ตอนที่ 26
ผู้เฒ่าเก้าย่าม
กล่าวจบรีบซุกต้นหญ้าสีดำสนิทต้นนั้นไว้ในอกเสื้อเตรียมทะยานขึ้นสู่เบื้องบน พลันสายตาของจ่านจือไปสะดุดกับวัตถุสิ่งหนึ่งเข้าพอดี สิ่งที่มองเห็นอยู่ห่างออกไปซึ่งเป็นชะง่อนผาขนาดใหญ่มีเถาวัลย์กับต้นไม้ขึ้นอยู่ประปราย ไม่รอช้าเขารีบพุ่งร่างตรงไปอย่างรวดเร็ว พอเข้าใกล้เห็นเป็นชายเสื้อโผล่พ้นออกมาเห็นไม่ชัดเจนนักเนื่องจากมีต้นไม้ขึ้นบดบังอยู่หลายต้น
ชะง่อนหินนี้สามารถยืนได้สามถึงสี่คน เมื่อจ่านจือทิ้งร่างลงมายังชะง่อนหินแล้ว สิ่งที่พบเห็นตรงหน้าคือร่างของคนผู้หนึ่ง นอนคว่ำหน้ามือและขาเกี่ยวอยู่กับง่ามกิ่งของต้นไม้ มิฉะนั้นร่างคงจะร่วงหล่นลงสู่เบื้องล่างหุบเหวแล้ว จ่านจือรีบใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางแตะริมปลายจมูกรู้สึกถึงลมหายใจแผ่วเบาจึงรู้ว่ายังไม่เสียชีวิต
ดังนั้นจึงมิรอช้ารีบประคองอุ้มร่างขึ้นพาดบ่าแล้วทะยานด้วยวิชาตัวเบา ใช้เคล็ดหยิบยืมพลังปลายเท้าสะกิดปลายชะง่อนหินผาไม่กี่คราพาร่างขึ้นสู่เบื้องบนอย่างรวดเร็ว เขามีความรู้สึกว่าตั้งแต่ขอทานพเนจรหวงเกาฉือทะลวงจุดชีพจรให้กับเขา อีกทั้งถ่ายทอดพลังวัตรของท่านให้อีก วิชาตัวเบาของเขาในขณะนี้ก้าวหน้าไปอีกสองสามเท่าตัว ถึงแม้จะแบกร่างคนเจ็บไว้บนบ่ากลับกระโดดได้อย่างเบาแรง โดยที่พลังลมปราณไม่สะดุดและยังต่อเนื่องไม่ขาดตอนอีกด้วย
เมื่อขึ้นสู่ด้านบนจ่านจือรีบวางร่างคนเจ็บลงกับพื้นอย่างแผ่วเบา ดูจากลักษณะตามร่างกายมีร่องรอยบาดแผลจากการโดนทำร้ายมีโลหิตไหลซึมหลายแห่ง บางแห่งโลหิตได้แห้งจนเกรอะกรังจับตัวเป็นก้อน คนเจ็บเป็นชายอายุราวเจ็ดสิบปีผมยาวสีขาวมัดด้วยเศษผ้าอย่างลวก ๆสวมชุดเก่ามีรอยปะชุนต้องเป็นขอทานที่มาชุมนุมอย่างแน่นอน จ่านจือคิดในใจ
จ่านจือรีบสำรวจบาดแผลเมื่อสำรวจจนทั่วแล้ว เขารีบล้วงต้นหญ้ามังกรดำจากในอกเสื้อออกมาเคี้ยวแล้วประกบลงไปยังบาดแผลที่ปรากฏ สักครู่หนึ่งคนผู้นั้นเริ่มขยับตัวเคลื่อนไหวพร้อมกับส่งเสียงแผ่วเบาฟังไม่ได้ศัพท์ จ่านจือพอจับใจความได้ประโยคเดียวว่า “ตัวปลอม” นอกนั้นจับประเด็นอะไรมิได้เลย จึงรีบประคองร่างชายชราผู้นั้น พร้อมกับกล่าวว่า
“ท่านอาวุโส ท่านได้รับบาดเจ็บอย่าเพิ่งกล่าวกระไร? นอนพักสักครู่เดี๋ยวข้าพเจ้าจะไปตามขอทานคนอื่น ๆ มาช่วยนำท่านกลับไปรักษาอาการบาดเจ็บ”
ชายชราผู้นั้นรีบยกมือโบกไปมาเป็นการบอกว่าไม่ต้องไปตามผู้ใด ให้จ่านจือนำท่านไปยังสถานที่ปลอดภัยที่ไม่มีผู้คนพบเห็นเป็นพอ
จ่านจือพยักหน้ารับทราบและเข้าใจ รีบแบกร่างชายชราผู้นั้นไปยังด้านหนึ่งของสถานที่ แลเห็นภูเขาอยู่ไม่ไกลมีถ้ำเล็ก ๆ อยู่ลูกหนึ่งจึงรีบแบกชายชราท่านนั้นเข้าไปยังด้านใน เขาอดนึกสงสัยมิได้ว่าชายชราผู้นี้เป็นใครกัน แล้วไฉนจึงถูกทำร้ายจนตกหน้าผาได้ แล้วผู้ใดเป็นคนลงมือโหดเหี้ยมเช่นนี้
จ่านจือหลังจากเลือกมุมหนึ่งของถ้ำเห็นว่าใช้ได้ จึงประคองร่างอาวุโสท่านนั้นให้นั่งพิงเอนไปกับผนังถ้ำ หลังจากนั้นล้วงไปในอกเสื้อหยิบต้นหญ้ามังกรดำสองใบ ยื่นส่งให้กับท่านอาวุโสท่านนั้น หญ้ามังกรดำมีสรรพคุณในการรักษาอาการบาดเจ็บภายใน เช่นอาการบอบช้ำเลือดคั่งหรือบาดแผลภายในร่างกาย และยังสามารถใช้เป็นยาสมานแผลภายนอกได้ชะงัดนัก
“ท่านอาวุโส นี่คือหญ้ามังกรดำที่หายากยิ่ง ข้าพเจ้าบังเอิญพบเจอตอนที่ลงไปใต้เขาแล้วพบท่านอาวุโสนอนสลบอยู่ ท่านรีบเคี้ยวรับประทานลงไปมันจะช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของท่านให้ทุเลาได้เร็วขึ้นอย่างอัศจรรย์”
อาวุโสท่านนั้นรีบรับหญ้ามังกรดำจากมือของจ่านจือ พร้อมกับยื่นส่งเข้าปากขบเคี้ยวใบหญ้ามังกรดำลงท้องไป สายตาจับจ้องมองจ่านจืออย่างรู้สึกขอบคุณที่ช่วยชีวิตท่านไว้ เมื่อรับประทานต้นหญ้ามังกรดำเข้าไปได้พักใหญ่ อาการของอาวุโสท่านนั้นดูดีขึ้น ตอนนี้อาวุโสท่านนั้นเริ่มใช้กำลังภายในสำรวจจุดชีพจรภายในร่างที่ได้รับบาดเจ็บ เมื่อลืมตาขึ้นยังคงเห็นจ่านจือนั่งอยู่ด้านข้างด้วยความเป็นห่วง อาวุโสท่านนั้นจึงเอ่ยวาจาขึ้นว่า
“ข้าผู้เฒ่ามีนามว่าทิกว่อ ขอทานน้อยใหญ่เรียกหาข้าว่า ผู้เฒ่าลำดับเก้า ไม่ทราบว่าขอทานน้อยท่านมีนามว่ากระไร? ข้าผู้เฒ่าลำดับเก้าต้องขอบคุณท่านที่ช่วยชีวิตไว้ในครั้งนี้ มิฉะนั้นแล้วค่ำคืนนี้ต้องเกิดเรื่องราวไม่ดีขึ้นในหมู่ขอทานเป็นแน่แท้”
“เรียนท่านผู้เฒ่า ข้าพเจ้ามีนามว่าหานชงท่านมิต้องเกรงใจ การช่วยเหลือผู้คนเป็นอุดมการณ์ของข้าพเจ้าอยู่ก่อนแล้ว แต่มิทราบว่าท่านผู้เฒ่าถูกผู้ใดทำร้ายเอา ถึงได้ตกลงไปยังใต้เขาแห่งนั้น กรุณาเล่าเหตุการณ์ให้ข้าพเจ้าฟังได้หรือไม่?”
จ่านจือหลังจากได้รับฟังคำแนะนำตัวของขอทานอาวุโสท่านนั้นแล้ว จึงได้ทราบว่าท่านมีนามว่าทิกว่อขอทานต่างเรียกว่าผู้เฒ่าลำดับเก้า และเขาได้บอกชื่อไปโดยใช้ชื่อปลอมว่าหานชง มิได้บอกความจริงว่าเขามีชื่อว่าจ่านจือ ผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อจึงได้เริ่มเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เขาฟังว่า
เมื่อคืนขณะที่ท่านกำลังเดินสำรวจสถานที่ เพื่อเตรียมการสำหรับการชุมนุมในค่ำคืนนี้ โดยเมื่อคืนท่านออกมาเพียงลำพังมิมีขอทานอื่นติดตามมาด้วย ขณะที่ท่านกำลังสำรวจสถานที่อยู่นั่นเอง มีขอทานสามคนกำลังยืนสนทนาเรื่องราวบางประการมีพิรุธน่าสงสัย เมื่อพบท่านจึงได้สนทนากันเพียงสองสามประโยค มิคาดคิดว่าเมื่อขอทานสามคนนั้นทราบว่าท่านคือผู้เฒ่าลำดับเก้า สองในสามขอทานนั่นกลับลงมือทำร้ายท่านโดยมิทันตั้งตัว ท่านเองมิทราบว่าเพราะสาเหตุใดขอทานสองคนนั้นจึงได้ทำร้ายท่าน
ตอนนั้นท่านเองโดนซัดไปหลายฝ่ามือ เมื่อรู้ว่าสู้สองคนนั้นไม่ได้อีกทั้งยังมีอีกคนคอยคุมเชิงอยู่ด้านข้าง ท่านจึงได้หลบหนีมาทางด้านริมเขาแห่งนั้น เมื่อสามคนนั้นติดตามมาทันหนึ่งในสามขอทานใช้กระบี่ตรงเข้าสังหาร ท่านจึงโดนกระบี่ฟันเข้าใส่บริเวณไหล่ขวาหนึ่งแผล โชคดีที่ช่วงเวลาที่กระบี่เล่มนั้นฟันผ่านร่าง เป็นจังหวะที่ท่านก้าวถอยหลังเหยียบเข้ากับก้อนหินก้อนหนึ่งริมเขา
ในตอนนั้นได้รับบาดเจ็บเรี่ยวแรงเหลือน้อยเต็มที จึงได้เสียหลักร่างเอียงวูบลงจึงโดนกระบี่ฟันเฉี่ยวหัวไหล่ขวาไปไม่ลึกนัก ทำให้ท่านพลัดตกเขาแห่งนั้นจนหมดสติไป กระทั่งจ่านจือมาพบเห็นเข้าและช่วยนำท่านขึ้นมานั่นเอง จ่านจือได้ฟังท่านเล่าจบจึงได้ซักถามผู้เฒ่าลำดับเก้าไปว่า
“แล้วขอทานสามคนที่ท่านผู้เฒ่ากล่าวถึงและทำร้ายท่านมีลักษณะเช่นไร รบกวนท่านผู้เฒ่าบอกเล่าลักษณะของสามคนนั่น ให้ข้าพเจ้าฟังสักหน่อยจะได้หรือไม่?”
“ในขอทานสามคน สองคนมีอายุไล่เลี่ยกับข้าแต่งกายเป็นขอทาน อีกผู้หนึ่งอายุยังเยาว์น่าจะราว ๆ ยี่สิบเห็นจะได้ แต่คาดเดาว่าพลังฝีมือยังร้ายกาจสูงส่งกว่าสองคนที่อายุมากกว่า ข้าดูลักษณะแล้วไม่น่าจะเป็นขอทานจริง ๆ ดังนั้นข้าคิดว่าอาจจะเป็นผู้ไม่ประสงค์ดีปลอมตัวเข้ามาก่อกวนในค่ำคืนนี้ ก่อนหน้านั้นท่านขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ส่งข่าวมาว่าท่านได้ส่งขอทานอาวุโสสองท่านกับขอทานน้อยอีกผู้หนึ่ง เดินทางล่วงหน้ามาก่อนหน้าท่าน เพื่อมาช่วยจัดเตรียมการชุมนุมของเหล่าบรรดาขอทานในครั้งนี้ เห็นทีว่าขอทานสามคนนั้นคงเป็นตัวปลอม ดังนั้นข้าจึงคิดว่าสามคนที่ท่านขอทานพเนจรส่งมา คงประสบกับเคราะห์กรรมที่ไม่ดีเป็นแน่แท้”
“แล้วท่านผู้เฒ่าเตรียมการจะกระทำเช่นไรต่อไป? ฟังจากเรื่องราวที่ท่านเล่ามาทั้งหมด ค่ำคืนนี้ในการชุมนุมจะต้องมีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นอย่างแน่นอน หากท่านผู้เฒ่ามีเรื่องราวใดที่จะให้ข้าพเจ้าช่วยเหลือ โปรดบ่งบอกออกมาอย่าได้เกรงใจ ข้าพเจ้ายินดีจะให้ความช่วยเหลืออยางเต็มที่ ไม่ว่าเช่นไรข้าพเจ้าจะต้องยับยั้งแผนการชั่วในค่ำคืนนี้ให้จงได้ ไม่ว่ามันผู้นั้นจะเป็นผู้ใดก็ตาม”
ผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อเพ่งมองจ่านจือ ฟังจากน้ำเสียงและประกายสายตา ท่านดูออกว่าเขามิใช่ขอทานน้อยธรรมดาทั่วไป มิฉะนั้นแม้แต่ตัวท่านเองการที่จะปีนป่ายขึ้นมาจากใต้หุบเขาอันสูงชันยังกระทำได้ลำบากยิ่ง มิหนำซ้ำเขายังแบกร่างของท่านเพิ่มมาอีกผู้หนึ่ง หากมิใช่ผู้ที่มีวิทยายุทธ์สูงเยี่ยมวิชาตัวเบาอันสูงส่งแล้ว คงมิอาจนำท่านขึ้นมาจากใต้หุบเขานั้นได้อย่างเด็ดขาด
ท่านเองยังมิอยากจะซักถามจ่านจือว่ามีความเป็นมาเช่นไร ฟังจากคำพูดและการกระทำของเขาแล้ว คิดว่าขอทานน้อยผู้นี้เป็นคนดีมีคุณธรรมอย่างแน่นอน ดังนั้นท่านจึงกล่าวกับจ่านจือว่า
“ค่ำคืนนี้บรรดาขอทานน้อยใหญ่รวมตัวจัดการชุมนุมขึ้น นอกจากจะเป็นการต้อนรับท่านขอทานพเนจรหวงเกาฉือแล้ว อีกประการหนึ่งค่ำคืนนี้จะมีการหารือถกปัญหาเกี่ยวกับการชุมนุมคัดเลือกผู้นำชาวยุทธ์ที่จัดขึ้นยังวัดเส้าหลิน หัวข้อที่ต้องถกเถียงกันนั่นคือ หาคำตอบว่าบรรดาขอทานทั้งหลายจะส่งตัวแทนเข้าร่วมชิงผู้นำชาวยุทธ์ด้วยหรือไม่?”
ผู้เฒ่าลำดับเก้าหยุดวาจาพร้อมกับขยับร่างก้าวเดิน จ่านจือรีบตรงไปประคองท่านแล้วทั้งสองจึงเดินออกมายังปากถ้ำ ผู้เฒ่าลำดับเก้าจึงกล่าววาจากับเขาต่อว่า
โดยปกติท่านขอทานพเนจรจะไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้ แต่ในครั้งนี้ท่านจะเดินทางเข้าร่วมชุมนุมชาวยุทธ์ด้วย หลังจากท่านเดินทางท่องเที่ยวอยู่ทางเหนือ มิเคยกลับมาจงหยวนนานราวสิบกว่าปีได้แล้ว ครั้งนี้หากท่านกลับเข้าสู่จงหยวนคงมีเรื่องราวที่ท่านคิดจะกระทำเป็นแน่แท้
“ในค่ำคืนนี้ในงานชุมนุมของบรรดาขอทานทั้งหลาย มิทราบว่าท่านอาวุโสพอจะทราบหรือไม่? ว่าผู้ใดเป็นผู้นำในการจัดการชุมนุมในครั้งนี้ หรือว่าเป็นสามคนที่ท่านขอทานพเนจรให้เดินทางล่วงหน้ามาก่อน ฟังจากที่ท่านเล่าทั้งสามคนนั่นอาจประสบชะตากรรมอันเลวร้ายแล้ว ฉะนั้นในค่ำคืนนี้สามคนที่ทำร้ายท่านจะต้องปรากฏตัว และแอบอ้างว่าเป็นคนที่ท่านขอทานพเนจรมอบหมายให้มาทำหน้าที่แทนเป็นแน่แท้ ท่านผู้เฒ่าเห็นด้วยกับข้าพเจ้าหรือไม่?”
ผู้เฒ่าลำดับเก้าพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของจ่านจือ ท่านจึงใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงหันมากล่าวกับเขาว่า
“เหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งชั่วยาม จวนจะถึงหมายกำหนดการในการชุมนุม ตอนนี้ข้าเองรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว คิดไม่ถึงว่าหญ้ามังกรดำที่เจ้าให้ข้ารับประทานลงไป จะมีสรรพคุณเลิศล้ำพิสดารถึงเพียงนี้ นอกจากท่านจะมีวรยุทธ์สูงส่งแล้ววิชาแพทย์ของท่านยังล้ำเลิศนัก หากภายหน้าข้าผู้เฒ่ายังไม่ตายคงจะได้ทราบชื่อเสียงที่แท้จริงของท่าน ตอนนี้เอาเป็นว่า...”
ทางด้านซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินหลังจากเวลาผ่านไปทั้งสองสำรวจจนทั่วบริเวณ ไม่พบเห็นว่ามีสิ่งใดผิดปกติจึงได้กลับมายังสถานที่นัดหมาย เมื่อทั้งสองมาถึงยังมิพบเห็นจ่านจือ ซื่อเหมี่ยนจึงกล่าวกับอี้เซินว่า
“อี้เซินพบเห็นสิ่งใดผิดปกติบ้างหรือไม่ ข้าไม่พบเห็นสิ่งใดผิดปกติ มีเพียงบรรดาขอทานต่างเร่งทยอยมามิขาดสาย มิทราบว่าเซี่ยวจือจะได้เบาะแสใดมาบ้าง?”
“ข้าพเจ้าสำรวจจนทั่วไม่พบกับสิ่งผิดปกติ นี่จวนใกล้เวลาเริ่มการชุมนุมแล้ว เราทั้งสองรอเซี่ยวจือกลับมาแล้วรีบเข้าไปในงานกันดีกว่า”
อี้เซินตอบคำถามของซื่อเหมี่ยน พลางออกความเห็นว่าควรจะรีบเข้าไปในงานชุมนุมได้แล้ว เพื่อจะได้ดูว่ามีสิ่งใดให้สืบสาวเรื่องราวอีกบ้าง พอดีเห็นร่างของจ่านจือเร่งฝีเท้าก้าวเดินตรงมายังตำแหน่งที่ทั้งสองยืนอยู่
“พี่ซื่อเหมี่ยน พี่อี้เซิน ท่านอย่าเพิ่งซักถามกระไรข้าพเจ้า ท่านทั้งสองรวมทั้งข้าพเจ้ามีเรื่องราวต้องกระทำเร่งด่วน ท่านทั้งสองรีบปลอมแปลงโฉมหน้ากันเร็วเข้า เดี๋ยวจะไม่ทันเริ่มงานชุมนุม”
อี้เซินเห็นท่าทีเร่งร้อนของจ่านจือ ทราบได้ทันทีว่าเขาจะต้องได้เบาะแสบางอย่างมาแน่นอน รีบเดินตามจ่านจือไปพร้อมกับซื่อเหมี่ยน ทั้งสามหลบเข้ายังสถานที่ลับตาคนที่หนึ่ง เมื่อคิดว่าไม่มีผู้ใดผ่านมาพบเห็น ทั้งสามจึงได้รีบปลอมแปลงโฉมหน้ากันอีกครั้ง
“ว่าแต่ครั้งนี้เราจะปลอมเป็นผู้ใดกันละเซี่ยวจือ รีบบอกพี่สาวทั้งสองมาเร็วเข้า อีกทั้งเจ้าได้เบาะแสใดมา? รีบบอกกล่าวออกมาอย่าได้ปิดบัง”
ซื่อเหมี่ยนรีบส่งเสียงกล่าวถามจ่านจือ นางถามว่าจะให้นางทั้งสองปลอมเป็นใครกัน และกล่าวถามว่าเขาไปพบเบาะแสใดมา จ่านจือจึงรีบกล่าวตอบว่า
“พี่ซื่อเหมี่ยน พี่อี้เซิน ตอนนี้ไม่มีเวลาอธิบายแล้ว พี่ซื่อเหมี่ยนท่านปลอมเป็นผู้เฒ่าลำดับแปด พี่อี้เซินท่านปลอมเป็นผู้เฒ่าลำดับเจ็ด ส่วนข้าพเจ้าไม่ถึงกับต้องชราถึงปานนั้น มามาข้าพเจ้าจะช่วยพี่สาวทั้งสองเปลี่ยนโฉมหน้า”
“เช่นนี้เซี่ยวจือเจ้าเอาเปรียบพี่ใหญ่กับพี่รองนะสิ เราทั้งสองต้องเป็นปลอมเป็นผู้เฒ่าแก่ชรา เจ้ากลับไม่ต้องทำตัวเป็นคนแก่เช่นพี่สาวทั้งสอง เจ้ารีบบอกออกมาดีกว่าว่าเจ้ามีแผนการใด?”
“เอาเถอะพี่สาวทั้งสอง ถือว่าข้าพเจ้าให้เกียรติท่านทั้งสองเป็นผู้อาวุโสก็แล้วกัน ส่วนแผนการข้าพเจ้าจะค่อย ๆ บอกกล่าวกับพี่สาวทั้งสอง เท่านี้ก็เรียบร้อยดูสิพี่สาวทั้งสองของเซี่ยวจือ ดูไปไม่ต่างกับผู้เฒ่าชราวัยเจ็ดสิบปีแปดสิบปีมิปาน”
จ่านจือกล่าววาจาสัพยอกแก่ซื่อเหมี่ยนกับอี้เซิน นางทั้งสองมิได้ถือสาหาความกระไร ที่เขาให้นางทั้งสองแปลงโฉมเป็นชายชราอายุเจ็ดสิบแปดสิบปี เพียงแต่กล่าววาจาหยอกล้อเซี่ยวจือไปเท่านั้น เมื่อทั้งสามออกมาจากมุมลับบัดนี้กลายเป็นว่ามีขอทานชราสองคนกับขอทานน้อยอีกผู้หนึ่ง ทั้งสามรีบตรงเข้าไปหน้าเวทีการชุมนุมในทันที
บัดนี้ด้านข้างของเวทีสองฝั่งสว่างไสวไปด้วยแสงไฟจากกองฟืนที่เตรียมไว้ ทั้งสามรีบหาที่ว่างด้านข้างเวทีซึ่งไม่เป็นที่สังเกตของผู้คน มองไปยังด้านหน้าเวทียืนเนืองแน่นไปด้วยบรรดาขอทานน้อยใหญ่นับพันคน บนเวทียังคงว่างเปล่ายังไม่มีผู้ใดขึ้นไปกล่าววาจาเริ่มการชุมนุมแต่อย่างใด
สักพักมีคนผู้หนึ่งก้าวย่างขึ้นสู่พื้นเวทีพร้อมกับหยุดยืนอยู่ตรงกลางเวที ทั้งสามใช้สายตาเพ่งมองกลับเห็นว่าเป็นขอทานน้อยผู้ซึ่งสนทนาด้วยเมื่อตอนกลางวันนั่นเอง ทั้งสามจึงรอดูว่าขอทานน้อยผู้นี้จะกล่าววาจาใดต่อไป ขอทานน้อยผู้นั้นโบกมือเป็นการบอกให้บรรดาขอทานอยู่ในความเงียบสงบ เมื่อเสียงขอทานเงียบลงแล้วส่งเสียงอันดังกล่าวว่า
“ข้าพเจ้ามีชื่อว่าอาฉิน สาเหตุที่บังอาจขึ้นมาบนเวทีเพราะว่ามีเรื่องราวจะบอกกล่าวแก่ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าเดินทางมากับท่านอาวุโสสองท่านกับจอมยุทธ์ผู้หนึ่ง ซึ่งท่านผู้เฒ่าขอทานพเนจรหวงเกาฉือ มอบหมายให้มาดำเนินการในงานชุมนุมขอทานครั้งนี้ คิดว่าท่านทั้งหลายคงพอจะได้ยินชื่อของท่านอาวุโสทั้งสองมาบ้าง อันได้แก่ท่านผู้เฒ่าลำดับแปดหว่านฉีกับผู้เฒ่าลำดับเจ็ดเยิ่นเหมา”
เมื่อขอทานผู้นั้นกล่าววาจาจบลง ปรากฏร่างสองสายพุ่งมาจากตำแหน่งหนึ่งของพื้นที่การชุมนุม ทั้งสองร่างพุ่งข้ามผ่านบรรดาขอทานที่ยืนอยู่หน้าเวที พร้อมกับทิ้งร่างลงตรงกลางเวทีพอดิบพอดี เห็นเป็นขอทานชราสองคนในมือถือไม้เท้าไม้ไผ่ ขอทานน้อยใหญ่ต่างตบมือพร้อมกับส่งเสียงดังอื้ออึง เป็นการต้อนรับขอทานชราลำดับแปดกับลำดับเจ็ด เมื่อเสียงสงบลงมีขอทานผู้หนึ่งส่งเสียงตะโกนกล่าวถามขึ้นมาว่า
“เรียนถามท่านอาวุโสทั้งสอง มิทราบว่าท่านทั้งสองพบเห็นท่านผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อบ้างหรือไม่? พวกเราทั้งหลายไม่พบหน้าท่านตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว หากท่านทั้งสามพบเห็นจงบอกกล่าวแก่พวกเราด้วย”
ผู้เฒ่าลำดับแปดก้าวเท้าออกมาหนึ่งก้าว พร้อมกับกล่าววาจาด้วยเสียงอันดังว่า
“ทุกท่านอยู่ในความสงบก่อน ข้าพเจ้าผู้เฒ่าลำดับแปดหว่านฉีเดินทางมาจากแดนใต้พร้อมกับผู้เฒ่าลำดับเจ็ดเยิ่นเหมา ที่สำคัญยังมีจอมยุทธ์อีกผู้หนึ่งซึ่งท่านขอทานพเนจรแต่งตั้งให้มาทำหน้าที่แทนท่านในครั้งนี้ ดังนั้นข้าพเจ้าผู้เฒ่าลำดับแปดจึงขอแนะนำท่านจอมยุทธ์ผู้นี้ให้ทุกท่านได้รู้จักก่อน แล้วทุกเรื่องราวให้ท่านผู้นี้เป็นผู้ตอบคำถามทุกท่านก็แล้วกัน”
เมื่อผู้เฒ่าลำดับแปดกล่าวจบ มีเสียงชายเสื้อปะทะลมดังขึ้นจากมุมมืดด้านตรงข้ามกับเวที พร้อมกับร่างหนึ่งสาดทะยานพุ่งมาด้วยความรวดเร็วมุ่งตรงมายังด้านหน้าเวที เมื่อมาถึงกึ่งกลางเวทีหมุนร่างกลางอากาศดั่งลูกข่างหลายรอบ ก่อนจะทิ้งร่างลงใกล้ ๆ กับผู้เฒ่าลำดับแปดและผู้เฒ่าลำดับเจ็ด
เมื่อหยุดร่างแน่นิ่งเห็นเป็นขอทานอายุเยาว์หน้าตาหมดจด การแต่งกายถึงแม้จะเป็นชุดขอทานแต่ดูค่อนข้างใหม่และสะอาดสะอ้านกว่าทุกคน จ่านจือจับจ้องมองขอทานผู้นั้นมิวางตาคนผู้นั้นช่างคุ้นตาเขายิ่งนัก โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นดูเหมือนเขาจะเคยพบเห็นมาก่อน ซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินเห็นจ่านจือเอาแต่จับจ้องมองขอทานผู้นั้น อี้เซินจึงกระทุ้งแขนเข้าใส่สีข้างจ่านจือเบา ๆ
จ่านจือเมื่อรู้สึกตัวว่าพี่สาวทั้งสองของตน รู้ว่าตนจับจ้องมองขอทานผู้นั้นจนผิดสังเกตจึงได้ละสายตากลับมามองนางทั้งสอง แล้วจึงตั้งใจฟังคำกล่าวของผู้เฒ่าลำเจ็ดที่กำลังกล่าววาจาขึ้นว่า
“ข้าพเจ้าผู้เฒ่าลำดับเจ็ดเยิ่นเหมาขอแนะนำจอมยุทธ์ท่านนี้ ซึ่งท่านขอทานพเนจรหวงเกาฉือมอบหมายให้มาเป็นตัวแทนท่านในการชุมนุมในครั้งนี้ ท่านจอมยุทธ์ที่เห็นอยู่ตรงหน้ามีชื่อว่าเหยาจิ้งเฟย เป็นจอมยุทธ์ที่มีฝีมือยอดเยี่ยมสูงส่ง ท่านเหยาจิงเฟยเลื่อมใสในอุดมการณ์ของท่านขอทานพเนจร จึงได้สมัครเข้าร่วมเป็นพวกเดียวกับพวกเราด้วย ส่วนท่านใดมีเรื่องราวใดจะซักถามอีกสักครู่รอให้ท่านเหยาจิ้งเฟยกล่าววาจาจบแล้วค่อยซักถาม”
เมื่อผู้เฒ่าลำดับเจ็ดเยิ่นเหมากล่าวจบ ขอทานผู้ที่ถูกเรียกว่าเหยาจิ้งเฟยก้าวออกมาหน้าเวทีพร้อมกับกล่าววาจาดังสดใสว่า
“ข้าพเจ้าเหยาจิ้งเฟยขอคารวะท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนักที่ได้รับความไว้วางใจจากท่านผู้เฒ่าขอทานพเนจร ในการเป็นตัวแทนของท่านผู้เฒ่าให้มาทำหน้าที่ในครั้งนี้ ข้าพเจ้ามีเรื่องราวหลายเรื่องที่ได้รับมอบหมายให้มาแจ้งแก่ท่านทั้งหลาย แต่ก่อนที่จะบ่งบอกออกไปข้าพเจ้าขอบอกกล่าวเกี่ยวกับท่านผู้เฒ่าลำดับเก้าทิกว่อก่อน ซึ่งทุกท่านทั้งหลายถามหาก่อนจะดีกว่าหรือไม่?”
เหยาจิ้งเฟยเว้นช่วงเล็กน้อย ได้ยินเสียงบรรดาขอทานน้อยใหญ่ส่งเสียงสนับสนุนดังลั่น ขอทานหลายคนส่งเสียงขึ้นมาว่า
“ดี ๆ พวกเราเห็นด้วย ก่อนที่จะแจ้งข่าวใด พวกเราต้องการทราบว่าท่านผู้เฒ่าลำดับเก้าของพวกเราหายไปไหน? โดยปกติท่านจะต้องมาเป็นผู้นำของบรรดาขอทานในจงหยวนเสมอ ครั้งนี้ไม่เห็นท่านเราทั้งหลายจึงสงสัยเป็นยิ่งนัก”
เหยาจิ้งเฟยหันสบตาผู้เฒ่าแปดและเจ็ดวูบหนึ่ง แต่ยังคงสีหน้าปกติไม่เป็นที่น่าสังเกตหรือเป็นที่สงสัยแต่ประการใด คนผู้นี้เป็นใครกัน และมีแผนการชั่วร้ายใดกันแน่
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564