Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (กรุยจุดชีพจร)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

กรุยจุดชีพจร

  • 13/08/2565

ตอนที่ 20

กรุยจุดชีพจร

ซื่อเหมี่ยน นางส่งเสียงร้องถามต่อจ่านจือว่า

“เซียวจือ เกิดเรื่องราวใดขึ้น พี่สาวทั้งสองอยู่ในครัวได้ยินเสียงผิดปกติน่ากลัว เจ้าใช่ได้รับอันตรายใดหรือไม่?”

จ่านจือรีบส่งเสียงกล่าวตอบออกไปว่า

“ข้าพเจ้ามิเป็นไร ไม่มีเรื่องราวใดน่ากลัว พี่สาวทั้งสองได้ยินเสียงเมื่อครู่ ความจริงเป็นเรื่องราวเข้าใจผิด ไม่มีอันใดให้ต้องตกใจ”

พี่สาวทั้งสองของจ่านจือ เมื่อวิ่งออกมาถึงพื้นโล่งลานกว้างหน้าบ้าน เมื่อทอดสายตามอง ในที่นั่นนอกจากจ่านจือแล้ว นางทั้งสองยังพบเห็นชายชราผมขาวคิ้วขาวอีกผู้หนึ่ง จึงพากันรีบวิ่งเข้าไปหาจ่านจือพร้อมกับเอวี้ยอี้เซิน กระซิบกระซาบถามเขาว่า

“เซียวจือ ท่านผู้เฒ่านั่นเป็นใคร? เกิดเรื่องราวใดขึ้น อาวุโสท่านนั้นไฉนจึงอยู่ด้วยกับเจ้า”

แม้ว่าจ่านจือยังมิได้ตอบคำถามนาง แต่นางทั้งสองมิกล้าเสียมารยาท รีบประสานมือทั้งสองต่ออาวุโสท่านนั้น ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทราบว่าท่านผู้เฒ่าคิ้วขาวผู้นั้นเป็นใคร

จ่านจือเห็นเช่นนั้น รีบกล่าวแนะนำอาวุโสตรงหน้าต่อพี่สาวทั้งสองของเขา จ่านจือส่งเสียงกล่าวแนะนำว่า

“พี่สาวใหญ่ พี่สาวรอง พวกท่านออกมาก็ดีแล้ว ความจริงข้าพเจ้าก็ยังไม่ทราบ ว่าอาวุโสท่านนี้เป็นใคร? แต่ท่านมิได้มาร้าย เมื่อครู่เสียงที่พี่สาวทั้งสองได้ยิน เป็นเราทั้งสองประลองประกระบวนท่ากัน”

ชายชราผู้นั้น ทอดสายตามองพี่สาวทั้งสองของจ่านจือ ท่าทางอาวุโสท่านนี้คล้ายให้ความสนใจต่อพี่สาวทั้งสองของเขาไม่น้อย ดังนั้นจ่านจือจึงส่งเสียงกล่าวแนะนำพี่สาวทั้งสอง ให้กับอาวุโสตรงหน้าได้รู้จักว่า

"เรียนอาวุโส นางทั้งสองเป็นพี่สาวของข้าพเจ้า เมื่อครู่ที่ข้าพเจ้ากล่าวกับท่านไปว่า ข้าพเจ้าเป็นเด็กกำพร้า เกรงว่าท่านจะสงสัยว่าเด็กกำพร้าจะมีพี่สาวได้เช่นไร? อันที่จริงจข้าพเจ้ากับนางทั้งสอง มิได้เป็นพี่สาวน้องชาย ร่วมบิดามารดาเดียวกัน แต่ทว่าเราทั้งสามต้องชะตามีวาสนาต่อกัน อีกทั้งได้รับความเมตตาจากพี่สาวทั้งสอง พวกเราเลยคบหากันดั่งพี่น้องร่วมอุทร”

จากนั้น จ่านจือผายมือไปยังพี่สาวทั้งสอง กล่าวแนะนำต่ออาวุโสตรงหน้าว่า

“ท่านนี้เป็นพี่สาวใหญ่ของข้าพเจ้า นางมีนามซื่อเหมี่ยน ส่วนท่านนี้เป็นพี่สาวรองนามเอวี้ยอี้เซิน เมื่อสักครู่พี่สาวทั้งสองกำลังปรุงอาหารอยู่ในครัว" 

จ่านจือ เมื่อแนะนำพี่สาวทั้งสองให้อาวุโสตรงหน้าได้รู้จักแล้ว เขาหันมากล่าวต่อพี่สาวทั้งสองว่า

“อาวุโสท่านนี้ กล่าวถามถึงนามของอาจารย์ข้าพเจ้า แม้แต่พี่สาวทั้งสองข้าพเจ้า เซียวจือยังไม่อาจบอกกล่าวได้ ดังนั้นจึงไม่ได้บอกต่ออาวุโสเช่นกัน อีกทั้งยังมิทันทราบ ว่าอาวุโสท่านนี้มีนามอันส่งส่งว่ากระไร?”

อาวุโสตรงหน้า ได้ยินทั้งสามพูดคุยกัน รู้สึกสนใจทั้งสามขึ้นมา ส่งเสียงเอ่ยกล่าวว่า

"เอาเถิด พวกเจ้าทั้งสามอย่าได้เกรงใจ เราผู้เฒ่ารู้สึกสนใจพวกเจ้าทั้งสามอยู่บ้าง เราผู้เฒ่ามีความคิดเห็นว่า พวกเราทั้งหมดหาที่นั่งพักสำหรับนั่งพูดคุยกันจะดีกว่าหรือไม่?"

เมื่อได้ยินอาวุโสท่านนั้น กล่าววาจาออกมาเช่นนี้ เอวี้ยอี้เซินจึงรีบส่งเสียงกล่าววาจา ต่ออาวุโสท่านนั้นว่า

"เช่นนั้น เชิญอาวุโสเข้ามาพักผ่อนในบ้านก่อน ข้าพเจ้ากับศิษย์พี่ เราทั้งสองกำลังปรุงอาหารใกล้เสร็จพอดี เผอิญได้ยินเสียงผิดปกติจึงรีบวิ่งออกมาดู ว่าเกิดเรื่องราวใดขึ้น? หากอาวุโสมิรังเกียจพวกเรา เชิญท่านร่วมรับประทานอาหารเช้ากับพวกเราเถิด พร้อมกับสนทนากันไปในระหว่างรับประทานอาหารจะดีหรือไม่?"

ชายชราท่านนั้น พยักหน้าเมื่อได้ยินเอวี้ยอี้เซินเชื้อเชิญ ท่านเองกำลังหิวอยู่พอดี เห็นว่าทั้งสามมีน้ำใจอุตส่าห์กล่าววาจาเชื้อเชิญ จึงรีบกล่าวตอบกลับไปว่า

"เราผู้เฒ่า คล้ายเห็นด้วยกับความคิดนี้ของเจ้า เข้าท่าดีเหมือนกันรับประทานอาหารไป พูดคุยกันไปจะได้ไม่เสียเวลา พวกเจ้าทั้งสามมีอันใดน่ารังเกียจ เราผู้เฒ่าเสียอีกที่น่ารังเกียจสำหรับพวกเจ้า”

ซื่อเหมี่ยน นางรีบส่งเสียงเอ่ยกล่าวว่า

“อาวุโสกล่าวหนักไปแล้ว ท่านมีอันใดให้น่ารังเกียจ พวกเราเพียงคนธรรมดา ได้เลี้ยงอาหารท่านมื้อหนึ่ง ถือว่ามีวาสนาได้คบหาอาวุโสอีกท่านหนึ่ง ไม่แน่นักพวกเราทั้งสาม อาจจะขอคำชี้แนะสอนสั่งจากท่าน”

 อาวุโสท่านนั้น ส่งเสียงหัวร่อพอใจ กล่าวตอบว่า

“ถ้าเช่นนั้น เราผู้เฒ่าไม่เกรงใจพวกเจ้าแล้ว อีกทั้งยังไม่กล้าขัดน้ำใจของพวกเจ้าเช่นกัน ขอบใจต่อความมีน้ำใจของพวกเจ้าทั้งสามยิ่ง หลังจากกินข้าวอิ่มหนำแล้ว เราผู้เฒ่าค่อยบ่งบอกต่อพวกเจ้า ว่าเราที่แท้เป็นใคร? นอกจากนั้นเรายังมีเรื่องราวพูดคุยกับพวกเจ้าอยู่บ้าง"

ดังนั้น ทั้งหมดจึงพากันเดินเข้าไปในตัวบ้าน โดยมีซื่อเหมี่ยน กับเอวี้ยอี้เซินเดินนำหน้า สำหรับจ่านจือเขาเดินตามหลังอาวุโสท่านนั้นไปไม่ห่างนัก เมื่อบรรลุถึงโต๊ะอาหาร จ่านจือผายมือให้อาวุโสนั้น พร้อมกับส่งเสียงกล่าวเชื้อเชิญว่า

"เชิญอาวุโสนั่งลงก่อน ข้าพเจ้าจะไปช่วยพี่สาวทั้งสอง ยกสำรับกับข้าวออกมาจากในครัว รบกวนอาวุโสนั่งรอสักครู่"

เมื่อสำรับกับข้าว ถูกยกออกมาจัดวางบนโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว เอวี้ยอี้เซินนางรีบตักข้าวพูนชามยื่นส่งให้กับอาวุโสท่านนั้น จากนั้นตักข้าวให้กับจ่านจือ ต่อด้วยศิษย์พี่ของนาง สุดท้ายเป็นของนางเอง จากนั้นรีบนั่งลง ส่งเสียงเอ่ยกล่าวว่า

“เชิญทุกท่านลงมือรับประทานอาหารได้ เพราะมิได้เตรียมตัวล่วงหน้า อาหารจึงดูธรรมดาไปบ้าง อีกทั้งไม่มีสุราต้อนรับอาวุโส ต้องของอภัยในความฉุกละหุก”

ขณะทั้งสามรับประทานอาหาร ต่างไม่ได้สนทนาเรื่องราวกันเท่าใดนัก ทุกคนต่างพุ้ยข้าวสวย พร้อมคีบกับข้าวใส่ปากเคี้ยวรับประทาน อาหารหลายจานมือนี้แม้จะธรรมดาไปบ้าง แต่ทว่าทุกคนต่างลงมือรับประทานกันอย่างเอร็ดอร่อย อาวุโสท่านนั้น เมื่อรับประทานอาหารอิ่มหนำแล้ว ท่านเดินออกมายังหน้าบ้านพร้อมกับจ่านจือ ปล่อยให้พี่สาวทั้งสองของเขา เก็บจานชามทำความสะอาดอยู่ภายในครัว

เมื่อออกมายังแคร่ไม้ไผ่หน้าบ้าน หลังจากอาวุโสท่านนั้นนั่งลงบนแคร่แล้ว จ่านจือจึงนั่งลงบนม้านั่งอีกตัวหนึ่ง ซึ่งวางอยู่ต่ำกว่าแคร่เล็กน้อย หลังจากนั้นชายชราผมขาวท่านนั้น เอ่ยกล่าวกับเขาว่า

"หากเราจดจำมิผิดเพี้ยน แม่นางน้อยทั้งสองที่อยู่ในครัว นางทั้งสองต้องเป็นศิษย์สตรี ของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว ใช่ถูกต้องหรือไม่? เราเคยพบเจอนางทั้งสอง เมื่อครั้งที่เราเดินทางผ่านหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว ในตอนนั้นเราแวะไปเยี่ยมเยียนเจ้าหุบเขามู่ชิวป้า แต่นั่นผ่านมาเกือบสิบห้าปีแล้ว คิดว่านางทั้งสองอาจจะจดจำเรามิได้แล้ว ในตอนนั้นนางทั้งสองยังเด็กเล็กนัก อายุเพิ่งไม่กี่ขวบปี เจออีกทีกลับเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว"

จ่านจือ เขาได้ยินอาวุโสบอกเล่าเช่นนั้น จึงกล่าวตอบไปว่า

“ถูกต้อง อาวุโสจดจำได้มิผิด พี่สาวทั้งสองเป็นศิษย์สตรีของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว”

ในขณะที่จ่านจือกล่าวตอบ พี่สาวทั้งสองของเขาเก็บล้างจานชามเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงพากันเดินออกมาสมทบกับเขา รวมทั้งอาวุโสท่านนั้น เมื่อนางทั้งสองนั่งลงยังม้านั่งไม่ไกลจากจ่านจือเท่าใดนัก อาวุโสท่านท่านนั้น จึงกล่าววาจาต่อทันทีว่า

"เจ้าทั้งสองบัดนี้เติบโตเป็นสาวแล้ว อาจจดจำเราผู้เฒ่ามิได้แล้ว ในตอนนั้นเราแวะไปหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว เพื่อเยี่ยมเยียนเจ้าหุบเขามู่ชิวป้าอาจารย์เจ้า ในตอนนั้นพวกเจ้าทั้งสอง ยังเป็นเด็กซุกซนรู้ความ ไม่แน่นักว่าจะยังจดจำเราได้ เอาเถิดเมื่อพวกเจ้าทั้งสามอยู่พร้อมหน้ากันแล้ว เราผู้เฒ่าจะบ่งบอกต่อเจ้าทั้งสาม ว่าที่แท้เราเป็นใคร?"

อาวุโสท่านนั้น หยุดวาจาเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อว่า

"เราผู้เฒ่า น้อยครั้งที่จะปรากฏกายให้ผู้คนได้พบเห็น ส่วนใหญ่จะไปมาไร้ร่องรอย พำนักอาศัยอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง ชื่นชอบการท่องเที่ยวผาดโผน ชาวยุทธจักรมักรู้จักแต่ชื่อของเราเท่านั้น นี่ก็เกือบสิบห้าปีแล้วกระมัง? ที่เราผู้เฒ่าเดินทางขึ้นเหนือ หลังจากนั้นเรามิได้ย่างกรายเหยียบเขตจงหยวนแม้แต่ครึ่งก้าว ดังนั้นวันเวลาที่ผ่านมาสิบห้าปีจึงไม่มีชาวยุทธ์ผู้ใดเอ่ยกล่าวถึงเราเท่าใดนัก"

ได้ยินเช่นนั้น จ่านจือกับพี่สาวทั้งสองของเขา ยิ่งให้ความสนใจกระตือรือร้น ต้องการฟังคำบอกเล่าจากปากอาวุโสท่านนั้น ซื่อเหมี่ยนซึ่งมีอาวุโสสุดในจำนวนคนทั้งสาม เห็นชายชราหยุดวาจาไม่กล่าวต่อ จึงเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ว่า

"เรียนถามอาวุโส ฟังจากวาจาท่านเมื่อครู่ สิบห้าปีที่ท่านมิได้เหยียบย่างแผ่นดินจงหยวน การเดินทางมาของท่านในครั้งนี้ ใช่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการชุมนุมชาวยุทธ์ที่วัดเส้าหลินหรือไม่?”

อาวุโสท่านนั้น แย้มยิ้มพยักหน้าตอบรับ พร้อมกับกล่าวตอบว่า

"ถูกต้อง แม่นางท่านนี้กล่าวได้ไม่ผิด เหตุผลที่เราเดินทางลงมาจงหยวน เพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลิน ส่วนงานต่าง ๆ เรามอบหมายให้ผู้หลายคนรับชอบ ถึงแม้เราจะไม่เคยเดินทางลงมาจงหยวน แต่ผู้เฒ่าทั้งหลายได้รายงานความเคลื่อนไหวให้เราทราบ”

ชายชราท่านนั้น ทอดสายตามองทั้งสามเที่ยวหนึ่ง จากนั้นส่งเสียงกล่าววาจาต่อว่า

“พวกเจ้าทั้งสามคนทราบหรือไม่? ที่เราเดินทางผ่านมาหมู่บ้านเย้ยอรุณแห่งนี้มิใช่บังเอิญ เนื่องจากหลายวันก่อน เราลอบได้ยินการสนทนากันระหว่างแม่ชีนิรนามสองนางว่า ในวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่วัดเส้าหลิน พวกนางและพรรคพวกได้จัดวางกำลังคนเอาไว้ เพื่อทำภารกิจคิดวางยาพิษลงในเครื่องดื่ม ด้วยความสงสัยเราเลยออกติดตามนางชีนิรนามทั้งสองมา”

จ่านจือได้ยินเช่นนั้น ส่งเสียงกล่าวถามขึ้นว่า

“เรียนอาวุโส ข้าพเจ้าคล้ายเคยได้ยินเรื่องราวของแม่ชีนิรนามทั้งสองมาบ้าง ครั้งนั้นสหายของข้าพเจ้าเองเกือบต้องตาย ภายใต้เงื้อมมือของแน่ชีนางหนึ่งในสองนางนี้”

อาวุโสท่านนั้น รวมทั้งพี่สาวทั้งสองของจ่านจือ แสดงสีหน้าให้ความสนใจ ในเรื่องราวที่จ่านจือบอกกล่าว แต่คล้ายชายชราต้องการให้พักเรื่องราวของเขาเอาไว้ก่อน เนื่องจากเรื่องราวของท่านยังบอกกล่าวออกมายังไม่หมดสิ้น อาวุโสท่านนั้นกล่าววาจาเล่าเหตุการณ์ต่อจากเมื่อครู่ว่า

“เมื่อเราติดตามมาถึงเชิงเขา ก่อนเข้าเขตบริเวณอารามอเทวตานางชีนิรนามทั้งสอง พลันหายตัวไปไร้ร่องรอย เราเองยังไม่อยากแสดงตัว ด้วยกลัวว่านางชีทั้งสองจะรู้ตัว เมื่อค่ำคืนนี้เราแอบซุ่มดูอยู่บริเวณเชิงเขา ปรากฏว่าไม่พบแม้แต่เงาของผู้คน พอถึงรุ่งเช้าจึงได้เดินทางผ่านมาทางนี้ เห็นทารกน้อยคนนี้กำลังฝึกซ้อมกระบวนท่าอยู่ เราเองเก็บตัวมานานไม่ได้ยืดเส้นยืดสาย จึงเกิดความสนุกต้องการครึกครื้น กระโดดเข้าร่วมประกระบวนท่าโดยมิได้เอ่ยกล่าว"

อาวุโสท่านนั้น กล่าววาจาบอกเล่าเหตุการณ์จบลง คนทั้งสามตั้งอกตั้งใจรับฟังอย่างสนใจ จ่านจือเมื่อครู่นึกถึงคำพูดของเฮียม่วยแซ่เฟิ่น คนทั้งสองเคยกล่าววาจาเตือนเขาเอาไว้ว่า หากพบพานแม่ชีนิรนามทั้งสองนางนี้  ให้เขารีบหลบหนีไปให้ไกล อย่าได้คิดไปตอแยกับพวกนางเด็ดขาด เพราะว่าฝีมือของพวกนางร้ายกาจน่ากลัวนัก

 กระทั่งบัดนี้ จ่านจือรวมทั้งพี่สาวทั้งสองของเขา คนทั้งสามยังมิทราบว่าที่แท้อาวุโสท่านนี้เป็นใคร ด้วยความสงสัยในฐานะของชายชราผู้นี้ เอวี้ยอี้เซินจึงส่งเสียงกล่าวถามว่า

"เรียนถามอาวุโส พวกเราร่วมสนทนากันมาตั้งนาน ยังมิทราบนามอันสูงส่งของท่านเลย ฟังจากเรื่องราวที่ท่านบอกกล่าวเมื่อครู่ ชื่อเสียงของท่านย่อมมิธรรมดา อาวุโสกรุณาบอกกล่าวต่อพวกเราทั้งสามด้วยเถิด อาจไม่แน่นักหากทราบทราบชื่อแซ่ของท่านแล้ว พวกเราทั้งสามอาจเคยได้ยินวีรกรรมของท่านมาบ้างก็ได้?”

อาวุโสท่านนั้น ส่งเสียงหัวร่อผ่านร่องฟันไม่กี่ซี่ของท่าน กลอกกลิ้งดวงตาไปมาราวกลั่นแกล้งคนทั้งสาม แม้ท่านจะดูวัยชราแต่ทว่าท่าทีคล้ายกับทารก ไม่ถือเนื้อถือตัวแต่อย่างใด ท่านยกมือข้างหนึ่งขึ้น เป็นสัญญาณบอกว่า อย่าเพิ่งได้กล่าวตำหนิท่านนั้นเอง จากนั้นส่งเสียงกล่าวตอบกับทั้งสามว่า

"เราผู้เฒ่า กำลังจะบอกกล่าวต่อพวกเจ้าทั้งสาม พอดีโกวเนี้ย(คำเรียกสตรีที่อายุอ่อนเยาว์) น้อยนางนี้เอ่ยถามขึ้นมาเสียก่อน เราผู้เฒ่ามีฉายามังกรล่องเมฆาเป็นขอทานพเนจรมีนามว่าหวงเกาฉือ ไม่ทราบว่าเจ้าทั้งสาม เคยได้ยินชื่อของเรามาบ้างหรือไม่?"

ยามนั้น ทั้งสามแสดงอาการตื่นเต้นยินดี พากันพยักหน้าแล้วตอบพร้อมเพรียงกันว่า

หลังจากนั้น ซื่อเหมี่ยนส่งเสียงกล่าวต่อว่า

"ชื่อเสียงของท่าน มีผู้ใดบ้างที่มิเคยได้ยิน เพียงแต่จะพบพานตัวท่านนั้นไม่ง่ายนัก ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ชื่อนี้ท่านอาจารย์เคยเอ่ยถึงท่านอยู่เสมอ ตอนที่อาวุโสแวะไปเยี่ยมเยียนอาจารย์ ข้าพเจ้าทั้งสองยังเด็กเล็กนัก อาจจะจดจำท่านมิได้แล้ว”

เอวี้ยอี้เซิน นางส่งเสียงกล่าวขึ้นบ้างว่า

“ครั้งนี้พวกเราทั้งสาม ได้พบกับอาวุโสนับว่าเป็นวาสนาอันสูงส่ง น้อยคนนักจะได้พบพานกับท่าน ในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ ยิ่งมิอาจเป็นไปได้เด็ดขาด พรรคกระยาจกมีชื่อเสียงเที่ยงธรรม มีอุดมการณ์ขจัดภัยยุทธภพมาเนิ่นนาน ได้พบกับท่านประมุขพรรคกระยาจก ถือว่าเป็นโชคดีอย่างที่สุดของพวกเราทั้งสาม"

อาวุโสท่านนั้น ระเบิดเสียงหัวร่อฮา ๆ พร้อมกับส่งเสียงกล่าวว่า

"คาดคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ เราผู้เฒ่าไม่ได้เดินทางมาจงหยวนนานสิบห้าปี กลับมีหนุ่มสาวเช่นพวกเจ้าทั้งสาม ยังรู้จักชื่อเสียงของเราด้วย แสดงว่าผู้ที่เล่าให้พวกเจ้าทั้งสามฟัง คงเป็นอาจารย์ของพวกเจ้าสินะ?"

จ่านจือ เงียบฟังอาวุโสท่านนั้นโดยมิได้ปริปาก เมื่อสบโอกาสจึงเอ่ยวาจากล่าวตอบบ้างว่า

"ถูกต้องแล้ว ที่อาวุโสกล่าวมามิผิดเพี้ยนไปเลย ท่านอาจารย์ของข้าพเจ้า เคยบอกเล่าเกี่ยวกับตัวท่านให้รับฟังอยู่บ้าง แต่มิได้เล่ารายละเอียดกระไรมากนัก เพียงแต่บ่งบอกว่าในแผ่นดินนี้ จอมยุทธ์ผู้ที่ผาดโผนไปมาไร้ร่องรอย แต่ทว่ามีศิษย์น้อยใหญ่อยู่มากมายทั่วแผ่นดิน”

จ่านจือ แสดงสีหน้าภูมิอกภูมิใจ รีบส่งเสียงกล่าววาจาต่อทันทีว่า

“อาจารย์บอกว่า ยอดคนท่านนี้ คือขอทานพเนจรหวงเกาฉือฉายามังกรล่องเมฆา พร้อมกับบอกว่า วิชาฝ่ามือมังกรท่องเมฆาเก้าท่าของท่าน แข็งแกร่งเกรียงไกรสยบไปทั่วสารทิศ จนหาคู่มือทัดเทียมได้ยากยิ่ง อีกทั้งยังมีเพลงไม้หวดสุนัขอันพิสดาร พอได้ยินท่านเอ่ยแนะนำตัวเมื่อครู่ จึงทราบว่าเป็นท่านมิผิดตัว"

สำหรับกับซื่อเหมี่ยน พร้อมทั้งเอวี้ยอี้เซิน นางทั้งสองบ่งบอกทำนองเดียวกันกับจ่านจือ เมื่อสนทนากันอยู่อีกสักครู่ใหญ่ ท่านขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ท่านบอกให้พี่สาวทั้งสองของจ่านจือเข้าบ้านไปก่อน ท่านส่งเสียงกล่าวกับนางทั้งสองว่า

“เราขอทานเฒ่า ยังมีเรื่องราวต้องจัดการอยู่เรื่องหนึ่ง รบกวนเจ้าสองคนเข้าบ้านไปก่อน เรื่องนี้ยังคงต้องการเป็นความลับอยู่บ้าง มีเพียงเรากับทารกน้อยผู้นี้ที่เกี่ยวข้อง หากภายหน้ามิมีอันใดผิดพลาด พวกเจ้าทั้งสองย่อมทราบเอง”

 พี่สาวทั้งสองของจ่านจือ นางทั้งสองเข้าใจรีบพากันลุกขึ้นจากม้านั่ง ขอตัวกลับเข้าไปในบ้านก่อน ปล่อยให้จ่านจืออยู่กับขอทานพเนจรหวงเกาฉือตามลำพัง ซื่อเหมี่ยนส่งเสียงกล่าวว่า

“เช่นนั้น ข้าพเจ้าทั้งสองขอตัวเข้าบ้านไปก่อน ท่านผู้เฒ่าไว้วางใจ พวกเราทั้งสองเข้าใจ เรื่องราวนี้คงส่งผลต่อเซียวจือโดยตรง ดูจากปฏิกิริยาของท่าน คงต้องการความเป็นส่วนตัวและไม่อาจให้บุคคลที่สามทราบได้เด็ดขาด พวกเราฝากเซียวจือไว้กับท่านอาวุโสด้วย”

กล่าววาจาจบ ศิษย์สตรีทั้งสองของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว ต่างพากันก้าวเท้าเข้าไปในบ้านทันที ปล่อยให้ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ อยู่ลำพังกับจ่านจือ เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดแล้ว ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ส่งเสียงกล่าวกับจ่านจือว่า

"บัดนี้ มีเพียงเรากับเจ้าสองคนเท่านั้น เราขอบอกกับเจ้าตามตรงไม่อ้อมค้อม แม้นว่าเจ้าไม่บอกกล่าวออกมา ว่าที่แท้แล้วเจ้าเป็นศิษย์ของผู้ใด? แต่ทว่าเรายังพอคาดเดาเอาได้ส่วนหนึ่ง มิอาจผิดพลาดไปได้แน่นอน อาจารย์ของเจ้าต้องมีส่วนเกี่ยวข้อง กับสำนักหนึ่งซึ่งล่มสลายไปในอดีตแน่นอน”

จ่านจือ ส่งเสียงโพล่งว่า

“อาวุโส ท่านทราบว่าอาจารย์ของข้าพเจ้าเป็นใคร?”

ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ จ้องมองจ่านจือวูบหนึ่ง จากนั้นส่ายหน้าไปมา ส่งเสียงกล่าวว่า

“เรามิได้กล่าววาจาเช่นนั้น ที่เรากล่าวไปเมื่อครู่ เราหมายความว่า กระบวนท่าวิชาฝ่ามือปราณพลังที่เจ้าใช้ เป็นวิชาอันลึกล้ำที่สาบสูญไปหลายปีแล้ว เราคุ้นเคยกับปรมาจารย์ของสำนักแห่งนี้อยู่บ้าง เพียงแต่ยังไม่มั่นใจ ว่าเจ้ากราบกรานศิษย์คนใดเป็นอาจารย์? ในจำนวนศิษย์ห้าคนของสำนักแห่งนี้ สำนักที่ล่มสลายไปเมื่อหลายปีก่อน”

จ่านจือ รู้สึกแปลกประหลาดใจ ไฉนอาจารย์ของตนเองจึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักหนึ่งที่ล่มสลาย เรื่องราวเหล่านี้เขามิเคยทราบมาก่อน ฟังจากวาจาของขอทานพเนจรหวงเกาฉือ แสดงว่าเรื่องราวเหล่านี้ย่อมมีอยู่จริง หากเป็นเช่นนั้น สำนักที่กล่าวถึงเป็นสำนักใด? ไฉนจึงล่มสลายไปเมื่อหลายปีก่อน ด้วยความสงสัยจึงส่งเสียงกล่าวถามว่า

“ข้าพเจ้าไม่ทราบมาก่อน เรื่องราวที่อาวุโสกล่าวเมื่อครู่ อาจารย์ของข้าพเจ้าไม่เอ่ยกล่าวมาก่อน ตั้งแต่เด็กข้าพเจ้าอาศัยอยู่ที่นี่ หมู่บ้านแห่งนี้ตัดขาดจากยุทธภพ หลังจากข้าพเจ้าเดินทางลงใต้แดนกังหนำ ก็อาศัยอยู่แต่ในหุบเขา ดังนั้นจึงไม่ค่อยทราบเรื่องราวยุทธภพเท่าใดนัก รบกวนอาวุโสบอกกล่าวเรื่องราวให้ข้าพเจ้าได้เปิดหูเปิดตาด้วย”

ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ทอดสายตาสำรวจจ่านจืออีกครู่หนึ่ง ทอดถอนใจคราหนึ่งส่งเสียงเอ่ยกล่าวว่า

“เรื่องราวของยุทธภพ ออกจะลึกลับซับซ้อนอยู่บ้าง ในระยะเวลาอันสั้นไม่อาจบอกกล่าวได้กระจ่าง ในเมื่ออาจารย์ของเจ้าเองยังไม่เคยเอ่ยกล่าวออกมาให้เจ้าฟัง แสดงว่าท่านไม่ต้องการให้เจ้าทราบ เช่นนั้นเราจึงมีความคิดเห็นว่า เราไม่ควรรีบร้อนบอกเล่าต่อเจ้า เรื่องนี้วางพักเอาไว้ก่อน ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เรายังขบคิดไม่เข้าใจ”

จ่านจือ เมื่อได้ยินขอทานพเนจรหวงเกาฉือ กล่าวว่าท่านขบคิดเรื่องราวหนึ่งไม่เข้าใจ ทำให้ลืมเรื่องของสำนักที่ล่มสลายไปเมื่อหลายปีก่อน อีกทั้งสำนักแห่งนี้ยังมีส่วนใดเกี่ยวข้องกับเขาอีกด้วย ส่งเสียงกล่าวถามกับขอทานพเนจรหวงเกาฉือว่า

"เป็นเรื่องราวอันใด? ที่อาวุโสขบคิดไม่เข้าใจ เรื่องราวที่ว่านี้ ข้าพเจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่? หากทว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้า อีกทั้งไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องราว ที่ข้าพเจ้าได้รับปากอาจารย์เอาไว้ ข้าพเจ้ายินดีบอกออกไป ให้ท่านได้หายข้องใจแน่นอน”

ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ เมื่อได้ยินจ่านจือกล่าววาจาเช่นนั้น ท่านคล้ายกับลำบากใจกระไรอยู่กระนั้น สุดท้ายคล้ายกับท่านตัดสินใจได้แล้ว ส่งเสียงเอ่ยกล่าวกับเขาว่า

"ทารกน้อย เจ้าจะรับปากกับเราเรื่องราวหนึ่ง ยึดมั่นสัตย์วาจาเช่นเดียวกับที่เจ้ารับปากอาจารย์ของเจ้าไว้ ว่าเช่นไร? เจ้าจะรับปากเราขอทานเฒ่าผู้นี้ได้หรือไม่?”

จ่านจือ ได้ยินขอทานพเนจรหวงเกาฉือ กล่าววาจาด้วยสีหน้าจริงจัง น้ำเสียงหนักแน่นมิได้กล่าวล้อเล่น จึงพอคาดเดาได้ว่าเป็นเรื่องราวสำคัญ ต้องเก็บรักษาเอาไว้เป็นความลับอีกด้วย ดังนั้นจึงรีบส่งเสียงกล่าววาจาตอบไปว่า

"ข้าพเจ้าจ่านจือ รับปากกับท่าน ข้าพเจ้าจะรักษาคำสัตย์ยึดมั่นวาจา มิว่าเกิดเรื่องราวใดขึ้น? จะรักษาเรื่องนี้เอาไว้ ต่อให้คมดาบปลายกระบี่จ่อคอหอย ถูกทัณฑ์ทรมานสักปานใด? ข้าพเจ้าจะไม่หลุดปากออกไปแม้เพียงครึ่งคำ”

จ่านจือ เว้นช่วงจังหวะเล็กน้อย จากนั้นส่งเสียงกล่าววาจาต่อทันทีว่า

“ข้าพเจ้ารับปากอาวุโสแน่นอน หากเรื่องราวที่ท่านให้ข้าพเจ้ารับปาก มิผิดต่อผู้ใด? อีกทั้งยังมิขัดต่อคุณธรรม ไม่ผิดศีลธรรมและไม่เป็นการทำร้ายผู้อื่น ข้าพเจ้าจ่านจือย่อมรับปากกับท่าน มิเพียงแต่เรื่องราวเดียว ต่อให้มากมายไปกว่านี้ ข้าพเจ้ายินดีรับปากท่าน"

ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ พยักหน้าเชื่อมั่นในคำพูดของจ่านจือเพียงแต่ท่านยังมีความลำบากใจอยู่บ้าง ท่านส่งเสียงกล่าวกับจ่านจือว่า

"เราผู้เฒ่า สังเกตจากพลังวัตร รวมทั้งกระบวนท่าฝ่ามือที่เจ้าใช้ออกมา หากมองโดยผิวเผินผ่านตา คล้ายกับว่าแข็งแกร่งดุดัน ยากที่จะมีผู้ใดรับมือเจ้าได้ เรียกได้ว่าเจ้าเป็นยอดฝีมือที่น่ากลัวคนหนึ่งเลยทีเดียว เพียงแต่ว่ายังมีบางอย่างในตัวเจ้าที่ไม่ถูกต้อง”

จ่านจือ รีบส่งเสียงกล่าวถามด้วยความสงสัยไปว่า

“เรียนอาวุโส มีเรื่องราวเช่นนี้อยู่ด้วย ในตัวของข้าพเจ้ามีอันใดไม่ถูกต้อง?”

ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ยกมือขึ้นลูบเคราขาวของท่าน ท่าทางใช้ความคิดส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“ความจริงพลังวัตรของเจ้า ฝึกปรือได้ถึงระดับนี้ถือว่าไม่ธรรมดา เพียงแต่ว่าเจ้าน่าจะสำแดงกระบวนท่าวิชาได้มากกว่านี้ ดังนั้นเราจึงได้กล่าวว่าไม่ถูกต้อง กระทั่งตอนที่เราทาบฝ่ามือไปกับแผ่นหลังของเจ้า พร้อมกับถ่ายทอดพลังวัตรของเราเข้าไปสำรวจในกายเจ้า กลับพบว่ามีชีพจรหลายจุดคล้ายถูกปิดเอาไว้ เป็นไปมิได้เด็ดขาด พลังวัตรของเจ้าสูงส่งเพียงนี้ จะมีจุดชีพจรที่ยังไม่ถูกทะลวงให้เปิดได้เช่นไร?”

ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ท่านจ้องมองใบหน้าของจ่านจือ ไม่อาจคาดเดาได้ว่าท่านคิดเรื่องราวใดอยู่ จากนั้นท่านส่งเสียงกล่าววาจาต่อว่า

“ในความคิดเห็นของเราผู้เฒ่า หากขืนปล่อยไว้เช่นนี้ จะไม่เป็นผลดีต่อเจ้า หากเจ้าใช้กำลังภายในต่อสู้จนถึงขีดสุด จู่ ๆ จุดชีพจรบางจุดของเจ้ากลับถูกปิดกะทันหัน หากทว่าคู่ต่อสู้ที่เจ้าประมือด้วยเป็นยอดฝีมืออันสูงส่ง เมื่อถึงเวลานั้นถือว่าเจ้าย่ำแย่แล้ว”

ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ จ้องมองเขามาในดวงตาทั้งคู่ของจ่านจือ เน้นคำพูดทีละคำกล่าวถามโดยชัดเจนว่า

“ทารกน้อย เจ้ามั่นใจหรือไม่? เจ้าจดจำเคล็ดวิชาที่อาจารย์ของเจ้าถ่ายทอดได้ครบถ้วน มิตกหล่นท่อนหนึ่งท่อนใดไปใช่หรือไม่? อีกทั้งพื้นฐานพลังวัตรที่เจ้าใช้ เจ้าฝึกปรือถูกต้องตามแนวทางมาตรฐาน การเคลื่อนย้ายพลังลมปราณในแต่ละจุดถูกต้อง มิผิดพลาดทิศทางการเคลื่อนย้ายใช่หรือไม่?”

จ่านจือ เขาได้ยินขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ส่งเสียงกล่าวถามเช่นนั้น จึงครุ่นคิดขึ้นในใจว่า

“จือน้อย เจ้าจะเป็นคนความจำสั้นได้เช่นไร? ตั้งแต่เด็กจดจำได้เรามีความจดจำอันยอดเยี่ยม บอกกล่าวเพียงครั้งเดียวหรือมองผ่านตาคราเดียว ล้วนจดจำได้แม่นยำไม่ลืมเลือน ดังนั้นเรามั่นใจไม่จดจำเคล็ดวิชาตกหล่นเป็นอันขาด อีกทั้งทิศทางการเคลื่อนย้ายลมปราณ พื้นฐานพลังวัตรอาจารย์เป็นผู้ถ่ายทอดให้ด้วยตัวเอง ไม่อาจจะมีเรื่องราวใดไม่ถูดต้องไปได้”

ยามนั้น จ่านจือแสดงสีหน้ามั่นอกมั่นใจ ส่งเสียงกล่าวตอบต่อขอทานพเนจรหวงเกาฉือไปว่า

"เรียนอาวุโส ข้าพเจ้าจ่านจือยืนยันต่อท่าน อาจารย์ถ่ายทอดลมปราณกับเคล็ดวิชาให้กับข้าพเจ้าด้วยตัวเอง ข้าพเจ้าได้ทบทวนต่อหน้าอาจารย์เที่ยวเดียว อาจารย์ยังกล่าวชื่นชมว่าความจำข้าพเจ้ายอดเยี่ยม ดังนั้นคำถามของอาวุโสเมื่อครู่ ไม่อาจเป็นไปได้เด็ดขาด”

ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ แสดงสีหน้าใช้ความคิด แต่เมื่อเห็นสีหน้าของจ่านจือแสดงออกถึงความเชื่อมั่นปานนี้ ท่านจึงเชื่อมั่นต่อคำพูดของจ่านจือเช่นกัน ส่งเสียงกล่าวถามสืบต่อทันทีว่า

"หากเป็นเช่นเจ้ากล่าว เรายิ่งมีความรู้สึกว่าน่าแปลก เพียงแต่เรานึกไม่ออกเช่นกันว่า คำว่าแปลกที่เรากล่าวหมายถึงสิ่งใด? แต่จะต้องมีบางสิ่งบางอย่างมิถูกต้องแน่นอน เราขอถามเจ้าอีกเรื่องหนึ่ง ทุกครั้งที่เจ้าเดินลมปราณ แม้จะแคล่วคล่องมีอานุภาพปานท้องฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย มีบ้างหรือไม่? ที่เจ้ามีความรู้สึกว่าลมปราณติดขัดไม่ลื่นไหลบ้างหรือไม่?"

จ่านจือ แสดงท่าทีครุ่นคิด ส่งเสียงกล่าวตอบว่า

"เป็นไปได้เช่นไร? ไฉนอาวุโสคาดเดาได้ถูกต้อง เป็นดั่งเช่นที่ท่านว่าจริง แต่ทว่าข้าพเจ้ายังมิพบหน้าอาจารย์ ปัญหาข้อนี้จึงยังมิได้ซักถามกับท่าน อาจเป็นเพราะข้าพเจ้าฝึกฝนได้ยังไม่แตกฉาน ดังนั้นจึงไม่อาจทะลวงจุดชีพจรได้หมดสิ้น"

ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ แย้มยิ้มเล็กน้อยสายตาคล้ายมีความนัยแอบแฝง ทอดถอนใจคราหนึ่งส่งเสียงกล่าวกับจ่านจือว่า

"เอาเถิด เราเองได้แต่ภาวนาให้เป็นเช่นเจ้าว่า เช่นนั้นเจ้าจงรับปากต่อเรา เรื่องราวที่เราสนทนากันในวันนี้ อีกทั้งเรื่องที่เราจะกระทำต่อจากนี้ เจ้าอย่าได้ปริปากบอกกล่าวต่อผู้ใดเป็นอันขาด แม้แต่อาจารย์ของเจ้าก็บอกไม่ได้เด็ดขาด มีเพียงเราสองคนเท่านั้นที่ทราบ ส่วนเรื่องที่เจ้าจะกล่าวถามกับอาจารย์ เกี่ยวปัญหานี้ที่เจ้ายังไม่เข้าใจ เราขอให้เจ้าอย่าได้กล่าวถาม จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ในภายภาคหน้าเจ้าย่อมเข้าใจกระจ่างเอง เจ้าจะรับปากต่อเราได้หรือไม่?"

จ่านจือ เห็นขอทานพเนจรหวงเกาฉือ กล่าววาจาด้วยน้ำเสียงจริงจัง อีกทั้งยังกำชับเขาอย่างมั่นเหมาะ จึงครุ่นคิดว่าเรื่องที่ท่านให้เขารับปาก ล้วนเป็นเรื่องราวของตัวเขาเอง มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องถึงบุคคลอื่นให้เสียหาย ที่สำคัญเรื่องนี้คงมิได้ส่งผลร้าย หรือทำให้ผู้ใดเดือดร้อนในภายหลัง ดังนั้นจึงรับปากกับขอทานพเนจรหวงเกาฉือไปว่า

"ข้าพเจ้าจ่านจือ รับปากต่ออาวุโส เรื่องราวเหล่านี้จะมิแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด มิว่าอาวุโสจะมีความจำเป็นอันใด? ข้าพเจ้าจะไม่วุ่นวายให้ท่านต้องลำบากใจ หากผิดไปจากนี้ขอให้ฟ้าดินลงโทษ"

ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ส่งเสียงดังอืมม์ในลำคอ สีหน้าแสดงความพึงพอใจ พร้อมกับเรียกให้จ่านจือลุกขึ้นมาจากม้านั่ง ท่านบอกให้เขานั่งบนแคร่ตัวเดียวกันกับท่าน โดยหันแผ่นหลังเข้าหาท่านหันหน้าไปทิศทางตรงข้าม ท่านส่งเสียงกำชับกับจ่านจือว่า

“ทารกน้อย เจ้ารวบรวมสมาธิเอาไว้ อย่าได้วอกแวก ปล่อยตัวผ่อนคลายตามสบาย ปล่อยลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ไม่ว่าเกิดเรื่องราวใดขึ้น เจ้าอย่าได้เคลื่อนไหวหรือต่อต้านเป็นอันขาด ที่เรากล่าวมาทั้งหมดเจ้าเข้าใจหรือไม่?”

จ่านจือ เขาทราบว่าอาวุโสท่านนี้มิได้คิดร้ายต่อเขา อีกทั้งไม่ทราบว่าขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ท่านต้องการตรวจสอบสิ่งใดในตัวเขา หากเขาไม่เชื่อฟังเกิดความผิดพลาดขึ้น ผลร้ายย่อมตกกับเขาและอาวุโสท่านนี้แน่นอน จึงส่งเสียงรับปากแข็งขันว่า

“อาวุโสโปรดวางใจ ข้าพเจ้าเชื่อฟังวาจาท่าน อีกทั้งยังรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจต่อท่านด้วย เช่นนั้นข้าพเจ้าจะรวบรวมสมาธิ ตั้งอกตั้งใจไม่วอกแวก เชิญอาวุโสลงมือเถิด”

ยามนั้น เมื่อจ่านจือกล่าววาจาจบ ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ทาบทับสองฝ่ามือของท่านกับแผ่นหลังเขา ขอทานเฒ่าหลับตากำหนดพลังวัตรผ่านสองฝ่ามือ หลังจากนั้นประกบนิ้วชี้กับนิ้วกลาง  สองมือสลับจี้สกัดไล่ไปตามจุดชีพจรตั้งแต่ท้ายทอยจรดก้นกบจ่านจือ

หลังจากนั้น ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ กระแทกฝ่ามือขวากับหัวไหล่ของจ่านจือ ส่งผลให้ร่างของเขาหมุนทวนเข็มนาฬิกามาครึ่งรอบ ขอทานเฒ่ากระกบสองฝ่ามือกับหน้าอกเขา จากนั้นกระทำเช่นเดิมประกบสองนิ้ว ใช้สองมือไล่จี้ไปตามจุดชีพจรตั้งใต้ปลายคาง กระทั้งสิ้นสุดที่ท้องน้อยของเขา

จ่านจือ ยังคงนั่งหลับตาลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ท่านร่ายรำสองฝ่ามือก่อเกิดเป็นคลื่นปราณพลังไร้สภาพขุมหนึ่ง ปราณพลังไร้สภาพบังคับยกร่างจ่านจือลอยขึ้นเหนือแคร่ไม้ไผ่ ขอทานเฒ่าดีดกายพุ่งร่างยืนขึ้น เปลี่ยนจากประกบสองนิ้วเป็นงอนิ้วชี้ ใช้ปลายข้อที่สองของนิ้วชี้ที่งอไว้ ไล่จี้ไปตามร่างกายท่อนล่างของเขา กระทั่งถึงปลายเท้าทั้งสอง ร่างจ่านจือยังคงลอยคว้างดั่งไร้น้ำหนักอยู่กลางอากาศ

จากนั้น ขอทานเฒ่าสะบัดฝ่ามือวูบหนึ่ง ส่งผลให้ร่างของจ่านจือพลิกขึ้นสองเท้าชี้ฟ้าศีรษะอยู่ล่าง ท่านร่ายรำกระบวนท่าพิสดารราวร่างของท่านเองยังไร้น้ำหนัก แล้วใช้ปลายนิ้วโป้งทั้งสอง กดไล่ไปตามกกหู ขมับใบหน้าและศีรษะ สุดท้ายประทับฝ่ามือขวากับศีรษะของเขา ร่างยังอยู่ในลักษณะเดิม ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ หลับตาลงอีกครั้งถ่ายทอดลมปราณผ่านศีรษะของเขา

ผ่านไปราวครึ่งก้านธูปมอด ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ออกแรงส่งร่างของจ่านจือลอยขึ้นอีกราวครึ่งวา จากนั้นสะบัดฝ่ามือข้างหนึ่ง บังคับร่างของเขาหมุนดั่งกังหันอยู่ในอากาศ จากนั้นกระกบสองฝ่ามือของท่าน กับสองฝ่ามือของจ่านจือ สองเท้าอยู่ล่างศีรษะอยู่บน คนทั้งสองร่างหมุนอยู่กลางอากาศราวลูกข่าง เมื่อร่างของทั้งสองหยุดหมุน กลับลงมานั่งในท่าขัดสมาธิบนแคร่ไม้ไผ่เช่นเดิม สองฝ่ามือยังคงประกบกันแนบแน่น

ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม สังเกตใบหน้าของจ่านจือ ในยามนี้ปรากฏเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาจากรูขุมขน บนศีระยังปรากฏกลุ่มควันสีขาวเบาบางล่องลอย กระทั่งครึ่งชั่วยามต่อมา ขอทานเฒ่าค่อย ๆ ถอนสองฝ่ามือออกจากฝ่ามือของเขา ใบหน้าท่านปรากฏรอยยิ้มพึงพอใจ พร้อมกับกล่าววาจากับเขาว่า

"เอาละ ทารกน้อยเจ้าลืมตาได้แล้ว เราได้ใช้พลังวัตรของเรา ช่วยกรุยจุดชีพจรของเจ้า กระทั่งเปิดหมดสิ้นแล้ว อีกทั้งเรายังเปลี่ยนเส้นทางการเดินลมปราณใหม่ให้กับเจ้าด้วย ไหนเจ้าลองกำหนดลมหายใจใช้พลังวัตร ทดลองใช้พลังวัตรสำรวจจุดชีพจรในร่างดู เจ้าจะได้ทราบและจดจำ ว่ามีจุดชีพจรตำแหน่งใดเปลี่ยนแปลงไปบ้าง?”

จ่านจือ เขารีบปฏิบัติตามคำแนะนำของท่านดู รู้สึกว่าลมปราณในร่างไหลเวียนได้แคล่วคล่อง พละกำลังดั่งเพิ่มพูนขึ้นอีกหลายเท่าตัว จึงทดลองเร่าเร้าพลังลมปราณกระทั่งถึงระดับสูงสุด คล้ายกับในคราวนี้ไม่รู้สึกติดขัด รู้สึกหายใจโปร่งโล่งสบาย มือเท้ายังขยับเคลื่อนไหวได้รวดเร็วแทบไม่น่าเชื่อ จ่านจือส่งเสียงอุทานด้วยความตระหนกตกใจว่า

“เรียนอาวุโส ข้าพเจ้าคล้ายไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย อีกทั้งโสตสัมผัสต่าง ๆ ในร่างเหมือนตื่นขึ้นจากการหลับใหล แม้สายลมพัดพลิ้วแผ่วข้าพเจ้ายังสามารถได้ยิน อาวุโสเกิดเรื่องราวใดขึ้นกับข้าพเจ้า”

ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ แย้มยิ้มพร้อมกับสำรวจจ่านจือเที่ยวหนึ่ง จึงส่งเสียงกล่าวตอบว่า

“นี่คงเป็นสวรรค์ ต่อให้เรามีความสามารถสูงส่งปานใด? ก็ไม่อาจกระทำเรื่องราวที่ไม่อาจเป็นไปได้เด็ดขาด แต่ทว่าเรากลับกระทำได้สำเร็จในระยะเวลาอันสั้น เรากับเจ้าคล้ายมีวาสนาต่อกัน ต่อจากนี้จะมิมีผู้ใด? สามารรคาดเดาตำแหน่งจุดชีพจรที่แท้จริงของเจ้าได้ ต่อจากนี้เจ้าไม่ต้องกังวลอีกแล้ว ต่อให้เจ้าต่อสู้กับสุดยอดฝีมือ ถึงแม้เจ้าจะใช้พลังวัตรจนถึงขีดสูงสุด จุดชีพจรของเจ้าจะไม่ถูกปิดได้อีกแล้ว มิเพียงเท่านี้ พลังวัตรของเจ้าในตอนนี้ เพิ่มพูนขึ้นจากเดิมอีกหลายเท่าตัวทีเดียว"

จ่านจือ เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทราบว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับตนเอง ล้วนเป็นท่านขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ท่านช่วยทลวงเปิดจุดชีพจรบางจุดที่ปิดไว้ให้กับเขา แล้วทำการเคลื่อนย้ายจุดชีพจรไปจากตำแหน่งเดิมเท่ากับเปลี่ยนเส้นทางการเดินลมปราณใหม่ให้กับเขาด้วย

จ่านจือ เขารู้สึกสำนึกขอบคุณ ตื้นตันใจอย่างอธิบายไม่ถูก รีบก้มตัวงอเขาลงกับพื้นตรงหน้าขอท่านเฒ่า ประสานมือทั้งสองโน้มศีรษะไปข้างหน้า กระทั่งหน้าผากจรดพื้นดิน ส่งเสียงด้วยความขอบคุณอย่างบอกไม่ถูกว่า

“ข้าพเจ้าจ่านจือ ขอขอบคุณอาวุโส บุญคุณในครั้งนี้ไม่ทราบว่าจะทดแทนได้เช่นไร? ชั่วชีวิตนี้ของข้าพเจ้า คิดว่าไม่อาจตอบแทนได้หมดสิ้น ข้าพเจ้ามิทราบว่าจะกล่าวคำขอบคุณท่านอย่างไรดี?”

ยามนั้น ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ท่านตรงมาใช้สองมือประคองร่างจ่านจือลุกขึ้น ใบหน้าท่านประดับไปด้วยรอยยิ้ม ส่งเสียงกล่าวกับเขาว่า

“เอาเถิด เจ้ามิต้องกล่าววาจาใดให้มากมาย เพียงเห็นว่าเจ้ารู้สึกสำนึกขอบคุณเราด้วยใจจริง เพียงเท่านี้เราก็ปลาบปลื้มใจแล้ว มีวาสนาจึงได้ส่งเสริม เราเพียงคิดว่าส่งเสริมคนำไม่ผิดพลาด ภายภาคหน้าต้องพึ่งพาคนหนุ่มเช่นเจ้า นำพายุทธภพสู่ความสุขสงบสันติ”

จ่านจือ เขาส่งเสียงกล่าวกับขอทานเฒ่าว่า

“ข้าพเจ้าจ่านจือ จะจดจำคำพูดของอาวุโสไว้ให้ขึ้นใจ หากมีสิ่งใด? ที่ท่านต้องการให้ข้าพเจ้าไปกระทำ แม้บุกน้ำลุยไฟยากลำบากเพียงไหน? ขอเพียงท่านเอ่ยปากออกมา ข้าพเจ้ายินดีกระทำให้ไม่เกี่ยงบ่น”

ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ พยักหน้าเชื่อว่าจ่านจือกล่าววาจาออกมาจากใจ ท่านครุ่นคิดขึ้นในใจว่า

“ทารกน้อย แม้เราขอทานเฒ่า จะยังไม่ทราบหัวนอนปลายเท้าของเจ้ากระจ่าง แต่เรามั่นใจว่ามองคนไม่ผิดพลาด พลังวัตรส่วนหนึ่งของผู้เฒ่าขอทาน ซึ่งสะสมมาตลอดชีวิต เมื่อเราเต็มใจแอบถ่ายทอดเข้าสู่ร่างกายเจ้า สามารถเปลี่ยนเจ้าให้มีฝีมือรุดหน้า ข้ามขั้นคนฝึกยุทธ์ปกติทั่วไป พลังวัตรที่เจ้าได้รับจากเราคราวนี้ เทียบเท่ากับคนทั่วไปใช้เวลาฝึกปรือถึงยี่สิบปีเลยทีเดียว”

 จ่านจือ เขารู้สึกสำนึกบุญคุณครั้งนี้ยิ่ง พลันครุ่นคิดขึ้นว่า

“เรามีความรู้สึกว่า ตั้งแต่ออกจากหุบเขาสายรุ้งมา นอกจากพบพานพี่สาวแสนดีทั้งสองแล้ว เรายังมีวาสนาได้พบพานท่านผู้เฒ่าอีก อาวุโสนอกจากไม่ถือตัวรังเกียจเรา แถมยังเมตตาสั่งสอน อีกทั้งยังเปลี่ยนแปลงเราราวเป็นคนใหม่อีกด้วย มีชาวยุทธ์มากมายต้องการพบพานท่าน แต่ทว่าเราไม่เคยแม้แต่จะกล้าคิด กลับได้พบท่านโดยบังเอิญเรื่องราวเช่นนี้มิใช่เกิดขึ้นได้บ่อยเลยจริง ๆ"

ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ท่านผ่านประสบการณ์ผาดโผน ใช้ชีวิตท่องเที่ยวเก็บเกี่ยวเรื่องราวมากมาย ดังนั้นเพียงมองปราดเดียว ท่านก็เชื่อสายตาว่าท่านมองคนไม่ผิดพลาด อีกทั้งยังมีความรู้สึกเอ็นดูจ่านจืออย่างบอกไม่ถูกอีกด้วย ส่งเสียงกล่าวกับเขาว่า

"ทารกน้อย พี่สาวทั้งสองของเจ้า ต่างเรียกหาเจ้าว่าเซียวจือ เราเองก็รู้สึกเอ็นดูเจ้าไม่ต่างจากพี่สาวทั้งสองของเจ้า ดังนั้นเราขอทานเฒ่าต่อจากนี้จะขอเรียกเจ้าเป็นเซียวจือด้วย เพียงแต่ว่าเจ้าเต็มใจให้เราเรียกหาว่าเซียวจือหรือไม่?”

จ่านจือ ได้ยินเช่นนั้นรู้สึกยินดียิ่ง รีบส่งเสียงกล่าวตอบด้วยตื้นตันใจว่า

“เต็มใจ ข้าพเจ้าเต็มใจยิ่ง ท่านผู้เฒ่าสามารถเรียกหาข้าพเจ้าเป็นเซียวจือได้ ข้าพเจ้าชื่นชอบที่สุด ต้องการให้ท่านผู้เฒ่าเอ็นดูข้าพเจ้า นอกจากท่านแม่บุญธรรม อาจารย์ของข้าพเจ้า พี่สาวทั้งสองรวมทั้งพี่น้องแซ่เฟิ่นแล้ว ก็มีท่านผู้เฒ่าอีกคนที่เมตตาต่อข้าพเจ้า”

ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ รู้สึกรันทดหดหู่ใจมิได้ เด็กกำพร้าผู้หนึ่งย่อมขาดความรัก ขาดที่พึ่งพาพูดจาปรึกษา เวลามีเรื่องราวไม่สบายใจ บางคราวเรื่องราวที่เป็นปมเล็ก ๆ ก็ไม่อาจแก้ออกได้ด้วยตัวเอง หากสามารถช่วยเหลือทารกน้อยผู้นี้ได้บ้าง ท่านก็เต็มใจโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนเช่นกัน ส่งเสียงกล่าวว่า

“เราผู้เฒ่าขอทาน กับเจ้าเซียวจือ นับว่าเราทั้งสองมีวาสนาต่อกัน เราเองก็แก่ชรามากแล้วอายุปูนนี้แล้ว ไม่รู้ว่าจะอยู่ดูโลกนี้ได้นานเท่าใด? ยุทธภพในภายภาคหน้า จำเป็นต้องพึ่งพาเด็กรุ่นหลังเช่นเจ้า มีเรื่องราวมากมายในยุทธภพนี้ ที่เจ้าจะต้องเรียนรู้อีกมากหลาย ไม่ทราบว่าก่อนวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลิน พวกเจ้าทั้งสามคนคิดจะเดินทางไปที่ใด? สะดวกบอกกล่าวต่อเราได้หรือไม่?"

จ่านจือ ไม่คิดปิดบังเรื่องราวที่เกิดขึ้น จึงบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมูชิวป้า ให้กับขอทานเฒ่าฟังอย่างละเอียด เมื่อเล่าเรื่องราวทั้งจบลง ส่งเสียงกล่าวต่อว่า

“เรียนต่ออาวุโส หลังจากออกจากหมู่บ้านเย้ยอรุณแห่งนี้ ข้าพเจ้าพร้อมกับพี่สาวทั้งสอง พวกเราจะเดินทางไปยังพรรคไผ่หลิว ต่อจากนั้นจะเดินทางไปสำนักเมฆฟ้าพิรุณ เพื่อส่งข่าวของท่านเจ้าหุบเขามู่ชิวป้า ให้กับสองสำนักได้รับทราบ ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังวัดเส้าหิลน”

ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ พยักหน้ารับทราบ ท่าทางท่านใช้ความคิดอยู่บ้าง หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ขอทานเฒ่าส่งเสียงกล่าวกับจ่านจือว่า

"เอาเช่นนี้เถิด เรื่องราวของเจ้าหุบเขามู่ชิวป้า เราขอทานเฒ่าจะรับเป็นธุระจัดการให้กับพวกเจ้าเอง อีกทั้งจะสืบข่าวหาข่าวคราวของท่านให้ด้วย เราคิดว่าตลอดเส้นทางที่พวกเจ้าเดินทางไป หมู่ตึกกระเรียนฟ้าต้องวางกำลังคนไว้แล้ว เราขอทานพเนจรไปมาไร้ร่องรอย รับรองได้ว่าคนของหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ไม่อาจแตะต้องได้แม้แต่ปลายขุมขนของเรา”

ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ เมื่อท่านกล่าววาจาจบ คล้ายกับมีเรื่องราวใดอยู่ในใจกระนั้น หลังจากตัดสินใจอยู่ครู่หนึ่ง ขอทานเฒ่าส่งเสียงกล่าวว่า

“แต่ทว่า เราขอทานเฒ่า มีเรื่องราวหนึ่ง? ซึ่งอยากจะเอ่ยปากรบกวนพวกเจ้าสามคน พรรคกระยาจกมีศิษย์อยู่มากมาย เรื่องราวนี้เราไม่ต้องการแหวกหญ้าให้งูตื่น จึงไม่ต้องการปรากฏตัวไปกระทำด้วยตัวเอง ไม่ทราบว่าเจ้ากับพี่สาวทั้งสองของเจ้า จะไปกระทำเรื่องราวนี้แทนเราขอทานเฒ่าได้หรือไม่?"

จ่านจือ ได้ยินขอทานพเนจรหวงเกาฉือ กล่าววาจาเกรงอกเกรงใจเช่นนั้น เขาจึงไม่รอปรึกษากับพี่สาวทั้งสองของเขาก่อน รีบตัดสินใจในทันทีคิดว่าพี่สาวของเขาย่อมเห็นดีด้วย รีบส่งเสียงกล่าวตอบรับคำออกไปในทันใดว่า

"ได้แน่นอน พี่สาวทั้งสองยิ่งไม่ขัดใจข้าพเจ้า ท่านอาวุโสมีเรื่องราวใด? ให้พวกเราทั้งสามไปกระทำเช่นนั้นรึ? ขออาวุโสรีบบอกกล่าวออกมาเถิด แม้เรื่องราวนี้จะลำบากยุ่งยากเพียงใด? ข้าพเจ้าพร้อมทั้งพี่สาวทั้งสอง จะไม่เกี่ยงงอนกล่าวบ่นเด็ดขาด ไม่ทราบว่าอาวุโสมีเรื่องราวใด? ท่านรีบบอกต่อเซียวจือ"

ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ได้ยินจ่านจือรับปากท่านเป็นมั่นเหมาะ ดังนั้นจึงบอกให้เขาไปตามศิษย์ทั้งสองของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาวมา ท่านจะได้บอกกล่าวให้ทั้งสามรับรู้พร้อม ๆกัน จ่านจือมิรอช้า รีบก้าวเท้าเข้าไปในบ้าน ปากส่งเสียงร้องเรียกพี่สาวทั้งสองว่า

“พี่สาวใหญ่ พี่สาวรอง พวกท่านอยู่ที่ใด? อาวุโสหวงเกาฉือ ท่านมีเรื่องราวไหว้วานพวกเรา พี่สาวทั้งสองรีบไปพบอาวุโส พร้อมข้าพเจ้าเร็วเข้า”

ซื่อเหมี่ยนศิษย์ผู้พี่ พร้อมด้วยเอวี้ยอี้เซินศิษย์ผู้น้อง นางทั้งสองนั่งรอจ่านจืออยู่ในบ้าน ความจริงพวกนางทั้งสองกระวนกระวายใจ เห็นว่าจ่านจือกับขอทานพเนจรหวงเกาฉือ อยู่กันตามลำพังเป็นเวลาหลายชั่วยามแล้ว ต่างรู้สึกกระสับกระส่ายด้วยไม่รู้ว่า ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ คุยธุระสำคัญอันใด

ครั้นจะวิ่งออกไปแอบดู ก็กลัวว่าจะเป็นการเสียมารยาท ดังนั้นพอได้ยินเสียงจ่านจือร้องเรียก รีบพากันวิ่งออกมา ส่งเสียงกล่าววาจาขานรับพร้อมเพรียงกัน จากนั้นซื่อเหมี่ยนส่งเสียงกล่าวว่า

ยามนี้ เมื่อทั้งสามออกมาพร้อมหน้าพร้อมตากัน หลังจากนั่งลงบนม้านั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ จึงส่งเสียงกล่าวบอกเล่าเรื่องราวของท่านให้กับทั้งสามว่า

"เรื่องราวที่เราขอทานเฒ่า จะไหว้วานพวกเจ้าทั้งสามไปกระทำแทนเรานั้น เป็นเรื่องราวสำคัญไม่อาจผิดพลาดได้ เรื่องราวนี้เกี่ยวกับศิษย์ขอทานทั้งหลายของเรา ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับยุทธภพด้วยส่วนหนึ่ง”

“ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ท่านเว้นช่วงจังหวะเล็กน้อย จากนั้นรีบส่งเสียงกล่าววาจาต่อทันทีว่า

“เราจะให้พวกเจ้าทั้งสาม ปลอมแปลงตัวเป็นขอทาน แล้วออกเดินทางไปยังสถานที่หนึ่ง?  ซึ่งตั้งอยู่บนดอยตะวัน ทางทิศตะวันออกของเมืองลั่วหยาง หลังจากนี้อีกห้าวัน ศิษย์ขอทานทั้งหลายของเราในแดนจงหยวน จะนัดรวมตัวกันที่นั่น พร้อมกับคอยต้อนรับเราขอทานเฒ่า"

ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการมาจงหยวนของท่านว่า

“การจัดงานชุมนุมดอยตะวัน เริ่มจากศิษย์ของเราในภาคกลางทราบข่าวว่าเราจะเดินทางลงมาจงหยวน เพื่อร่วมงานชุมนุมชาวยุทธ์ที่เส้าหลิน ดังนั้นศิษย์ขอทานทั้งหลาย จึงนัดชุมนุมกันที่ดอยตะวัน ก่อนหน้านี้เราได้ส่งผู้เฒ่าแปดย่าม อีกทั้งผู้เฒ่าเจ็ดย่าม พร้อมกับศิษย์ขอทานอีกผู้หนึ่งติดตามมา เราให้คนทั้งสามเดินทางมาล่วงหน้า ความจริงเราต้องการให้คนทั้งสามมาสังเกตการณ์ความเรียบร้อย ก่อนที่เราจะเดินทางติดตามมา”

ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ทอดถอนใจสีหน้ารู้สึกโศกเศร้าเสียใจอยู่บ้าง จากนั้นส่งเสียงกล่าวต่อว่า

“แต่ทว่า ในเวลาต่อมาเพียงไม่กี่วัน ปรากฏว่าคนทั้งสามของเราที่เดินทางล่วงหน้ามาก่อน กลับถูกคนฆ่าตายอย่างปริศนา เหตุการณ์เกิดขึ้นก่อนจะเดินทาง เข้าเขตจงหยวนได้ไม่ไกลนัก เราทราบเพียงแต่ข่าวการตายของทั้งสาม แต่ยังไม่มีผู้ใดพบเห็นศพของพวกเขา ดังนั้นเราจึงเกิดความสงสัย ว่าอาจมีเบื้องหลังอำพรางประการใดหรือไม่?”

ขอทานเฒ่า แสดงสีหน้าใช้ความคิด จากนั้นกล่าววาจาต่อว่า

“ในความเห็นของเราขอทานเฒ่า เรายังไม่ปักใจเชื่อสักเท่าใด? ผู้เฒ่าแปดย่ามกับผู้เฒ่าเจ็ดย่าม เป็นขอทานอาวุโสของพรรคกระยาจกรองจากผู้เฒ่าเก้าย่าม ซึ่งเป็นผู้เฒ่าอันดับสูงสุดของศิษย์ขอทานอาวุโสนอกจากผู้เฒ่าเก้าย่าม ซึ่งทำหน้าที่แทนเราในจงหยวนแล้ว ยังมีผู้เฒ่ารักษากฎอีกสองคน ดังนั้นบรรดาผู้เฒ่าที่เรากล่าวมา พวกเขาล้วนมีวรยุทธ์มิต่ำช้าเลวทราม ส่วนรายละเอียดของพวกเขา เราจะบอกเล่าต่อพวกเจ้าอีกเที่ยวหนึ่ง”

ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ท่านแสดงสีหน้าคล้ายเคลือบแคลงสงสัย รีบกล่าววาจาต่อคนทั้งสามต่อว่า

“ดังนั้น จากการสันนิษฐานของเรา อาจเป็นไปได้ว่า เรื่องราวที่เราส่งสองผู้เฒ่า กับศิษย์ขอทานอีกผู้หนึ่งมาล่วงหน้าจะรั่วไหล หรืออาจเป็นไปได้ว่าจะมีเกลือเป็นหนอน ชักศึกนอกเข้าภายในพรรค หากคนทั้งสามถูกลอบฆ่าระหว่างทางจริง ๆ จะต้องมีผู้ไม่หวังดีคิดทำลายพรรคกระยาจก หรือไม่ก็อาจคิดยืมมือพรรคกระยาจก เพื่อไปก่อกวนเรื่องราวเสื่อมเสียในวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่วัดเส้าหลิน”

ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ เว้นช่วงจังหวะเล็กน้อย ทอดสายตามองจ่านจือ กับพี่สาวทั้งสองของเขา ส่งเสียงกล่าววาจาต่อว่า

“ดังนั้นเราจึงต้องการซ้อนแผน ให้พวกเจ้าสามคนปลอมเป็นผู้เฒ่าแปดย่าม พร้อมกับผู้เฒ่าเจ็ดย่าม รวมทั้งศิษย์ขอทานอีกผู้หนึ่ง เดินทางไปร่วมงานยังดอยตะวัน”

จ่านจือ ครุ่นคิดตามที่ขอทานเฒ่ากล่าวบอก หากเป็นเช่นนั้น แสดงว่าในงานวันชุมนุมขอทานดอยตะวัน จะต้องมีผู้เฒ่าแปดย่าม กับผู้เฒ่าเจ็ดย่าม พร้อมด้วยขอทานอีกผู้หนึ่ง คนทั้งสามที่กล่าวมานี้ ล้วนต้องเป็นตัวปลอมอย่างแน่นอน

คิดได้เช่นนั้น จ่านจือรีบส่งเสียงแสดงความคิดเห็นขึ้นว่า

“เรียนต่ออาวุโส เช่นนั้นผู้ที่ลงมือสังหารศิษย์ของท่านระหว่างทาง จะต้องทราบความเคลื่อนไหวเรื่องนี้ ดังนั้นจึงมาดักรอเล่นงาน สองผู้เฒ่ากับศิษย์ขอทานอีกผู้หนึ่ง คนร้ายต้องทราบว่าท่านส่งศิษย์ล่วงหน้ามาก่อน ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับคำสันนิษฐานของอาวุโส ในงานชุมนุมขอทานดอยตะวัน จะต้องมีคนไม่หวังดีต่อพรรคกระยาจก ลอบแฝงตัวเข้ามาปะปนเพื่อก่อกวน”

ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ท่านส่งเสียงดังอืมม์ในลำคอ พยักหน้าเห็นด้วยกับจ่านจือ จากนั้นส่งเสียงกล่าวว่า

“เซียวจือ เราเห็นด้วยกับเจ้า อีกทั้งเรายังไว้ใจต่อเจ้า รวมทั้งแม่นางทั้งสองของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว พวกเจ้าทั้งสามจะเดินทางไปพรรคไผ่หลิว เราเห็นว่าอันตรายเกินไป คนของหมู่ตึกกระเรียนฟ้าไม่ละเว้นพวกเจ้าแน่ เพื่อเป็นการหลบยอดฝีมือของหมู่ตึกกระเรียนฟ้า เราจึงได้คิดแผนการนี้ขึ้นมา หนึ่งเป็นการตบตาโดยใช้คราบขอทาน พวกมันคาดคิดไม่ถึงอย่างแน่นอน สองช่วยเราขอทานเฒ่า สืบสาวหาตัวคนร้ายรายนี้บนดอยตะวัน

ขอทานเฒ่าหลังจากขบคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ส่งเสียงกล่าวต่ออีกว่า

“หมู่ตึกกระเรียนฟ้า จำเดิมก่อนหน้านี้มีชื่อเสียงดีงาม เจ้าหมู่ตึกกระเรียนฟ้าหลิวซุ่นกงกง ชอบคบหากับเหล่าสหายชาวยุทธจักร มีอยู่หลายครั้งยามยุทธภพประสบเภทภัย ล้วนได้หมู่ตึกกระเรียนฟ้ายื่นมือเข้ามาช่วยคลี่คลาย แม้นว่าราชสำนักจะเน่าเหม็นฟ่อนเฟะ หย่างกว่างหลังจากแต่งตั้งตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้ ใช้พระนามสุยหยางตี้ไม่สนพระทัยในกิจการราชสำนัก สี่ตระกูลใหญ่ยังคิดแต่งตั้งตนเองเป็นอ่อง มีเพียงหลิวซุ่นกงกงที่ยังเหลียวแลยุทธภพอยู่บ้าง”

ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ท่านทอดถอนใจคราหนึ่ง ลุกขึ้นจากแคร่ไม้ไผ่ก้าวเท้าไปช้า ๆ จ่านจือกับพี่สาวทั้งสองของเขา ต่างรีบลุกขึ้นก้าวเท้าติดตามขอทานเฒ่าไปไม่ห่าง อาวุโสประมุขพรรคกระยาจกส่งเสียงกล่าวต่อว่า

“หลังจากเราขอทานเฒ่า ไม่ได้เหยียบย่างเข้าสู่จงหยวนลั่วหยางหลายปี มาวันนี้กลับคาดคิดไม่ถึงว่า หมู่ตึกกระเรียนฟ้าจะตกต่ำถึงเพียงนี้ ฟังจากที่พวกเจ้าบอกเล่ากับเรา หลิวซุ่นกงกงซ่องสุมยอดฝีมือเอาไว้ ภายในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า หากเราคาดเดาไว้มิผิด ในราชสำนักอาจจะสั่งสมกำลังคนเอาไว้ ล้วนแล้วแต่เป็นสุดยอดฝีมือที่น่ากลัว เมื่อหมู่ตึกกระเรียนฟ้ากล้าเปิดเผยตัว เป็นศัตรูกับชาวยุทธ์ฝ่ายธัมมะ คิดว่ามันจะต้องวางแผนการใหญ่เอาไว้แน่นอน”

เอวี้ยอี้เซิน ศิษย์ผู้น้องของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว ส่งเสียงกล่าวแสดงความคิดเห็นขึ้นว่า

“ข้าพเจ้าคล้ายเห็นด้วยกับอาวุโส มิเช่นนั้นแล้วมันคงมิกล้าไล่ล่า ส่งยอดฝีมือติดตามเพื่อฆ่าปิดปากอาจารย์กับพวกเรา จะเป็นไปได้หรือไม่? ผู้เฒ่าทั้งสองรวมทั้งขอทานอีกผู้หนึ่งของพรรคกระยาจก ซึ่งถูกดังเล่นงานสังหารไประหว่างทาง เรื่องนี้เหล่านี้อาจเป็นฝีมือของหมู่ตึกกระเรียนฟ้า”

ยามนั้น ซื่อเหมี่ยนศิษย์ผู้พี่ของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว เมื่อศิษย์ผู้น้องเอวี้ยอี้เซินกล่าววาจาจบ นางรีบกล่าวสนับสนุนว่า

“ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับศิษย์น้อง มีความเป็นไปได้มากทีเดียว อาจเป็นแผนการใหญ่ของหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ตามวาจาของอาวุโสเมื่อครู่ ชุมนุมขอทานดอยตะวันในคราวนี้ หลิวซุ่นกงกงอาจเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังจริง ๆ”

ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ สาดประกายสายตาเจิดจ้า ท่าทางของท่านคล้ายคาดหวังในคนทั้งสามตรงหน้าท่าน หลังจากคนทั้งสี่หยุดยืนอยู่กลางลานกว้างของหมู่บ้านเย้ยอรุณ ขอทานเฒ่าไพล่สองมือไว้ด้างหลัง สงเสียงกล่าวเชื่อมันต่อหนุ่มสาวทั้งสามว่า

“เราขอทานเฒ่า คราวนี้ฝากความหวังเอาไว้กับพวกเจ้าทั้งสามคน ใจจริงเราอยากรุดไปด้วยตัวเอง แต่เกรงว่าคนร้ายจะไหวตัว กระทั่งไม่อาจสืบสาวหาร่องรอยเบาะแสได้ ใช้พวกเจ้าทั้งสามทำหน้าที่สำคัญนี้ อาจมีอันตรายอยู่บ้าง จึงให้พวกเจ้าระมัดระวังไว้ให้มาก เราจะบอกเล่าความเป็นมา เกี่ยวกับผู้เฒ่าอาวุโสของพรรคกระยาจก รวมทั้งการทำหน้าที่ของแต่ละคน ภายในพรรคกระยาจกให้พวกเจ้าทั้งสามคน ทราบโดยละเอียด”

ยามนั้น ขอทานพเนจรหวงเกาฉือ ท่านเริ่มบอกเล่ารายละเอียดต่าง ๆ ภายในพรรคกระยาจก ชื่อแซ่ฐานะของอาวุโสซึ่งใช้ถุงย่ามเป็นสัญลักษณ์ ผู้เฒ่าที่มีจำนวนถุงย่ามเยอะที่สุดคือเก้าย่าม ดังนั้นในพรรคกระยาจกจึงเรียกผู้เฒ่านี้ว่า ผู้เฒ่าเก้าย่ามซึ่งมีฐานะรองจากประมุขพรรคกระยาจก

ถัดจากผู้เฒ่าเก้าย่าม เป็นผู้เฒ่าแปดย่ามมีฐานะรองจากผู้เฒ่าเก้าย่ามอีกทีหนึ่ง ลดหลั่นกันลงมาตามจำนวนย่ามที่พกพา นอกจากนั้นยังมีผู้เฒ่าคุ้มกฎอีกสองคน ทำหน้าที่คอยสอดส่องรักษากฎระเบียบ ให้บรรดาขอทานทั้งหลายอยู่ภายใต้กฎเดียวกัน ที่ผ่านมาบรรดาขอทานทั้งแผ่นดิน ต่างรักสามัคคีไม่แตกแถว อยู่ภายใต้กฎระเบียบที่ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งพรรคกระยาจก ได้ร่างและวางเอาไว้โดยเคร่งครัด

หลังจากนั้น ขอทานเฒ่าได้แจกแจงเกี่ยวกับสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ติดต่อสื่อสารกันภายในพรรค จ่านจือรวมทั้งพี่สาวทั้งสองของเขา ทั้งสามคนต่างส่งเสียงซักถามรายละเอียดต่าง ๆ กระทั่งเข้าใจชัดเจนดีแล้ว จึงเริ่มกำหนดแผนการทั้งหมดขึ้น

สำหรับการปลอมแปลงตัวเป็นขอทานนั้น เรื่องนี้ว่าง่ายดายยิ่งสำหรับจ่านจือ เนื่องจากในเวลานี้สารรูปของเขา ก็ไม่แตกต่างกระไรนักกับขอทาน ดังนั้นพี่สาวทั้งสองของเขา พวกนางต่างนำเศษผ้าที่เหลือจากการตัดชุดใหม่ให้เขา มาตกแต่งชุดที่เขาสวมใส่ ให้ทวีความเก่ามีรอยขาดปะชุนอยู่โดยรอบ ส่วนใบหน้าอันหล่อเหลาคมคายของเขา เอวี้ยอี้เซินพี่สาวรองของจ่านจือ นางป้ายเขม่าควันก้นหม้อหุงข้าว ป้ายทาใบหน้าให้กับเขา แล้วปล่อยผมบนศีรษะรุงรังยุ่งเหยิง สาดขี้เถ้าในเตาถ่านเข้าไปนิดหน่อย เพียงเท่านี้หากผู้ใดพบเห็น ต่างต้องเชื่อสนิทใจว่าเป็นขอทานจริง ๆ

ส่วนศิษย์สตรีทั้งสองของหุบเขาผาพยัคฆ์ขาว ซื่อเหมี่ยนศิษย์ผู้พี่ กับเอวี้ยอี้เซินศิษย์ผู้น้อง นางทั้งสองปลอมแปลงเช่นเดียวกันกับจ่านจือ คือปลอมเป็นขอทานบุรุษสกปรกมอมแมมคู่หนึ่ง ซึ่งจะได้สะดวกในการเดินทาง อีกทั้งไม่เป็นที่สงสัยของขอทานคนอื่น ๆ หลังจากทั้งสามเก็บสัมภาระซุกซ่อนกระบี่ไว้ในห่อผ้า รวมทั้งชุดใหม่ที่ตัดเย็บให้กับจ่านจือ ทั้งสามพร้อมแล้วสำหรับการออกเดินทางไปดอยตะวัน

สำหรับกับอาวุธคู่กาย ขอทานเฒ่าเตรียมลำไม้ไผ่เอาไว้ให้กับทั้งสามใช้ทดแทนกระบี่ แล้วอำลาขอทานพเนจรหวงเกาฉือ พากันเดินทางออกจากหมู่บ้านเย้ยอรุณ มุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออกดอยตะวัน ส่วนขอทานเฒ่าเมื่อคล้อยหลังคนทั้งสาม ท่านพลิ้วร่างจากไปดุจหมอกควันสายหนึ่ง

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป