Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (เกี้ยววิจิตรกับคุณชายอาภรณ์ขาว)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

เกี้ยววิจิตรกับคุณชายอาภรณ์ขาว

  • 13/08/2565

ตอนที่ 22

เกี้ยววิจิตรกับคุณชายอาภรณ์ขาว

   ฉับพลันภายในเกี้ยวอันวิจิตรงดงามซึ่งยังมิได้วางลงกับพื้น ยังคงถูกแบกหามอยู่บนบ่าของชายสี่คน มีเสียงกังวานตอบกลับมาน้ำเสียงแข็งกระด้างขาดซึ่งความเกรงอกเกรงใจ ในน้ำเสียงที่ตอบออกมาแฝงไปด้วยกลิ่นอายอันชั่วร้าย ภายในน้ำเสียงที่ส่งมากระทบโสตของอาวุโสทั้งสามรับรู้ได้ถึงพลังไร้สภาพชนิดหนึ่ง พลังนั้นถูกคนในเกี้ยวบรรจุแฝงมากับน้ำเสียง เมื่อบรรลุถึงจึงกดคุกคามอาวุโสทั้งสามเป็นบริเวณกว้าง พลังเร้นลับนั้นที่แฝงมากับน้ำเสียงค่อย ๆ รวมตัวบีบรัดเป็นวงแคบล้อมกักอาวุโสทั้งสามเอาไว้

อาวุโสทั้งสามเมื่อรับรู้ถึงกับแสดงอาการตระหนกตกใจ แต่เป็นเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวก็รีบเก็บอาการเอาไว้ ทั้งสามมิรอช้าต่างรีบเกร็งกำลังลมปราณขึ้นคุ้มครองกาย พอดีน้ำเสียงนั้นกระทบโสตว่า

“ท่านสินะเป็นหัวหน้าพรรคไผ่หลิวนามเฉิงปู้กง? อีกท่านหากข้าพเจ้าคาดเดามิผิดคงเป็นเจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณนามเหิงปี้ไป่ ส่วนอีกท่านคงเป็นเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวท่านมู่ชิวป้า ผู้ต่ำต้อยครานี้เพิ่งออกสู่ยุทธภพเป็นครั้งที่สองขอน้อมคารวะแก่อาวุโสทั้งสาม ได้ยินเพียงชื่อของท่านทั้งสาม วันนี้มีโอกาสได้พบหน้าข้าน้อยยินดียิ่งนัก ขออภัยที่ไม่อาจลงไปคารวะแก่ท่านทั้งสามได้”

ผู้กล่าววาจานั่งอยู่ในเกี้ยวที่ถูกแบกหามอยู่ ฟังจากน้ำเสียงถึงแม้วาจากล่าวถ่อมตน แต่อาวุโสทั้งสามกลับรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของความชั่วร้าย คนกล่าววาจานั่งอยู่ภายในเกี้ยวที่มีผ้าบาง ๆ กางกั้นมิอาจมองผ่านทะลุเข้าไปด้านในได้ จึงไม่ทราบว่าผู้ที่กล่าววาจาอยู่ด้านในมีลักษณะเช่นไร แต่ที่น่าตระหนกตกใจทั้งที่มีผ้าปกปิดกางกั้นอยู่ คนผู้นั้นกลับแจกแจงได้ถูกต้องไม่ผิดเพี้ยนว่าอาวุโสทั้งสามเป็นใครกันบ้าง

เมื่อได้ฟังคำพูดนั้น เจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณเหิงปี้ไป่ บังคับกำลังภายในผนึกเข้ากับเส้นเสียง พร้อมกับกล่าววาจาโต้ตอบกลับไปว่า

“เมื่อท่านให้เกียรติมาถึงพรรคไผ่หลิวของท่านเฉิงแล้ว ไฉนไม่ให้คนวางเกี้ยวลงแล้วออกมาดื่มน้ำชาสักหลายถ้วยพร้อมกับสนทนากันหลายประโยคจะไม่เป็นการดีกว่าหรอกหรือ? ฟังจากท่านกล่าวบอกว่าเพิ่งออกสู่ยุทธภพเพียงสองครั้ง  ข้าพเจ้าทั้งสามจึงใคร่ทำความรู้จักกับท่านด้วยเช่นกัน”

เมื่อเจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณเหิงปี้ไป่กล่าวจบ เส้นสายพลังไร้สภาพที่ท่านผนึกไปกับเส้นเสียง ถูกคนที่นั่งอยู่ภายในเกี้ยวใช้พลังลมปราณดีดสะท้อนส่งกลับมาหาอาวุโสทั้งสามคน พร้อมกับบรรจุพลังไร้สภาพยืดหยุ่นชนิดหนึ่งติดตามมาอีกระลอก ทั้งสามรีบเร่งเร้ากำลังภายในเพื่อสลายพลังที่ตามติดมาอย่างเร่งร้อน  เมื่อสลายพลังไร้สภาพขุมนั้นแล้ว อาวุโสทั้งสามรับรู้ถึงความสูงส่งของพลังฝีมือของคนผู้นั้นว่าร้ายกาจนักไม่เคยพบพานมาก่อน

อาวุโสทั้งสามต่างไม่เคยพบเห็นหรือรู้จักกับคนกลุ่มนี้มาก่อน นึกไม่ถึงว่าในยุทธภพยังมีบุคคลที่มีพลังฝีมือร้ายกาจเช่นนี้แต่กลับแฝงกายไม่เปิดเผยตัว การปรากฏตัวของคนผู้นี้จะต้องมีส่วนในการแย่งชิงตำแหน่งผู้นำยุทธภพอย่างแน่นอน แต่มิทราบว่าคนกลุ่มนี้เป็นใครกันอาวุโสทั้งสามครุ่นคิดไม่ออก ขณะที่อาวุโสทั้งสามกำลังใช้ความคิดอยู่นั้น คนผู้ที่นั่งอยู่ภายในเกี้ยวกล่าววาจาตอบกลับมาอีกว่า

“ขอบคุณท่านเจ้าสำนักเหิง ผู้น้อยไม่มีเวลาสังสรรค์สนทนาด้วยต้องขออภัย ผู้น้อยมาในครั้งนี้เพียงได้รับคำสั่งให้มารับตัวท่านเจ้าหุบเขามู่เท่านั้นเอง ผู้น้อยเลยจัดเตรียมขบวนตกแต่งเกี้ยวอย่างวิจิตรสวยงาม พร้อมกับนำหญิงงามสองนางมาบรรเลงดนตรีอันไพเราะให้กับท่านหุบเขามู่ได้เพลิดเพลินในการเดินทางไปในครั้งนี้”

เมื่อได้ฟังวาจาสามหาวของคนที่อยู่ในเกี้ยว เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าร้องเพ้ยขึ้นมาคำหนึ่ง ก่อนจะกล่าววาจาโต้ตอบกลับไปว่า

“เฮอะ ข้าพเจ้ามู่ชิวป้าเป็นถึงจอมยุทธ์ผู้กล้า ที่ผ่านมากระทำเรื่องราวโดยเปิดเผย ไฉนต้องรบกวนท่านลำบากนำเกี้ยวมารับตัวข้าพเจ้าด้วย อีกอย่างข้าพเจ้าเองมิมีธุระจำเป็นอันใดต้องออกเดินทาง หากจะมีข้าพเจ้ามู่ชิวป้าสามารถเดินทางไปได้ด้วยตัวเอง ใยต้องอาศัยเกี้ยวอันวิจิตรของท่านให้ยุ่งยากลำบากด้วย อีกประการหนึ่งข้าพเจ้าอาศัยอยู่บนผามีแต่ป่าเขา ทุกวันฟังเสียงนกการ้องจนชินหูจึงมิชื่นชอบฟังเสียงดนตรีเท่าใดนัก เชิญท่านบ่งบอกแก่ข้าพเจ้าว่าผู้ใดให้ท่านมารับตัวข้าพเจ้า และจะพาข้าพเจ้ามู่ชิวป้าไปยังสถานที่ใด?”

เมื่อเจ้าหุบเขามู่กล่าวจบ คนที่นั่งอยู่ในเกี้ยวระเบิดเสียงหัวร่อดังกึกก้องกังวาน พร้อมกับกล่าววาจาโต้ตอบกลับมาว่า

“ฮาฮา  ข้าพเจ้าเกรงว่าสถานที่ซึ่งจะให้ท่านเจ้าหุบเขามู่ไปนั้น ท่านอาจไม่สามารถเดินทางไปด้วยตัวของท่านเอง ดังนั้นผู้ที่ออกคำสั่งให้ข้าน้อยพาท่านไปเพียงบอกต่อข้าพเจ้าว่า ให้นำเกี้ยวตกแต่งอย่างสวยงามพร้อมกับจัดขบวนให้สมเกียรติกับท่านเจ้าหุบเขามู่ แล้วน้อมส่งท่านไปอย่าได้สร้างความลำบากแก่ท่านแม้แต่น้อย เพราะสถานที่ที่จะให้ท่านเจ้าหุบเขามู่ไปนั้น ผู้ออกคำสั่งแก่ข้าน้อยบอกว่ามันคือปรโลกอันมืดมิด ฮาฮา”

เมื่อกล่าวจบคนผู้นั้นระเบิดเสียงหัวร่อขึ้นอีกครั้งอย่างเย้ยหยัน ได้ฟังวาจาของคนผู้นั้นเพียงเท่านี้ อาวุโสทั้งสามต่างรู้แน่ว่าวันนี้คนผู้นั้นจะต้องลงมือต่อท่านเป็นแน่แท้ ทั้งยังสันนิษฐานภายในใจตรงกันว่า อาจเป็นไปได้ที่ก่อนหน้านี้มีคนถูกฆ่าตายภายในฝ่ามือเดียว ผู้ที่ลงมืออาจจะเป็นบุคคลผู้นี้อยู่เจ็ดแปดส่วน ดังนั้นหัวหน้าพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กงจึงกล่าววาจาตอบกลับไปว่า

ในเมื่อท่านเจ้าหุบเขามู่เป็นแขกของข้าพเจ้าเฉิงปู้กง ไม่ว่าผู้ใดย่อมไม่มีสิทธิ์ที่จะนำตัวท่านไป อีกอย่างท่านเจ้าหุบเขามู่เองมิมีความต้องการที่จะร่วมเดินทางไปกับท่าน นอกจากข้าพเจ้าแล้วยังมีท่านเจ้าสำนักเหิงอีกคน ที่มิยอมให้ผู้ใดมานำตัวท่านเจ้าหุบเขามู่ไปจากพรรคไผ่หลิวของข้าพเจ้าเป็นอันขาด” 

เมื่อหัวหน้าพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กงกล่าววาจาจบลง คนที่อยู่ในเกี้ยวแค่นเสียงหัวร่อออกมา แล้วกล่าวว่า

“หากเป็นเช่นนั้นข้าพเจ้าอาจจะต้องนำท่านอาวุโสเฉิงกับอาวุโสเหิงเดินทางไปเป็นเพื่อนอาวุโสมู่ด้วยแล้ว ท่านทั้งสองอย่าได้กล่าวโกรธโทษข้าพเจ้า ช่วยมิได้ที่ท่านอาวุโสทั้งสองเบื่อการมีชีวิตอยู่สืบไป ผู้น้อยจึงขอน้อมส่งดวงวิญญาณอาวุโสทั้งสามไปปรโลกเอง แต่ก่อนอื่นผู้น้อยขอให้ท่านอาวุโสทั้งสามได้เพลิดเพลินกับการบรรเลงดนตรีอันไพเราะสักหนึ่งบทเพลง ท่านอาวุโสทั้งสามจะได้เดินทางอย่างมีความสุขสำราญ”

กล่าวจบคนผู้นั้นออกคำสั่งกับดรุณีสองนางที่โอบอุ้มปี่แป้กับพิณ ด้วยน้ำเสียงอันทรงพลังว่า

เหนียงเอ๋อ เจียวเอ๋อ เจ้าทั้งสองบรรเลงบทเพลงเพื่อน้อมส่งท่านอาวุโสทั้งสาม อย่าได้แสดงความอับอายขายหน้าแก่อาวุโสทั้งสามเป็นเด็ดขาด”

“รับทราบท่านเสียวเอี้ย เหนียงเอ๋อน้อมรับคำสั่ง เจียวเอ๋อน้อมรับคำสั่ง”

ดรุณีสองนางย่อเข่าคำนับต่อผู้ที่อยู่ภายในเกี้ยว พร้อมกับกล่าววาจาดังสดใสพร้อมเพรียงกัน เมื่อกล่าววาจาน้อมรับคำสั่งแล้วพลันผืนผ้าสีขาวสองสายพุ่งเป็นเส้นตรงออกมาจากในเกี้ยวด้วยความเร็วสุดบรรยาย ปลายผ้าสองสายเมื่อพุงออกตวัดรัดเกี่ยวกับเสาศิลาสองต้นที่อยู่ด้านหน้าประตูใหญ่ของพรรคไผ่หลิวเอาไว้

ดรุณีสองนางรีบพลิ้วกายร่างหมุนคว้างดั่งลูกข่าง ทะยานขึ้นไปยืนบนผืนผ้าสองสายอย่างแผ่วเบานุ่มนวลโดยที่ผืนผ้ามิได้ขยับเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย เมื่อปลายเท้าสัมผัสผืนผ้าแล้วดรุณีสองนางขยับเครื่องดนตรีที่อยู่ในมือ พร้อมกับบรรจงใช้นิ้วเรียวยาวอันขาวสะอาดตาดีดไล่ไปตามเส้นสายของเครื่องดนตรีทั้งสอง อันได้แก่ปี่แป้และพิณเกิดเป็นเสียงดนตรีอันเสนาะไพเราะจับใจ ชวนให้ผู้ฟังเกิดความลุ่มหลงเคลิบเคลิ้มอย่างบ่งบอกไม่ถูก

ท่วงทำนองของดนตรีเปลี่ยนจากนุ่มนวลชวนหลงใหล มาเป็นทำนองอันโศกซึ้งรันทดจับใจ ทำให้ผู้ฟังเกิดความรันทดหดหู่เศร้าสร้อยจับจิต บริเวณลานกว้างหน้าที่ตั้งของพรรคไผ่หลิว ตอนนี้ชุมนุมไปด้วยศิษย์และคนของพรรคไผ่หลิวรวมร้อยกว่าคน ทั้งหมดอยู่ในอาการเหม่อลอยคล้ายถูกสะกดจิตมิปาน

จะมีแต่เพียงศิษย์ทั้งสามของอาวุโสเฉิงปู้กง และตัวอาวุโสทั้งสามที่มีพลังวัตรกล้าแข็ง สามารถใช้พลังลมปราณต้านพลังที่แฝงมากับบทเพลงซึ่งดรุณีทั้งสองกำลังบรรเลงไว้ได้ ขณะที่บทเพลงกำลังบรรเลงห้วงทำนองเศร้าโศกเหลือประมาณ พลันท่วงทำนองเปลี่ยนเป็นเร่งเร้าเร่าร้อนดุจเสียงมัจจุราชจากขุมโลกันตร์ ทำให้ผู้ฟังเปลี่ยนจากอาการเคลิบเคลิ้มลุ่มหลงเป็นแสดงอาการคลุ้มคลั่งดั่งคนเสียสติ

แม้แต่ศิษย์ทั้งสามของอาวุโสเฉิงปู้กงเอง ตอนนี้ทั้งสามนับว่ามิอาจจะสามารถบังคับตนเองให้อยู่ในความสงบได้อีกต่อไป ทั้งสามคนยกสองมือขึ้นปิดหูทั้งสองเพื่อไม่ให้เสียงดนตรีนั่นกระทบโสตได้ แต่ดูเหมือนยิ่งปิดหูยิ่งได้ยินท่วงทำนองอันบ้าคลั่งนั่นชัดเจนยิ่งขึ้น หัวหน้าพรรคไผ่หลิวเห็นอาการของศิษย์ทั้งสามของตน จึงรีบเปล่งเสียงผ่านพลังลมปราณ บอกให้ศิษย์ทั้งสามนั่งลงแล้วใช้สมาธิปรับพลังลมปราณในร่างอย่าได้สับสนเป็นอันขาด

ศิษย์ทั้งสามเมื่อได้ยินเสียงของอาจารย์ผ่านมาตามเส้นเสียง รีบนั่งลงกับพื้นมือขวาทับมือซ้ายหันฝ่ามือเข้าหากันห่างราวหนึ่งคืบ อยู่บริเวณหน้าอกของตนพร้อมกับตั้งสมาธิบังคับลมปราณในร่างให้แล่นไปตามจุดชีพจร ตอนแรกลมปราณภายในร่างยังคงสับสนกระจัดกระจายไปทั่วร่าง เมื่อตั้งสมาธิรวบรวมพลังลมปราณแล้วรั้งดึงกลับมารวมไว้ที่ศูนย์กลางท้องน้อยแล้วโคจรไปตามจุดชีพจรทั้งแปดอีกหนึ่งรอบ จึงค่อยเรียกคืนสติกลับมาและควบคุมตัวเองได้อีกครั้ง

เมื่อมองไปยังศิษย์คนอื่น ๆ ภายในพรรคไผ่หลิวที่มีพลังอ่อนด้อยไม่กล้าแข็ง ทุกคนอยู่ในอาการคลุ่มคลั่งดั่งคนเสียสติ บ้างทิ้งตัวลงนอนดิ้นทุรนทุรายด้วยความทรมาน สองมือต่างตะกุยตะกายไปตามใบหน้าของตนเองจนเกิดเป็นริ้วรอยบาดแผลเหวอะหวะ พร้อมกับเสียงร้องอย่างโหยหวนดั่งก้องระงมไปทั่วบริเวณ อาวุโสทั้งสามเองต่างจนใจที่จะช่วยเหลือคนเหล่านั้นได้อย่างไร ลำพังตัวท่านเองตอนนี้ถือว่ากินแรงอยู่พอสมควร

ดรุณีสองนางที่ยืนอยู่บนผืนผ้าขณะนี้เร่งเร้าท่วงทำนองเป็นโหมรุนแรงยิ่งขึ้น จนเสื้อผ้าสีขาวที่สวมใส่โบกสะบัด อีกทั้งเส้นผมที่ยาวสลวยจนถึงกลางหลังโบกพลิ้วสยายไปตามแรงลม อันเกิดจากพลังที่กดคุกคามออกมาจากบทเพลงของดรุณีทั้งสองนั่นเอง

ยามนี้บริเวณนั้นบรรยากาศกลายเป็นตึงเครียดถึงขีดสุด หัวหน้าพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กงมองไปยังศิษย์และคนของพรรค เห็นนอนดิ้นรนด้วยความทรมานก่อนที่ผู้คนเหล่านั้นจะปรากฏโลหิตไหลซึมออกทางทวารทั้งเจ็ด สิ้นใจตายไปด้วยความทรมานรวมทั้งหมดหนึ่งร้อยสิบชีวิต

นับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งพรรคไผ่หลิวมา เมื่อเห็นดังนั้นหัวหน้าพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กงพุ่งร่างเข้าหาดรุณีซึ่งโอบอุ้มปี่แป้อยู่ ส่วนเจ้าสำนักเหิงปี้ไป่ทะยานร่างเข้าหาดรุณีที่กำลังเล่นพิณอีกนาง ในความคิดของอาวุโสทั้งสองขอเพียงทำลายการบรรเลงเพลงของดรุณีทั้งสองก่อน เรื่องอื่นค่อยคิดอ่านภายหลัง

เมื่ออาวุโสทั้งสองบรรลุถึงร่างล่องลอยอยู่กลางอากาศ ต่างแยกย้ายฝ่ามือทั้งสองออกครอบคลุมดรุณีทั้งสองไว้  ดรุณีทั้งสองหาได้สะทกสะท้านหวาดกลัวหรือแสดงอาการตระหนกตกใจแต่อย่างใด ยังคงดีดนิ้วบรรเลงบทเพลงอย่างเร่งร้อน แต่ก่อนที่ฝ่ามือของอาวุโสทั้งสองจะสัมผัสต้องร่างของดรุณีทั้งสองนั้น เงาร่างสีขาวเจิดจ้าสายหนึ่ง พุ่งร่างทะยานออกมาจากในเกี้ยวหลังนั้นด้วยความเร็วถึงขีดสุด พร้อมกับพลังสายหนึ่ง ม้วนทะลักกดคุกคามเข้าหาอาวุโสทั้งสองจนแทบหายใจไม่ออก

อาวุโสทั้งสองรีบเปลี่ยนท่าร่างกลางอากาศ ใช้ปลายเท้าสะกิดผืนผ้าสีขาวที่ขึงอยู่ ตีลังกากลับหลังลงมายืนยังตำแหน่งที่เจ้าหุบเขามู่ชิวป้ายืนอยู่ เมื่อมองขึ้นไปยังผืนผ้าเห็นถนัดชัดตาว่ายืนอยู่ด้วยบุรุษชุดขาวผู้หนึ่ง รูปร่างสูงโปร่งบนใบหน้าสวมทับด้วยหน้ากากปีศาจสีเงินปกปิดใบหน้า ในมือขวาถือพัดจีบสีเดียวกันกับเสื้อผ้าโบกสะบัดอยู่ไปมา ระหว่างเอวเหน็บขลุ่ยเงินด้ามหนึ่งท่วงท่าองอาจห้าวหาญ

ดูจากรูปร่างภายนอกอายุน่าจะไม่เกินยี่สิบห้าปี คนผู้นั้นยืนอยู่ด้านหน้าของดรุณีทั้งสอง พร้อมกับกล่าววาจาโดยมิได้หันไปมองว่า

“เหนียงเอ๋อ เจียวเอ๋อ เจ้าทั้งสองถอยไปก่อน บทเพลงของพวกเจ้าช่างไพเราะนัก นึกไม่ถึงเพียงแค่บทเพลงของเจ้าทั้งสอง ทำให้คนของพรรคไผ่หลิวล้มตายไปถึงร้อยสิบชีวิต นับว่าเป็นผลงานไม่เลวกับการออกท่องยุทธภพครั้งที่สองของเจ้าสองคน เมื่อกลับไปข้าจะประทานรางวัลแก่เจ้าทั้งสอง”

จากนั้นบุรุษชุดขาวสวมหน้ากากปีศาจหันมองมายังอาวุโสทั้งสาม ในมือยังคงสะบัดพัดจีบอยู่ไปมา แล้วเปล่งเสียงผ่านหน้ากากปีศาจสีเงินออกมาว่า

“เส้นทางเดินมีไว้ให้ท่าน ท่านกลับไม่เดิน เส้นทางที่มิให้ท่านเดินท่านกลับจะไป ท่านทั้งสามช่างเป็นอาวุโสดื้อรั้นและเลอะเลือนจริง ๆ”

เจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าอดทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ตวาดด้วยน้ำเสียงอันดังว่า

“เจ้าปีศาจโอหัง ข้าพเจ้ากับท่านไม่เคยรู้จักกันมาก่อน อีกทั้งไม่เคยมีเรื่องบาดหมาง ท่านไฉนถึงได้ลงมือโหดเหี้ยมต่อคนของพรรคไผ่หลิวด้วย หากท่านจะคิดบัญชีโปรดมาคิดกับข้าพเจ้า ผู้อื่นหามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยไม่? วันนี้ข้าพเจ้ามู่ชิวป้าจะไม่ขอละเว้นท่าน”

เมื่อเจ้าหุบเขามู่กล่าวจบ บุรุษชุดขาวผู้นั้นระเปิดเสียงหัวร่อดังกึกก้อง พร้อมกับกล่าวว่า

“ท่านอาวุโสมู่กล่าวถูกต้อง ท่านกับข้าพเจ้ามิเคยรู้จักกันมาก่อน และไม่เคยมีเรื่องบาดหมางต่อกัน แต่ข้าพเจ้าได้รับบัญชาให้มาเด็ดหัวท่าน จะรู้จักหรือไม่จะบาดหมางมาก่อนหรือไม่? หาได้สำคัญในเมื่อท่านไม่ยอมไปตามที่ข้าพเจ้าต้องการ ถือว่าสร้างความไม่พอใจแก่ข้าพเจ้ามากแล้ว การที่ข้าพเจ้าล้มล้างพรรคไผ่หลิวในวันนี้ ถือว่าท่านมีส่วนผิดที่ไม่ยอมปฏิบัติตามโดยดี”

“ท่าน...ท่านมันเป็นปีศาจชั่วร้าย” 

เจ้าหุบเขามู่ชิวป้าส่งเสียงด่ากลับไป

“ฮาฮา ปีศาจชั่วร้าย  ถูกต้องข้าพเจ้าเป็นปีศาจชั่วร้ายที่จะมาคร่าชีวิตของทุกคน ที่ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่ง รวมทั้งอาวุโสทั้งสามด้วย”

“เจ้าปีศาจชั่วช้าท่านเป็นใครกันแน่? ท่านมีสิทธิ์อะไรมาออกคำสั่งให้ผู้คนปฏิบัติตาม หัวหน้าพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กงตวาดขึ้น”

บุรุษสวมหน้ากากปีศาจชี้ปลายพัดจีบเข้าหาอาวุโสทั้งสาม พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงกระด้างเย็นชา แต่แฝงไปด้วยอำนาจลี้ลับบางอย่าง ร่างที่ยืนอยู่บนผืนผ้าสีขาวแผ่รังสีของการเข่นฆ่าออกมาอย่างเด่นชัด อานุภาพข่มขวัญผู้คนคล้ายกับว่าจะกลืนกินมิปาน

“ท่านทั้งสามโปรดฟังให้ดี ก่อนที่ข้าพเจ้าจะส่งพวกท่านทั้งสามพร้อมกับศิษย์ของท่านไปปรโลก ข้าพเจ้าจะบ่งบอกต่อท่านทั้งสามว่าข้าพเจ้าเป็นใคร ท่านทั้งสามจะได้นอนตายตาหลับเสียดายที่พวกท่านเมื่อทราบแล้ว ต้องตายอย่างอนาถช่างน่าสมเพชเวทนายิ่งนัก”

เจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณเหิงปี้ไป่โกรธจนระงับอาการไว้ไม่อยู่ คำรามดังกึกก้องพร้อมกับพุ่งร่างเข้าหาบุรุษชุดขาวสวมหน้ากากปีศาจที่ยืนอยู่บนผืนผ้าอย่างท้าทาย เมื่อร่างของเจ้าสำนักเหิงลอยเข้าใกล้ห่างไม่ถึงสองวา สองมือซ้ายขวาของเจ้าสำนักเหิงต่างแยกย้ายกระจายเต็มท้องฟ้า บรรยากาศที่เขม็งตรึงเครียดยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเป็นเท่าตัว

สองฝ่ามือของเจ้าสำนักเหิงพลันกลายเป็นร้อยพันฝ่ามือ กระจายแยกย้ายเข้าใส่บุรุษชุดขาวดุจพยัคฆ์หิวโหยขย้ำเหยื่อ บุรุษชุดขาวยกมือข้างที่ถือพัดจีบสีเงิน วาดจากซ้ายไปขวาดูเชื่องช้าแต่ทว่ารวดเร็วดุจสายฟ้าอัสนี  เกิดเป็นเสียง ปง ปง ดังกึกก้อง เจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณเหิงปี้ไป่กางกรงเล็บตะปบใส่ปลายพัดจีบที่เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าอย่างถนัดถนี่

แต่แล้วเรื่องแปลกประหลาดพลันอุบัติขึ้น เมื่อกรงเล็บของเจ้าสำนักเหิงซึ่งอยู่ห่างไม่ถึงหนึ่งนิ้ว  พัดจีบที่มองเห็นว่าเชื่องช้าตวัดวูบต่ำลงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับจี้ปราดเข้าบริเวณสายรัดเอวของเจ้าสำนักเหิงกระบวนท่าดูธรรมดาไม่มีอันใดน่ากลัว จึงใช้มือข้างซ้ายใช้ออกด้วยท่าเด็ดกล้วยไม้ปาดบุพผา ปาดเข้าบริเวณข้อมือของบุรุษชุดขาว แต่ก่อนที่จะสัมผัสโดนข้อมือ  พัดจีบเงินเล่มนั้นพลันคลี่กางออกอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นรัศมีสีขาวนวลคล้ายวงล้อครึ่งวง          

เจ้าสำนักเหิงรู้สึกใจหายวูบแต่ไม่ถึงกับตระหนก รีบรั้งฝ่ามือกลับพร้อมกับเปลี่ยนลมหายใจ เตะเท้าซ้ายกับเท้าขวาเพื่อเปลี่ยนท่าร่างกลางอากาศ ตีลังกาข้ามศีรษะบุรุษชุดขาวไปด้านหลัง พร้อมกับทิ้งตัวลงบนผืนผ้าสีขาวห่างจากบุรุษชุดขาวไม่ถึงสองก้าว ขณะที่บุรุษชุดขาวหมุนร่างเป็นครึ่งวงกลมจากซ้ายไปขวา พัดจีบที่คลี่กางออกจนสุดจี้เข้าหาจุดชีพจรทั่วร่างของเจ้าสำนักเหิง  ในตอนนี้มองเห็นพัดจีบขยายใหญ่ขึ้นเป็นพันเท่า  จนท่านแสดงอาการตระหนกจนเท้าที่ก้าวถอยหลังสับสนติดขัด ได้ยินเสียงบุรุษชุดขาวตวาดดังกึกก้องกังวานดังมาว่า

“รับกระบวนท่าเด็ดบุพผาชมจันทร์ของข้าพเจ้าดู อาวุโสระวัง”            

กล่าวจบพัดจีบพุ่งออกจากฝ่ามือของบุรุษชุดขาวดุจลูกธนูถูกปล่อย พุ่งเข้าหาเจ้าสำนักเหิงตำแหน่งใบหน้า รีบโคจรพลังลมปราณมาที่ฝ่ามือทั้งสองพร้อมกับผลักออกสุดกำลัง แต่แล้วกลับรู้สึกว่าสายไปเมื่อร่างบุรุษชุดขาวทะยานติดตามพัดจีบมาตั้งแต่เมื่อไหร่ยากคาดเดา สองฝ่ามือที่ยกขึ้นปะทะกับพัดจีบเปิดช่องว่างตั้งแต่หน้าอกลงมา จะลดสองฝ่ามือลงมาตั้งรับนับต้องเสี่ยงกับพับจีบที่พุ่งเข้าหาบริเวณใบหน้าอย่างเร่งร้อนห่างไม่ถึงสองคืบ

เจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณเหิงปี้ไป่ร่ำร้องคร่ำครวญในใจ เกร็งลมปราณส่วนหนึ่งขึ้นปิดป้องบริเวณลำตัว พอดีสองฝ่ามือปะทะเข้ากับพัดจีบมหึมาที่บรรจุพลังลมปราณมาเต็มเปี่ยม เสียงทึบหนัก ๆ รู้สึกชาวูบบริเวณข้อมือจนถึงหัวไหล่ พร้อมกับฝ่ามือของบุรุษชุดขาวกระแทกเข้าใส่บริเวณหน้าอกเต็มกำลัง เจ้าสำนักเหิงแค่นเสียงร้องหนัก ๆ ออกมาคำหนึ่ง พร้อมกับสายโลหิตฟูมฝอยฉีดพ่นออกมาจากปาก ร่างกระเด็นไปปะทะกับเกี้ยวอันวิจิตรงดงามที่แบกหามอยู่บนบ่าของคนทั้งสี่

ร่างเมื่อปะทะกับเกี้ยวเสียงดังสนั่น แรงปะทะบวกกับแรงส่งจากกำลังภายในของบุรุษชุดขาว ทำให้เกี้ยวหลังนั้นแตกกระจายออกเป็นเสี่ยง ๆจนเศษวัสดุปลิวว่อนกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ ร่างของเจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณทะลุผ่านเกี้ยวไปอีกราวสามวา ร่างลอยละลิ่วตกลงไปกระแทกกับพื้น พร้อมกับกระอักโลหิตสีแดงสดออกมาอีกคำโต

เมื่อเกี้ยวหลังนั้นพังทลายลง ทำให้เส้นสายผืนผ้าสีขาวสองเส้นขาดที่ยึดเหนี่ยว ผืนผ้าสีขาวพลันตกวูบลง บุรุษชุดขาวหมุนร่างดั่งลูกข่างถูกหมุนจนสุดแรง มือด้านขวาคว้าจับพัดจีบเงินด้ามนั้นไว้ก่อนที่จะตกลงสู่พื้น แล้วทิ้งร่างลงมายังพื้นเบื้องล่างอย่างงดงามหาชมได้ยากยิ่ง

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป