาดาวดึงส์อันร้ายกาจ
บรรยากาศรอบข้างบัดนี้คล้ายดั่งเกิดมรสุมลูกใหญ่ สองมือของเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนอัดแน่นด้วยพลังดาวดึงส์ สายตาจับจ้องมองลงมายังลามะทั้งสองรูป แล้วกดกระแทกสองมือลงมาอย่างสุดกำลัง พร้อมกับตวาดร้องออกมาคำหนึ่งว่า “หมุน”
สิ้นเสียงร้องร่างของเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนหมุนคว้างราวกงจักร ส่วนด้านล่างพื้นดินปรากฏวงกลมขึ้นมาสองวงเมื่อร่างหยุดหมุน ช่วงขาท่อนล่างของลามะทั้งสองรูปตั้งแต่บริเวณเหนือหัวเข่าลงไปถึงฝ่าเท้าจมลึกหายลงไปในรอยลึกของวงกลมของพื้นดิน เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนทิ้งร่างลงสู่พื้นห่างจากลามะทั้งสองรูปราวสามสี่ก้าว
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564