Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (ชุมนุมขอทานดอยตะวัน)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

ชุมนุมขอทานดอยตะวัน

  • 13/08/2565

ตอนที่ 25

ชุมนุมขอทานดอยตะวัน

หลังจากปลอมแปลงตัวเป็นขอทานเดินทางออกจากหมู่บ้านเย้ยอรุณ จ่านจือกับซื่อเหมี่ยนและอี้เซินเดินทางล่วงเลยเป็นเวลาสองวัน ทั้งสามจึงบรรลุถึงเชิงเขาดอยตะวัน ตอนนี้เป็นเวลายามซิ้ง(ประมาณแปดนาฬิกา) ค่ำคืนที่ผ่านมาทั้งสามใช้สถานที่เชิงเขาแห่งนี้เป็นที่พักผ่อนหลับนอน เมื่อทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยเสร็จสิ้นแล้ว ทั้งหมดจึงเตรียมออกเดินทางขึ้นดอยตะวันในทันที            

เป็นดั่งที่อาวุโสขอทานพเนจรหวงเกาฉือคาดการณ์ไว้ สองวันที่ผ่านมาทั้งสามเดินทางในคราบของยาจกขอทาน มิมีคนของหมู่ตึกกระเรียนฟ้ากลุ่มใดสะกิดความสงสัยแม้แต่น้อย หากมิได้ปลอมแปลงตัวออกเดินทางดั่งเช่นปกติคิดว่าคงถูกคร่ากุมตัวแล้ว พี่สาวทั้งสองของจ่านจือคงหนีไม่พ้นต้องถูกสังหารระหว่างทางอย่างแน่นอน

ส่วนตัวของจ่านจือ หลิวกงกงมีคำสั่งให้คร่ากุมตัวกลับไปยังหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ด้วยมีเรื่องข้องใจบางประการที่ต้องการเค้นถามเอาจากเขา สุดท้ายชะตากรรมคงไม่แตกต่างจากพี่สาวทั้งสองอยู่ดี ดังนั้นทั้งสามจึงเดินทางด้วยความราบรื่น ระหว่างทางพบพานขอทานจำนวนมากทุกคนกำลังเดินทางขึ้นดอยตะวันเช่นกัน ขอทานทุกคนเมื่อพบหน้ากันต่างเคาะไม้ไผ่ลงกับพื้นสามครั้งเป็นการทักทาย             

ศิษย์ของขอทานพเนจรมีอยู่ทั่วแผ่นดิน ถึงแม้ท่านผู้เฒ่าจะยังมิได้ก่อตั้งพรรคหรือสำนักตามที ขอทานน้อยใหญ่ต่างสมัครใจที่จะเข้าร่วมอุดมการณ์เดียวกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นขอทานแต่ทุกคนกลับมีจิตใจสะอาดบริสุทธิ์ ซึ่งตรงกันข้ามกับเสื้อผ้าที่สวมใส่ที่ดูแล้วสกปรกมอมแมมน่ารักเกียจ ในสายตาของผู้รากมากดีมีอันจะกินเห็นขอทานเหล่านี้สกปรกน่ารังเกียจ บางคนตระหนี่ขี้เหนียวเพียงเศษอาหารที่เหลือยังมิยอมแบ่งปันให้กับพวกเขา       

ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเหล่าขอทานทุกคนถูกสั่งสอนให้คอยช่วยเหลือผู้เดือดร้อนโดยไม่แบ่งฐานะยากดีมีจน สิ่งตอบแทนต่างมิได้ต้องการสิ่งใดมากนักเพียงแบ่งปันน้ำใจใส่เศษข้าวปลาอาหารที่เหลือรับประทานลงในชามปากบิ่นที่พกพาติดตัวซักเล็กน้อยถือว่าใช้ได้แล้ว

แต่ปณิธานอันยิ่งใหญ่ไปกว่านั้นเหล่าขอทานต่างมีอุดมการณ์เดียวกัน นั่นคือขับไล่คนชั่วผู้รุกรานแผ่นดินให้สิ้นไป ดังตัวอย่างที่ผ่านมาในภาวะสงครามเหล่าขอทานนับหมื่นคนต่างช่วยกันบุกทำลายค่ายทหาร กับกองกำลังต่างชาติผู้รุกรานแผ่นดินจนแตกกระเจิงหนีไป เป็นการช่วยเหลือทางการได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งเหล่าผู้ที่มียศถาบรรดาศักดิ์กลับหดหัวรักตัวกลัวตาย ทำตัวดั่งเต่าที่หดหัวอยู่ในกระดองทำนองนั้น

 

             เมื่อทั้งสามเดินทางเข้าเขตพื้นราบซึ่งใช้เป็นสถานที่จัดการชุมนุมของเหล่าบรรดาขอทาน มองออกไปเห็นขอทานน้อยใหญ่ต่างทยอยเดินทางมามิขาดสาย ทั้งสามจึงเดินแทรกเข้าไปในขบวนขอทานกลุ่มหนึ่งซึ่งเดินทางมาชุมนุมในครั้งนี้ เห็นบนที่ราบเป็นพื้นดินขนาดใหญ่โตกว้างขวาง บัดนี้ได้ถูกจัดสร้างเป็นพื้นเวทีแบบง่าย ๆ ยกสูงจากพื้นดินราวสามถึงสี่วา ด้านข้างของเวทีสุมด้วยกองฟืนและเศษไม้สำหรับใช้เป็นเชื้อไฟให้แสงสว่างในเวลาค่ำคืน            

การปลอมตัวมางานชุมนุมขอทานจำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อแซ่ จ่านจือใช้ชื่อว่าหานชง ซื่อเหมี่ยนใช้ชื่อมู่เหวิน ส่วนอี้เซินถูกเรียกหาว่าเกาจง หลังจากเดินสำรวจจนทั่วบริเวณแล้ว ทั้งสามเลือกเข้าไปตีสนิทกับขอทานน้อยอายุเยาว์ผู้หนึ่งในการสนทนา ขอทานน้อยผู้นั้นบัดนี้กำลังนั่งพักผ่อนอยู่ด้านหนึ่งของสถานที่ ทั้งสามจึงเดินเข้าไปหาพร้อมกับจ่านจือส่งเสียงกล่าวทักทายว่า

“รบกวนสหายสักครู่ มิทราบว่าสหายน้อยพอจะทราบหรือไม่? การชุมนุมจะเริ่มขึ้นเวลาใด ข้าพเจ้าชื่อหานชง ส่วนสองท่านนี้มีชื่อว่ามู่เหวินกับเกาจง เราสามคนเพิ่งสมัครเข้าเป็นศิษย์ของท่านผู้เฒ่าขอทานพเนจรเมื่อหกเดือนก่อน จึงไม่ค่อยรู้ธรรมเนียมปฏิบัติมากนัก จึงอยากรบกวนสอบถามสหายสักหน่อยจะได้หรือไม่?”            

ขอทานน้อยผู้นั้นรีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับแสดงความกระตือรือร้น  สองมือรีบประสานทั้งที่ยังคงกำไม้เท้าซึ่งเป็นลำไม้ไผ่อยู่ในมือ ทั้งสามรีบประสานมือตอบกลับไป ได้ยินทานน้อยผู้นั้นส่งเสียงเจื้อยแจ้วเจรจาว่า

“มิเป็นการรบกวนสหายทั้งสามอย่าได้เกรงใจ ข้าพเจ้าเองต้องการหาผู้คนสนทนาเป็นเพื่อนอยู่พอดี หากสหายทั้งสามมีสิ่งใดใคร่ซักถามเชิญตามสบาย เชิญสหายทั้งสามมานั่งพักผ่อนบริเวณนี้ก่อน หากมัวยืนสนทนาเกรงว่าจะเมื่อยล้าเสียเปล่า ๆ เพระว่าอีกนานโขเชียวงานชุมนุมจึงจะเริ่ม”

“ขอบคุณสหายท่าน เชิญพี่มู่กับพี่เกานั่งลงก่อน สหายน้อยเชิญนั่งลงด้วยกัน เราทั้งสามเพิ่งเดินทางมาจงหยวนเป็นครั้งแรก หากกระทำสิ่งใดผิดพลาดไปหรือมิถูกต้อง รบกวนแนะนำสั่งสอนด้วยจะถือเป็นพระคุณอย่างใหญ่หลวง”

จ่านจือรีบกล่าวขอบคุณแล้วเชื้อเชิญซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินนั่งลง ซึ่งในตอนนี้นางทั้งสองอยู่ในคราบของบุรุษใช้ชื่อมู่เหวินกับเกาจง เมื่อเชื้อเชิญพี่สาวทั้งสองแล้วจ่านจือรีบเชิญขอทานน้อยผู้นั้นนั่งลงพร้อมกัน ดูจากลักษณะภายนอกขอทานน้อยผู้นั่นน่าจะมีอายุไม่เกินยี่สิบปี หรือไม่ก็อ่อนวัยกว่าจ่านจือเล็กน้อย เมื่อนั่งลงแล้วขอทานผู้นั้นรีบกล่าววาจาแนะนำตัวเองว่า

“ข้าพเจ้ามีชื่อว่าอาฉิน ถิ่นเดิมอยู่ทางตอนใต้เมืองกวางโจวในมณฑลกว่างตง(กวางตุ้ง)เมื่อเข้าร่วมอุดมการณ์กับท่านผู้เฒ่าขอทานพเนจร จึงเดินทางมาขอทานยังภาคกลางจงหยวน หากจดจำมิผิดน่าจะห้าหกปีได้แล้วกระมัง? ครั้งนี้เมื่อได้ทราบข่าวการชุมนุมของพี่น้องขอทานจงหยวน ข้าพเจ้าจึงได้เดินทางขึ้นดอยตะวันมาเข้าร่วมการชุมนุม แล้วพวกเจ้าทั้งสามเดินทางมาจากสถานที่ใด?”

“พวกเราสามคนอาศัยอยู่แถบทะเลสาบซีหู เมืองหังโจวมณฑลเจ๋อเจียง พอดีเพิ่งเดินทางมาจงหยวนได้รับข่าวการชุมนุมเช่นกัน จึงได้รีบเดินทางขึ้นดอยมาเข้าร่วมงานในครั้งนี้ ขอเรียนตามตรงเราทั้งสามไม่ค่อยทราบธรรมเนียมสักเท่าใด?” 

อี้เซินดัดเสียงห้าวกระด้างดั่งบุรุษ แม้แต่จ่านจือกับซื่อเหมี่ยนพอได้ฟังยังอดหัวร่อขบขันในใจมิได้ ดังนั้นซื่อเหมี่ยนนางเองจึงแกล้งดัดเสียงเป็นบุรุษกล่าวเสริมเติมต่อทันทีว่า

“ถูกต้อง นอกจากไม่ทราบธรรมเนียมแล้ว เราสามคนในวัยเยาว์ลำบากยากแค้นแสนลำบาก ดังนั้นจึงมิได้อ่านเรียนเขียนอ่านเหมือนคนทั่วไป เราสามคนได้ยินขอทานกลุ่มหนึ่งสนทนากันเรื่องการชุมนุม จึงรีบเดินทางเข้าร่วมงานชุมนุมในครั้งนี้ หากมีสิ่งใดแนะนำสั่งสอนรบกวนสหายน้อยสอนสั่ง” 

ขอทานน้อยผู้นั้นพอได้ฟังอี้เซินกับซื่อเหมี่ยนกล่าวเช่นนั้น แสดงสีหน้ายิ้มย่องอย่างออกนอกหน้า จ่านจือแลเห็นเช่นนั้นรีบหยอดคำพูดไปอีกหลายประโยคว่า

“พี่ชายทั้งสองกล่าวเล่ามาทั้งหมดล้วนถูกต้อง ถึงแม้เราสามคนจะไม่รู้หนังสือแต่ด้วยชื่อเสียงของท่านผู้เฒ่า ทำให้เราทั้งสามคิดจะเข้าร่วมเป็นพี่น้องขอทานทั้งหลาย จุดประสงค์หนึ่งเพื่ออุดมการณ์อันน่าภาคภูมิใจ อันที่สองเราทั้งสามคนตั้งแต่เข้าร่วมอุดมการณ์ยังมิเคยได้พบหน้าท่านผู้เฒ่าขอทานพเนจรสักครั้งเดียว ครานี้จึงอยากจะพบเห็นท่านผู้เฒ่าสักครั้งเพื่อคารวะนับว่ามาไม่เสียเที่ยวแล้ว สหายน้อยเป็นงูเจ้าถิ่นคงรู้จักผู้คนมากมาย ดูจากลักษณะท่าทางของสหายน่าชื่อถือคบหา ไม่ทราบว่าสหายได้พบหน้าท่านผู้เฒ่าล่าสุดเมื่อใด?” 

จ่านจือป้อนลูกยอให้ขอทานน้อยผู้นั้นไปลูกใหญ่ แท้จริงแล้วที่เขาสนทนาเพียงเพื่อฆ่าเวลาและต้องการสืบหาว่ามีผู้ใดที่มิใช่ขอทานปลอมตัวเข้าร่วมงานเพื่อก่อกวนบ้างหรือไม่ ที่กล่าวถามออกไปมิได้มุ่งหวังคำตอบจากขอทานน้อยมากนัก เพราะดูจากลักษณะคล้ายกับเพิ่งสมัครเข้าเป็นขอทานเช่นกัน เพราะฟังจากคำพูดหลายประโยคจ่านจือพอจะดูออก พอเขาแกล้งยกยอปอปั้นเช่นนั้น ขอทานน้อยผู้นี้รีบยืดอกขึ้นอย่างภาคภูมิใจ พร้อมส่งเสียงแสดงความโอ้อวดรีบกล่าวตอบต่อทั้งสามว่า

“สหายท่านสายตาไม่เลวกลับดูออกว่าข้ามีหน้ามีตา ถูกต้องแล้วข้าพเจ้ารู้จักคุ้นเคยกับอาวุโสมีตำแหน่งหลายท่าน ส่วนที่ท่านถามมาเมื่อครู่ว่าพบหน้าท่านผู้เฒ่าล่าสุดเมื่อใด? ล่าสุดข้าพเจ้าได้พบเจอท่านผู้เฒ่าทางใต้เมืองฝอซันมณฑลกว่างตงเมื่อครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้เอง ตอนนั้นข้าพเจ้าเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านผ่านไปแถบนั้น พอทราบข่าวว่าท่านผู้เฒ่ามาข้าพเจ้าจึงได้เข้าคารวะท่าน”

ขอทานน้อยผู้นั้นเว้นจังหวะแล้วใช้ความคิดบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าววาจาบอกเล่าต่อทั้งสามว่า

“ในตอนนั้นนอกจากท่านผู้เฒ่าแล้ว ข้ายังได้พบกับผู้เฒ่าอีกสองท่าน ซึ่งได้แก่ผู้เฒ่าลำดับแปดกับผู้เฒ่าลำดับเจ็ดอยู่กับท่านผู้เฒ่าขอทานพเนจรด้วย แล้วยังมีจอมยุทธ์อีกผู้หนึ่งซึ่งท่านผู้เฒ่าให้ความไว้วางใจเป็นพิเศษ หลังจากนั้นอีกราวเจ็ดวันก่อนข้าเดินทางมาจงหยวน ได้พบพานกับท่านผู้เฒ่าอีกซึ่งท่านยังพำนักอยู่ฝอซัน ในครั้งนั้นท่านผู้เฒ่ายังได้แต่งตั้งให้ทั้งสองผู้เฒ่าที่ข้าพเจ้าเล่าเมื่อครู่กับจอมยุทธ์ท่านนั้นเป็นตัวแทนของท่าน เดินทางมาเป็นผู้นำในการชุมนุมในครั้งนี้ ท่านผู้เฒ่าขอทานพเนจรเกรงว่าจะติดธุระด่วนต้องเดินทางไปกระทำ อาจเดินทางมาล่าช้ากว่ากำหนดการเล็กน้อย แต่ท่านผู้เฒ่าบอกกล่าวว่าจะเดินทางมาสมทบภายหลังอย่างแน่นอน”

“แล้วมิทราบว่าท่านผู้เฒ่าเดินทางไปทำธุระยังสถานที่ใด? สหายพอจะทราบหรือไม่? เราสามคนเกรงว่าจะไม่ได้เข้าคารวะท่านผู้เฒ่าในคราวนี้ วานสหายช่วยให้ความกระจ่างแต่เราทั้งสามคนด้วยเถิด”

จ่านจือรีบกล่าวถามขอทานน้อยผู้นั้นทันที ทั้งเขากับซื่อเหมี่ยนและอี้เซิน ต่างคิดเห็นตรงกันว่าขอทานน้อยผู้นี้มีพิรุธหลายอย่าง แต่คำพูดของมันช่างกล่าวได้อย่างแนบเนียนมิกุกกักติดขัดแต่อย่างใด อีกทั้งยังแสดงสีหน้าท่าทางน่าเชื่อถืออีกด้วย หากทั้งสามมิได้พบกับท่านผู้เฒ่าขอทานพเนจรมาก่อน คงเชื่อในคำพูดของขอทานน้อยผู้นี้โดยมิสงสัย

ทั้งสามเพิ่งจะแยกกับท่านผู้เฒ่ามาเพียงสองวัน ท่านผู้เฒ่าเองเป็นผู้บอกกล่าวต่อทั้งสามกับปากของท่านว่า สิบกว่าปีมานี้ท่านอาศัยอยู่ทางเหนือไม่เคยเดินทางเข้าจงหยวน หรือแม้กระทั่งเดินทางลงใต้แม้แต่ครั้งเดียว  เมื่อได้ฟังวาจาของมันผู้นี้ทั้งสามจึงแกล้งเป็นทารกไร้เดียงสามิรู้ความตามสถานการณ์ อี้เซินรู้สึกคันปากเอ่ยซักถามต่อมันทันทีว่า

“นั่นนะสิสหายรีบบอกกล่าวแก่เราทั้งสามตามความเป็นจริง หากครั้งนี้ท่านผู้เฒ่าเดินทางมาไม่ทันการชุมนุม พอพี่น้องทั้งหลายแยกย้ายไปหมดสิ้นเราทั้งสามจะสอบถามใครเกี่ยวกับที่อยู่ของท่านผู้เฒ่า ขอเพียงสหายน้อยบอกมาว่าท่านผู้เฒ่าไปทำธุระยังสถานที่ใด? เราทั้งสามจะรีบเดินทางเสาะหาตัวท่านให้พบเพื่อคารวะท่านสักครั้งให้จงได้”

ขอทานน้อยผู้นั้นเมื่อได้ยินจ่านจือกับอี้เซินคาดคั้นซักถามมากเข้า คล้ายจะมีเรื่องราวใดปิดบังซ่อนเร้น ดังนั้นมันจึงรีบกล่าวตัดบทตอบว่า

“เรื่องนี้เห็นทีข้าพเจ้าไม่อาจจะให้คำตอบกับสหายทั้งสามได้”

“เป็นเพราะสาเหตุใด ในเมื่อสหายอยู่กับท่านผู้เฒ่า ไฉนถึงไม่อาจให้คำตอบแก่เราทั้งสามได้เล่า?” 

ซื่อเหมี่ยนกล่าวถามสวนไปทันที

 เรื่องนี้เป็นความลับมิอาจแพร่งพราย ท่านผู้เฒ่าเพียงบอกกับผู้เฒ่าอาวุโสอีกสองท่านกับจอมยุทธ์ท่านนั้นที่ข้าพเจ้าได้บอกเล่าไปเมื่อครู่ ผู้ซึ่งท่านได้แต่งตั้งให้มาทำหน้าที่ในการชุมนุมในครั้งนี้ ข้าพเจ้าเป็นเพียงขอทานปลายแถวแม้จะรู้จักคนอยู่มากก็ตาม แต่มิได้ยินคำพูดของท่านผู้เฒ่าด้วยหูตัวเอง ที่ข้าพเจ้าบอกว่าท่านผู้เฒ่าจะเดินทางไปที่ใดนั้น ข้าพเจ้าเพียงได้ฟังจากอาวุโสทั้งสองกับจอมยุทธ์ท่านนั้นอีกทอดหนึ่ง หากสหายทั้งสามอยากจะทราบจริง ๆ ข้าพเจ้าจะพาสหายทั้งสามไปพบกับขอทานอาวุโสทั้งสอง แล้วสหายทั้งสามซักถามเอาจากปากท่านเองจะไม่ดีกว่าหรอกรึ?” 

จ่านจือรู้กระจ่างแจ้งแก่ใจตั้งแต่แรกว่าขอทานผู้นี้กล่าววาจาพกลม หากมันบ่งบอกว่าท่านผู้เฒ่าขอทานพเนจรเดินทางไปที่ใด หาเชื่อถือได้ไม่จึงแสร้งกล่าวตอบไปว่า

“เช่นนั้นเราสามคนคงต้องรบกวนสหายแล้ว อาวุโสทั้งสองที่สหายกล่าวถึงท่านอยู่ที่ใดในตอนนี้ เราสามคนอยากซักถามเกี่ยวกับท่านผู้เฒ่าให้แน่ชัด รบกวนสหายนำพาเราสามคนไปพบกับท่านอาวุโสทั้งสองตอนนี้ได้หรือไม่?”

“รบกวนสหายน้อยด้วย” 

ซื่อเหมี่ยนกับอี้เซินกล่าวขอร้องพร้อมกัน

ขอทานผู้นั้นเมื่อเห็นทั้งสามกระตือรือร้น ต้องการพบกับขอทานอาวุโสสองท่านที่ได้รับการแต่งตั้งให้มาทำหน้าที่เป็นผู้นำการชุมนุมในครั้งนี้ รีบกล่าววาจาเลี่ยงไปว่า

“ข้าพเจ้าต้องขออภัยสหายทั้งสามด้วย ตอนนี้ท่านอาวุโสทั้งสองยังเดินทางมาไม่ถึง เอาเป็นว่าหลังจากเลิกการชุมนุมแล้ว ข้าพเจ้าจะแนะนำให้สหายทั้งสามได้รู้จักเป็นการส่วนตัว หากมีเรื่องใดที่ต้องการซักถามสหายทั้งสามค่อยเรียนถามตอนนั้นจะสะดวกกว่า อีกอย่างรบกวนสหายทั้งสามช่วยแจ้งข่าวนี้ไปยังขอทานคนอื่น ๆ ด้วย ข้าพเจ้าเองมีธุระต้องไปกระทำ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงมิอาจอยู่สนทนากับเจ้าทั้งสามต่อได้ ดังนั้นข้าพเจ้าขอตัวก่อนแล้วอีกสองชั่วยามค่อยพบเจอกัน เชิญสหายทั้งสามตามสบายเถิด”

กล่าวจบขอทานผู้นั้นรีบผละไปอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยฝีเท้าที่รุดไปช่างดูไม่คล้ายขอทานน้อยสักเท่าใด จ่านจือแอบสังเกตเห็นแววตาที่สาดประกายของผู้มีวิชาฝ่ามือติดตัว พร้อมกับฝีเท้าตอนจากไปเมื่อครู่อย่างน้อยจะต้องมีวรยุทธ์ไม่ต่ำกว่าสี่ขั้นอย่างแน่นอน

เมื่อขอทานน้อยผู้นั้นจากไปแล้ว ทั้งสามจึงปรึกษากันว่าจะกระทำเช่นไรต่อไป จ่านจือรีบกล่าวแสดงความคิดเห็นก่อนว่า

“พี่สาวทั้งสองท่านมีความคิดเห็นเป็นเช่นไร? ข้าพเจ้าดูจากฝีเท้าและแววตา ขอทานผู้นี้มีวิชาติดตัวมิใช่ชั่วเลยทีเดียว แล้วขอทานอาวุโสสองท่านที่ขอทานผู้นั้นกล่าวถึงเป็นผู้ใดกัน ใช่เป็นผู้ที่ท่านผู้เฒ่าขอทานพเนจรกล่าวถึงหรือไม่? นี่ก็เหลือเวลาอีกสองชั่วยาม กว่าจะเริ่มการชุมนุม ข้าพเจ้าว่าเรามาหารือแผนการขั้นต่อไปก่อนจะดีกว่า”

“พี่ใหญ่เองสังเกตเห็นว่าขอทานน้อยผู้นั้นมีวิชาติดตัว ฟังจากคำพูดคงเป็นคนกลุ่มเดียวกันกับขอทานอาวุโสสองคนที่มันกล่าวถึง ข้าเองยังมิกล้าคาดเดาว่าเป็นคนของสำนักใด เจ้าละอี้เซินคิดเห็นเป็นเช่นไร?”

“ข้าพเจ้าเองเดาไม่ออกว่าเป็นคนของค่ายพรรคสำนักใด ขอทานอาวุโสที่คนผู้นั้นกล่าวถึงเมื่อครู่เราทั้งสามล้วนยังไม่เคยพบหน้า รอให้ถึงเวลาชุมนุมแล้วค่อยว่ากันอีกที ว่าพวกเราจะกระทำเช่นไรต่อไป ศิษย์พี่กับเซี่ยวจือว่าดีหรือไม่?”

“อี้เซินที่เจ้ากล่าวมาข้าเห็นด้วยกับเจ้า เซี่ยวจือเจ้าละคิดว่าเช่นไร?”

ซื่อเหมี่ยนกล่าวเห็นด้วยกับศิษย์น้องอี้เซิน พร้อมหันมากล่าวถามจ่านจือว่ามีความคิดเห็นเช่นไร จ่านจือจึงรีบกล่าวตอบไปว่า

“ทำตามที่พี่สาวรองกล่าวมาก็ดีเหมือนกัน รอให้เราเห็นหน้าผู้ที่แอบอ้างว่าเป็นตัวแทนของท่านผู้เฒ่าขอทานพเนจรก่อน แล้วถึงเวลานั้นค่อยคิดอ่านอีกทีว่าจะกระทำเช่นไร ข้าพเจ้าว่าเราใช้เวลาที่เหลือนี้แยกย้ายกันสำรวจและสืบสาวเรื่องราวไปพลาง ๆ ก่อนจะดีหรือไม่?”

“ดีเหมือนกันเผื่อบางทีอาจจะได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติมบ้าง เช่นนั้นพี่ใหญ่จะไปทางด้านนี้ ส่วนอี้เซินเจ้าไปทางที่ขอทานน้อยผู้นั้นจากไป เซี่ยวจือเจ้าไปทางด้านริมเขาก็แล้วกัน แล้วก่อนเริ่มการชุมนุมครึ่งชั่วยามนัดพบเจอกันบริเวณนี้”

กล่าวจบทั้งสามต่างแยกย้ายกันไปคนละทิศ จ่านจือมุ่งตรงไปทางด้านริมเขาซึ่งเป็นที่ลาดชัน มองต่ำลงไปเห็นเป็นหุบเหวมีต้นไม้ขึ้นอยู่หนาแน่น เขาเดินสำรวจบริเวณนั้นมิพบเห็นสิ่งใดผิดปกติ จึงมองลงไปด้านล่างเป็นหุบเหวมีชะง่อนหินขึ้นอยู่เรียงราย อีกทั้งยังปกคลุมไปด้วยเส้นเถาวัลย์อยู่มากมาย

จ่านจือพลันหวนระลึกนึกถึงตอนอาศัยอยู่ที่หุบเขาสายรุ้ง ตอนที่เขาออกเก็บสมุนไพรในป่าลึกล้วนเป็นหุบเหวเช่นนี้ ถึงแม้จะอันตรายแต่เขาเคยปีนป่ายมาแล้วไม่ต่ำกว่าพันครั้ง ยิ่งตอนที่ฝึกวิชาตัวเบาด้วยแล้วเขาใช้หุบเหวเหล่านั้นเป็นสถานที่ทดสอบฝีเท้า ในตอนนั้นจ่านจือใช้ท่าร่างวิ่งขึ้นลงเสมือนกับเป็นพื้นราบมิปาน ตอนนี้เมื่อนึกถึงความหลังจึงเกิดสนุกกระโดดทิ้งร่างลงไป  เมื่อทิ้งร่างลงมาได้ราวสิบวารีบใช้ปลายเท้าสะกิดกับปลายชะง่อนหิน หยิบยืมพลังแล้วทิ้งร่างลงไปอีกราวสิบวา 

จ่านจือกระโดดลงมารวมระยะทางความลึกได้ราวห้าสิบวา เขายังมองไม่เห็นก้นหุบเหวจึงคิดว่ากลับขึ้นไปก่อนดีกว่า ฉับพลันทันใดนั้นสายตาไปสะดุดเข้ากับต้นหญ้าสีดำสนิทต้นหนึ่ง ซึ่งขึ้นอยู่ระหว่างรอยแตกของซอกหินผา

จ่านจือรีบพุ่งร่างเข้าไปหาทันทีบริเวณนั้นเป็นหน้าผาชันราบเรียบไม่มีที่ให้หยั่งเท้าแต่ประการใด แต่นั่นมิเป็นปัญหาใหญ่โตสำหรับเขา จ่านจือมือซ้ายคว้าดึงต้นหญ้าสีดำสนิทมิมีสีอื่นปะปนต้นนั้น  พอออกแรงดึงต้นหญ้าสีดำหลุดออกจากซอกหินติดมือมาโดยง่ายดาย

ดังนั้นเขาจึงใช้มือขวาตบเข้าหาหน้าผาราบเรียบ แล้วหยิบยืมพลังพลิ้วร่างกลับขึ้นมายังตำแหน่งที่ยืนอยู่เมื่อครู่ เมื่อยืนทรงตัวอย่างมั่นคงแล้วเขาสำรวจต้นหญ้าสีดำในมือด้วยสีหน้าแสดงความยินดี พร้อมกับส่งเสียงกล่าวกับตัวเองว่า

“หญ้ามังกรดำ เซี่ยวจือเจ้าเสาะหาจนทั่วหุบเขาสายรุ้งมิเคยพบเห็นแม้แต่เพียงใบเดียว นึกไม่ถึงว่าจะมาเจอเข้าที่นี่ขอบคุณสวรรค์”

จ่านจือพิศมองต้นหญ้าที่เขาเรียกชื่อว่าหญ้ามังกรดำในมือ แล้วส่งเสียงกล่าวกับต้นหญ้ามังกรดำในมือว่า

“เจ้ารู้หรือไม่? ว่าข้าพเจ้าเสาะหาเจ้าอยู่หลายปี ที่แท้เจ้ามาหลบอยู่ที่นี่เอง สรรพคุณของเจ้าช่างวิเศษนัก สามารถแก้พิษได้หลายชนิดทีเดียว อีกทั้งยังใช้ห้ามเลือดสมานแผลทั้งภายนอกภายในได้ผลอย่างน่าอัศจรรย์นัก”

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป