Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (ต่อยตีสอบถามนามแซ่)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

ต่อยตีสอบถามนามแซ่

  • 13/08/2565

ตอนที่ 40

ต่อยตีสอบถามนามแซ่

จากนั้นก้าวเดินช้า ๆ เข้าหาลามะทั้งสอง ซึ่งบัดนี้ร่างท่อนล่างมิสามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้ เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนจึงกล่าววาจาขึ้นว่า

“เท็กลื้อ(คำด่าหลวงจีน) ทั้งสอง มิทราบว่าท่านทั้งสองเป็นหลวงจีนมาจากสารทิศใด? ข้าพเจ้ามิเคยมีเรื่องบาดหมางกับท่านเหตุใดเมื่อพบข้าพเจ้ากลับลงมืออย่างหักโหมโดยมิสอบถามให้ทราบความเสียก่อน ตอนนี้ท่านทั้งสองรีบแจ้งชื่อแซ่ของพวกท่านออกมา แล้วโปรดบอกกล่าวว่าจะให้ข้าพเจ้าจัดส่งซากศพของท่านทั้งสองไปยังสถานที่ใด?”            

เจ้าโอสถสายรุ้งรู้สึกโกรธแค้นลามะทั้งสองเหลือประมาณ จึงได้ใช้คำด่าเรียกหาลามะทั้งสองรูปไป แล้วเอ่ยถามชื่อแซ่พร้อมกับสถานที่ที่จะให้ท่านส่งซากศพกลับไป ลามะสองรูปเมื่อได้ยินเช่นนั้นรู้สึกโกรธกริ้วเป็นที่สุด แต่หาทำเยี่ยงไรได้หันมองหน้ากันแล้วกล่าวตอบออกมาว่า

“อาตมาเส่าเทียนเต็กไต้ซือ” 

เมื่อกล่าวจบลามะอีกรูปกล่าวว่า

“อาตมาทิเทียนเต็กไต้ซือ เราทั้งสองเป็นลามะเดินทางมาจากทิเบตเพื่อมาเยี่ยมเยียนศิษย์หลานนามต๊กม้อเต็กไต้ซือ แต่พอเหยียบย่างเข้าสู่เขตจงหยวนกลับทราบว่าหลานศิษย์ของเราทั้งสองถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมด้วยน้ำมือของท่าน ดังนั้นเราทั้งสองจึงออกติดตามหาตัวท่านเพื่อแก้แค้นให้กับหลานศิษย์ของเรา กระทำเช่นนี้เราทั้งสองล้วนกระทำถูกต้องหาผิดพลาดแม้แต่น้อย”            

เจ้าโอสถสายรุ้งเมื่อได้ยินสองลามะกล่าวออกมา แสดงสีหน้างุนงงต่อคำพูดของลามะรูปนั้น ดังนั้นจึงกล่าวถามลามะทั้งสองต่อไปว่า

“ผู้ใดกันคือต๊กม้อเต็กไต้ซือ แล้วท่านทั้งสองทราบได้เช่นไร? ว่าข้าเป็นผู้ลงมือฆ่าหลานศิษย์ของท่าน อย่าชักช้ารีบกล่าวออกมาให้กระจ่าง มิเช่นนั้นข้าจะให้ท่านทั้งสองตายอย่างทรมาน”            

เจ้าโอสถสายรุ้งกล่าวจบ ลามะนามเส่าเทียนเต็กใต้ซือกล่าวตอบว่า

“จะฆ่าเราทั้งสองจงอย่ารอช้าตอนนี้ท่านเป็นฝ่ายได้เปรียบ ท่านจะใช้คำพูดเช่นไรล้วนย่อมกล่าวได้ หลานศิษย์ของเราถูกท่านฆ่าตายไปแล้ว ตอนนี้จะฆ่าเราทั้งสองอีกอย่ารีรอพิรี้พิไร”            

เจ้าโอสถสายรุ้งยิ่งรับฟังคำพูดของสองลามะยิ่งไม่เข้าใจ ท่านเองไม่เคยรู้จักต๊กม้อเต็กไต้ซือมาก่อน ขณะที่จะกล่าววาจากระไรสืบต่อพลันปรากฏร่างบุคคลสามคนโลดแล่นมา เมื่อทิ้งร่างลงสู่พื้นส่งเสียงร้องเรียกดังแต่ไกลว่า

“ซือแป๊ะ(ศิษย์ผู้พี่ของอาจารย์) เตี่ยซือเจ่ก(ศิษย์ผู้น้องของอาจารย์) ท่านทั้งสองมาถึงจงหยวนแล้ว ว่าแต่ไฉนท่านทั้งสองจึงลงไปยืนอยู่ใต้พื้นดินเช่นนั้นเล่า?”

“ม้อเต็ก! เจ้ายังไม่ตายหรือนี่?” 

ลามะสองรูปส่งเสียงกล่าวถามโดยพร้อมเพรียง เมื่อเห็นบุคคลสามคนปรากฏขึ้นหนึ่งในสามคนคือลามะรูปหนึ่ง ซึ่งมีอายุอ่อนกว่าลามะทั้งสองรูปที่แท้เป็นต๊กม้อเต็กไต้ซือ อีกสองคนคือเล่อต้าเต๋อกับเสิ่นซื่อสูอวี้ทั้งสามรีบวิ่งเข้าหาลามะทั้งสองรูป

จากนั้นต๊กม้อเต็กลามะรีบคุกเข่าคำนับต่อลามะทั้งสองรูปอย่างเคารพ แล้วรีบลุกขึ้นมองมายังเจ้าโอสถสายรุ้งอย่างมุ่งร้าย หลวงจีนนั่นส่งเสียงต่อเจ้าโอสถสายรุ้งว่า

“ท่านเป็นใครกัน อาจารย์ลุงกับอาจารย์อาของอาตมาเป็นฝีมือท่านกระมัง?  ต้าเต๋อ สูอวี้เร็วเข้ารีบมาช่วยกันเข่นฆ่าสับร่างคนผู้นี้ให้แก่ฮุดเอี้ย”

กล่าวจบเล่อต้าเต๋อกับเสิ่นซื่อสูอวี้ พร้อมทั้งต๊กม้อเต็กลามะตระเตรียมที่จะจู่โจม แต่แล้วต้องรีบหยุดชะงักเท้าเมื่อเสียงหนึ่งตวาดขึ้นเสียก่อนว่า

“ช้าก่อน เจ้าทั้งสามอย่าได้วู่วามอาจารย์คิดว่าเรื่องราวน่าจะไม่ถูกต้อง ที่อาจารย์ลุงกับอาจารย์อาของเจ้าต่อสู้กับประสกท่านนี้อาจเกิดความเข้าใจผิด ตอนแรกเราทั้งสองเข้าใจว่าเจ้าถูกประสกท่านนี้ฆ่าตาย จึงได้ลงมือต่อประสกอย่างไม่คิดชีวิต เมื่อเห็นเจ้ายังไม่ตายต้องเกิดความเข้าใจผิดอย่างแน่นอน”

“ถูกต้องแล้วม้อเต็กเจ้าอย่าได้วู่วามเหมือนอาจารย์ลุงกับอาจารย์อาของเจ้าเป็นอันขาด รีบมาช่วยอาจารย์ทั้งสองขึ้นไปก่อนแล้วค่อยพูดคุยกัน ว่าที่แท้เกิดเรื่องราวใดขึ้นกันแน่?”

ยังไม่ทันที่ต๊กม้อเต็กลามะจะกระทำเช่นไร เจ้าโอสถสายรุ้งพุ่งฝ่ามือทั้งสองออกใช้ท่าที่เก้าในวิชาดาวดึงส์นามย้ายเดือนดับตะวันผันจักรวาล เคลื่อนย้ายร่างของสองลามะขึ้นมาจากวงกลมทั้งสองวง เมื่อร่างหลุดพ้นจากหลุมแล้วสองลามะประนมมือทั้งสองขึ้น แล้วกล่าวคำขอขมาต่อเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนพร้อมกันว่า

“ประสกมิทราบว่ามีนามเรียกหาว่ากระไร? อาตมาต้องขออภัยต่อประสกที่ล่วงเกินเสียมารยาทไป ขอประสกได้โปรดยกโทษให้แก่อาตมาสักครั้งหนึ่งเถิด”

เจ้าโอสถสายรุ้งเห็นดังนั้นจึงกล่าวขึ้นว่า

“ข้าพเจ้าฉายาเจ้าโอสถสายรุ้งนามเส้าเยี๊ยะเทียน มิได้ราวีต่อยตีย่อมไม่รู้จักกันเมื่อทุกอย่างกระจ่างแจ้งแล้วว่าเกิดการเข้าใจผิด ข้าพเจ้าขอให้ไต้ซือทั้งสองโปรดเล่าเรื่องราวโดยละเอียดให้ได้รับทราบด้วย ข้าพเจ้าเองอยากทราบเช่นกันว่าไฉนพบหน้าครั้งแรก ไต้ซือถึงได้เกรี้ยวกราดและลงมือโดยไม่ยอมฟังวาจาของข้าพเจ้าก่อนแม้แต่ครึ่งคำ”

เมื่อเจ้าโอสถสายรุ้งกล่าวจบเส่าเทียนเต็กไต้ซือ จึงเริ่มเล่าเหตุการณ์ให้แก่ทุกคนได้รับทราบว่า ตัวท่านทั้งสองเดินทางมาเยี่ยมเยียนต๊กม้อเต็กลามะ ขณะที่เดินทางผ่านเมืองลั่วหยางได้สอบถามผู้คนเกี่ยวกับหลานศิษย์ว่าพักอยู่ที่ใด มีคนผู้หนึ่งบอกว่าเห็นต่อสู้อยู่กับสตรีชุดแดงนางหนึ่งแล้วออกเดินทางจากไปแล้ว

หลังจากนั้นได้พบกับประสกอีกผู้หนึ่งรูปร่างผอมซูบซีดไร้เรี่ยวแรง ได้บอกแก่ลามะทั้งสองว่าเห็นลามะรูปหนึ่งถูกฆ่าตายอย่างอนาถ เมื่อสอบถามถึงผู้ที่ลงมือจากการบอกเล่าของประสกผู้นั้นได้แจ้งรูปพรรณสัณฐานอย่างละเอียด พร้อมทั้งแจ้งว่าคนผู้ลงมือเดินทางไปยังทิศทางใด ดังนั้นจึงได้รีบติดตามไปเมื่อพบกับเจ้าโอสถสายรุ้งคิดว่าไม่ผิดตัวอย่างแน่นอน ด้วยโทสะจึงได้ลงมือทันทีโดยไม่ทันได้ไต่ถามความเป็นมาให้กระจ่างเสียก่อน

“ม้อเต็กแล้วเจ้าทราบได้เช่นไร? ว่าอาจารย์ลุงกับอาจารย์อาอยู่บริเวณนี้ถึงได้ติดตามมาได้ถูกต้อง”

ผู้ที่กล่าววาจาเป็นเส้าเทียนเต็กไต้ซือ ผู้เป็นอาจารย์ลุงของต๊กม้อเต็กลามะ

“เรียนอาจารย์ลุง เรียนอาจารย์อา ผู้เป็นศิษย์หลังจากต่อสู้กับสตรีอัปลักษณ์นางหนึ่งซึ่งเรียกหาตัวเองว่าอัปลักษณ์อาภรณ์แดงเซียวเหยาเซิง คาดไม่ถึงสตรีนางนี้แม้ภายนอกดูอัปลักษณ์ด้านพลังฝีมือร้ายกาจพิสดารยิ่งนัก หลังจากประมือปรากฏว่าผู้เป็นศิษย์กลับสู้นางมิได้”

“แล้วเจ้าทราบหรือไม่ว่าประสกสตรีนางนั้น เป็นคนมาจากสารทิศใด?”

“ผู้เป็นศิษย์เองยังมิทราบว่าประสกนางนั้นเป็นคนจากสารทิศใด ขณะที่ศิษย์และจอมยุทธ์ทั้งสองท่านนี้กำลังพักผ่อนอยู่ในโรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง สตรีนางนั้นพลันเดินเข้ามาแล้วสอบถามเรื่องราวสะเปะสะปะจับใจความมิได้ ผู้เป็นศิษย์เลยออกปากขับไล่ให้นางรีบไปให้พ้นหน้า สตรีนางนั้นนอกจากอัปลักษณ์แล้วภายนอกยังดูอ่อนระโหยโรยแรง ก่อนที่นางจะจากไปได้เซถลาหกล้มมาด้านที่ศิษย์นั่งอยู่ เมื่อนางจากไปกลับพบว่าสิ่งของบางอย่างของศิษย์ได้หายไปจากตัว จึงแน่ใจว่าเป็นนางที่ใช้วิชาพิสดารล้วงฉกเอาไปนั่นเอง”

ต๊กม้อเต็กลามะเล่าถึงตอนนี้ เล่อต้าต้าจึงสอดคำเสริมขึ้นว่า

“ถูกต้อง หลังจากข้าพเจ้าไล่ติดตามนางไปพบว่าที่แท้นางมีฝีมือติดตัวมีความสามารถมิต่ำทราม ท่านม้อเต็กต่อสู้กับนางหลายร้อยกระบวนท่าหาได้เอาชัยต่อนางได้ ข้าพเจ้ากับท่านเสิ่นซื่อสูอวี้เห็นว่าควรร่วมมือกำราบนางให้หายผยอง” 

แล้วเสิ่นซื่อสูอวี้กล่าวต่อว่า

“ดังนั้นข้าพเจ้ากับท่านเล่อต้าเต๋อได้ใช้อาวุธลับซัดเข้าเพื่อต้องการสยบนางเอาไว้ คำนวณแล้วนางมิอาจหลุดรอดอาวุธลับสองชิ้นไปได้แต่คาดไม่ถึงว่าจะมีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งเคยสอดมือเข้าช่วยเหลือศัตรูผู้หนึ่งของเราก่อนหน้านั้น เข้าขัดขวางและช่วยเหลือสตรีนางนั้นเอาไว้” 

ต๊กม้อเต็กลามะ รอให้เสิ่นซื่อสูอวี้กล่าวจบแล้วจึงเล่าเหตุการณ์ต่อทันทีว่า

“หลังจากนั้นไม่นานเมื่อศิษย์กับท่านเล่อและท่านสูอวี้ฟื้นฟูพละกำลังแล้วจึงได้ออกเดินทาง ระหว่างทางกลับพบชายชราผอมซูบหลังค่อมผู้หนึ่ง ซึ่งถูกห้อมล้อมด้วยฝูงชนจำนวนมากเพื่อรับฟังเรื่องราวที่ชายผู้นั้นเล่าออกจากปาก ชายชราผู้นั้นเล่าว่าเมื่อราวครึ่งชั่วยามเกิดการต่อสู้ขึ้นระหว่างลามะสองรูปกับหลวงจีนวัดเส้าหลิน ผลปรากฏว่าลามะทั้งสองถูกหลวงจีนวัดเส้าหลินฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม ผู้เป็นศิษย์ทราบว่าอาจารย์ลุงกับอาจารย์อาจะเดินทางมาเยี่ยมเยียนศิษย์ ทำให้รู้สึกสังหรณ์ใจดังนั้นจึงได้รีบเดินทางมาตามทิศทางที่ได้รับฟังจากชายผู้นั้น จนในที่สุดมาพบกับอาจารย์ทั้งสองอยู่ในสภาพอย่างที่เห็นเมื่อครู่”

ต๊กม้อเต็กลามะเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดออกมาแต่มิได้เล่ารายละเอียดปลีกย่อย ความจริงแล้วลามะชราสองรูปหาทราบว่าหลานศิษย์ของท่านหลังจากมาอยู่แดนจงหยวน ได้ก่อกรรมทำเข็ญมากมายหาได้ปฏิบัติตนตามกิจของสงฆ์แต่อย่างใด ดังนั้นต๊กม้อเต็กลามะได้สั่งกำชับต่อทุกคนว่าห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปให้อาจารย์ทั้งสองรับทราบโดยเด็ดขาด

หลังจากสนทนากันอีกครู่ใหญ่เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนจึงขอตัวเดินทาง ส่วนลามะทั้งสามรูปกับเล่อต้าเต๋อและเสิ่นซื่อสูอวี้ต่างเดินทางกลับหมู่ตึกกระเรียนฟ้าเช่นกัน แต่การกลับไปครั้งนี้คาดว่าทั้งหมดต้องถูกหลิวซุ่นกงกงเอาผิดอย่างแน่นอน ฐานที่ทำงานผิดพลาดจดหมายถูกคนแย่งชิงไปได้นั่นเอง

อีกสามวันจะถึงวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่วัดเส้าหลิน ภายในเมืองลั่วหยางวันนี้คลาคล่ำไปด้วยเหล่าชาวยุทธ์ที่เดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศ เพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมชาวยุทธ์และต้องการทราบข่าวความคืบหน้าของมือสังหารลึกลับ ที่สังหารชาวยุทธ์ไปหลายรายโรงเตี้ยมในเมืองลั่วหยางจึงเป็นจุดศูนย์กลางในการเดินทางขึ้นสู่วัดเส้าหลินนั่นเอง

บนถนนสายหนึ่งเสียงฝีเท้าม้าวิ่งเหยียบย่างกับพื้นถนนดังมาอย่างเร่งร้อน ไม่นานนักอาชาพ่วงพีขบวนหนึ่งห้อตะบึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว บนหลังม้าตัวหนึ่งนั่งอยู่ด้วยบุรุษสวมชุดขาวผู้หนึ่ง บนใบหน้าสวมหน้ากากปีศาจปกปิดใบหน้าเอาไว้ ระหว่างเอวเหน็บขลุ่ยเงินยาวราวฟุตครึ่งด้ามหนึ่ง

ด้านหลังติดตามด้วยดรุณีหน้าตาจิ้มลิ้มสองนาง สวมชุดขาวโอบอุ้มปี่แป้ส่วนอีกนางประคองพิณหลังหนึ่ง ถัดมาเป็นชายฉกรรจ์สองคนหน้าตาดุดันพกพาอาวุธ บนใบหน้าคาดผ้าปิดดวงตาด้านขวาไว้ทั้งสองคน ต่อจากนั้นเป็นมือดีชาวยุทธจักรที่ติดตามอีกหลายคน

เมื่อขบวนม้าเหล่านั้นควบขับผ่านไป บนเหลาสุราดวงตาคู่หนึ่งจับจ้องขบวนม้าเหล่านั้นจนลับสายตา แล้วหันมากล่าวกับสามคนที่นั่งอยู่ด้านตรงข้ามว่า

“ต้าเอ่อคา หม่าจิ้งเถา ท่านทั้งสองแอบติดตามไปอย่าได้เผยพิรุธให้ถูกจับได้ แล้วรีบส่งข่าวกลับมาว่าขบวนม้ากลุ่มนี้พักที่ใด? ส่วนเจ้าเฉาลู่ฟางไปสืบดูว่าขบวนของขอทานพเนจรหวงเกาฉือเดินทางผ่านเส้นทางใด แล้วรีบกลับมารายงานต่อข้าอย่าได้ชักช้า”

คนทั้งสามเมื่อได้รับคำสั่งรีบลุกขึ้นประสานมือต่อผู้ออกคำสั่ง แล้วรับคำโดยพร้อมเพรียงจากนั้นรีบแยกย้ายจากไปในทันที คงเหลือเพียงผู้ออกคำสั่งซึ่งนั่งจิบสุราอย่างเบิกบานใจนางคือเหยาเยี่ยนผิงนั่นเอง วันนี้อยู่ในชุดสีชมพูอ่อนตัดกับสีน้ำเงินครามขับเน้นให้เห็นถึงความงามอันเฉิดฉัน แต่ทว่าสายตาที่มองออกไปกลับเจ้าเล่ห์เป็นยิ่งนัก

บนโต๊ะนอกจากมีป้านสุราและกับแกล้มแล้ว ยังเพิ่มกระบี่ยาวเล่มหนึ่งด้ามกระบี่แกะสลักเสลาด้วยลวดลายน้ำค้างอย่างสวยงาม ด้ามกระบี่ห้อยพู่สีแดงสดฝักกระบี่ล้วนแกะลวดลายที่หาดูยากยิ่งไม่คิดว่าจะได้พบเห็น นับว่าเป็นกระบี่ล้ำค่าหายากเล่มหนึ่งในบู๊ลิ้ม

ขณะที่เยี่ยนผิงกำลังเพลิดเพลินกับการดื่มสุรา บนบันใดทางขึ้นเหลาสุรามีชายชราผู้หนึ่งกำลังก้าวเดินขึ้นเหลามา เยี่ยนผิงชำเลืองมองดูเพียงวูบหนึ่งคิดว่าเป็นชายชราทั่วไปจึงไม่ให้ความสนใจเท่าใดนัก

ขณะเยี่ยนผิงกำลังจะยกจอกสุราขึ้นมาดื่มหางตาเหลือบมองลงมาเบื้องล่าง นางรีบวางจอกสุราลงบนโต๊ะอย่างรวดเร็วพร้อมกับเพ่งมองคนผู้หนึ่งซึ่งกำลังเดินผ่านไป นอกจากนั้นยังมีบุรุษกับดรุณีอีกหนึ่งนางร่วมเดินทางด้วย เมื่อเห็นเช่นนั้นส่งเสียงออกมาเบา ๆ ว่า

“จ่านจือ”

ภาพที่เห็นคือจ่านจือเดินเคียงคู่กับไป่ชิง ทั้งสองสนทนากันอย่างสนิทสนมไป่ชิงนางเองเห็นว่าจ่านจือคือบุรุษหนุ่มคนแรกที่นางได้รู้จัก ด้วยลักษณะนิสัยรวมถึงบุคลิกภาพของเขาเป็นที่พอใจของนางยิ่งนัก จึงได้รู้สึกมีใจให้เขาโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นเมื่ออยู่กับจ่านจือนางจึงแสดงความสนิทสนมและให้ความสำคัญกับเขามากเป็นพิเศษ

ด้วยอุปนิสัยของไป่ชิงนางชื่นชอบความสนุกสนาน ชอบเล่นซุกซนคล้ายดั่งเด็กหญิงไม่โตนางหนึ่ง ก่อนนั้นมีเพียงมู่เหอพี่ชายของนางเป็นเสมือนพี่ชายและเพื่อนเล่นของนาง เมื่อได้พบกับจ่านจือเท่ากับเพิ่มสหายที่รู้ใจขึ้นมาอีกผู้หนึ่ง

ภาพที่เห็นเบื้องหน้ากระตุ้นโทสะของเยี่ยนผิงให้รู้สึกโกรธขึ้นมา จ่านจือเองเขาก็เป็นบุรุษหนุ่มคนแรกที่นางฝังใจโดยไม่รู้เหตุผล ที่ผ่านมานางเฝ้าสืบข่าวและหาร่องรอยของจ่านจือเมื่อได้พบกับเขาอีกครั้ง แม้จะทราบว่านางกับเขายืนอยู่คนละฝ่ายแต่นางพยายามทำใจ แต่เมื่อเห็นภาพเขาสนิทสนมกับสตรีอื่นต่อหน้าต่อตา ด้วยอุปนิสัยของนางมีหรือจะยินยอม ดังนั้นรีบวางเงินค่าอาหารแล้วคว้ากระบี่หมับวิ่งติดตามไปทันที

เมื่อเยี่ยนผิงจากไปได้ไม่นานโต๊ะข้าง ๆ กันชายชรารูปร่างผอมซูบซีดเผยอยิ้มอย่างมีเลศนัย ในมือเพิ่มกระบี่ล้ำค่ามาเล่มหนึ่งจากนั้นส่งเสียงหัวร่อในลำคอเบา ๆ แล้วกล่าวกับตัวเองว่า

“กระบี่อัคคีน้ำค้างเบาะแสเพียงหนึ่งเดียว ที่จะสืบหากระบี่สุริยันและกระบี่จันทราซึ่งเป็นสุดยอดกระบี่คู่ที่ถูกกล่าวขาน นอกจากจะเป็นกระบี่วิเศษแล้วยังเป็นตัวแทนของเจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพอีกด้วย มีเพียงข้าเฒ่าประหลาดเซียวเจียนซู่ที่ทราบเรื่องนี้ ขอบคุณโกวเนี้ยน้อยนางนั้นที่มอบกระบี่ล้ำค่าเล่มนี้ต่อข้า”

ที่แท้ชายชราที่เดินขึ้นเหลามาซึ่งเยี่ยนผิงมิได้ให้ความสนใจเป็นเฒ่าประหลาดเซียวเจียนซู่ อาศัยช่วงจังหวะตอนที่นางหันมองตามจ่านจือสับเปลี่ยนกระบี่ของนางมา ส่วนเยี่ยนผิงด้วยความรีบร้อนจึงมิได้สังเกตว่ากระบี่ของตนถูกคนสับเปลี่ยนไปแล้วนั่นเอง

กระบี่อัคคีน้ำค้างเป็นของขวัญแก่เหยาเยี๊ยะเหยียน ซึ่งเจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพลวี้ยู่เฉียนมอบให้เป็นการรับขวัญตอนที่นางให้กำเนิดเยี่ยนผิงนั่นเอง

ครั้งนี้เมื่อเห็นว่าเยี่ยนผิงบุตรีออกผาดโผนในยุทธภพ นางมารเยือกเย็นจึงได้มอบกระบี่อัคคีน้ำค้างเล่มนี้ให้ เพียงบอกว่าเป็นกระบี่ล้ำค่าหายากให้นางรักษาเอาไว้ให้ดี กลับคาดไม่ถึงว่ามีคนทราบว่ากระบี่เล่มนี้มีความลับเป็นเบาะแสสำหรับสืบหากระบี่คู่สุริยันจันทราที่สาบสูญจากยุทธภพไปเนิ่นนานแล้ว และยังเกี่ยวข้องกับตำแหน่งเจ้าสำนักตำหนักหมื่นเทพที่ล่มสลายไปอีกด้วย            

เยี่ยนผิงเมื่อออกจากเหลาสุรารีบวิ่งตามจ่านจือไป ติดตามมาได้ไม่ไกลมากนัก เห็นคนทั้งสามเดินอยู่เบื้องหน้า นางมิรอช้าสะกิดปลายเท้าแล้วกระโดดขึ้นลงไม่กี่ครา ห่างอีกไม่กี่ก้าวจวนจะบรรลุถึงคนทั้งสาม ฉับพลันร่างสีขาวของบุรุษผู้หนึ่งกระโดดเข้าขวางหน้านางเอาไว้เสียก่อน            

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้แต่จ่านจือกับไป่ชิงและมู่เหอต่างเห็นเหตุการณ์ด้วยเช่นกัน บุรุษผู้นั้นเมื่อกระโดดเข้าขวางเยี่ยนผิงแล้วสะบัดโบกพัดจีบในมือไปมา พร้อมกับกล่าววาจาออกมาว่า

“แม่นางคือเหยาเยี่ยนผิงธิดาอันงดงามของสำนักมารสวรรค์ ข้าพเจ้ายินดียิ่งนักที่ได้พบแม่นางในสถานที่แห่งนี้ แม้ยังไม่เคยพบพักตร์สักคราเดียว แต่ความงามที่ร่ำลือถือว่าในโลกหล้าหาสตรีใดไหนงามเปรียบเทียบได้ อันว่าดอกไม้งามย่อมคู่ควรกับภมรอันเข้มแข็งห้าวหาญ เฉกเช่นหญิงงามอันดับหนึ่งในแผ่นดินย่อมคู่ควรกับบุรุษที่ดีพร้อมเช่นข้าพเจ้าแล้ว”            

บุรุษผู้นั้นมิเพียงกล่าววาจาล่วงเกินน่ารังเกียจ กิริยายังกรุ้มกริ่มกรุยกรายสายตาที่ลอดผ่านช่องหน้ากาก มิเพียงแต่จับจ้องบนร่างของเหยี่ยนผิงตรง ๆ บัดเดี๋ยวมองต่ำบัดเดี๋ยวมองสูงสำรวจตรวจตราเรือนร่างของนาง สายตาของคนผู้นี้แทบจะมองทะลุผ่านอาภรณ์ที่สวมใส่ของนางเข้าไปถึงภายใน            

ไป่ชิงกับมู่เหอไม่เคยพบกับเยี่ยนผิงมาก่อน แต่สองเฮียม่วยต่างมีความเห็นตรงกันว่าดรุณีนางนี้ช่างงดงามเป็นอันดับหนึ่งในแผ่นดินนับว่ามิผิด ทำให้ทั้งสองสนใจใคร่ชมเหตุการณ์ต่อ จึงพากันหยุดเท้าเพื่อรอชมดูว่าคนผู้นั้นจะกระทำเยี่ยงไรต่อไปอีก ทางด้านจ่านจือเขามีความรู้สึกว่าบุรุษผู้นี้ช่างรุ่มร่ามไม่เป็นสภาพบุรุษเอาเสียเลย            

เยี่ยนผิงเมื่อเห็นบุรุษผู้นั้นกระโดดเข้าขัดขวางแถมยังใช้วาจากับกิริยาล่วงเกิน รู้สึกไม่พอใจเป็นยิ่งนัก รีบยกปลายกระบี่ชี้เข้าหาบุรุษชุดขาวผู้นั้นทันทีแล้วตะคอกออกไปว่า 

“มารดาท่านสิคู่ควร ท่านเป็นใคร? บังอาจขวางทางของข้าพเจ้า หากไม่อยากตายจงรีบหลีกทางไสหัวไปให้กับข้าพเจ้าเดี๋ยวนี้”            

บุรุษชุดขาวใช้ปลายพัดจีบเขี่ยปลายกระบี่เบา ๆ พร้อมกับกล่าววาจาต่อว่า

“ข้าพเจ้าเป็นนายน้อยแห่งสำนักอสูรโลกันตร์นามขลุ่ยเงินคร่าวิญญาณเยิ่นหว่อถิง ยินดียิ่งนักที่ได้พบแม่นางเยี่ยนผิงนี่คงเป็นบุพเพสันนิวาสโดยแท้ ถึงแม้จะอยู่ห่างไกลกันสุดขอบฟ้าแม้แต่ภูผามิอาจขวางกั้น ชั้นฟ้าและมหาสมุทรมิอาจแยกเราจากกัน ต่อให้บุกน้ำลุยไฟไม่ว่าแม่นางเยี่ยนผิงจะอยู่สถานที่ใด? ข้าพเจ้าเยิ่นหว่อถิงจะดั้นด้นไปพบกับแม่นางในบัดดล”            

เยิ่นหว่อถิงพรรณนาถ้อยวาจาเลี่ยนหูชวนให้อาเจียนออกมา เยี่ยนผิงร้องเพ้ยออกมาคำหนึ่งแล้วกล่าววาจาโต้ตอบกลับไปว่า

“บุพเพสันนิวาสอันใดของท่าน? อย่าได้กล่าววาจาเหลวไหลหากในใต้หล้ามีเพียงบุรุษเยี่ยงท่านผู้เดียว มิต้องให้ท่านต้องลำบากบุกน้ำลุยไฟเพื่อดั้นด้นมาหาข้าพเจ้า สู้ข้าพเจ้าเองกระโดดลงมหาสมุทรหรือกองไฟเพื่อฆ่าตัวตายหลบหนีย่อมประเสริฐกว่า รีบกล่าวออกมาว่าท่านรู้จักชื่อข้าพเจ้าได้เยี่ยงไร?”            

เยิ่นหว่อถิงไม่ถือสาคำพูดของเยี่ยนผิง หัวร่อในลำคอเบา ๆพร้อมกับกล่าววาจาสืบต่อว่า

“ข้าพเจ้าเยิ่นหว่อถิงย่อมเข้าใจว่าแม่นางเป็นอิสตรีย่อมขวยเขินเอียงอายเป็นธรรมดา ส่วนคำถามที่ว่าข้าพเจ้ารู้จักแม่นางได้เช่นไร ขอบอกว่าเมื่อหลายวันก่อนเจ้าอสูรโลกันตร์อาจารย์ของข้าพเจ้า ได้เดินทางไปยังสำนักมารสวรรค์ของแม่นางแล้วได้พบกับท่านเจ้าสำนักมารดาของแม่นาง”

เยิ่นหว่อถิงเว้นจังหวะเล็กน้อยใช้สายตาแทะโลมเรือนร่างของเยี่ยนผิง เขาผู้นี้ส่งสายตาหวานฉ่ำผ่านช่องหน้ากากออกมาพร้อมกับกล่าวต่อว่า

“นอกจากท่านทั้งสองจะได้พูดคุยเกี่ยวกับการชุมนุมแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ท่านทั้งสองต่างเห็นตรงกันนั่นคือ หลังจากเสร็จสิ้นงานชุมนุมชาวยุทธ์แล้ว อาจารย์ของข้าพเจ้าจะเดินทางไปสู่ขอแม่นางต่อท่านเจ้าสำนักมารสวรรค์ให้กับข้าพเจ้า พอได้รับทราบความงดงามของแม่นางเพียงได้พบหน้าครั้งแรกคาดเดาได้ว่าไม่ผิดตัวอย่างแน่นอน”

เยิ่นหว่อถิงกล่าววาจาอย่างไม่รู้สึกกระดากปากแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกับเยี่ยนผิงนางรู้สึกรังเกียจบุคคลผู้นี้อย่างที่สุด ทุกคำพูดของมันฟังแล้วแทบอยากจะอาเจียนเอาของเสียออกมา เมื่อหวนนึกว่าเคยเห็นผู้ใดสวมใส่หน้ากากปีศาจแบบนี้จากที่ไหน พลันนางนึกออกว่าเคยพบพานกับคนผู้นี้เมื่อห้าปีก่อน             

ตอนนั้นนางปลอมเป็นบุรุษคนผู้นี้สวมใส่หน้ากากไม่เคยเห็นใบหน้ามาก่อน พอนึกได้เยี่ยนผิงปรากฏรอยยิ้มขึ้นมุมปาก ส่วนเยิ่นหว่อถิงหาทราบว่าสตรีงดงามตรงหน้า ครั้งหนึ่งมันเคยประลองบทเพลงกับบทกลอนด้วยกันแต่ยังหาผู้ชนะมิได้นั่นเอง

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป