Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (ธัมมะกับอธรรม)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

ธัมมะกับอธรรม

  • 13/08/2565

ตอนที่ 38

ธัมมะกับอธรรม

เยี่ยนผิงนางจิตใจเข้มแข็งแกร่งยิ่งกว่าบุรุษ ตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดของจ่านจือ  ถึงกับปล่อยน้ำตาไหลหลั่งรินรดสองแก้มอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน นางเองบอกไม่ถูกว่าเป็นเพราะเหตุใด? ทราบแต่เพียงว่าตั้งแต่พบกับเขาครั้งแรกรู้สึกประทับใจอย่างอธิบายไม่ถูก ตลอดเวลาห้าปีกว่านางไม่เคยลืมเลือนเขาไปจากความทรงจำ ยิ่งได้ใกล้ชิดกับเขารู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก เมื่อได้ยินจ่านจือกล่าววาจาเช่นนั้นนางยิ่งรู้สึกว่านับต่อแต่นี้นางคงขาดเขามิได้ แทนที่จะลงมือฆ่าเขาเยี่ยนผิงกลับโผเข้าหาอ้อมอกของจ่านจือ พร้อมกับสะอื้นร่ำไห้มิยั้งหยุด

จ่านจือเองรู้สึกโศกเศร้าเสียใจไม่แพ้เยี่ยนผิงความรู้สึกล้วนมิแตกต่างกัน แต่ครั้นคิดว่านางเป็นคนของฝ่ายมารอธรรมเขาเองอยู่ฝ่ายธัมมะ น้ำบ่อมิอาจปะปนกับน้ำคลองดังนั้นไม่มีทางที่ทั้งสองจะไปด้วยกันได้ ถึงเช่นไรอีกไม่นานเขาและนางจะต้องห้ำหั่นกันอยู่ดี ดังนั้นจึงใช้สองมือจับไหล่นางเบา ๆ แล้วผลักออกห่าง พร้อมกับส่งเสียงบอกกล่าวต่อนางว่า

“ข้าพเจ้ากับท่านยืนอยู่คนละฝ่ายถึงแม้ท่านจะไม่ลงมือในตอนนี้ ภายหน้าหากต้องต่อสู้ห้ำหั่นกันข้าพเจ้ามีหรือจะหักใจทำร้ายท่านได้ลง คงต้องยินยอมพร้อมใจตายภายใต้น้ำมือท่านอยู่ดี  ตลอดเวลาที่ผ่านมาข้าพเจ้าเฝ้าคิดถึงท่านทั้งที่ไม่รู้ว่าท่านเป็นสตรีเสียด้วยซ้ำ”

เยี่ยนผิงยกแขนเสื้อขึ้นปาดหยาดน้ำตาสองข้างแก้มอย่างไม่อายเขา รู้ว่าจะฆ่าจ่านจือนางหากระทำได้เช่นกัน ทำร้ายเขาไม่แตกต่างกับทำร้ายตัวนางเอง แต่เขากล่าวมาทั้งหมดล้วนถูกต้อง นางกับเขายืนอยู่คนละฝ่ายภายหน้าหากจะต้องห้ำหั่นกัน นางเองมิอาจหักใจทำร้ายเขาได้ ดังนั้นจึงตัดใจกล่าวต่อจ่านจือว่า

“ท่านกล่าวถูกต้อง ข้าพเจ้ากับท่านเรายืนอยู่คนละฝั่ง ดังนั้นเราทั้งสองจงอย่าได้คบหากันเป็นอันดีที่สุด ท่านจงไปตามทางของท่านส่วนข้าพเจ้าจะไปตามทางของข้าพเจ้า จากกันตั้งแต่ตอนนี้อาจจะไม่เสียใจเท่าใดนัก ไม่แน่ว่าพบกันครั้งหน้าท่านอาจจะเปลี่ยนใจลงมือสังหารข้าพเจ้าได้โดยมิต้องอาลัยอาวรณ์ ข้าพเจ้าเองอาจจะลงมือต่อเจ้าโดยไร้ปรานีได้เช่นกัน ท่านจงรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี ลาก่อน”    

กล่าวจบเยี่ยนผิงหมุนร่างวิ่งจากไปทั้งน้ำตาเปื้อนสองข้างแก้ม จ่านจือเองกระทำสิ่งใดมิถูกได้แต่ยืนมองเงาหลังของนางลับหายจากไป เขาทรุดร่างลงนั่งกับพื้นอย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรงไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าใด จ่านจือจึงค่อยขยับตัวรู้สึกว่าตอนนี้ใกล้มืดค่ำแล้ว จึงตัดสินใจว่าจะเดินทางไปโรงเตี้ยมเจ็ดดาว เพื่อไปหามู่เหอกับไป่ชิงบอกกล่าวเรื่องราวอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นให้ทั้งสองระมัดระวังตัว

ขณะที่เดินทางพอดีนึกถึงคำพูดของอัปลักษณ์ด้ายแดงเซียวเหยาเซิงขึ้นมา ที่นางกล่าวว่าให้นำฝ่ามือนี้ของท่านไปช่วยเหลือผู้อื่นนางหมายความว่าเช่นไร จึงฉุกคิดขึ้นต่อคำพูดของอาวุโสท่านนั้น รีบยกฝ่ามือขึ้นลูบคลำบริเวณที่ถูกฝ่ามือของอาวุโสท่านนั้นตบใส่บริเวณหน้าอกของเขา เมื่อลูบคลำผ่านไปในตอนแรกไม่พบสิ่งผิดปกติอันใด แต่พอลูบคลำย้อนกลับมาอีกเที่ยวกลับพบว่ามีบางสิ่งบางอย่างอยู่ในอกเสื้อของเขา

จ่านจือมิรอช้ารีบล้วงเข้าไปในอกเสื้อของตัวเองทันที เมื่อล้วงเข้าไปกลับพบวัตถุบางอย่างอยู่ในอกเสื้อจึงรีบดึงออกมาที่แท้เป็นกระดาษแผ่นหนึ่ง ด้วยความสงสัยเขารีบคลี่กางออกดูด้านใน เห็นเป็นอักษรเขียนด้วยหมึกสีแดงมีใจความว่า

“เรียนท่านหลิวซุ่นกงกง แผนการทั้งหมดที่ท่านให้อาตมากระทำทุกสิ่งล้วนเป็นไปตามแผนทุกประการ ในวันชุมนุมชาวยุทธ์อาตมาจะคอยช่วยเหลือพวกท่านอย่างลับ ๆ ต้าทงไต้ซือหาได้สงสัยในตัวอาตมาว่าเป็นหนอนบ่อนไส้ให้แก่ท่าน หากมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงอาตมาจะรีบแจ้งให้ทราบ” ลงชื่อถู่ฝู            

จ่านจือรีบพับเก็บจดหมายไว้ในอกเสื้อเช่นเดิม พร้อมกับเร่งฝีเท้ามุ่งตรงสู่โรงเตี้ยมเจ็ดดาวในทันใด นอกจากเรื่องที่จะเตือนคนทั้งสองให้ระมัดระวังตัวแล้ว อีกเรื่องหนึ่งเขาต้องการนำใจความในจดหมายไปปรึกษากับสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นด้วย

จ่านจือหลังจากใช้เวลาเดินทางเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม จึงบรรลุถึงหน้าโรงเตี้ยมที่หนึ่งเมื่อแหงนมองขึ้นไปเหนือศีรษะบนป้ายชื่อสลักอักษรคำว่าโรงเตี้ยมเจ็ดดาว เขามิรอช้ารีบก้าวเท้าเข้าไปภายในโรงเตี้ยมพร้อมกับสอบถามเถ้าแก่โรงเตี้ยมถึงเฮียม่วยแซ่เฟิ่นทั้งสอง เถ้าแก่โรงเตี้ยมรีบแจ้งต่อเขาว่า

“คุณชายท่านหมายถึงเฮียม่วยคู่หนึ่งใช่หรือไม่?”

“ถูกแล้วเถ้าแก่ข้าพเจ้าเป็นสหายของเฮียม่วยทั้งสอง ได้ยินว่าพวกเขาเข้าจองห้องพักที่โรงเตี้ยมของท่านจึงได้เดินทางมาสมทบ ไม่ทราบว่าพวกเขาพักอยู่ห้องไหน? โปรดแจ้งต่อข้าพเจ้าจะได้หรือไม่?”

“เช่นนั้นเชิญคุณชายนั่งรอตรงนี้สักครู่ ข้าพเจ้าจะให้เด็กไปตามแขกทั้งสองมาพบกับคุณชาย”

กล่าวจบเถ้าแก่ผู้นั้นเดินหายเข้าไปหลังร้าน ปล่อยให้จ่านจือนั่งรออยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งผ่านไปราวชั่วหม้อข้าวเดือด สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นก้าวลงมาจากชั้นสองของโรงเตี้ยม คนทั้งสองแสดงอาการดีใจเมื่อเห็นเขานั่งรอคอยอยู่ ไป่ชิงรีบส่งเสียงร้องเรียกจ่านจือแต่ไกลว่า

“จ่านจือเป็นท่านจริง ๆ แต่เอ๊ะ บุคลิกภาพของท่านช่างคล้ายคุณชายสูงศักดิ์ผู้หนึ่งยิ่งนัก นึกไม่ถึงพอท่านแต่งกายด้วยชุดใหม่ทำเอาข้าพเจ้าไป่ชิงแทบจดจำท่านมิได้ในตอนแรก”       

เมื่อมู่เหอกับไป่ชิงนั่งลงฝั่งตรงข้ามของโต๊ะเรียบร้อยแล้ว จ่านจือกล่าววาจาตอบต่อไปชิงไปว่า

“โกวเนี้ยท่านนี้กล่าวชมข้าพเจ้าเกินความจริงไปแล้ว ข้าพเจ้าจ่านจือมิกล้าทำตัวเป็นกงจื้อสูงศักดิ์อย่างที่ท่านกล่าวเรียกแม้แต่น้อย ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองสบายดีหรือไม่? ข้าพเจ้าเมื่อทราบว่าท่านทั้งสองพักอยู่ที่นี่ จึงรีบเดินทางมาพบอีกทั้งยังมีเรื่องราวที่จะต้องปรึกษาหารือเร่งด่วนกับท่านทั้งสองอีกด้วย”

“ข้ากับไป่ชิงเราทั้งสองสุขสบายดี หลังจากแยกกันตอนนั้นเราสองคนหลังจากทำธุระเสร็จสิ้นก็เดินทางท่องเที่ยวพอดีเป็นเทศกาลสารทง่วนเซียว จึงได้จองห้องพักในโรงเตี้ยมแห่งนี้เอาไว้ พรุ่งนี้เช้าเราทั้งสองจะคืนห้องพักแล้วดีใจยิ่งนักที่เจ้าเดินทางมาทันเวลาพอดี ค่ำคืนนี้เราทั้งสามน่าจะได้เดินชมโคมไฟในเมืองหลวงด้วยกัน อีกทั้งพูดคุยธุระของเจ้าไปด้วย จ่านจือเจ้าว่าดีหรือไม่?”

ยังมิทันที่จ่านจือจะกล่าวตอบคำถามของมู่เหอออกไป ไป่ชิงรีบส่งเสียงกล่าววาจาตอบแทนเขาขึ้นก่อนว่า

“พี่ชายไป่ชิงเห็นด้วยกับท่าน จ่านจือเองคงไม่ขัดข้องเช่นกัน เราทั้งสามจะได้ท่องเที่ยวชมโคมไฟให้เบิกบานใจ ข้าพเจ้าทราบว่าจ่านจือเองยังมิเคยท่องเที่ยวชมโคมไฟอันสวยงามมาก่อน ถือโอกาสนี้พาจ่านจือท่องเที่ยวเมืองหลวงก่อนที่เราทั้งสามจะได้เดินทางไปวัดเส้าหลินด้วยกัน”

มู่เหอจึงหันไปกล่าวถามต่อจ่านจือว่า

“เช่นนั้นเจ้าไม่อาจปฏิเสธเอาเป็นว่าตกลงตามที่ไป่ชิงกล่าวมาก็แล้วกัน เห็นแต่เพียงเจ้าลำพังมิทราบว่าแม่นางซื่อเหมี่ยนกับแม่นางอี้เซินไฉนไม่เดินทางมาพร้อมกับเจ้าด้วย”

จ่านจือตอบคำถามของเฟิ่นมู่เหอพร้อมกับเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น หลังจากแยกกับทั้งสองเดินทางไปหมู่บ้านเย้ยอรุณ พอเขาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้แก่ทั้งสองรับฟังจบ ทั้งสองเฮียม่วยแสดงความเป็นห่วงพี่สาวทั้งสองของเขา จากนั้นไป่ชิงจึงกล่าววาจากับจ่านจือว่า

“ข้าพเจ้าคิดว่านางทั้งสองคงเอาตัวรอดได้ ฟังจากที่ท่านเล่ามาทั้งหมดแสดงว่าเวลานี้นางทั้งสองคงทราบข่าวเรื่องอาจารย์ของพวกนางถูกทำร้ายแล้ว และคงเดินทางไปยังพรรคไผ่หลิวเพื่อดูอาการของอาจารย์และอาวุโสอีกสองท่านแล้ว”

จ่านจือกับมู่เหอเห็นด้วยกับคำพูดของไป่ชิง แล้วคนทั้งสองบอกกล่าวต่อจ่านจือให้ขึ้นห้องไปอาบน้ำชำระร่างกายเพื่อให้สดชื่น หลังจากทราบว่าเขาเดินทางมาทั้งวัน จากนั้นอีกไม่นานนักคนทั้งสามจึงพากันเดินออกจากโรงเตี๊ยมเจ็ดดาว เพื่อท่องเที่ยวชมดูโคมไฟภายในเมืองหลวงซึ่งเป็นเทศกาลสารทง่วนเซียวนั่นเอง

คนทั้งสามเดินพลางสนทนากันพลางเกี่ยวกับเรื่องราวที่จ่านจือประสบพบมา สาระสำคัญยังคงเป็นเนื้อความในจดหมายที่เขาได้มาจากอัปลักษณ์อาภรณ์แดงเซียวเหยาเซิงนั่นเอง พร้อมกับชมโคมไฟหลากหลายสีสันที่ประดับประดาอย่างสวยสดงดงาม สองฟากข้างถนนสว่างไสวบนท้องถนนในค่ำคืนนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คนเดินสวนกันไปมาดูขวักไขว่ บางคู่เป็นหนุ่มสาวเดินคลอเคลียหยอกล้อต่อกระซิกกัน บางคู่วิ่งไล่จับกันดูสนุกสนานอย่างที่สุด เห็นแล้วหนุ่มสาวเหล่านั้นช่างเต็มไปด้วยความสุข ไม่บ่อยนักที่หนุ่มสาวเหล่านั้นจะได้มีโอกาสออกมาเดินท่องเที่ยวในยามค่ำคืน

จ่านจือเองอดตื้นเต้นยินดีมิได้ ด้านหนึ่งกลับระลึกนึกถึงเยี่ยนผิงขึ้นมามิได้ หากค่ำคืนนี้มีนางเดินท่องเที่ยวชมโคมไฟด้วยคงจะดีไม่น้อย เมื่อเหลือบสายตามองไปทางไป่ชิงเห็นนางกระโดดโลดเต้นอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน มู่เหอเองสีหน้าประดับประดาเต็มไปด้วยความสุขสนุกสนานกับบรรยากาศในค่ำคืนนี้เช่นเดียวกับน้องสาวของเขา สักพักหนึ่งได้ยินไป่ชิงส่งเสียงกล่าวถามจ่านจือมาว่า

“จ่านจือท่านชื่นชอบโคมไฟเหล่านี้หรือไม่ บรรยากาศในค่ำคืนนี้ช่างสวยงามตระการตายิ่งนัก หลังจากงานชุมนุมที่เส้าหลินจบลงยังไม่ทราบว่าจะได้มีโอกาสมาท่องเที่ยวอีกหรือไม่?”

“ชอบสิ ข้าพเจ้าชื่นชอบบรรยากาศในค่ำคืนนี้คล้าย ๆ กับท่าน เพียงแต่เสียดายที่ค่ำคืนนี้มิมี...”

จ่านจือเอ่ยวาจาเพียงแค่นั้นแล้วหยุดคำพูดไว้ไม่เอ่ยวาจาสืบต่อ ไป่ชิงได้ยินเช่นนั้นจึงคาดเดาเอาเองว่าเขาอาจหมายถึงป้าหนิวมารดาบุญธรรมที่เสียชีวิตไป หากค่ำคืนนี้มีป้าหนิวอยู่ด้วยเขาคงจะมีความสุขยิ่งกว่านี้อีกหลายเท่านัก เนื่องด้วยเขารักป้าหนิวมากที่สุดทั้งมู่เหอและไป่ชิงทั้งสองย่อมทราบดีกว่าผู้ใด ดังนั้นไป่ชิงจึงมิกล้าเอ่ยถามจ่านจือว่าเขากำลังกล่าวถึงป้าหนิวใช่หรือไม่ เกรงว่าจะเป็นการเพิ่มความคิดถึงป้าหนิวให้แก่เขามากขึ้น แต่แท้จริงแล้วนางคาดเดาไปเองคนที่จ่านจือคิดถึงกลับเป็นเยี่ยนผิงต่างหากเล่า

เมื่อทั้งสามเดินมาเป็นระยะทางราวห้าลี้ข้างหน้าเป็นสะพานข้ามคลองที่หนึ่ง สองฟากข้างทางเดินเป็นต้นไม้ร่มรื่น ท่ามกลางแสงสว่างของดวงจันทร์กลมโตซึ่งลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้าผนวกกับแสงสว่างของโคมไฟทำให้มองเห็นเป็นเงาทอดยาวทะมึนทาบทับกับพื้นถนน

เมื่อเดินข้ามสะพานมาทันใดนั้นเสียงวัตถุหนึ่งเสียดสีกับอากาศพุ่งเข้าหาจ่านจือด้วยอัตราความเร็วถึงที่สุด จ่านจือมีปฏิกิริยารวดเร็วรีบยื่นมือขวาออกคีบจับวัตถุนั้นไว้ พร้อมกับมองเห็นเงาร่างสายหนึ่งเคลื่อนไหววูบวาบหายเข้าไปกับซอกตึกหลังหนึ่งเขามิรอช้ารีบกล่าวกับสองเฮียม่วยว่า

“ข้าพเจ้าติดตามไปเองท่านทั้งสองมิต้องเป็นห่วง แล้วเจอกันที่โรงเตี้ยมเจ็ดดาวหากว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง ข้าพเจ้าจะรีบส่งข่าวกลับไปหาท่านทั้งสอง”        

จ่านจือไม่รีรอชักช้าไม่รอคอยฟังคำตอบจากสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น สะกิดเท้าพุ่งร่างติดตามเงาร่างนั้นไปอย่างรวดเร็ว พอเขาจากไปได้ไม่นานนักเงาร่างอีกสองสายพลันปรากฏกายขึ้น คนทั้งคู่เมื่อทิ้งตัวลงคนหนึ่งอยู่ด้านหน้าอีกผู้หนึ่งอยู่ทางด้านหลังของมู่เหอกับไป่ชิง คนทั้งคู่สวมชุดดำอำพรางพร้อมทั้งปิดบังใบหน้าเห็นเพียงดวงตาภายใต้ผ้าปิดหน้าสีดำ สายตาของคนทั้งคู่มิได้แสดงความเป็นมิตรแต่อย่างใด มู่เหอเห็นเช่นนั้นส่งเสียงกล่าวถามออกไปว่า

“พวกท่านเป็นใครกัน ไฉนจึงมาขวางทางเราทั้งสอง พวกท่านมีจุดประสงค์อันใด หรือต้องการสิ่งใดโปรดบอกกล่าวออกมาให้ชัดแจ้ง”

คนชุดดำทั้งสองแสดงท่าทีมุ่งร้าย คนที่ยืนอยู่ทางด้านหน้าส่งเสียงขึ้นว่า

“ท่านทั้งสองสินะ คือเฟิ่นมู่เหอกับเฟิ่นไป่ชิง ข้าพเจ้าไม่ต้องการทราบว่าท่านทั้งสองมาจากสารทิศใด? เพราะว่ามันไม่มีประโยชน์อันใดอีกต่อไป เพราะค่ำคืนนี้หลังจากได้สิ่งของที่เราทั้งสองต้องการแล้ว ข้าพเจ้าทั้งสองจะส่งพวกท่านไปปรโลกโดยทันที”

ผู้กล่าววาจาน้ำเสียงเป็นสตรีฟังจากน้ำเสียงน่าจะมีอายุราวสี่ห้าสิบปี เมื่อสตรีชุดดำที่อยู่ด้านหน้ากล่าวจบชุดดำที่อยู่ด้านหลังส่งเสียงหัวร่อดังยาวนาน พร้อมกับกล่าวขึ้นบ้างว่า

“ทางที่ประเสริฐรีบมอบสิ่งของออกมา แล้วข้าพเจ้าจะรับปากต่อท่านทั้งสอง ว่าจะลงมือต่อท่านสองคนโดยรวบรัดให้ตายอย่างสุขสบายมิต้องทุกข์ทรมานเลยแม้แต่น้อย ท่านทั้งสองเห็นว่าเป็นเช่นไร จะมอบสิ่งของออกมาดี ๆ หรือจะให้ค้นหาเอาจากซากศพของพวกท่านหลังจากหมดลมหายใจแล้ว”

ไป่ชิงได้ยินดังนั้นกล่าววาจาโต้ตอบกลับไปทันทีว่า

“ท่านทั้งสองกล่าววาจาเพ้อเจ้อกระไร ข้าพเจ้ากับพี่ชายมิมีสิ่งของที่พวกท่านต้องการ และที่สำคัญเราทั้งสองมิเคยขโมยสิ่งของ ของผู้ใดมาเป็นของพวกเรา ดังนั้นเราทั้งสองพี่น้องจึงมิมีสิ่งของที่สมควรจะเปลี่ยนมือไปเป็นของพวกท่าน”

เมื่อไป่ชิงกล่าวจบ สตรีชุดดำที่อยู่ทางด้านหน้าของทั้งสองหัวร่อกึกก้องแล้วตวาดกลับมาว่า

สิ่งของที่เราทั้งสองต้องการอยู่กับท่านมิผิดดอก ยาเม็ดเก้าพิษกร่อนวิญญาณเราสืบทราบมาอย่างแน่ชัดในขวดยาบรรจุตัวยาทั้งหมดหกเม็ด เป็นเม็ดยาสีแดงสามเม็ดสีดำสามเม็ด ดังนั้นจงรีบส่งมอบออกมาอย่าให้ขาดแม้แต่เม็ดเดียว มิฉะนั้นวิญญาณหลุดลอยจากร่างแล้วท่านรู้สึกสำนึกเสียใจคงสายเกินไปแล้ว

ไป่ชิงกับมู่เหอทราบแน่แก่ใจว่าถึงแม้ตนส่งมอบยาเม็ดเก้าพิษกร่อนวิญญาณออกไป คนลึกลับทั้งสองคงไม่ละเว้นชีวิตตนทั้งสองอย่างแน่นอน หนทางเดียวที่จะกระทำได้คือเสี่ยงชีวิตฝ่าวงล้อมหลบหนีไปเท่านั้น คิดแล้วสองเฮียม่วยสบตากันวูบหนึ่งเข้าใจตรงกันแล้วตัดสินใจเลือกสตรีด้านหน้าฝ่าออกมาพร้อมกัน       

มู่เหอใช้ออกด้วยท่ามรสุมทะยานคลื่นในวิชาวายุกรีดนภา มือขวาใช้ออกด้วยฝ่ามือด้านซ้ายใช้ออกด้วยหมัด หนึ่งหมัดหนึ่งฝ่ามือประสานเสริมส่งบรรยากาศรอบข้างคล้ายเมฆหมอกก่อร่างสร้างตัวอัดแน่นเข้าหาสตรีชุดดำอย่างบ้าคลั่ง ด้านไป่ชิงนางรีบสะอึกตามติดเท้าขวาใช้ออกด้วยท่าสายลมเปลี่ยนทิศในวิชาวายุกรีดนภา จู่โจมท่อนล่างของสตรีชุดดำช่วยมู่เหอพี่ชายอีกแรงหนึ่ง

สตรีชุดดำเมื่อเห็นสองเฮียม่วยชิงจู่โจมโดยหักโหม มิหนำซ้ำมรสุมที่ก่อตัวขึ้นปกคลุมกินเนื้อที่ไปหลายวา ปราณพลังไร้สภาพคล้ายสายลมบ้าคลั่ง ดังนั้นจึงมิกล้าดูแคลนสะกิดเท้าลอยตัวขึ้นแล้วพุ่งถอยหลังไปสองก้าว ขณะที่ร่างยังลอยอยู่กลางอากาศ สองมือวาดเป็นวงควงจากซ้ายป้ายมาด้านขวา ใช้ออกด้วยวิชาฝ่ามืออัคนีนามว่าอัคคีโหมกระหน่ำทุ่ง

ทางด้านคนชุดดำอีกผู้หนึ่ง ซึ่งฟังจากน้ำเสียงเป็นบุรุษยังคงยืนคุมเชิงโดยมิได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนกายแต่อย่างใด สตรีชุดดำเมื่อฝ่ามือใช้ออกพุ่งร่างเข้าหาสองเฮียม่วยทันที  เสียงฝ่ามือของสตรีชุดดำปะทะหักล้างกับหมัดและฝ่ามือของมู่เหอดังสนั่นครั่นครืน ส่วนฝ่าเท้าของนางวาดเข้าขัดขวางท่าเตะของไป่ชิง ทั้งฝ่ามือและเท้าใช้ออกโดยพร้อมเพรียงในเวลาเดียวกัน ปราณพลังที่บรรจุมากับฝ่ามือและเท้าคล้ายดั่งเปลวไฟที่ร้อนลวก ทั้งมู่เหอและไปชิงรีบรั้งฝ่ามือและเท้ากลับอย่างร้อนรน     

สองเฮียม่วยคล้ายกับคุ้นเคยวิชาท่าร่างที่คนชุดดำใช้ออก แต่ทว่ายังนึกไม่ออกว่าเคยเห็นมาจากที่ใด ทั้งสองไม่มีเวลาคิดให้มากความรีบเปลี่ยนกระบวนท่า ทั้งสองโน้มตัวไปด้านหน้ามือซ้ายกระแทกไปที่ฝักกระบี่ซึ่งสะพายไว้กลางหลัง ส่งผลให้กระบี่สีเงินวาบวับทอประกายเย็นเยียบพุ่งออกจากฝักกระทบเข้ากับแสงจันทราเป็นประกายสองสายวูบวาบ สองเฮียม่วยกระโดดร่างลอยขึ้นมือขวาคว้าจับด้ามกระบี่เอาไว้ด้วยท่าร่างอันสวยงามยิ่ง

เมื่อคว้ารับกระบี่แล้วหมุนร่างกลางอากาศควงเป็นวง เห็นเป็นคลื่นวงแหวนสองวงจู่โจมเข้าหาสตรีชุดดำ สตรีชุดดำกู่ร้องดังกังวานพร้อมกับสะบัดแขนเสื้อทั้งสอง ใช้ออกด้วยท่าซุกเปลวไฟในแขนเสื้อก่อเกิดเป็นพลังลมปราณคล้ายลูกไฟสองลูก พุ่งเข้าต้านรับสองกระบี่เสียงดังปงปง คลื่นพลังอัคคีจากแขนเสื้อของสตรีชุดดำยังมิสิ้นสุดยังคงกดคุกคามสองเฮียม่วยโดยที่ไม่มีช่องทางที่จะหลบหนีไปได้เลย

มู่เหอกับไปชิงเห็นเช่นนั้นกลั้นใจตีลังกากลับหลัง แล้วเปลี่ยนเป้าหมายพุ่งเข้าใส่ชายชุดดำทางด้านหลังแทนโดยอาศัยจังหวะที่คนชุดดำยังคงมิทันได้ตั้งตัว  ยังมิทันที่กระบี่ทั้งสองเล่มจะบรรลุถึงชายชุดดำกระแทกสองฝ่ามือออกมา ก่อเกิดเป็นพลังไร้รูปคล้ายดั่งยกภูผาทั้งลูกทุ่มใส่คนทั้งสอง เสียงทึบดังหนักหน่วงร่างของสองเฮียม่วยกระเด็นกลับมาทางสตรีชุดดำโดยมิอาจบังคับท่าร่างได้

สตรีชุดดำโถมร่างเข้ามาระหว่างสองเฮียม่วยพร้อมกับสองฝ่ามือกระแทกเข้าบริเวณหน้าอกของทั้งสองโดยแยบยล ส่งผลให้มู่เหอกับไป่ชิงร่างลอยกระเด็นไปอีกราวสามสี่วาแล้วกระแทกลงกับพื้น พร้อมกับทั้งสองเฮียม่วยกระอักโลหิตสีแดงสดออกมาคำไม่ใหญ่โตมากนัก

ส่วนสตรีชุดดำทิ้งร่างลงใกล้ ๆ กับชายชุดดำ จากแสงจันทราสาดส่องเห็นในมือเพิ่มขวดเคลือบสีขาวใบหนึ่ง ไป่ชิงรีบใช้มือตบดูบริเวณอกเสื้อของนางปรากฏว่าขวดยาซึ่งเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนมอบให้มานั้นบัดนี้ได้อันตรธานหายไปแล้ว แน่นอนขวดเคลือบใบนั้นบัดนี้อยู่ในมือของสตรีชุดดำนั่นเอง เมื่อทิ้งร่างลงพื้นแล้วสตรีชุดดำระเบิดเสียงหัวร่อพร้อมกับกล่าววาจาออกมาว่า

“ฮาฮาในที่สุดยาเม็ดเก้าพิษก่อนวิญญาณตกเป็นของข้าพเจ้ากับท่านจนได้ ยังขาดเพียงดีงูมรกตเก้าหัวอีกสิ่งหนึ่งข้าพเจ้ากับท่านจะสำเร็จเป็นยอดคน ในใต้หล้าหามีผู้ใดที่สามารถมาต่อกรกับเราทั้งสองได้อีกต่อไป ฮาฮา”

“ของที่เราต้องการได้มาเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นเด็กน้อยไร้ประโยชน์สองคนนี้ข้าพเจ้ากับท่านรีบจัดการปลิดชีพมันแต่โดยไว หากปล่อยมันไปเรื่องราวในค่ำคืนนี้อาจก่อเหตุเภทภัยมาสู่ข้าพเจ้ากับท่านได้ในภายหลัง ท่านจัดการกับดรุณีน้อยนางนั้นส่วนข้าพเจ้าจะจัดการกับบุรุษผู้พี่นี้เอง”

“ตกลง เช่นนั้นอย่ามัวชักช้ารีบลงมือเถิด”

กล่าวจบคนชุดดำทั้งสอง ก้าวเข้าหามู่เหอกับไป่ชิง สองเฮียม่วยแม้จะได้รับบาดเจ็บแต่ทั้งสองยังรวบรวมพละกำลังกระชับกระบี่มั่น ชี้ปลายกระบี่ทั้งสองเข้าหาสองคนชุดดำอย่างไม่กริ่งเกรง ส่วนมือซ้ายของไป่ชิงล้วงเข็มโปรยบุปผาร่วงตระเตรียมพร้อม

คนชุดดำทั้งสองหัวร่อแล้วส่งเสียงกู่ร้องดังยาวนานอีกครั้ง พร้อมพุ่งร่างเข้าหาสองเฮียม่วยอย่างเร่งร้อนหวาดเสียว ทำเอาบรรยากาศรอบข้างถูกมรสุมลมปราณของทั้งสองปกคลุมแน่นหนาจนไม่หลงเหลือช่องทางให้หลบหนี ปราณพลังไร้สภาพกดคุกคามเข้าหาสองเฮียม่วยจนแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะถือกระบี่ยังมิอาจจะกระทำได้ กระบี่ทั้งสองเล่มพลันร่วงหล่นหลุดจากมือลงสู่พื้น แม้ในมือไป่ชิงกำเข็มโปรยบุพผาร่วงอยู่หลายเล่ม ยังมิสามารถใช้ออกได้ดั่งใจปรารถนา

มู่เหอเองตอนนี้คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างคงจบสิ้นแล้ว มิเพียงแต่ตนเองที่ต้องสังเวยชีวิตให้แก่คนทั้งสอง แม้แต่ไป่ชิงน้องสาวของตนเองต้องมารับเคราะห์กรรมในครั้งนี้ด้วย นึกถึงคำกล่าวในประโยคที่ว่า “คนมิผิด ผิดที่พกหยกติดตัว” ขึ้นมาหากคราครั้งนี้เขากับน้องสาวไม่มียาเก้าพิษกร่อนวิญญาณติดตัว คงไม่ต้องมาพบกับชะตากรรมโหดเหี้ยมเช่นนี้

แต่ก่อนที่ฝ่ามือของคนชุดดำทั้งสองจะบรรลุถึงห่างราวห้าฝ่ามือ เงาร่างสีเหลืองสองสายพลันปรากฏกายขึ้น พร้อมกับพุงร่างเข้าต้านรับสองฝ่ามือของคนชุดดำสองคนเอาไว้ เสียงดังทึบทึบเมื่อฝ่ามือสองฝ่ายปะทะกันร่างของคนชุดดำทั้งสองเมื่อปะทะฝ่ามือ ร่างลอยกลับมาด้านหลัง อาศัยช่วงจังหวะนั้นหยิบยืมท่าร่างทะยานหายไปกับเงามืดของพุ่มไม้ข้างทางอย่างไร้ร่องรอย

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป