Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (หน้ากากมารปีศาจ)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

หน้ากากมารปีศาจ

  • 13/08/2565

ตอนที่ 21

หน้ากากมารปีศาจ

เนินเสือดาว...ยามนี้เป็นเวลาเช้าตรู่ บนทางเดินปรากฏบุคคลกลุ่มใหญ่ไม่ต่ำกว่าสิบห้าคน ทั้งหมดแต่งกายด้วยอาภรณ์สีเดียวกันทั้งหมด นั่นคือสีขาวล้วนไม่มีสีอื่นปะปนแม้แต่เพียงจุดแต้มเดียว ทั้งหมดใช้เส้นทางผ่านเนินเสือดาว มุ่งหน้าทางทิศเหนือของเมืองลั่วหยาง สองคนแรกที่เดินนำหน้าขบวนเป็นชายเลยวัยกลางคนแต่งกายรัดกุม ใบหน้าดุดันน่าเกรงขามในมือของทั้งสองถือกระบี่กระชับมั่น           

ถัดมาเป็นดรุณีสองนางแต่งกายในชุดนักบู๊สีขาว ดรุณีคนทางขวาโอบอุ้มปี่แป้(กีต้าร์จีน)ตัวหนึ่งใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ดรุณีคนทางซ้ายประคองพิณตัวหนึ่งใบหน้าแฉล้มแช่มช้อย ดรุณีทั้งสองเดินสนทนาหยอกล้อต่อกระซิก ได้ยินเพียงเสียงหัวร่อคิกคักเบา ๆ พอคาดเดาอายุราวยี่สิบปี 

ถัดมาประกอบด้วยชายร่างกายกำยำสี่คนสะพายกระบี่ บนบ่าของคนทั้งสี่แบกหามเกี้ยววิจิตรงดงามหลังหนึ่ง ดูท่วงท่าการเดินเหินของคนทั้งสี่มั่นคงไม่สะดุดซวนเซ ทั้งที่แบกหามเกี้ยวอยู่บนบ่าคิดว่าคนทั้งสี่คงมิใช่บุคคลธรรมดาพลังวิชาคงแข็งแกร่งลึกล้ำพอดู ตัวเกี้ยวประดับประดาอย่างเลิศหรูสวยงาม มีลวดลายของภาพวาด ส่วนใหญ่จะเป็นภาพธรรมชาติ หุบเขาธารน้ำและดอกไม้หลากหลายสีสัน

ส่วนด้านหลังเกี้ยวติดตามด้วยผู้คนอีกราวเจ็ดแปดคน ทั้งหมดล้วนดูออกว่าเป็นชาวบู๊ลิ้ม แต่ไม่อาจทราบชัดว่าเป็นคนของค่ายพรรคสำนักใด ที่ผ่านมายังมิเคยเห็นบุคคลแต่งกายลักษณะนี้ปรากฏตัวในยุทธภพมาก่อน ยิ่งบุคคลที่นั่งอยู่บนเกี้ยวด้วยแล้วคิดว่าต้องมีความเป็นมาอันใหญ่หลวง เมื่อผ่านเนินเสือดาวเห็นมุ่งหน้าทางทิศเหนือ ดูจากเส้นทางที่มุ่งไปคล้ายกับมุ่งตรงไปยังพรรคไผ่หลิวปานฉะนั้น  

ทางด้านเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมู่ชิวป้าหลังจากแยกจากศิษย์ทั้งสองกับจ่านจือแล้ว ท่านคิดว่าหากใช้เส้นทางเท้าในการเดินทาง คงยากหลุดพ้นสายตาคนของหมู่ตึกกระเรียนฟ้า จึงได้จับเรือลำหนึ่งแล่นทวนน้ำใช้เส้นทางแม่น้ำฮวงโห เดินทางในเวลาค่ำคืนยามกลางวันจอดเรือหลับนอนปะปนกับเรือสินค้า เพื่อตบตาคนของหมู่ตึกกระเรียนฟ้ามิให้สังเกตเห็น

ทางหนึ่งแอบส่งพิราบสื่อสารไปยังสำนักเมฆฟ้าพิรุณ ใจความสำคัญในจดหมายบ่งบอกให้เจ้าสำนักเหิงปี้ไป่ รีบเดินทางไปยังพรรคไผ่หลิวด้วยเรื่องสำคัญเร่งด่วน เจ้าหุบเขามู่ชิวป้าใช้เวลาเดินทางสองวันสองคืนจึงบรรลุถึง แต่ก่อนที่จะผ่านป่าไผ่หลิวแถบหนึ่งซึ่งขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น พลันเจ้าหุบเขามู่ชิวป้ารับรู้ถึงความผิดปกติของป่าไผ่แถบนั้น ภายใต้สีเขียวของต้นไผ่เหล่านั้นกลับมีเงาร่างและประกายสายตาของผู้คน แอบซุ่มตัวซ่อนกายอยู่อย่างมิดชิด คล้ายกับล่วงรู้ว่าท่านจะใช้เส้นทางนี้ในการเดินทางมา 

ถึงแม้ว่าประกายสายตาของร่างเหล่านั้นจะหลบซ่อนตัวอย่างมิดชิด แต่ด้วยสายตาอันปราดเปรียวกับโสตสัมผัสของเจ้าหุบเขามู่ชิวป้า คนทั้งหมดจึงมิอาจเล็ดลอดรอดพ้นโสตสัมผัสและสายตาของท่านไปได้ ท่านจึงเก็บก้อนหินบริเวณนั้นขึ้นมาจำนวนหนึ่ง พร้อมกับแผ่พุ่งพลังลมปราณบรรจุใส่ก้อนหินเหล่านั้น แล้วดีดก้อนหินออกไปโดยมิได้ขยับฝ่ามืออาศัยเพียงกระดิกนิ้ว แล้วดีดนิ้วกลางสัมผัสกับนิ้วโป้งบังคับพลังลมปราณส่งก้อนหินพุ่งแหวกฝ่าอากาศออกไปอย่างเร่งร้อน เป้าหมายคือคนที่แอบซุ่มอยู่ระหว่างทางเข้าพรรคไผ่หลิวโดยมิทันตั้งตัว 

คนเหล่านั้นแอบซุ่มดูอยู่โดยมิได้เคลื่อนไหว พอได้ยินเสียงวัตถุหนึ่งพุ่งแหวกฝ่าอากาศมาด้วยความเร็วดุจสายฟ้า กว่าจะทันตั้งตัวก้อนหินเหล่านั้นพุ่งสัมผัสร่างอย่างเร่งร้อนยากหลบหลีก คิดจะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกายกลับมิอาจจะกระทำได้ ตลอดทั้งร่างแข็งทื่อด้วยวิชาจี้สกัดจุดอันพิสดารผ่านก้อนหินก้อนเล็ก ๆ ของเจ้าหุบเขามู่ชิวป้า เมื่อจัดการกับผู้ที่ซุ่มดักเล่นงานท่านแล้ว รีบใช้วิชาตัวเบาเหินร่างข้ามดงไผ่อันหนาทึบแถบนั้นเข้าไปยังที่ตั้งของพรรคไผ่หลิวโดยปลอดภัย เหลือไว้แต่ผู้คนเหล่านั้นซึ่งบัดนี้มิอาจช่วยเหลือตัวเองได้ จำต้องรอให้มีพวกเดียวกันติดตามมาช่วยคลายจุดให้จึงจะหายคลายจากการถูกจี้สกัดจุด 

เมื่อเข้าไปยังลานกว้างซึ่งเป็นที่ตั้งของพรรคไผ่หลิว มองเห็นศิษย์ทั้งสามของท่านหัวหน้าพรรคเฉิงปู้กง กำลังขะมักเขม้นฝึกวิชาอยู่กลางลานกว้างแห่งนั้น ศิษย์ทั้งสามของพรรคไผ่หลิวประกอบด้วยศิษย์คนโตนามเหวินมู่อายุสามสิบเจ็ดปี รูปร่างหนาท้วมดวงตาคมกล้าคิ้วเฉียงใบหน้าค่อนข้างเหลี่ยม ผิวกายค่อนข้างคล้ำแต่กล่าวสรุปโดยรวมนับว่าเป็นบุรุษที่ดูดีทีเดียว

ศิษย์คนรองมีชื่อว่าอวี้หว่ออายุยี่สิบห้าปี รูปร่างสัดทัดใบหน้าเรียวคิ้วดกหนาดวงตาดุจเหยี่ยว ริมฝีปากประดับด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย บุคลิกภาพดูหนักแน่นแฝงประกายของจอมยุทธ์ผู้กล้า ผิวขาวเหลืองหากเทียบบุคลิกภาพรวมทั้งหน้าตาโดยรวมถือว่ายังได้เปรียบศิษย์พี่ใหญ่ของเขาอยู่ส่วนหนึ่ง

ศิษย์คนเล็กมีชื่อว่าเทียนจิ้งอายุยี่สิบสองปี ศิษย์คนเล็กรูปร่างค่อนข้างสูงผิวขาว คิ้วหนาตาโตคมกริบเป็นประกาย จมูกและริมฝีปากล้วนได้รูปสวยงามแม้รูปหน้าจะค่อนข้างเหลี่ยมเล็กน้อยแต่ที่เห็นเด่นชัดใบหูใหญ่กว่าคนทั่วไปเล็กน้อย นับได้ว่าเป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลาผู้หนึ่ง องคาพยพโดยรวมเหมาะกับการฝึกวิทยายุทธ์ ด้านความเฉลียวฉลาดและพรสวรรค์ศิษย์น้องเล็กผู้นี้กลับมีเหนือกว่าศิษย์พี่ทั้งสองมากนัก

ศิษย์ทั้งสามของพรรคไผ่หลิวใช้อาวุธเป็นกระบี่หยกไผ่หลิว ซึ่งกระบี่ทั้งสามเล่มเป็นสมบัติตกทอดมาจากปรมาจารย์รุ่นก่อน เล่ากันว่ากระบี่ทั้งสามเล่มล้วนใช้เหล็กกล้าหายากเนื้อดี ผ่านการเผาและตีเป็นกระบี่ใช้เวลาถึงสามปีเต็มจึงเสร็จสิ้น ขั้นตอนการตีนั้นยังแตกต่างจากการตีเหล็กกระบี่ทั่วไป ทุกสามชั่วยามจะต้องนำกระบี่ออกมาจากเตาเผา แล้วนำไปแช่ลงในโคลนหยกสีเขียวที่หายากยิ่ง

ในโคลนหยกประกอบไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด หนึ่งในนั้นมีแร่เหล็กสีเขียวชนิดหนึ่ง เมื่อแช่กระบี่ลงไปในโคลนหยก แร่เหล็กสีเขียวเหล่านั้นจะแทรกซึมเข้าสู่เนื้อเหล็กกล้าของตัวกระบี่ เมื่อผ่านการเผาและตีแร่เหล็กสีเขียวเหล่านั้น ต่างประสานเป็นเนื้อเดียวกันกับเหล็กกล้าเนื้อดีของกระบี่ เมื่อผ่านไปเป็นเวลาสามปีจึงได้กระบี่หยกไผ่หลิวอันคมกล้ามาสามเล่ม

ชื่อกระบี่หยกไผ่หลิวเป็นปรมาจารย์ท่านแรกผู้ก่อตั้งพรรคไผ่หลิว เป็นผู้ตั้งขึ้นเนื่องด้วยกระบี่ทั้งสามเล่มมีสีเขียวดั่งหยกและต้นไผ่หลิว แม้แต่ด้ามและฝักของกระบี่ยังเป็นสีเขียวด้วยเช่นกัน กระบี่ทั้งสามเล่มแข็งแกร่งและคมกริบ สามารถตัดหยกผ่าศิลาได้โดยง่ายดาย

กระบี่หยกไผ่หลิวทั้งสามเล่มตกทอดมาเป็นเวลาถึงห้าร้อยกว่าปี จนกระทั่งมาถึงหัวหน้าพรรครุ่นที่หกนามเฉิงปู้กง ที่ผ่านมามีเพียงศิษย์รุ่นแรกสามคนเท่านั้น ที่ใช้กระบี่ทั้งสามเล่มสร้างชื่อให้กับพรรคไผ่หลิว วิชากระบี่หลิวชมจันทร์ปรมาจารย์ท่านแรกเป็นผู้คิดค้นได้ ตอนที่ท่านเฝ้ามองช่างตีเหล็กสามคนช่วยกันใช้ค้อนตีเหล็กในคืนจันทร์เพ็ญ

ขณะที่เฝ้ามองช่างทั้งสามช่วยกันตีกระบี่ ซือโจวท่านนั้นไร้เรื่องราวให้กระทำ เห็นจันทร์เพ็ญลอยเด่นสุกใส จึงนึกสนุกใช้ต้นไผ่หลิวแทนกระบี่ร่ายรำท่วงท่าตามจังหวะของการตีกระบี่ ทุกคืนจันทร์เพ็ญท่านร่ายรำกระบี่มิได้เว้นนานวันเข้ากลับพบว่าท่าร่างและกระบวนท่ามีความก้าวหน้าแทบไม่น่าเชื่อ ทุกกระบวนท่าแข็งแกร่งดั่งค้อนตีเหล็กกล้า แต่ยามพลิกแพลงกลับพลิ้วไหวดั่งต้นไผ่หลิวล้อสายลม

เมื่อผ่านไปสามปีท่านจึงสามารถบัญญัติเป็นวิชากระบี่หลิวชมจันทร์ได้สำเร็จ จึงได้ถ่ายทอดวิชากระบี่ชุดนี้ให้แก่ศิษย์ทั้งสาม เมื่อมาดัดแปลงให้ศิษย์ทั้งสามใช้วิชากระบี่หลิวชมจันทร์พร้อมเพรียงกัน โดยให้ศิษย์ทั้งสามใช้กระบี่เสริมประสานสอดคล้อง ปิดอุดช่องโหว่ช่วยเติมในส่วนที่ขาด อีกคนรุกอีกคนรับสลับสับเปลี่ยน บวกกับสุดยอดกระบี่หยกไผ่หลิวที่สร้างเสร็จ ทำให้เพิ่มอานุภาพของกระบวนท่าวิชาชุดนี้อีกเท่าตัว เคล็ดลับสำคัญของวิชาชุดนี้ อยู่ที่ความเป็นหนึ่งของผู้ใช้ทั้งสามคน จะต้องสอดคล้องจิตกับกระบี่รวมเป็นหนึ่งจู่โจมทั้งบนล่างซ้ายขวา ใช้แข็งต้านอ่อนใช้อ่อนต้านแข็ง ลมปราณหนุนส่งต่อเนื่องมิขาดตอน

ในยุคนั้นนับได้ว่ากระบี่หลิวชมจันทร์ของพรรคไผ่หลิว เป็นที่สร้างชื่อและครั่นคร้ามของบรรดาชาวยุทธ์บู๊ลิ้ม เทียบได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งของวิชากระบี่เลยนับว่าได้ เมื่อเวลาผ่านไปศิษย์ทั้งสามคนได้เสียชีวิตไป ศิษย์ในรุ่นต่อ ๆ มากลับไม่มีผู้ใดสามารถฝึกวิชากระบี่หลิวชมจันทร์สำเร็จได้เลยแม้แต่รุ่นเดียว

จนกระทั่งมาถึงรุ่นของเฉิงปู้กง นับได้ว่าศิษย์ทั้งสามของท่านฉายแววโดดเด่น มีส่วนคล้ายกับศิษย์รุ่นแรกที่ฝึกวิชากระบี่ชุดนี้สำเร็จ ดังนั้นเฉิงปู้กงจึงได้ถ่ายทอดให้แก่ศิษย์ทั้งสามของท่านและเข้มงวดให้ศิษย์ทั้งสามฝึกซ้อมอยู่มิได้เว้น จุดประสงค์เพื่อให้ศิษย์ทั้งสามฝึกวิชากระบี่หลิวชมจันทร์สำเร็จให้จงได้

เจ้าหุบเขามู่ชิวป้าเมื่อเข้ามาเห็นศิษย์ทั้งสาม ของหัวหน้าพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กงกำลังฝึกซ้อมกระบวนท่ากันอย่างลงตัว อดนึกถึงศิษย์ทั้งสองของตนขึ้นมามิได้ หากไม่มีเรื่องราวเกิดขึ้น ป่านนี้ท่านกับศิษย์ทั้งสองคนคงเดินทางท่องเที่ยว พร้อมกันสอนศิษย์สตรีทั้งสองให้ใช้วิชากระบี่ดรุณีปราบมารไปด้วย ที่ผ่านมาท่านได้ถ่ายทอดวิชากระบี่ชุดนี้ให้กับศิษย์ทั้งสองจนหมดสิ้น ขาดแต่เพียงการชี้แนะกระบวนท่าและการพลิกแพลงกระบวนท่าเท่านั้น แต่หากศิษย์ทั้งสองของท่านมีความเฉลียวฉลาด คิดว่าหากใช้ประสบการณ์จะต้องมีความก้าวหน้าด้วยตัวเองเช่นกัน

เมื่อศิษย์ทั้งสามของพรรคไผ่หลิว เห็นผู้ที่มาเป็นเจ้าหุบเขามู่ชิวป้า ต่างหยุดมือพร้อมกับตรงเข้ามาต้อนรับ ทั้งสามประสานมือคารวะแล้วรีบเชิญท่านเข้าไปยังตัวตึกซึ่งเป็นที่ตั้งของพรรค ทั้งสามแจ้งต่อเจ้าหุบเขามู่ชิวป้าว่าท่านอาจารย์ของพวกตนเพิ่งออกจากห้องเก็บตัวฝึกวิชา คิดว่าป่านนี้คงอาบน้ำแต่งเนื้อแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว จึงเชิญเจ้าหุบเขามู่มายังห้องรับแขก เทียนจิ้งศิษย์คนเล็กรีบอาสาไปเรียนต่อหัวหน้าพรรคไผ่หลิวผู้เป็นอาจารย์ ส่วนเหวินมู่กับอวี้หว่อทั้งสองขณะรอจึงสนทนากับเจ้าหุบเขามู่ไปพลาง ๆ

ไม่นานเท่าใดนักหัวหน้าพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กงออกมาถึงห้องรับแขก พร้อมกับส่งเสียงทักทายเจ้าหุบเขามู่ด้วยน้ำเสียงแสดงความสนิทสนม เจ้าหุบเขามู่รีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับประสานมือทักทายเจ้าบ้าน  เมื่อทั้งสองนั่งลงเรียบร้อยแล้ว หัวหน้าพรรคไผ่หลิวท่านกล่าวขึ้นกับศิษย์ทั้งสามว่า

“เจ้าทั้งสามคนออกไปก่อนอาจารย์กับท่านเจ้าหุบเขามู่มีเรื่องราวต้องสนทนากัน หากมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับเจ้าทั้งสามคน อาจารย์จะให้คนไปตาม ตอนนี้มีเวลาว่างเจ้าทั้งสามหมั่นทบทวนวิชา อย่าได้ทำอับอายศิษย์สตรีทั้งสองของท่านเจ้าหุบเขามู่เป็นอันขาด”

ศิษย์ทั้งสามของพรรคไผ่หลิวประสานมือแก่ทั้งสองท่าน พร้อมกับเทียนจิ้งเอ่ยถามต่อเจ้าหุบเขามู่ขึ้นว่า

“เรียนถามท่านเจ้าหุบเขามู่ มิทราบว่าพี่ซื่อเหมี่ยนกับน้องอี้เซินเป็นเช่นไรบ้าง นางทั้งสองสุขสบายดีหรือไม่? เหตุใดท่านอาวุโสไม่พานางทั้งสองเดินทางมาด้วย”

เจ้าหุบเขามู่เมื่อได้ยินเทียนจิ้งศิษย์คนเล็กของพรรคไผ่หลิวเอ่ยถามถึงศิษย์ทั้งสองของตน จึงบอกว่าทั้งนางสองจะส่งข่าวมาภายหลังตอนนี้นางทั้งสองเดินทางไปยังหมู่บ้านเย้ยอรุณ รายละเอียดท่านค่อยเล่าให้ฟังในภายหลัง ตอนนี้ท่านขอคุยธุระกับอาจารย์ของทั้งสามก่อนด้วยเรื่องเร่งด่วน

ศิษย์ทั้งสามเห็นเช่นนั้นจึงไม่รบกวน รีบพากันล่าถอยออกมาจากห้องรับแขก เพื่อไปฝึกซ้อมกระบวนท่ากระบี่หลิวชมจันทร์กันต่อ ปล่อยให้อาจารย์กับเจ้าหุบเขามู่สนทนากันตามลำพัง เมื่อศิษย์ทั้งสามของพรรคไผ่หลิวออกไปแล้วเจ้าหุบเขามู่ได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กับหัวหน้าพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กงฟังอย่างละเอียด

หัวหน้าพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กงเมื่อได้รับฟังเรื่องราวจบลง ท่านแสดงสีหน้าไม่พอใจต่อหลิวกงกงอย่างเห็นได้ชัด คิดไม่ถึงว่าที่ผ่านมาตนและเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว ต่างให้ความร่วมมือและช่วยเหลือหลิวกงกงมาโดยตลอด แต่แล้วจู่ ๆ มาเกิดเรื่องราวเช่นนี้คิดว่าหลิวกงกงต้องมีแผนการอันชั่วร้ายอย่างแน่นอน

หากวิจารณ์กันตามเรื่องราว หลิวซุ่นกงกงแห่งหมู่ตึกกระเรียนฟ้าเป็นคนของราชสำนัก หากมีแผนการชั่วคิดจะทำร้ายเจ้าหุบเขามู่ มิจำเป็นต้องบงการให้ยอดฝีมือภายในหมู่ตึกกระเรียนฟ้ากลุ้มรุมทำร้ายหมายเอาชีวิต ถึงขั้นระดมคนออกไล่ล่าคิดว่าหลิวกงกง คงสะบั้นตัดความสัมพันธ์กับเจ้าหุบเขามู่อย่างแน่นอน

แสดงว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะต้องมีการวางแผนมาก่อนล่วงหน้า เพื่อใส่ร้ายป้ายสีให้ชาวยุทธ์ลงมือต่อเจ้าหุบเขามู่ หรือไม่ทำให้บรรดาชาวยุทธ์สัประยุทธ์เข่นฆ่ากันเอง แล้วใช้โอกาสนี้เสนอตัวเป็นผู้นำชาวยุทธ์ ในการคัดเลือกผู้นำชาวยุทธ์ที่เส้าหลินที่จะมาถึงอีกไม่ถึงครึ่งเดือนข้างหน้า และที่สำคัญเป้าหมายของหลิวกงกง ยังคิดสืบข่าวของคัมภีร์ยุทธ์สุริยันจันทราได้สะดวกอีกด้วย

หลังจากมีวลีสี่ประโยคปรากฏขึ้นในยุทธจักร หลิวกงกงระดมคนไม่น้อยในการออกสืบข่าวคราวเกี่ยวกับวลีสี่ประโยค เพื่อนำไปสู่การค้นหาคัมภีร์ยุทธ์สุริยันจันทรา ด้วยหลิวกงกงทราบมาว่า วลีสี่ประโยคนี้ล้วนถูกบันทึกอยู่บนหน้าแรกของคัมภีร์ ดังนั้นคิดว่าคนที่ปล่อยวลีนี้ออกมา ย่อมมีคัมภีร์ยุทธ์อยู่ในครอบครอง แต่มิอาจคาดเดาจุดประสงค์ของคนที่ปล่อยวลีสี่ประโยคนี้ออกมาได้

หากกำจัดเจ้าหุบเขามู่ไปได้คนหนึ่ง เป้าหมายต่อไปอาจเป็นพรรคไผ่หลิว หรือไม่อาจเป็นสำนักเมฆฟ้าพิรุณ ส่วนวัดเส้าหลินหลิวกงกงคงยังมิกล้าแตะต้องในตอนนี้ จึงได้มุ่งเป้าหมายมายังสามสำนักใหญ่ฝ่ายธัมมะก่อน หากกำจัดสามสำนักใหญ่ได้แล้ว ต่อไปไม่แน่วัดเส้าหลินไม่อาจรอดพ้นด้วย หลิวกงกงอาจจะไม่ละเว้นเช่นกัน มิเช่นนั้นแล้วเส้าหลินจะเป็นก้างขวางคอชิ้นใหญ่ ที่จะคอยขัดขวางการยึดครองบู๊ลิ้มของหลิวกงกงอย่างแน่นอน

ผ่านไปอีกหนึ่งวันเจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณเหิงปี้ไป่ ท่านเดินทางมาถึงพรรคไผ่หลิว เจ้าสำนักเหิงปี้ไป่เดินทางมาโดยลำพัง มิได้นำศิษย์ทั้งสองติดตามมาด้วย กลัวเกรงว่าจะเป็นการเอิกเกริกเป็นที่น่าสงสัยของหมู่ตึกกระเรียนฟ้า เมื่อได้พบกับหัวหน้าพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กงและเจ้าหุบเขามู่ชิวป้าแล้ว พอท่านได้รับฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นท่านแสดงอาการโกรธเกรี้ยว กล่าวคำสบถก่นด่าหลิวกงกงไปหลายคำ

เจ้าสำนักเมฆฟ้าพิรุณเหิงปี้ไป่เองคิดไม่ถึงว่า หลิวกงกงจะกลายเป็นคนเช่นนี้ได้ ที่ผ่านมาทำตัวเป็นคนดีมีคุณธรรม นั่นย่อมแสดงว่าที่ผ่านมาเป็นเพียงการเล่นละครฉากหนึ่งเท่านั้นเอง ด้วยความละโมบคิดครอบครองคัมภีร์ยุทธ์ และหวังเป็นใหญ่บงการชาวยุทธ์ ถึงกับคิดเข่นฆ่าคนที่เคยช่วยเหลือกันมา คิดแล้วทั้งสามต่างเสียดายความสัมพันธ์อันดี หากภายหน้าจะต้องหันหน้ามาห้ำหั่นเข่นฆ่ากัน

ขณะที่ทั้งสามกำลังครุ่นคิดว่าจะกระทำเช่นไรต่อไปดี เทียนจิ้งศิษย์คนเล็กของพรรคไผ่หลิววิ่งเข้ามาด้วยอาการร้อนรน เมื่อเข้ามาถึงห้องรับแขกซึ่งทั้งสามกำลังนั่งสนทนากัน เทียนจิ้งกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นรัวว่า

“เรียนท่านอาจารย์ ท่านเจ้าหุบเขามู่ ท่านเจ้าสำนักเหิง ด้านนอกมีคนกลุ่มใหญ่แต่งกายด้วยชุดสีขาวแบกหามเกี้ยวกำลังจะผ่านประตูใหญ่เข้ามา ดูลักษณะท่าทางคิดว่าไม่มาดีอย่างแน่นอน ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่รองกำลังออกไปขัดขวางอยู่ ข้าพเจ้าเห็นท่าไม่ดีเลยรีบเข้ามาเรียนต่ออาจารย์ให้รีบรุดออกไปชมดู”

อาวุโสทั้งสามได้ยินเช่นนั้นมิรอช้า รีบลุกจากเก้าอี้พุ่งร่างออกไปจากห้องโถงซึ่งใช้สำหรับต้อนรับแขกด้วยความเร็วมิอาจบรรยาย เห็นเป็นเพียงเงาร่างเคลื่อนย้ายดุจหมอกควันเบาบางสามสาย เทียนจิ้งมิรอช้ารีบพุ่งกายตามติด แต่ทว่าเงาร่างของอาวุโสทั้งสามล่วงหน้าไปไม่เห็นหลังแล้ว เทียนจิ้งคิดในใจว่าภายหน้าตนจะตั้งใจฝึกฝน จะเอาอย่างอาจารย์กับอาวุโสทั้งสองท่านที่มีพลังฝีมือสูงเยี่ยม

เมื่ออาวุโสทั้งสามออกมาถึงลานกว้าง เห็นขบวนคนในชุดสีขาวกลุ่มนั้น กำลังเคลื่อนย้ายผ่านประตูใหญ่เข้ามาพอดี อาวุโสทั้งสามแม้มาทีหลังกลับบรรลุถึงก่อนเหวินมู่กับอวี้หว่อซึ่งออกมาขัดขวางก่อนหน้านั้น  เมื่อหัวหน้าพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กงพบศิษย์ทั้งสองของตนกำลังจะออกไปขัดขวางขบวนเกี้ยวลึกลับขบวนนั้น ท่านจึงส่งเสียงร้องบอกกับศิษย์ทั้งสองว่า

“เหวินมู่ อวี้หว่อ เจ้าทั้งสองไปอยู่รวมกับเทียนจิ้ง แล้วคอยดูอยู่ห่าง ๆ อย่าได้กระทำการใดที่ไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์เป็นอันขาด”

 

ศิษย์ทั้งสองของพรรคไผ่หลิวกล่าวตอบอาจารย์กลับมาว่า

“ศิษย์ทั้งสองรับทราบจะรีบไปรวมตัวกับน้องเล็ก ศิษย์ทั้งสามจะปฏิบัติตามคำสั่งของท่านอาจารย์อย่างเคร่งครัด อาจารย์กับอาวุโสทั้งสองโปรดระมัดระวังตัวด้วย”

เมื่ออาวุโสทั้งสามเร่งรุดมาถึงหน้าขบวน หัวหน้าพรรคไผ่หลิวเฉิงปู้กงส่งเสียงทักทายไปก่อนว่า

“ช้าก่อน ข้าพเจ้าเฉิงปู้กงเป็นหัวหน้าพรรคไผ่หลิว ไม่ทราบว่าพวกท่านเป็นใคร ไฉนจึงบุกรุกเข้ามาภายในพรรคของข้าพเจ้า หากมีธุระอันใดกับข้าพเจ้าขอเชิญกล่าววาจามาสักสองสามประโยค พร้อมแจ้งชื่อแซ่ของท่านทั้งหลายแล้วข้าพเจ้าจะเชื้อเชิญพวกท่านเข้าไปยังด้านในจะดีหรือไม่?”

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป