ตอนที่ 27
ดำเนินแผนการใช้ขอทานเป็นเครื่องมือ
เหยาจิ้งเฟยกวาดสายตามองมายังขอทานทั้งหลาย เมื่อสายตามองผ่านมาทางด้านจ่านจือกับซื่อเหมี่ยนและอี้เซินยืนอยู่ สายตาเหยาจิ้งเฟยบนเวทีมองผ่านไปเที่ยวหนึ่ง ครั้นกวาดสายตากลับมาอีกรอบ บังเอิญประสานสายตากับจ่านจือวูบหนึ่ง เพียงวูบเดียวที่สบตาเขานึกออกในทันทีว่าเคยพบพานคนผู้นี้ที่ใด
ใช่แล้วมิผิดตัวอย่างแน่นอนเหยาจิ้งเฟยที่ยืนอยู่บนเวทีที่แท้คืออาผิง ผู้ซึ่งเคยยื่นมือช่วยเหลือตนตอนที่ถูกเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยและเจียจิ้งคิดจะทำร้ายหมายเอาชีวิต ขณะเดินทางไปยังหุบเขาสายรุ้งนั่นเอง ตอนนั้นนับว่าโชคดีของเขาที่ได้อาผิงยื่นมือช่วยเหลือไว้ได้ทัน มิฉะนั้นป่านนี้จ่านจือคงมิมีโอกาสเติบใหญ่และพบความสำเร็จดั่งเช่นวันนี้ เหยาจิ้งเฟยเองเมื่อสบตากับจ่านจือถึงกับสะท้านขึ้นมาคราหนึ่งขยับริมฝีปากพึมพำว่า "เจ้าทึ่ม" แต่ไม่มีผู้ใดทันสังเกตเห็น เหยาจิ้งเฟยเมื่อละสายตาจากเขาแล้ว รีบตอบคำถามของบรรดาขอทานที่กล่าวถามเกี่ยวกับผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อว่า
"ท่านทั้งหลายโปรดฟังข้าพเจ้า ท่านผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อมิได้หายไปไหน ท่านเดินทางไปรอรับท่านขอทานพเนจรซึ่งกำลังเดินทางมา ข้าพเจ้าได้รับคำสั่งให้มาเรียนท่านผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อ เรื่องที่ท่านขอทานพเนจรต้องการพบตัวท่านเป็นการด่วน หากคาดเดามิผิดท่านมีเรื่องหารือเกี่ยวกับการชุมนุมชาวยุทธ์ที่วัดเส้าหลิน ด้วยความรีบร้อนท่านผู้เฒ่าลำดับเก้าจึงมิได้แจ้งแก่ท่านทั้งหลายก่อน ข้าพเจ้าเห็นท่านผู้เฒ่าลำดับเก้าออกเดินทางไปตั้งแต่เช้าตรู่ของวันนี้ ท่านฝากข้าพเจ้าเรียนแก่ทุกท่านว่ามิต้องเป็นห่วง ท่านจะรีบเดินทางกลับมาพร้อมกับท่านผู้เฒ่าขอทานพเนจรหวงเกาฉือ"
บรรดาขอทานน้อยใหญ่เมื่อได้ยินเหยาจิ้งเฟยบอกกล่าวเช่นนั้น เมื่อทราบว่าท่านผู้เฒ่าลำดับเก้ามีความจำเป็นเร่งด่วนเลยมิมีเวลาแจ้งแก่พวกเขา สาเหตุด้วยเรื่องสำคัญเกี่ยวกับท่านขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ทำให้ทุกคนในสถานที่ชุมนุมต่างเงียบเสียงลงพร้อมกับตั้งใจฟังว่า เหยาจิ้งเฟยผู้ที่ได้รับมอบหมายจากท่านขอทานพเนจรจะกล่าววาจาใดต่อไป เหยาจิ้งเฟยเมื่อเห็นเหล่าขอทานทั้งหลายอยู่ในความสงบจึงกล่าววาจาต่อทันทีว่า
"ข้าพเจ้ามีเรื่องเกี่ยวกับการชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลินมาเรียนกับท่านทั้งหลายว่า ในงานวันนั้นท่านขอทานพเนจรหวงเกาฉือจะเข้าร่วมงานชุมนุมด้วย แต่ท่านบอกต่อข้าพเจ้ากับผู้เฒ่าลำดับแปดและผู้เฒ่าลำดับเจ็ดว่า ตัวท่านเองจะไม่ลงชิงตำแหน่งผู้นำในครั้งนี้ แต่จะสนับสนุนผู้อื่นเข้าชิงตำแหน่งนี้แทน ดังนั้นท่านจึงเรียกตัวผู้เฒ่าลำดับเก้าให้ไปพบโดยด่วน นั่นเป็นเพราะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้นั่นเอง"
ถึงฟังถึงตอนนี้จ่านจือพอจะคำนวณได้ว่าผู้ที่ทำร้ายท่านผู้เฒ่าลำดับเก้าเป็นผู้ใด มิผิดตัวอย่างโดยเด็ดขาดสามคนซึ่งท่านผู้เฒ่าเล่าให้ฟัง จะต้องเป็นสามคนผู้ที่ยืนอยู่บนเวทีขณะนี้อย่างแน่นอน ได้ยินขอทานผู้หนึ่งส่งเสียงร้องถามขึ้นไปว่า
"แล้วท่านอาวุโสขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ท่านคิดจะส่งผู้ใดเข้าชิงตำแหน่งแทนท่านเล่า? หากท่านจอมยุทธ์จิ้งเฟยทราบ กรุณาช่วยบอกกล่าวออกมาให้พวกเราขอทานทั้งหลายได้รับทราบโดยทั่วกันด้วย"
เหยาจิ้งเฟยบนเวทีหันไปสบตากับผู้เฒ่าลำดับแปดและผู้เฒ่าลำดับเจ็ด พร้อมกับกล่าววาจาดังชัดเจนว่า
"เรียนท่านทั้งหลายผู้ที่ท่านขอทานพเนจรคิดจะส่งเข้าชิงตำแหน่งแทนท่าน คนผู้นั้นคือเจ้าสำนักมารสวรรค์นามเหยาเยี๊ยะเหยียน สำนักแห่งนี้มิเคยปรากฏตัวต่อยุทธภพมาก่อน ที่ผ่านมาเก็บตัวมิเคยเปิดเผยต่อผู้คน ดังนั้นทุกท่านอาจจะยังมิเคยได้ยินชื่อหรือรู้จัก ท่านขอทานพเนจรเห็นว่าสำนักมารสวรรค์มีอุดมการณ์เดียวกันกับท่าน ท่านกล่าวว่าเสียดายความสามารถกับมันสมอง เพราะเจ้าสำนักที่กำลังกล่าวถึงแม้เป็นสตรี แต่มีพลังฝีมือสูงเยี่ยมเทียบเทียมกับท่านผู้เฒ่านับว่าไม่ผิดนัก ดังนั้นท่านจึงมิต้องการให้เจ้าสำนักผู้นี้เก็บตัวโดยไร้ประโยชน์ ท่านจึงอยากให้ออกมาสร้างผลงานด้วยการช่วยเหลือผู้คนทั้งหลาย ด้วยวรยุทธ์ของเจ้าสำนักมารสวรรค์แล้วถือว่าไร้เทียมทาน หากได้รับการสนับสนุนจากบรรดาขอทานทั้งแผ่นดิน คิดว่าตำแหน่งผู้นำชาวยุทธ์คงจะอยู่ไม่ไกล"
จ่านจือกับซื่อเหมี่ยนและอี้เซิน ทั้งสามเพิ่งเคยได้ยินชื่อสำนักมารสวรรค์เป็นครั้งแรกเช่นกัน จ่านจือนึกไม่ถึงว่าอาผิงผู้ที่เคยช่วยเหลือตนจะเป็นคนของสำนักมารสวรรค์ สำนักมารอธรรมซึ่งขณะนี้กำลังวางแผนการชั่ว คิดจะใช้ชื่อเสียงของขอทานพเนจรกับเสียงสนับสนุนจากเหล่าขอทาน ในการเข้าชิงตำแหน่งผู้นำชาวยุทธ์ในครั้งนี้
ด้วยชื่อเสียงของขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ซึ่งท่านเป็นถึงปรมาจารย์บู๊ลิ้มมีชื่อเสียงกึกก้องเกรียงไกร และหากได้รับการสนับสนุนจากบรรดาขอทานที่มีอยู่ทั่วแผ่นดินด้วยแล้ว คิดว่าตำแหน่งผู้นำชาวยุทธ์คงอยู่ไม่ไกลเอื้อมมือ ดังนั้นทั้งสามต้องการดูต่อไปว่าคนกลุ่มนี้จะเล่นลวดลายอะไรอีก
ขณะที่ขอทานทั้งหลายส่งเสียงดังเซ็งแซ่ ด้วยชื่อของสำนักมารสวรรค์กับเจ้าสำนักที่ขอทานทั้งหลายมิเคยได้ยินมาก่อน อีกทั้งชื่อสำนักยังบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นสำนักมารอธรรม ไฉนท่านขอทานพเนจรถึงได้สนับสนุนให้เข้าชิงตำแหน่งชาวยุทธ์แทนท่านได้ ปัญหาข้อนี้ขอทานทั้งหลายต่างถกเถียงกันเสียงดังฟังมิได้ศัพท์ จนบรรยากาศในที่ชุมนุมเริ่มจะตึงเครียดขึ้นมา
ทางด้านเหยาจิ้งเฟยขณะที่รอให้ขอทานทั้งหลายเงียบเสียง ใช้สายตาชำเลืองมาทางด้านจ่านจือพร้อมกับครุ่นคิดในใจผู้ที่ตนเองเฝ้าติดตามหามาหลายปี บัดนี้ได้กลายมาเป็นขอทานอยู่นี่เอง เหยาจิ้งเฟยบอกกับตัวเองไม่ถูกว่ารู้สึกเสียใจหรือดีใจที่ได้พบเขาในสถานที่แห่งนี้ ความรู้สึกหนึ่งตื่นเต้นดีใจที่ได้พบกับเขา แต่อีกความรู้สึกหนึ่งกลับเสียใจที่พบเขาอยู่ในสภาพยกจกขอทานต่ำต้อยถึงเพียงนี้
แต่ช่างเถอะเหยาเยี่ยนผิงในคราบของเหยาจิ้งเฟยสรุปให้กับตนเอง ครั้งแรกที่พบกับจ่านจือ สภาพเขาตอนนั้นมิได้แตกต่างจากขอทานมากนัก ที่ดูแตกต่างกันตรงที่ตอนนี้เขามิเพียงแต่การแต่งกายเท่านั้น สารรูปโดยรวมล้วนกลายเป็นขอทานสกปรกมอมแมมหมดสิ้น แม้จะคิดว่าช่างเถอะแต่เหยาเยี่ยนผิงกลับรู้สึกหงุดหงิดขัดหูขัดตายิ่งนัก
ทางด้านจ่านจือแอบสำรวจเหยาจิ้งเฟยเช่นกัน ที่ผ่านมาเขาแอบนึกถึงดวงตาคู่นี้บ่อยครั้ง ทุกค่ำคืนยามหลับไหลกลับฝันเห็นดวงตาคู่นี้อยู่บ่อย ๆ เขาเองยังหาคำตอบมิได้เช่นกันว่าไฉนจึงมีความรู้สึกเช่นนั้น หากเปรียบเทียบกับไป่ชิงที่เป็นอิสตรีอันงดงามเพียบพร้อมทั้งกิริยาวาจาและรูปโฉม อีกทั้งยังมีน้ำใจไมตรีที่ดีกับตนเขาเองยังไม่เคยรู้สึกนึกถึงดั่งเช่นอาผิงผู้นี้มาก่อน ถึงแม้ในครั้งแรกที่ได้พบกันเขาเองทราบแก่ใจว่าบุรุษผู้นั้นมิใช่คนดีนัก แต่เป็นเพราะเหตุใดจ่านจือกลับนึกถึงดวงตาเจ้าเล่ห์คู่นั้นอยู่เสมอ เขาครุ่นคิดถึงตรงนี้รีบสลัดศีรษะคราหนึ่งขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากห้วงความคิด
ขณะที่ขอทานหลายคนเริ่มจะมีความคิดเห็นแตกแยกเป็นสองฝ่ายคือ ฝ่ายหนึ่งเริ่มส่งเสียงสนับสนุนต่อเหยาจิ้งเฟย ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งไม่เห็นด้วยเพราะทุกครั้งหากมีงานสำคัญ ท่านขอทานพเนจรจะต้องเดินทางมาด้วยตัวเองเสมอ หรือไม่ต้องมอบหมายให้ผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อทำหน้าที่แทนท่าน ซึ่งผู้เฒ่าลำดับเก้าเป็นขอทานอาวุโสและมีวรยุทธ์รองจากท่านขอทานพเนจร ผู้เฒ่าลำดับเก้าได้รับมอบหมายให้ดูแลขอทานจงหยวนทั้งหมด ครั้งนี้กลับไม่ปรากฏตัวของท่านขอทานพเนจรรวมทั้งท่านผู้เฒ่าลำดับเก้าด้วย จึงยิ่งเพิ่มความสงสัยขึ้นเป็นทวีคูณ
ผู้เฒ่าลำดับแปดซึ่งยืนอยู่บนเวทีได้ยินบรรดาขอทานถกเถียงกันดังอื้ออึง จึงเคาะไม้ไผ่กับพื้นเวทีเป็นการเตือนให้ขอทานทั้งหลายอยู่ในความสงบ แล้วส่งเสียงอันดังกล่าวออกไปว่า
"ท่านทั้งหลายไม่ต้องถกเถียงกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าพเจ้าทราบดีว่าทุกท่านยากที่จะยอมรับและเชื่อถือ แต่ข้าพเจ้าได้ยินท่านขอทานพเนจรกล่าวเช่นนั้นจริง ๆ ท่านยังได้สั่งกำชับว่าในงานชุมนุมค่ำคืนนี้ จะต้องชี้แจงเหตุผลต่อทุกท่านให้กระจ่างอีกทั้งท่านยังกล่าวอีกว่า หากมีท่านใดไม่เชื่อมั่นในพลังฝีมือของท่านเหยาจิ้งเฟย ไม่เชื่อว่าท่านเหยาจิ้งเฟยได้รับมอบหมายมาจากท่านขอทานพเนจรจริง ๆ ก็เปิดโอกาสให้ผู้ที่ต้องการทดสอบได้พิสูจน์"
"ถูกต้องพวกเราส่วนหนึ่งไม่อาจเชื่อได้สนิทนัก ที่ท่านผู้เฒ่าลำดับแปดกล่าวเมื่อครู่ว่าจะเปิดโอกาสให้พิสูจน์ มิทราบว่าจะพิสูจน์ด้วยวิธีการใด?" ขอทานผู้หนึ่งส่งเสียงตะโกนถามขึ้นมา ผู้เฒ่าลำดับเจ็ดจึงขอตอบคำถามนี้ต่อจากผู้เฒ่าลำดับแปดว่า
"ทุกท่านโปรดฟังข้าผู้เฒ่าลำดับเจ็ดสักสองสามประโยค สิ่งที่ทุกท่านกังขาเป็นกังวลคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณสมบัติของท่านเหยาจิ้งเฟยใช่หรือไม่? เรื่องนี้ท่านขอทานพเนจรท่านเองได้คิดเอาไว้ล่วงหน้าเช่นกัน ดังนั้นท่านจึงมีคำสั่งมาว่าหากมีท่านใดไม่มั่นใจในความสามารถของท่านเหยาจิ้งเฟยซึ่งได้รับการมอบหมายให้มาทำหน้าที่ในค่ำคืนนี้ ท่านขอทานพเนจรสั่งไว้ว่าให้เปิดโอกาสให้แก่ท่านผู้นั้นได้ทดสอบฝีมือของท่านเหยาจิ้งเฟย โดยที่ท่านผู้นั้นมิต้องกลัวว่าจะเป็นการกระทำผิดกฎขอทานแต่อย่างใด หากท่านใดเอาชนะได้ให้ถือว่าท่านเหยาขาดคุณสมบัติการเป็นตัวแทนในครั้งนี้ แต่หากท่านเหยาสามารถรับมือท่านผู้นั้นได้ย่อมแสดงว่าท่านขอทานพเนจรมองคนมิผิด"
"ถูกต้อง หากท่านเหยาจิ้งเฟยสามารถรับมือพวกท่านได้ทั้งหมด แสดงว่าสำนักมารสวรรค์มีคุณสมบัติในการเป็นตัวแทนของบรรดาขอทาน ในการเข้าชิงตำแหน่งผู้นำชาวยุทธ์ในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน เหตุผลคือท่านเหยาคือนายน้อยของพรรคมารสวรรค์ ในเมื่อนายน้อยอายุเยาว์พวกท่านยังมิสามารถเอาชนะได้ นั่นย่อมแสดงว่ามารดาของท่านเหยาเจ้าสำนักมารสวรรค์ท่านจะต้องมีฝีมือสูงส่งกว่าอีกหลายเท่า ดังนั้นท่านใดต้องการจะพิสูจน์ขอเชิญขึ้นมาบนเวที ผลออกมาเช่นไรให้ถือไปตามนั้น ทุกท่านทั้งหลายมีผู้ใดที่ไม่เห็นด้วยหรือไม่?"
ผู้เฒ่าลำดับแปดรีบกล่าววาจาต่อจากผู้เฒ่าลำดับเจ็ด บรรดาขอทานที่ถกเถียงกันเมื่อได้ยินเช่นนั้นต่างเงียบเสียงลง หลังจากนั้นต่างส่งเสียงโดยพร้อมเพรียงกันว่า
"ตกลง พวกเราทุกคนยึดตามที่ท่านเสนอมา หากท่านเหยาจิ้งเฟยไร้ความสามารถขอให้รีบถอนตัวไปในทันที"
พอสิ้นเสียงมีขอทานอาวุโสสองคนก้าวออกมาหน้าเวที พร้อมกับส่งเสียงขึ้นมาว่า
"ข้าพเจ้าผู้เฒ่าโอ่ว เป็นผู้เฒ่ารักษากฎของขอทานภาคกลาง"
"ส่วนข้าพเจ้าผู้เฒ่าลู่ มีตำแหน่งเดียวกันกับผู้เฒ่าโอ่ว"
ขอทานอาวุโสสองคนกล่าวแนะนำชื่อตัวเองพร้อมกับตำแหน่ง แล้วผู้เฒ่าโอ่วจึงกล่าววาจาต่อทันทีเมื่อผู้เฒ่าลู่แนะนำตัวเสร็จ
"เราทั้งสองเป็นผู้เฒ่ารักษากฎแห่งจงหยวน ขอบังอาจทดสอบพลังฝีมือของท่านเหยาจิ้งเฟยดูสักครา หากว่าท่านสามารถเอาชนะเราสองผู้เฒ่าได้ เราทั้งสองจะขอรามือและยอมรับในตัวของท่าน"
เหยาจิ้งเฟยบนเวทีเพียงแค่ชำเลืองตามองสองผู้เฒ่า พร้อมกับประสานมือเป็นการให้เกียรติ แล้วส่งเสียงสดใสกล่าวตอบว่า
"เชิญท่านผู้เฒ่าทั้งสอง อาวุธไร้ตาฝ่ามือไร้เงา หากข้าพเจ้าลงมือหนักไป ท่านผู้เฒ่าทั้งสองโปรดอย่าได้ถือสา หากข้าพเจ้ากระทำการล่วงเกินต้องขออภัยด้วย"
กล่าวจบสองผู้เฒ่ากระโดดทะยานขึ้นสู่พื้นเวที เมื่อเท้าแตะพื้นประสานมือให้แก่ผู้เฒ่าลำดับแปดหว่านฉีกับผู้เฒ่าลำดับเจ็ดเยิ่นเหมา แท้จริงแล้วผู้เฒ่าลำดับแปดกับผู้เฒ่าลำดับเจ็ด ท่านขอทานพเนจรแต่งตั้งให้หลังจากท่านเดินทางขึ้นเหนือ ขอทานทั้งหลายจงหยวนและทางตอนใต้จึงยังมิเคยพบเจอและเห็นหน้าค่าตามาก่อนเพียงแต่เคยได้ยินชื่อเสียงเท่านั้น ดังนั้นผู้เฒ่าโอ่วกับผู้เฒ่าลู่จึงมิได้สะกิดความสงสัยแต่ประการใด เมื่อคารวะผู้เฒ่าลำดับแปดกับลำดับเจ็ดแล้ว สองผู้เฒ่ารักษากฎหันไปทางเหยาจิ้งเฟย พร้อมกับประสานมือทักทายตามมารยาท แล้วผู้เฒ่าลู่ส่งเสียงกล่าวว่า
"เชิญท่านเหยาจิ้งเฟย ขออภัยที่บังอาจล่วงเกิน" เหยาจิ้งเฟยประสานมือตอบแล้วกล่าวว่า
"ผู้เฒ่าทั้งสองเชิญ"
ผู้เฒ่าโอ่วและผู้เฒ่าลู่ใช้อาวุธเป็นลำไม้ไผ่ยาวราววาครึ่ง ซึ่งเป็นอาวุธประจำกายของขอทานทั้งหลาย สองผู้เฒ่าควงไม้ไผ่เป็นวงดั่งกงจักรหมุนวนรอบกายของเหยาจิ้งเฟย ส่วนเหยาจิ้งเฟยยังคงยืนสงบนิ่งมิเคลื่อนไหวอยู่กลางพื้นเวที สองผู้เฒ่าเมื่อหมุนวนเป็นวงกลมสองรอบต่างกระโดดลอยตัวขึ้น แล้วสลับเป็นฟันปลาไปมาหลอกล่อพร้อมกับไม้ไผ่ในมือตีขนาบหน้าหลังของเหยาจิ้งเฟยโดยพร้อมเพรียงกัน
เหยาจิ้งเฟยแม้แต่หางตายังมิเหลือบแลผู้เฒ่าทั้งสอง รีบโน้มกายไปข้างหน้าพร้อมกับหมุนร่างท่อนบนจากขวามาซ้าย เท้าทั้งสองออกแรงหนุนส่งร่างลอยขึ้นจากพื้นเวที เมื่อร่างลอยขึ้นตีลังกาเฉียง ๆ เท้าอยู่บนศีรษะอยู่ล่าง สองเท้าซ้ายขวาเตะเกี่ยวใส่ไม้ไผ่ทั้งสองของผู้เฒ่าโอ่วและผู้เท้าลู่ที่ขนาบซ้ายขวาอยู่กลางอากาศ
เสียงไม้ไผ่ซึ่งขอทานทั้งหลายใช้เป็นอาวุธและไม้เท้า ปะทะกับสองเท้าของเหยาจิ้งเฟยเสียงดังสดใส ทางด้านเหยาจิ้งเฟยก่อนเท้าทั้งสองจะสัมผัสกับไม้เท้าทั้งสอง ได้ผนึกลมปราณแผ่พุ่งไปยังปลายเท้าทั้งสอง ก่อเกิดเป็นปราณฝ่าเท้าเบาบาง ดังนั้นเมื่อสองเท้าเตะไม้ไผ่สองลำของผู้เฒ่าทั้งสอง จึงไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย
ทางด้านผู้เฒ่าโอ่วกับผู้เฒ่าลู่ทั้งสองถ่ายทอดลมปราณเข้าสู่ไม้เท้าเช่นกัน เหยาจิ้งเฟยแม้ใช้ลมปราณป้องกันเท้าทั้งสองไว้ก็ตาม แต่เมื่อเท้าทั้งสองของเตะสัมผัสไม้เท้า รับรู้ได้ถึงพลังแข็งกร้าวที่บรรจุแฝงมากับไม้เท้าทั้งสอง ผู้เฒ่าทั้งสองรีบเปลี่ยนสภาวะกลางอากาศใช้เคล็ดหยิบยืมพลังจากการเตะใส่ไม้เท้าทั้งสองของเหยาจิ้งเฟย
เมื่อเปลี่ยนท่าร่างกลางอากาศได้แล้วรีบวกไม้เท้าทั้งสองกลับมา แล้วตีกระหนาบหน้าหลังทั้งที่ร่างยังลอยอยู่กลางอากาศ ส่วนเหยาจิ้งเฟยสองเท้าเพิ่งสัมผัสพื้นเวที ได้ยินเสียงไม้เท้าแหวกฝ่าอากาศดังสนั่นน่ากลัวอยู่เหนือศีรษะ เหยาจิ้งเฟยเพียงใช้การฟังเสียงมิได้เหลียวมองแต่อย่างใดรีบสลับเท้าซ้ายขวาหลบหลีก เมื่อร่างออกห่างได้ยินเพียงเสียงไม้เท้าทั้งสองตีต้องพื้นเวทีเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น อีกทั้งได้ยินเสียงขอทานฝ่ายที่สนับสนุนสองผู้เฒ่ารักษากฎ ส่งเสียงโห่ร้องส่งเสียงให้กำลังใจแก่สองผู้เฒ่ารักษากฎดังกึกก้องมิขาดหู
ผ่านไปร้อยกว่ากระบวนท่าสองผู้เฒ่ายังมิสามารถทำเยี่ยงไรต่อเหยาจิ้งเฟยได้ สองผู้เฒ่าจึงผนึกกำลังจู่โจมเข้าไปใหม่อย่างหักโหมรุนแรง เห็นเพียงเงาไม้เท้านับร้อยพันสายจู่โจมเข้าใส่ร่างของเหยาจิ้งเฟย ฝ่ายขอทานที่ส่งเสียงสนับสนุนเหยาจิ้งเฟยบัดนี้ต่างเงียบเสียงลงชั่วขณะ สายตาจดจ่อจ้องมองที่วงต่อสู้กลางเวทีมิให้คลาดสายตา
เหยาจิ้งเฟยเห็นเงาไม้เท้าของสองผู้เฒ่า แหวกฝ่าอากาศมาดุจอสรพิษจู่โจมฉกเหยื่อ ปราณไม้เท้าทั้งสองแผ่รัศมีบีบรัดเป็นวงแคบ คล้ายกับจะกักเหยาจิ้งเฟยให้อยู่ตรงกลางปราณไม้เท้าทั้งสอง ในสายตาของขอทานทั้งหลายต่างคิดตรงกันว่า ครั้งนี้เหยาจิ้งเฟยยากหลบหลีกหนีพ้นต้องโดนสองไม้เท้าของสองผู้เฒ่าฟาดใส่ร่างอย่างที่ไม่มีหนทางแก้ไข ดูจากเงาไม้เท้าที่ปกคลุมทุกระเบียดนิ้วไม่มีช่องทางให้หลีกหนีแม้แต่เส้นทางเดียว เว้นเสียแต่ว่าจะมีมีวิชาบีบร่างให้ลีบเล็กดั่งเส้นด้ายแล้วมุดลอดรอยแตกของพื้นเวทีหนีไป นั่นเป็นหนทางเดียวที่จะหลบหนีพ้นจากกระบวนท่าไม้เท้านับร้อยพันที่กำลังหวดใส่
แม้แต่จ่านจือกับซื่อเหมี่ยนและอี้เซินที่ชมดูอยู่ด้านข้าง ยังอดหวาดเสียวกับท่าไม้เท้าที่เกรี้ยวกราดของผู้เฒ่าโอ่วกับผู้เฒ่าลู่มิได้ ครานี้จ่านจือร่ำร้องในใจว่าอาผิงเจ้าแย่แล้ว หากแม้นว่าเจ้ามิใช่คนของสำนักมารสวรรค์และไม่คิดทำร้ายเหล่าขอทานกับผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อ เขาจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือโดยไม่คิดถึงผลที่จะติดตามมาในภายหลัง ส่วนพี่สาวทั้งสองของเขากลับรู้สึกสะใจหากเหยาจิ้งเฟยผู้นี้ถูกตีตกเวทีไป ทั้งสองได้ฟังเรื่องราวของผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อจากปากจ่านจือ ดังนั้นจึงเห็นว่าสามคนบนเวทีล้วนแล้วแต่เป็นคนชั่วช้าสามานย์
ขณะที่ทุกคนทราบผลแพ้ชนะโดยมิต้องคาดเดาให้ยุ่งยาก เรื่องราวปาฏิหาริย์ที่ทุกคนไม่คาดคิดพลันอุบัติขึ้น เหยาจิ้งเฟยยกแขนทั้งสองขนานกับหัวไหล่แขนเหยียดตรงฝ่ามือตั้งฉากกับพื้น พร้อมกับหมุนร่างดุจพายุบ้าคลั่งยามฝนฟ้าคะนอง ก่อเกิดเป็นเส้นสายคล้ายสายรุ้งต่างกันตรงที่ปรากฏเป็นวงดั่งสุริยันทรงกลด พร้อมกับเสียงเปรื่องดังสดใสฟังคล้ายการตีเคาะเครื่องดนตรีนับสิบชิ้น ฟังจากน้ำเสียงช่างไพเราะเสนาะโสต ประดุจเสียงกระซิบจากสรวงสวรรค์ทิพย์วิมานปานฉะนั้น พร้อมกับเหยาจิ้งเฟยส่งเสียงร้องขึ้นว่า
"ฝ่ามือกระซิบวิญญาณ"
ในเสี้ยวของหนึ่งในร้อยของการกระพริบตาเพียงครั้งหนึ่ง ไม้เท่าทั้งสองของผู้เฒ่าโอ่วและผู้เฒ่าลู่ต่างแหลกละเอียดไม่เหลือชิ้นส่วนแม้เท่าปลายเส้นผม คล้ายกับไม้เท้าทั้งสองหล่อหลอมรวมไปกับอากาศธาตุโดยสิ้นเชิง พร้อมกับติดตามมาด้วยเสียง ปงปง ทึบทึบดังหนัก ๆ คล้ายกับยกของหนักทุ่มใส่พื้นดินยามชุ่มน้ำ ร่างของผู้เฒ่าโอ่วกับผู้เฒ่าลู่คล้ายถูกปีศาจจับร่างเหวี่ยงไปในอากาศโดยปราศจากน้ำหนัก ร่างลอยละลิ่วไปคนทิศพอดีชนเข้ากับต้นเสาของเวที เมื่อร่างทั้งสองของผู้เฒ่าตกลงสู่พื้นเวที ทั้งสองอ้าปากขับส่งเส้นสายโลหิตกระฉูดพุ่งออกมาดุจน้ำพุ
ไม่มีเสียงใด ๆเล็ดลอดออกมาจากปากของผู้เฒ่าโอ่วผู้เฒ่าลู่ ร่างทั้งสองแน่นิ่งมิเคลื่อนไหว คาดว่าเสียชีวิตแล้ว ผู้เฒ่าลำดับแปดและลำดับเจ็ดรีบเดินออกมายังกลางเวที แล้วผู้เฒ่าลำดับแปดหว่านฉีเปล่งเสียงตะโกนกล่าวขึ้นว่า
"มิทราบว่ายังมีผู้ใดคิดจะขึ้นมาพิสูจน์ฝีมือกับท่านเหยาจิ้งเฟยอีกหรือไม่? หากว่ามีขอเชิญก้าวขึ้นมาบนเวทีอย่าได้ชักช้า แต่ถ้าหากไม่มีข้าพเจ้าผู้เฒ่าลำดับแปดหว่านฉีขอเชิญท่านเหยาจิ้งเฟยออกคำสั่งและขอให้ทุกท่านปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด ซึ่งท่านเหยาเป็นตัวแทนของท่านขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ดังนั้นคำสั่งของท่านเหยาจิ้งเฟยเฉกเช่นคำสั่งของท่านขอทานพเนจร"
ผู้เฒ่าลำดับแปดหว่านฉีเมื่อกล่าววาจาจบลง ใช้สายตาอันคมกล้าประดุจเหยี่ยวเหินเวหายามจับจ้องเหยื่อกวาดไปมา เมื่อจ้องมองสำรวจทั่วแล้วไม่มีผู้ใดกล้าก้าวขึ้นมาทดสอบฝีมือกับเหยาจิ้งเฟยอีก ทุกคนปิดปากเงียบสนิทไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาแม้แต่จะขยับร่างยังมิกล้า ได้ยินเพียงเสียงสายลมยามค่ำคืนพัดดังหวีดหวิวพัดพาเอาเศษใบไม้แห้งปลิวว่อน พร้อมกับเสียงปะทุของท่อนฟืนในกองไฟที่กำลังลุกโชติช่วง แรงลมที่โหมกระหน่ำทำให้เปลวไฟลุกพรึบขึ้นมาจนสว่างจ้าวูบหนึ่ง
เพียงชั่วกระพริบตาที่แสงไฟสว่างจ้าและลดแสงวูบลง ด้วยสายตาอันคมกล้าของจ่านจือ กลับแลเห็นเงาร่างของคนผู้หนึ่ง แต่งชุดดำคลุมหน้าสะพายกระบี่ยืนอยู่ในเงามืดของต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก จ่านจือพยายามเพ่งสายตาฝ่าความมืดออกไปเห็นเงาร่างนั้นกระโดดขึ้นลงสองครั้ง แล้วทิ้งร่างลงยังหลังเนินเตี้ยของภูเขาลับหายไปกับความมืด
จ่านจือรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกเป็นห่วงท่านผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อขึ้นมา ในตอนแรกเขาคิดจะใช้แผนซ้อนแผน ให้พี่สาวทั้งสองปลอมเป็นผู้เฒ่าลำดับแปดกับผู้เฒ่าลำดับเจ็ด เพื่อใช้เปิดโปงโฉมหน้าคนร้ายบนเวที เพราะจากการบอกเล่าของผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อ ท่านเล่าว่าท่านขอทานพเนจรหวงเกาฉือ แต่งตั้งผู้เฒ่าลำดับแปดกับลำดับเจ็ดเมื่อสิบห้าปีก่อนตอนท่านเดินทางขึ้นเหนือ ดังนั้นบรรดาขอทานน้อยใหญ่ในเขตจงหยวน จึงยังไม่เคยเห็นหน้าท่านสองผู้เฒ่ามาก่อน
คนร้ายเองน่าจะทราบความนัยในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน จึงได้ปลอมตัวเป็นผู้เฒ่าลำดับแปดหว่านฉีกับลำดับเจ็ดเยิ่นเหมา โดยไม่สะกิดความสงสัยของขอทานน้อยใหญ่เลยแม้แต่น้อย จะมีเพียงแต่ท่านผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อเท่านั้น ที่ท่านเคยพบหน้าผู้เฒ่าลำดับแปดและเจ็ดเพียงสองครั้ง ตอนที่ท่านเดินทางขึ้นเหนือไปพบกับท่านขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ดังนั้นคนร้ายเมื่อพบหน้าผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อที่เชิงเขา จึงได้รีบลงมือทำร้ายหวังฆ่าปิดปากท่านผู้เฒ่าลำดับเก้าเสียก่อน เพราะในงานชุมนุมขอทานค่ำคืนนี้จะมีเพียงท่านผู้เดียว ที่เคยพบเห็นท่านผู้เฒ่าลำดับแปดหว่านฉีกับผู้เฒ่าลำดับเจ็ดเยิ่นเหมา
ดังนั้นจ่านจือจึงคิดจะให้พี่สาวทั้งสองของเขาปลอมเป็นผู้เฒ่าลำดับแปดกับผู้เฒ่าลำดับเจ็ด เพื่อทำทีเป็นเดินทางมาล่าช้าแล้วให้คนร้ายเผยฐานะที่แท้จริงของตนออกมาเอง แต่เวลานี้จ่านจือกลับสังหรณ์ใจพิกลบอกมิถูก มีความรู้สึกเป็นห่วงผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อขึ้นมาจับใจ เกรงว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้นกับท่าน เมื่อเห็นคนชุดดำผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นแล้วหายไปอย่างลึกลับ
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564