Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (อัปลักษณ์อาภรณ์แดง)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

อัปลักษณ์อาภรณ์แดง

  • 13/08/2565

ตอนที่ 37

อัปลักษณ์อาภรณ์แดง

สตรีอัปลักษณ์ผู้นั้นนางนั่งอยู่บนหลังคาตึกอย่างเบิกบานใจ หาได้นำพากับผู้คนที่เดินขวักไขว่อยู่ไปมา เมื่อแลเห็นสามคนเดินเข้ามาห่างราวห้าหกวา จึงเปล่งเสียงหัวร่อแหลมเล็กจนแสบแก้วหูขึ้นอีกครั้งแล้วร่ำร้องดังกังวานว่า

“ฮาฮา ลามะเฒ่าโสโครกกับลูกสุนัขสองตัว พวกท่านกำลังติดตามหามารดาอยู่กระมัง ทราบหรือไม่? มารดามารอพวกท่านอยู่เป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว คิดว่าพวกท่านจะไม่ติดตามมาเสียอีก เมื่ออยากได้สิ่งของคืนขอเชิญมาแย่งชิงเอาไป”

ที่แท้ลามะผู้นั้นคือต๊กม้อเต็กแห่งทิเบต ส่วนอีกสองคนเป็นเล่อต้าเต๋อกับเสิ่นซื่อสูอวี้สามยอดฝีมือแห่งหมู่ตึกกระเรียนฟ้านั่นเอง คนทั้งสามเมื่อเห็นสตรีชุดแดงหน้าตาอัปลักษณ์นั่งอยู่บนหลังคาตึก ทั้งหมดรีบหยุดเท้าลงพร้อมกับต๊กม้อเต็กลามะส่งเสียงตวาดดังลั่นว่า

“ท่านเป็นผู้ใดกัน บังอาจกล้าดีเช่นไร? ถึงกล้ามาตอแยต่อฮุดเอี้ย(คำยกย่องตัวเองของลามะ) หรือว่าท่านเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่สืบไป ทางที่ดีส่งมอบสิ่งของกลับคืนมาให้แก่เรา แล้วอาตมาจะยอมปลดปล่อยชีวิตท่านไปโดยไม่ติดใจ”

“ข้าพเจ้าจะเป็นใครไม่จำเป็นที่พวกเจ้าทั้งสามจะต้องทราบ สิ่งของอะไรกัน สิ่งของพวกท่านย่อมต้องอยู่กับพวกท่าน สิ่งของข้าพเจ้าย่อมต้องอยู่กับข้าพเจ้า เจ้าหลวงจีนจมูกโคผายลมเพ้อเจ้อกระไร ถ้าสิ่งที่พวกท่านกล่าวถึงเป็นของพวกท่านจริง ๆ หากมีปัญญาความสามารถขอเชิญมาค้นหาเอา มิเช่นนั้นจงหุบปากสุนัขแล้วรีบไสหัวไปให้พ้นหน้ามารดาเสียโดยไว”          

สตรีอัปลักษณ์ในอาภรณ์สีแดงสดซึ่งนั่งอยู่บนหลังคาตึก สวนคำกลับมาโดยมิได้เกรงกลัวต่อคำขู่ของลามะทิเบตรูปนั้น เมื่อกล่าวจบลามะรูปนั้นแสดงอาการเกรี้ยวกราดมาดร้ายด้วยความโกรธขึ้งถึงที่สุด บนใบหน้าตลอดถึงศีรษะบัดเดี๋ยวขาวบัดเดี๋ยวแดงจนคล้ำเขียวสองคนที่ติดตามเฉกเช่นเดียวกัน ต่างแสดงอาการโกรธแค้นออกมาอย่างเห็นได้ชัดเจน

“หากเป็นเช่นนั้นแสดงว่าท่านอยากตายต้องการให้อาตมาลงมือต่อท่านกระมัง? แล้วอย่าได้กล่าวโทษอาตมาว่ารังแกสตรีหน้าตาอัปลักษณ์เยี่ยงท่านในภายหลัง ในเมื่อบอกกล่าวแต่โดยดีท่านกลับดื้อรั้นมิยอมเชื่อฟังปฏิบัติ จงเตรียมรับมือกับห่วงคู่ประทับฟ้าของอาตมาดูว่ามีรสชาติเป็นเช่นไร”

กล่าวจบต๊กม้อเต็กลามะดึงห่วงทองเหลืองออกมาจากลำคอ พร้อมกับบรรจุพลังลมปราณเข้าไปจนเต็มเปี่ยมห่วงทองเหลืองสองวง จากนั้นซัดขว้างออกด้วยกระบวนท่าห่วงคู่ประทับฟ้าเข้าหาสตรีอัปลักษณ์ในอาภรณ์แดงซึ่งนั่งอยู่บนหลังคาตึกอย่างเร่งร้อนหวาดเสียวแก่ผู้พบเห็น พอห่วงคู่ทะยานออกพ้นมือก่อเกิดเป็นปราณมรสุมสองวง ม้วนฝ่าอากาศจนบังเกิดเป็นเสียงดั่งอสุนีบาตฟาดทลายเสียงดั่งสนั่นหวั่นไหว

สตรีอัปลักษณ์ผู้ที่นั่งอยู่บนหลังคาตึกส่งเสียงหัวร่อดังเจื้อยแจ้วแสบแก้วหูพร้อมกับหงายร่างไปด้านหลังโดยที่มิได้ขยับร่างท่อนล่างแต่ประการใด ส่งผลให้กระบวนท่าห่วงคู่ประทับฟ้าของต๊กม้อเต็กลามะพุ่งเฉียดลำตัวด้านหน้าไปอย่างหวาดเสียว เมื่อสตรีอัปลักษณ์ผู้นั้นพลิกร่างกลับมาห่วงคู่ประทับฟ้าพลันวกกลับมาด้วยระดับความเร็วสุดบรรยาย นางรีบสะกิดเท้าดีดกายลอยขึ้นโดยที่ยังนั่งอยู่กับพื้นหลังคาตึกด้วยท่าร่างปลอดโปร่งใจเย็น

ส่งผลให้ห่วงคู่ประทับฟ้าของลามะทิเบตพุ่งเข้าปะทะกับพื้นกระเบื้องจนเกิดเสียงสนั่นพร้อมกับเศษกระเบื้องปลิวว่อนกระจัดกระจายรอบทิศทาง เมื่อฝุ่นควันของเศษกระเบื้องเจือจางเบาบางลงร่างในชุดยาวสีแดงสดหมุนติ้วราวจักรผันจากนั้นสองเท้าเขี่ยวูบเข้าหาเศษชิ้นกระเบื้องที่อยู่ใกล้เท้า เป้าหมายคือร่างของลามะพระทิเบตซึ่งพึ่งใช้สองมือคว้ารับห่วงคู่ประทับฟ้ากลับคืนมานั่นเอง

เศษกระเบื้องนับสิบชิ้นเปลี่ยนรูปร่างดั่งกระบี่แหลมคมพุ่งลงมาจากหลังคาตึกดุจดาวตกลงมาจากฟากฟ้า ต๊กม้อเต็กลามะหมุนร่างซ้ายขวาใช้สองห่วงทองเหลืองเข้าปะทะหักล้างกับเศษกระเบื้องเสียงดังติง ๆตัง ๆ ดังไม่ขาดหู พร้อมกับสตรีชุดแดงส่งเสียงหัวร่อแหลมเล็กร่างกรีดกรายร่ายรำดั่งนางแอ่นเหินลมโถมร่างถลาลงมาจากหลังคาตึก นิ้วมือทั้งสองข้างกรีดกรายคล้ายร่ายรำกระบวนท่าร่างลอยห่างจากลามะรูปนั้นราวห้าหกวา

จ่านจือสายตาปราดเปรียวรวดเร็วยิ่งมองคราวเดียวเห็นว่าในซอกนิ้วมือที่กรีดกรายของหญิงอัปลักษณ์ชุดแดงหนีบเข็มเล่มเล็ก ๆอยู่จำนวนหลายเล่ม นับว่าสายตาของเขาพัฒนาก้าวหน้าขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งแล้วแม้จะอยู่ห่างไกลกลับสามารถมองเห็นเข็มเล่มเล็ก ๆ ได้ชัดเจน แม้แต่เยี่ยนผิงนางยังดูไม่ออกว่าในซอกนิ้วมือของสตรีชุดแดงหนีบเข็มอยู่หลายเล่ม เมื่อร่างลอยอยู่ห่างราวสี่ห้าวา จากนั้นเสียงติงติงดังสดใสพร้อม ๆ กับจุดแต้มระยิบระยับพร่าพรายสายตา เข็มห้าหกเล่มที่สอดร้อยเส้นด้ายสีแดงพุ่งแหวกฝ่าอากาศเข้าหาลามะยอดฝีมือของหมู่ตึกกระเรียนฟ้าโดยพร้อมเพรียงเร่งร้อน พร้อมกับเสียงตวาดแหลมเล็กของสตรีอัปลักษณ์ชุดแดงดังกังวานสดใสว่า

“วันนี้มารดาของพวกท่านอยู่ว่าง ๆ ไร้เรื่องราว จึงขอปะชุนชุดลามะโสโครกให้กับท่านโดยมิรับสิ่งตอบแทนก็แล้วกัน”

เข็มห้าหกเล่มพุ่งเข้าหาลามะรูปนั้นห่างเพียงไม่กี่ฝ่ามือ ต๊กม้อเต็กเพิ่งจะใช้ห่วงคู่ปัดป้ายเศษกระเบื้องสองชิ้นสุดท้ายพ้นตัวเป็นจังหวะที่เข็มสอดร้อยด้ายพลันถาโถมเข้ามาถึง พร้อมกันนั้นรับรู้ได้ถึงปราณพลังไร้รูปที่สัมผัสได้ถึงความแหลมคมและเกรี้ยวกราด ดังนั้นจึงมิกล้าชักช้ารีบรวมรั้งพลังลมปราณขึ้นคุ้มครองร่าง จากนั้นห่วงคู่ประทับฟ้าถูกปล่อยออกจากมือไป กลายเป็นม่านห่วงทองเหลืองหลายสิบวงแยกย้ายเข้าต้านรับเข็มสอดร้อยด้ายของสตรีชุดแดงเอาไว้ได้โดยหวุดหวิดหวาดเสียว

สตรีชุดแดงทิ้งร่างลงกับพื้นถนนพร้อมกับสองมือรั้งดึงเส้นด้ายเอาไว้แล้วตวัดวูบไหวไปมา เข็มเล่มเล็ก ๆ คล้ายกับมีชีวิตเคลื่อนไหวตามตำแหน่งทิศทางที่นางต้องการ เสียงปะทะระหว่างเข็มเล่มเล็ก ๆ กับห่วงทองเหลืองดังมามิขาดสาย บางครั้งบังเกิดเป็นประกายไฟวูบวาบของวัตถุสองสิ่งปะทะหักล้างกัน

จ่านจือกับเยี่ยนผิงทั้งสองยืนชมดูคนทั้งสองต่อสู้กันอยู่ไม่ไกลนัก ถึงแม้มองดูผิวเผินประเมินพลังฝีมือน่าจะดูสูสีก้ำกึ่งกัน ต๊กม้อเต็กแนวทางวิชาเน้นไปในทิศทางแข็งกร้าวดุดัน ส่วนสตรีอัปลักษณ์ชุดแดงแนวทางวิชาเน้นไปในทิศทางพลิ้วไหวนุ่มนวล แต่ทุกครั้งที่นางลงมือไร้ซึ่งช่องโหว่ให้พบเห็นมีอยู่หลายครั้งที่ลามะทิเบตรูปนั้นพยายามตีโต้กลับ แต่หากระทำเยี่ยงไรต่อนางให้ล่าถอยได้แม้แต่เพียงก้าวเดียว

จ่านจือเพ่งมองการต่อสู้พลางคิดว่าการลงมือของลามะรูปนี้ดุดันโหดเหี้ยม ทุกกระบวนท่าหมายเอาชีวิตของหญิงชุดแดงให้จงได้ ส่วนทางด้านหญิงชุดแดงแม้จะลงมืออย่างแยบยลแต่มีอยู่หลายครั้งที่สมควรมีโอกาสทำร้ายลามะรูปนั้นได้ แต่นางกลับไม่ลงมือที่น่าแปลกประหลาดหญิงชุดแดงรูปร่างผอมซูบซีดใบหน้ายังเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผล ไฉนถึงมีพลังฝีมือร้ายกาจพิสดารถึงเพียงนี้

การต่อสู้ล่วงเลยผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ทั้งสองประกระบวนยุทธ์กันไปหลายร้อยกระบวนท่ายังไม่เห็นท่าทีว่าจะมีฝ่ายใดเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำเสียที ทันใดนั้นในคลองจักษุของจ่านจือพลันเหลือบแลเห็นในมือของเล่อต้าเต๋อกับเสิ่นซื่อสูอวี้สองยอดฝีมือของหมู่ตึกกระเรียนฟ้าปรากฏอาวุธลับขึ้นคนละชนิด และพร้อมที่จะลอบซัดทำร้ายหญิงชุดแดงได้ทุกขณะเวลา จ่านจือรังเกียจเกลียดความอยุติธรรมเป็นที่สุดยิ่งใช้วิธีต่ำช้าดั่งสุนัขลอบกัดด้วยแล้วยิ่งน่าชิงชังเพิ่มขึ้นทวีคูณ

หากว่าครั้งนี้สองคนชั่วที่อยู่ทางด้านหลังของลามะรูปนั้นใช้วิธีสกปรกลอบทำร้ายหญิงชุดแดงด้วยการซัดขว้างอาวุธลับออกมาจากมือ จ่านจือจะยินยอมเปิดเผยตัวเข้าช่วยเหลือหญิงชุดแดงเอาไว้ โดยไม่คำนึงว่าเยี่ยนผิงจะทราบความจริงว่าเขามีวรยุทธ์  เกิดเป็นลูกผู้ชายชาตรีที่กล้าหาญและปณิธานเที่ยงธรรม จะต้องกระทำเรื่องราวโดยเปิดเผยไม่ลังเลต่อการกระทำความดีอีกทั้งไม่ยึดติดกับลาภยศสรรเสริญใด ๆ

เมื่อถึงตอนนี้ต๊กม้อเต็กย่อร่างลงพร้อมกับซัดขว้างห่วงคู่ประทับฟ้าเข้าหาหญิงชุดแดงในตำแหน่งท่อนล่างอย่างเร่งร้อน นางเห็นเช่นนั้นรีบรั้งดึงเส้นด้ายบังคับเข็มกลับคืนพร้อมกับพุ่งร่างลอยขึ้นด้านบนเพื่อหลบหลีกห่วงคู่ประทับฟ้าที่พุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง พอห่วงคู่พุ่งผ่านใต้ฝ่าเท้าทั้งสองของนางห่างไม่ถึงครึ่งนิ้วสภาวะดุดันน่าหวาดเสียวยิ่งนัก ขณะที่ร่างของนางลอยคว้างอยู่กลางอากาศเท่ากับเป็นเป้าหมายให้กับสองคนชั่วที่อยู่ด้านหลังลามะรูปนั้น คนทั้งสองมิต้องนัดหมายต่างรีบซัดขว้างอาวุธลับเข้าใส่นางกลางอากาศโดยพร้อมเพรียง

หญิงชุดแดงในเวลานี้ร่างของนางกำลังทิ้งตัวลงสู่พื้นเบื้องล่างตามสภาวะ เมื่อมองเห็นจุดแต้มสีขาวสองจุดปรากฏขึ้นเบื้องหน้ารับทราบได้ทันทีว่าเป็นอาวุธลับสองชิ้น แต่เนื่องด้วยร่างกำลังตกลงพื้นกลางอากาศว่างเปล่าไม่มีสถานที่ให้หยิบยืมเปลี่ยนท่าร่างคิดขึ้นในใจว่าคราครั้งนี้เสียท่าแล้ว  ขณะเดียวกันห่วงคู่ประทับฟ้าของลามะทิเบตพุ่งวกกลับมาด้วยสภาวะเกรี้ยวกราดสุดเปรียบปานเฉกเช่นเดียวกัน

หากใช้เข็มสอดร้อยด้ายในมือทั้งสองต้านทานอาวุธลับสองชิ้น ห่วงคู่ประทับฟ้าอันเร่งร้อนจะสัมผัสร่างในบัดดล จึงตัดสินใจเลือกทางใดทางหนึ่งโดยมิยินยอมพร้อมใจ คิดได้เช่นนั้นหมุนร่างกลับมาหันด้านหลังเป็นเป้ารับอาวุธลับสองชิ้น ส่วนมือทั้งสองสะบัดไปมาสองครากระแทกห่วงคู่ประทับฟ้าทางด้านหน้าเอาไว้อย่างยากเย็น

แต่ก่อนที่อาวุธลับทั้งสองชิ้นจะบรรลุถึงเบื้องหลังของหญิงชุดแดง ทันใดนั้นร่างหนึ่งเคลื่อนไหวราวเมฆหมอกเพียงสะกิดเท้าเพียงเล็กน้อยร่างลอยอยู่ตรงกลางระหว่างหญิงชุดแดงกับสองคนชั่วที่ขว้างอาวุธลับออกมา พร้อมกันนั้นยื่นสองมือออกใช้ด้วยท่าที่หกในวิชาดาวดึงส์นามดาวทะยานฟ้าตะปบอาวุธลับสองชนิดเอาไว้อย่างง่ายดาย จากนั้นซัดขว้างสนองคืนกลับไปยังผู้ที่เป็นเจ้าของทั้งสองด้วยระดับความเร็วเพิ่มขึ้นอีกสามเท่า

อาวุธลับสองชิ้นพุ่งกลับมาหาเจ้าของอย่างเร่งร้อนโดยไร้เสียง นับว่าเป็นการซัดขว้างอาวุธลับที่ร้ายกาจยากนักที่จะได้พบเห็น จ่านจือเองรู้สึกเหนือความคาดหมายของเขาเช่นกัน หากทุ่มเทพลังทั้งหมดซัดขว้างออกไปคงมิสร้างปรากฏการณ์อันน่ากลัวให้แก่ผู้พบเห็นแล้วรึ เสิ่นซื่อสูอวี้กับเล่อต้าเต๋อคนชั่วทั้งสองยังไม่ทันแม้แต่จะคิดหรือกระพริบตา อาวุธลับซึ่งตนเพิ่งจะซัดขว้างออกไปพุ่งย้อนกลับมาห่างอยู่เบื้องหน้าไม่ถึงหนึ่งคืบ พร้อมกับเสียงของจ่านจือร้องดังติดตามมาว่า

“ให้ทุกข์แก่ท่านดาบนั้นคืนสนอง ข้าพเจ้าขอน้อมส่งสิ่งของของพวกท่านกลับคืนไปโปรดรับเอาไว้ให้ดี”

ยังไม่ทันสิ้นเสียงของจ่านจืออาวุธลับสองชิ้นต่างพุ่งเข้าต้องร่างของผู้เป็นเจ้าของอย่างแม่นยำ คนชั่วทั้งสองเสิ่นซื่อสูอวี้กับเล่อต้าเต๋อสะดุ้งขึ้นสุดตัวร่างถอยร่นไปด้านหลังสองสามก้าวซวนเซแทบหงายหลังล้มฟาดไปพร้อมกับหยดโลหิตไหลซึมเป็นด่างดวงออกมาจากอกเสื้อ คนชั่วทั้งสองรู้สึกถึงลมปราณที่บรรจุมากับอาวุธลับทั้งสองชิ้นว่าช่างดุดันผันแปรซุกซ่อนความอ่อนหยุ่นชนิดหนึ่งถึงกับตื่นตระหนกตกใจหน้าถอดสี พอตั้งหลักได้จ้องมองออกไปจดจำได้ทันทีว่าผู้ที่เห็นอยู่เบื้องหน้าขณะนี้ คือบุรุษที่เคยเข้าช่วยเหลือศิษย์สตรีทั้งสองของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวนั่นเอง

ส่วนด้านหญิงชุดแดงเมื่อเห็นมีคนพุ่งมาต้านรับอาวุธลับให้กับนาง รีบใช้ท่าร่างอันพิสดารพุ่งเข็มตวัดรัดสองห่วงทองเหลืองของต๊กม้อเต็กเอาไว้ แล้วชักนำห่วงทองเหลืองทั้งสองวงพุ่งกลับเข้าหาผู้เป็นเจ้าของในทันที ในจังหวะเดียวกันซัดขว้างเข็มอีกชุดหนึ่งตามติดห่วงทองเหลืองมาติด ๆ พร้อมกับตวาดติดตามความว่า

“ลองรับเข็มด้ายแดงปิดจุดของข้าพเจ้าดู”

ลามะรูปนั้นคาดคิดไม่ถึงว่าหญิงชุดแดงจะใช้ห่วงคู่ประทับฟ้าของตนเองเป็นอาวุธเขามาทำร้ายผู้ที่เป็นเจ้าของ รีบพุ่งร่างออกทางด้านขวาหลบหลีกพ้นห่วงทองเหลืองวงแรกโดยเฉียดฉิว จากนั้นพลิกร่างตีลังกากลับหลังหลบพ้นห่วงทองเหลืองวงที่สองไม่ง่ายดายเท่าใดนัก พอร่างหยัดยืนยังไม่ทันที่จะตั้งหลักมั่นกว่าจะรู้สึกตัวเข็มด้ายแดงปิดจุดบรรลุมาถึง ส่งผลให้ร่างของลามะรูปนั้นรับเข็มห้าหกเล่มเอาไว้โดยไม่ร่วงหล่นตกลงสู่พื้นแม้แต่เล่มเดียว รู้สึกแสบร้อนแล้วชาวูบเมื่อเข็มทะลุผ่านผิวหนังเข้ามารีบใช้พลังลมปราณขับเข็มทั้งห้าหกเล่มร่วงหล่นลงพื้นอย่างยากเย็น

เสียงหญิงชุดแดงซึ่งในตอนนี้ยืนสงบนิ่งอยู่กับพื้นห่างจากจ่านจือราวสามสี่ก้าว นางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่เฉียบแหลมว่า

“ถึงแม้ท่านจะขับเข็มของข้าพเจ้าออกมาได้หมด แต่ทว่าจุดทั้งห้าของท่านถูกข้าพเจ้าสกัดปิดเอาไว้แล้ว หากท่านไม่เชื่อลองโคจรพลังลมปราณพิสูจน์ดูเถิด”

ต๊กม้อเต็กไม่เชื่อวาจาของหญิงชุดแดงสักเท่าไหร่ว่านางจะมีความสามารถดั่งวาจา รีบโคจรกำลังภายในพิสูจน์คำพูดดูทันทีผลปรากฏว่ารู้สึกอึดอัดขัดข้องคล้ายลมปราณย้อนกลับเลือดลมภายในร่างพลุ่งพล่านมิอาจรั้งรวมได้ เมื่อทราบเช่นนั้นพลันหน้าถอดสีลงหยุดการโคจรพลังแล้วตวาดลั่นต่อหญิงชุดแดงว่า

“ท่านบอกออกมาต่ออาตมาว่าที่แท้ท่านเป็นใครกันแน่? วิชาที่ท่านใช้อาตมาไม่คุ้นเคยและพบเห็นมาก่อน ท่านทราบหรือไม่ว่าอาตมาเป็นใคร อีกไม่กี่วันซือแป๊ะ(ศิษย์ผู้พี่ของอาจารย์) กับเตี่ยซือเจ่ก(ศิษย์ผู้น้องของอาจารย์) จะเดินทางมาถึงจงหยวน หากท่านทั้งสองทราบเรื่องนี้เข้าท่านจะไม่เหลือแม้แต่ชื่อแซ่ให้จดจำ ดังนั้นรีบบอกออกมาว่าท่านเป็นใครมาจากสารทิศใด แล้วขโมยสิ่งของของอาตมาไปเพื่ออะไร ทางที่ดีรีบส่งกลับคืนมาให้แก่อาตมาย่อมประเสริฐสุด”

“ฮาฮา ท่านจะเป็นผู้ใด มีอาจารย์ลุงอาจารย์อาเก่งกล้าร้ายกาจสักปานไหนข้าพเจ้าหาได้สนใจไม่ วิชาท่าร่างที่ข้าพเจ้าใช้ท่านไม่เคยพบเห็นนั่นนับว่าถูกต้อง ข้าพเจ้าฉายาอัปลักษณ์อาภรณ์แดงนามเซียวเหยาเซิงน้อยครั้งนักที่จะออกมาให้ผู้คนได้พบเห็น แต่ท่านมิต้องเป็นห่วงวิตกกังวลไปอีกหนึ่งชั่วยามจุดที่ถูกปิดจะคลายออกเอง ตอนนี้หากท่านเดินพลังวัตรจะทำให้ลมปราณในร่างของท่านตีกลับสับสน หากยังดื้อรั้นอวดดีโคจรพลังต่อผลกระทบจะยิ่งรายแรงยิ่งขึ้นต่อให้อาจารย์ของท่านสิบคนคงช่วยเหลือมิได้ รอให้สองคนที่ท่านกล่าวทั้งสองมาถึงก่อนแล้วค่อยพามาคิดบัญชีกับข้าพเจ้าในภายหลัง ส่วนสุนัขลอบกัดทั้งสองของท่าน ข้าพเจ้าอัปลักษณ์อาภรณ์แดงเซียวเหยาเซิงคงไม่ต้องลงมือแล้วกระมัง”

หญิงชุดแดงกล่าวว่านางมีฉายาอัปลักษณ์อาภรณ์แดงนามเซียวเหยาเซิง จ่านจือเองเพิ่งเคยได้ยินชื่อนางเป็นครั้งแรกเช่นกัน ส่วนเยี่ยนผิงในเวลานี้รับทราบแล้วว่าที่แท้เขาหาได้เป็นเจ้าทึ่มไร้ฝีมือดั่งที่ตนเข้าใจไว้แต่แรกไม่ ดูจากท่าร่างเมื่อครู่ทั้งหมดจดรวดเร็วทั้งดุดันผันแปรความหยุ่นเย็นชนิดหนึ่ง ที่ผ่านมาไฉนจึงพลาดท่าเสียทีดูไม่ออกว่าเขามีวรยุทธ์ติดตัว

แล้วที่ผ่านมานางพาจ่านจือติดตามไปด้วยทุกหนแห่ง หากเขาปลอมตัวมาสืบสาวความเคลื่อนไหวของฝ่ายตนคงไม่ส่งผลดีกับนางและฝ่ายมารอธรรมอย่างแน่นอน แต่นับว่ายังโชคดีที่ทุกครั้งขณะเดินทางไปพบปะกับหัวหน้าสาขาและสนทนาพูดคุยกัน นางให้เขารอคอยอยู่ด้านนอกมิเช่นนั้นคาดว่าความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของฝ่ายมารอธรรม เขาย่อมกระจ่างโดยมิต้องกางตำราศึกษาสามารถตีความได้หมดสิ้น

ขณะที่บรรยากาศยังมิหายตึงเครียด อัปลักษณ์อาภรณ์แดงเซียวเหยาเซิงกล่าววาจาขึ้นว่า

“วันนี้ข้าพเจ้าอัปลักษณ์อาภรณ์แดงเซียวเหยาเซิงสนุกสนานจนเกินพอแล้ว ดังนั้นข้าพเจ้าคงต้องขอตัวก่อน เจ้าหนุ่มน้ำใจของเจ้าที่ยื่นมือช่วยเหลือข้าไว้ในวันนี้ ไว้วันหน้าข้าย่อมตอบแทนเจ้าอย่างแน่นอนตอนนี้ข้ามีธุระเร่งด่วนต้องไปกระทำ เจ้ามีชื่อแซ่ว่ากระไร บอกกล่าวออกมาต่อข้าให้รับทราบได้หรือไม่?” 

จ่านจือรีบประสานมือต่ออัปลักษณ์อาภรณ์แดงเซียวเหยาเซิง พร้อมกับกล่าวบอกออกไปว่า

“เรียนต่ออาวุโสข้าพเจ้าแซ่จ้าวชื่อจ่านจือ ข้าพเจ้ามิได้ต้องการให้อาวุโสตอบแทนข้าพเจ้าแต่ประการใด เหตุการณ์เมื่อครู่เพียงข้าพเจ้าไม่ชอบการกระทำต่ำช้าสกปรกของคนทั้งสองถึงได้ยื่นมือเข้ายุ่งเกี่ยว ในตอนแรกข้าพเจ้ายังเกรงว่าอาวุโสจะตำหนิเสียด้วยด้วยซ้ำ ที่ยื่นมือเข้ายุ่งเกี่ยวเรื่องราวของท่านโดยพละการ”

หญิงอัปลักษณ์ชุดแดงนางนั้นเมื่อได้ยินกล่าวของจ่านจือ ส่งเสียงหัวร่ออย่างสบอารมณ์แล้วสะกิดเท้าพุ่งกายเฉียดผ่านร่างของเขาไป ในจังหวะที่ร่างเฉียดผ่านนางตบฝ่ามือเข้าใส่ตำแหน่งหน้าอกของเขามีเพียงฝ่ามือเปล่ามิมีพลังวัตรแต่อย่างใด เมื่อร่างลับขอบเส้นของหลังคาตึกไป นางจึงส่งเสียงกลับมาว่า

“เรื่องที่เจ้าสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องราวของข้าเซียวเหยาเซิง ข้าสั่งสอนเจ้าไปแล้วหนึ่งฝ่ามือถือว่าแล้วกันไปเถิด ขอให้เจ้านำหนึ่งฝ่ามือนี้ของข้าไปช่วยเหลือผู้อื่นตามปณิธานของเจ้าต่อไปเถิด แล้วโอกาสหน้าค่อยพบเจอกัน” 

แล้วอัปลักษณ์ด้ายแดงเซียวเหยาเซิงจากไปกับขอบกระเบื้องหลังคาตึกโดยไร้ร่องรอย ผู้คนที่ชุมนุมชมดูเหตุการณ์เมื่อครู่เริ่มทยอยจากไป จนกระทั่งเหลือเพียงจ่านจือกับเหยาเยี่ยนผิง กับอีกฟากหนึ่งต๊กม้อเต็กกับเสิ่นซื่อสูอวี้และเล่อต้าเต๋ออีกสามคน

เยี่ยนผิงเห็นเช่นนั้นรีบฉุดดึงแขนของจ่านจือพร้อมกับกระชากลากพาเขามาจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็วโดยมิได้ใส่ใจต่อสามคนนั่นแต่ประการใด แต่จ่านจือจดจำได้ว่าคนทั้งสามเป็นคนของหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ก่อนหน้านั้นสามคนนี้เคยติดตามกลุ้มรุมทำร้ายเจ้าหุบเขามู่ชิวป้าและจะทำร้ายพี่สาวทั้งสองของเขา ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นเกิดขึ้นแถวศาลเจ้าที่เขาพบพานกับพี่สาวทั้งสองนั่นเอง

เมื่อจากมาได้ไกลโขเยี่ยนผิงใช้สองมือผลักร่างของจ่านจือโดยแรง พร้อมกับต่อว่าส่งเสียงกล่าวด่าเขาเสียยกใหญ่ สิ่งที่นางกล่าวว่าที่ผ่านมาหาว่าเขาเล่นละครตบตานาง นางกล่าวว่านางโง่เขลาเองที่คิดว่าเขาเป็นเพียงขอทานซอมซ่อ หากทราบว่าแท้จริงแล้วเขามีพลังฝีมือติดตัวนางคงลงมือฆ่าเสียตั้งแต่ตอนนั้น

จ่านจือจึงเล่าความจริงให้เยี่ยนผิงฟังถึงที่มาของเรื่องนี้ แต่ปิดบังเอาไว้ว่าผู้ใดเป็นอาจารย์ถ่ายทอดวิชาให้ เขากล่าวว่านางเข้าใจมิผิดครั้งแรกที่พบเจอกันเขายังไม่เป็นวรยุทธ์สักกระบวนท่าเดียว หากในตอนนั้นนางลงมือฆ่าเขาง่ายดายเพียงพลิกฝ่ามือ

จ่านจือพยายามอธิบายต่อเยี่ยนผิงว่าเรื่องราวทั้งหมดเขามิได้ตั้งใจหลอกนาง เพียงแต่เหตุการณ์บังคับให้ต้องกระทำ หากนางจะโกรธแค้นเขามิใช่เรื่องผิดแต่ประการใด แต่หากนางยังไม่หายโกรธแค้นต้องการเอาชีวิตเขาจะยินยอมมอบให้แก่นาง จึงส่งเสียงกล่าวด้วยความจริงใจว่า

“ชีวิตของข้าพเจ้าจ่านจือเป็นท่านช่วยเหลือเอาไว้ หากว่าตอนนี้ท่านโกรธแค้นคิดว่าข้าพเจ้ามิจริงใจคิดหลอกลวงท่านมาแต่ต้น หากจะทำให้ท่านหายโกรธด้วยการแลกด้วยชีวิตของข้าพเจ้าจงเอาไปเถิด ข้าพเจ้าจ่านจือจะไม่ปัดป้องหรือขัดขืนแม้แต่น้อย ข้าพเจ้ากลับยินดีที่ได้ตายด้วยน้ำมือท่าน หากทว่าเป็นผู้อื่นข้าพเจ้าหายินยอมไม่ แต่ก่อนจะลงมือขอข้าพเจ้าได้มองตาของท่านอีกสักครั้ง ถือว่าเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำจะได้หรือไม่?”

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป