Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (สองเทวทูตซ้ายขวา)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

สองเทวทูตซ้ายขวา

  • 24/05/2564

ตอนที่ 8

สองเทวทูตซ้ายขวา

ยุทธภพวุ่นวาย แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล บนเส้นทางยุทธจักรมักมีเรื่องราวมากมายปนเป บ้างเจอเรื่องราวอันงดงามสมบูรณ์พร้อม บ้างพบพานกับเรื่องราวอันเลวร้ายสับสน พบปะผู้คนมากมายทั้งเหล่าสหายมิตรแท้และศัตรูคู่แค้น สำหรับกับจ้าวจ่านจือแล้วเพียงก้าวเท้าออมากจากหมู่บ้านเย้ยอรุณไม่กี่วัน ยังพบพานอุปสรรคมากมายปานนี้

บุรุษหน้าตาหมดจดผู้นั้น มันยังไม่หยุดกล่าววาจากระตุ้นโทสะต่อสองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้ง บุรุษผู้นั้นมันชี้นิ้วไปที่ปลายจมูกของมันเองส่งเสียงกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าความจริงคิดเป็นตั่วกงกง(ปู่ใหญ่) ให้กับท่านทั้งสอง ซึ่งเราไม่มีนิสัยตระหนี่ถี่เหนียว ตั้งใจจะออกค่าเดินทางไปปรโลกให้กับพวกท่านสักหลายอีแปะ แต่ทว่าน่าเสียดายปู่ใหญ่ไม่กล้ามีหลานเป็นสุนัขอันธพาน ดังนั้นค่าเดินทางนี้พวกท่านก็ควักจ่ายเองก็แล้วกัน”

มันผู้นี้ กล่าววาจายียวนกวนโทสะยิ่ง สองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุย กับเจียจิ้งผาดโผนยุทธจักรโชกโชน มันทั้งสองยังมิเคยเจอผู้ใดใช้วาจาล่วงเกินเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งครั้งนี้ผู้ที่กล่าววาจาโอหังอวดดีกับมัน ยังเป็นเด็กน้อยผู้หนึ่งซึ่งเพิ่งหย่านมมารดามาได้ไม่นาน

ดังนั้น มันทั้งสองเก็บอาการโกรธกริ้วเอาไว้ไม่ไหว ระบายลมหายใจออกมาจากปาก สองตาแดงก่ำ ใบหน้าบิดเบี้ยว ดวงตาแทบถลนจนพ่นไฟออกจากดวงตาได้มิปาน โดยมิต้องนัดหมายมันทั้งสองดึงกระบองที่กลางหลังออกมากระชับไว้ด้วยมือขวา เทวทูตขวาเจียจิ้งส่งเสียงตวาดเกรี้ยวกราดดังว่า

“ทารกปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม เจ้าบังอาจกล่าววาจายอกย้อนกับเราเยี่ยงนี้  ในชีวิตเรายังมิเคยมีผู้ใดกล้าใช้วาจาล่วงเกินเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นวันนี้หากเราทั้งสองไม่เอาชีวิตเจ้า พวกเราสองเทวทูตซ้ายขวาไม่ขอเป็นคนคน”

บุรุษผู้นั้นมันส่งเสียงร้องอ้อ กล่าววาจาตอบโต้ว่า

“พวกท่านไม่ขอเป็นคน เป็นท่านพูดออกมาจากปากเอง ข้าพเจ้าหาได้บังคับขู่เข็ญไม่ หลังจากนี้พวกท่านคงต้องคลานสี่ขาเช่นสุนัขจริง ๆ แล้วกระมัง?”

เทวทูตขวาเจียจิ้งส่งเสียงก่นด่าบุรุษสำอางดังว่า

“บัดซบ เจ้าคนผู้นี้ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ จะตายอยู่รอมร่อยังกล้าต่อปากต่อคำ มิหนำซ้ำวาจาเจ้ายังสามหาวอวดดี เช่นนี้เข้าทำนองไม่เห็นหลุมศพไม่หลั่งน้ำตา อย่าได้กล่าวหาว่าเราทั้งสองอำมหิตในภายหลัง”

จากนั้น มันหันมาทางด้านเทวทูตซ้ายเจียฮุยซึ่งยืนอยู่ใกล้กับจ่านจือ มันส่งเสียงออกคำสั่งดังว่า

“เจียฮุย เจ้าจัดการสังหารเด็กทารกนั่น สำหรับเด็กทารกฝีปากกล้าผู้นี้ เราจะเป็นคนจัดการสังหารมันเอง”

กล่าววาจาจบ เทวทูตขวาเจียจิ้งเกร็งลมปราณผ่านตัวกระบอง กระโดดรวดเดียวบรรลุถึงตรงหน้าบุรุษผู้นั้น พร้อมกับยกกระบองฟาดเฉียง ๆ ใส่ตำแหน่งหัวไหล่ซ้ายของมันด้วยระดับความเร็วสุดเปรียบปาน บุรุษสำอางหน้าตาแฉล้มเอียงตัววูบหลบพ้นสภาวะกระบองอันเกรี้ยวกราดดุดันได้โดยปลอดโปร่ง

กระบองท่าแรกฟาดผ่านศีรษะไป ฝ่ามือขวาของบุรุษผู้นั้นพลันยกขึ้นแล้วสะบัดหักข้อมือปาดวูบบริเวณเหนือข้อศอกห่างราวสองนิ้วของเทวทูตขวาเจียจิ้ง พอฝ่ามือสัมผัสต้นแขนรู้สึกชาวูบตั้งแต่หัวไหล่จรดปลายนิ้ว ตลอดแขนคล้ายสิ้นเรี่ยวแรงแข็งทื่อกลายเป็นท่อนไม้ในเตาฟืน มันรู้สึกว่าแขนตนเองไร้เรี่ยวแรงสิ้นกำลังแข็งขืน กระทั่งกระบองในมือของมันแทบร่วงหล่นหลุดมือ

มันยังมิทันได้ตั้งตัว ฝ่ามือที่สองของบุรุษหนุ่มสำอางลึกลับติดตามมา แต่ทว่าฝ่ามือนี้ กระแทกใส่กลางหลังมันอย่างถนัดถนี่ พร้อมกับพลังประหลาดแผ่พุ่งผ่านฝ่ามือเข้ามา เทวทูตขวาเจียจิ้ง รู้สึกหายใจติดขัดขึ้นมา มันรีบเกร็งลมปราณขึ้นคุ้มครองกาย พร้อมกับทิ้งตัวกลิ้งลงกับพื้นไปสามวาเศษ ในใจพลันคิดว่าเด็กน้อยผู้นี้เป็นผู้ใดกัน ไฉนฝีมือช่างร้ายกาจดุดันนัก ตั้งแต่มันออกท่องยุทธภพมาช้านาน มันยังไม่เคยประมือกับพลังวิชาที่ร้ายกาจ แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อนเลย

บุรุษหนุ่มสำอางลึกลับผู้นั้นหลังจากซัดฝ่ามือที่สองแล้ว หันกลับไปทางด้านจ่านจือ มันเห็นเขาถูกเทวทูตซ้ายเจียฮุย ฟาดไปหนึ่งฝ่ามือร่างเซถลาถอยไปสองก้าวล้มครืนลง เทวทูตซ้ายเจียฮุย มิทันเหลียวกลับมาดูว่า เทวทูตขวาเจียจิ้งผู้น้อง หมดท่าก้นจ้ำเบ้าลุกมิขึ้น มันเงื้อกระบองขึ้นสุดหล้า แล้วฟาดตามติดใส่กลางกระหม่อมของจ่านจือ บุรุษหนุ่มสำอางผู้นั้น มันจึงได้กระจ่างว่า จ่านจือไม่เป็นวรยุทธ์ มันมิรอช้ารีบสะกิดเท้าคราวเดียวบรรลุถึงคนทั้งสอง พร้อมกับจ่อจี้ประกบนิ้วชี้ กับนิ้วกลางแต่ไกล ใส่ตำแหน่งชายโครงของเทวทูตซ้ายเจียฮุย

มาตรว่าจะเคยผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชน แต่ครานี้บุรุษหนุ่มสำอางลึกลับ ลงมือรวดเร็วปานเทพยดา เทวทูตซ้ายเจียฮุย ยามร้อนรน    รีบวกกระบองกลับมาต้านทานป้องกัน แต่มิทันการสภาวะกระบองของมันยังคงเชื่องช้าเกินไป เมื่อสองนิ้วของบุรุษสำอางลึกลับจี้ปราดถึงตำแหน่งชายโครงก่อน พร้อมกันนั้นพลังประหลาดสายหนึ่ง บัดเดี๋ยวร้อน บัดเดี๋ยวเย็นแผ่พุ่งเข้ามาดั่งมหรรณพดุจอัคคี เทวทูตซ้ายเจียฮุย รู้สึกอึดอัดขัดข้องถึงที่สุด กระทั่งเลือดลมในกายพลุ่งพล่าน พลังลมปราณในร่างแตกกระสานซ่านเซ็น

บุรุษหนุ่มสำอางลึกลับนั้น ชักนิ้วที่จ่อจี้ชายโครงกลับ พร้อมกับยกเท้าขวาเตะโครม เข้าที่หัวไหล่ซ้ายของมันถนัดถนี่ ส่งผลให้ร่างของเทวทูตซ้ายเจียฮุย กระเด็นกระดอนมาชนกับร่างของเทวทูตขวาเจียจิ้ง ที่เพิ่งลุกขึ้นยืนมาได้อย่างยากเย็น ทำเอามันทั้งสองล้มโครมครามลง ก้นจ้ำเบ้ากระแทกพื้นดังครืนใหญ่ มันทั้งสองนึกมิถึงว่า วันนี้จะมาพ่ายแพ้ไม่เป็นกระบวน ให้กับเด็กน้อยผู้หนึ่งซึ่งอายุไม่ถึงยี่สิบ มันทั้งสองรีบก้มเก็บกระบอง แล้วรวบรวมพละกำลังที่มีหลงเหลือ พากันเหินข้ามพุ่มไม้ไม่เตี้ยไม่สูงนักต้นหนึ่ง หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว

บุรุษหนุ่มสำอางลึกลับผู้นั้น มิคิดจะติดตามมันทั้งสองไป มันก้าวเท้าเข้าหาจ่านจือ ซึ่งเขาอยู่ในลักษณะร่างครึ่งนั่งครึ่งยืน พร้อมกับมือข้างหนึ่งกุมหัวไหล่ไว้ แต่มิได้รับบาดเจ็บกระไรมากนัก มันกล่าววาจาด้วยน้ำเสียงดุดันต่อจ่านจือว่า

“เจ้าเป็นกระไรหรือไม่เจ้าทึ่ม? ดูท่าทางท่านคงไม่เป็นยุทธ์สินะท่านช่างอวดดีไม่เจียมตัวประมาณตน ไม่เป็นวรยุทธ์แล้วยังคิดออกมาผาดโผนยุทธภพ ท่านคงเบื่อการมีชีวิตแล้วกระมังเจ้าทึ่ม ท่านมีชื่อเรียกหาว่ากระไร? รีบบอกกล่าวออกมาให้ข้าพเจ้าทราบ”

บุรุษหนุ่มสำอางลึกลับผู้นั้น ตะคอกถามจ่านจือ ซึ่งยังยืนทำกระไรมิถูกด้วยความตระหนกตกใจ ถึงแม้นเขาจะถูกบุรุษหนุ่มสำอางลึกลับผู้นั้น เรียกตนเองว่าเจ้าทึ่ม เขาหาได้รู้สึกโกรธเคืองไม่ เพียงแค่บุรุษหนุ่มสำอางผู้นั้น ยื่นมือเข้าขัดขวางสองเทวทูตซ้ายขวา เจียฮุย กับเจียจิ้ง อีกทั้งยังขับไล่มันทั้งสองหลบหนีไปคล้ายดั่งลูกสุนัขสองตัว ถือว่ามันได้ช่วยเหลือเขามากแล้ว ต่อให้ถูกเรียกหาว่าตัวโง่งมบัดซบ หรืออาจจะรุนแรงกว่านี้อีกร้อยพันเท่า เขายังมิคิดโกรธเคืองมันขึ้นมาได้ เมื่อลุกขึ้นยืนเรียบร้อยแล้ว จ่านจือละล่ำละลักตอบไปตามตรงว่า

“ข้าพเจ้าแซ่จ้าว ชื่อจ่านจือ ขอบคุณท่านจอมยุทธ์ ที่ท่านช่วยเหลือข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเดินทางมาจากเมืองลั่วหยาง พร้อมกับสหายอีกสองท่าน ครั้งก่อนพวกเราจากมาโดยมิได้บอกกล่าว ต้องขออภัยต่อท่าน ถูกต้องดั่งวาจาท่าน ข้าพเจ้าไม่เป็นยุทธ์ จึงถูกสองคนนั้นทำร้ายทุบตี โชคดีที่ท่านจอมยุทธ์ยื่นมือช่วยเหลือข้าพเจ้าเอาไว้ เอ่อ..มิทราบว่าท่านจอมยุทธ์ มีนามอันสูงส่งว่ากระไร?”

จ่านจือถามกลับบ้าง บุรุษหนุ่มสำอางลึกลับผู้นั้น แสดงท่าทางดั่งค้อนเขาวงหนึ่ง แต่สีหน้ายังคงนิ่งเฉย จะโกรธหรือยินดียากคาดเดา บุรุษหนุ่มสำอางลึกลับผู้นั้น เดินสำรวจรอบ ๆ ตัวจ่านจือ พร้อมกับขบคิดในใจว่า ที่แท้เป็นแค่เด็กหนุ่มชาวบ้านร้านถิ่นธรรมดา ดังนั้นจึงไม่คิดจะกล่าววาจาด้วยต่อไป มันหันกลับมาถลึงตาใส่จ่านจือ พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันว่า

“ชื่อของข้าพเจ้า คู่ควรให้ท่านเรียกหาหรืออย่างไร? ที่ผ่านมาผู้คนที่รู้ชื่อของข้าพเจ้า ล้วนต้องตายไปมิมีผู้ใดยกเว้น ข้าพเจ้าเกลียดชังยิ่งนัก กับผู้คนที่ไม่รู้จักเจียมตน แต่เอาเถิด วันนี้ข้าพเจ้ากลับอารมณ์ดียิ่ง”

บุรุษสำอางลึกลับ หยุดเว้นช่วงจังหวะเล็กน้อย แล้วส่งเสียงกล่าวต่อว่า

“ดังนั้นวันนี้ข้าพเจ้าจะไม่ฆ่าคน ยิ่งลักษณะท่าทางทึ่ม ๆ เยี่ยงท่านด้วยแล้ว ยังไม่คู่ควรให้ข้าพเจ้าลงมือ อ้อ แล้วมิต้องกล่าวขอบคุณต่อข้าพเจ้า แท้จริงข้าพเจ้ามิได้ตั้งใจจะช่วยเหลือท่านสักหน่อย ข้าพเจ้าเพียงอยากสนุกสนาน หาความสำราญกับมันสองคนนั้นมากกว่า แท้จริงแล้วข้าพเจ้าคิดจะฆ่าท่านเสียด้วยซ้ำ แต่ดูแล้วท่านทึ่ม ๆ โง่ ๆลงมือไปหาได้สนุกสนานไม่ อีกประการข้าพเจ้าเกรงจะเสียการใหญ่  สหายสองคนของท่านกำลังมา เช่นนั้นข้าพเจ้าขอตัว”

แต่ไม่ทราบด้วยเหตุผลใด บุรุษหนุ่มสำอางลึกลัลบผู้นั้น ก่อนที่มันจะผละจากไป มันกลับหันมากล่าววาจา อีกหนึ่งประโยคกับจ่านจือว่า

“ท่านเรียกข้าพเจ้าว่า อาผิง จดจำเอาไว้เจ้าทึ่ม”

กล่าวจบมันพลิ้วร่าง เหินข้ามเนินเตี้ยไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้  จ่านจือยืนทำท่าทางมึนงงอยู่เพียงลำพัง เขาเองไม่เข้าใจบุรุษหนุ่มสำอางลึกลับผู้นั้นเช่นกันว่า ปากกล่าววาจาว่าจะฆ่าเขาทิ้งเสีย แต่สีหน้าท่าทางอีกทั้งสายตาที่แสดงออกมา กลับตรงกันข้าม

จ่านจือเองรู้สึกว่า บุรุษหนุ่มสำอางลึกลับผู้นี้ออกจะดูแปลก ๆ ไปบ้าง เสมือนมีกระไรซ่อนเร้นอยู่ในดวงตาเจ้าเล่ห์คู่นั้นมิปาน ทว่าดวงตาคู่นั้น กลับทำให้จ่านจือรู้สึกประทับใจกระไรบางอย่าง เขาเองยังอธิบายความรู้สึกนั้นออกมามิถูกเช่นกัน

ถึงแม้นว่า เงาร่างของบุรุษหนุ่มสำอางลึกลับผู้นั้น จะลับหายไปเนิ่นนานแล้วก็ตาม แต่ทว่าดวงตาเจ้าเล่ห์คู่นั้น คล้ายยังจับจ้องมองเขาอยู่กระนั้น

จ่านจือรีบสะบัดศีรษะ สลัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัวสมอง ก่อนจะได้ยินเสียงของมู่เหอดังขึ้นว่า

“จ่านจือ! เกิดกระไรขึ้น? ไฉนท่านจึงถึงถูกทำร้าย เป็นผู้ใด ที่กล้าลงมือต่อท่าน ท่านได้รับบาดเจ็บที่ใดรุนแรงหรือไม่?”

เมื่อมู่เหอ พร้อมทั้งไปชิงมาถึง ทั้งสองเห็นสภาพโดยรอบ ทราบได้ทันทีว่า บริเวณนี้มีการต่อสู้เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เมื่อเห็นจ่านจือได้รับบาดเจ็บบริเวณหัวไหล่ หลังจากสอบถามเรื่องราว จ่านจือบอกเล่าไปมิได้ปิดบัง ไป่ชิงตรวจดูแล้ว มิมีบาดแผลรุนแรงอันตราย เพียงปรากฏรอยฟกช้ำนิดหน่อยเท่านั้นเอง ดูจากร่องรอยมิเป็นกระไรมาก ทาหยูกยาครั้งสองครั้งคงหาย ทั้งหมดจึงรีบมุ่งหน้าเดินทางสู่หุบเขาสายรุ้งทันที

ขณะที่เดินทางนั้น ไป่ชิง กับมู่เหอ เล่าเรื่องราวเหตุการณ์ ซึ่งทั้งสองติดตามคนชั่วช้าทั้งสามคนไป เฮียม่วยแซ่เฟิ่น ต้องการแก้แค้นให้แก่ป้าหนิว กับจ่านจือ แต่บังเอิญพบเห็นแม่ชีนิรนามสองนางเข้าเสียก่อน ซึ่งสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น เคยได้ประมือกับแม่ชีนิรนามนางหนึ่งที่ลั่วหยาง

สองเฮียม่วยแซ่เฟิน ช่วยกันเล่าเรื่องราวให้เขาฟัง ด้วยสาเหตุนี้ทั้งสองจึงต้องหลบซ่อนตัว เป็นเหตุให้คนชั่วช้าสามคนหลบหนีไปได้  จ่านจือไม่กล่าวโทษเฮียม่วยแซ่เฟิ่น เพียงแค่ทั้งสองคิดจะแก้แค้นแทนเขาเพียงเท่านี้ยังถือว่าเป็นบุญคุณใหญ่หลวงแล้ว พร้อมกันนั้นไป่ชิง ยังบอกกล่าวให้จ่านจือระมัดระวังตัวเอาไว้ให้มาก หากเจอะเจอแม่ชีนิรนามสองนางนั้นเข้า หากว่าเขาพบเจอพวกนางที่ใด ให้รีบหลบหนีไปให้ไกลอย่าได้ไปตอแยกับนางเด็ดขาด

หุบเขาสายรุ้ง

หุบเขาสายรุ้ง เป็นภูเขาสองลูกตั้งชนกัน ลักษณะโค้งดูไปคล้ายกับสายรุ้งกำลังกินน้ำปานฉะนั้น ตรงกลางระหว่างช่องเขา มีทางเดิน แคบ ๆ แถมยังวกวนคดเคี้ยวไปมาอีกด้วย หากจะให้เปรียบเทียบคล้ายดั่งเขาวงกตที่หนึ่ง

หากไม่มีแผนที่ในมือ ซึ่งเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ได้ให้ไว้คิดว่าคงหาทางเข้าหุบเขาสายรุ้งมิเจอ แต่ดูคล้ายกับว่าสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นทั้งสองล้วนชำนาญเรื่องแผนที่ รวมถึงเส้นทางเป็นพิเศษ เพียงดูจากลายเส้นที่ขีดวาด ซึ่งเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนวาดเอาไว้ให้ ทั้งสามเดินคดเคี้ยวตามตำแหน่งบนลายเส้นไม่นาน ในที่สุดทั้งสามผ่านช่องเขาเข้ามาได้ยังด้านในหุบเขาแล้ว จ่านจือเองนับว่าเป็นคนหัวไวผู้หนึ่ง เขายังดูลายเส้นบนผืนผ้าไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก

บ่ายคล้อยมากแล้ว ทั้งสามเดินทางมาถึงลำธารน้ำใสแห่งหนึ่ง เมื่อข้ามลำธารแล้ว เดินอ้อมมาประมาณสิบลี้เป็นพื้นราบที่หนึ่ง บ้านหลังหนึ่งปลูกสร้างจากไม้ไผ่แข็งแรงตั้งตระหง่าน กินเนื้อที่ค่อนข้างกว้างขวาง เมื่อเดินเข้าไปใกล้ได้กลิ่นฉุนแตะปลายจมูก จึงทราบได้ทันทีว่ามาไม่ผิดเพี้ยน

ทั้งหมดจึงชักชวนกันนั่งพักตรงนอกชาน ซึ่งเป็นแคร่ไม้ไผ่สำหรับนั่งพักผ่อน ภายในบ้านเงียบเชียบสงบไร้ผู้คน มู่เหอลุกขึ้นเดินสำรวจดูรอบ ๆ ปรากฏว่าไม่พบเห็น ท่านเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน คาดคิดว่าท่านคงออกไปทำธุระ หรือไม่คงออกไปหาสมุนไพรในป่าเขาเป็นแน่

ทันใดนั้น พื้นดินใต้แคร่ไม้ไผ่ มีเสียงผิดปกติดังกุกกัก  ทั้งจ่านจือ และไป่ชิ งรีบถลันลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียงครืดครืนพอดัง พร้อมกับตัวแคร่ขยับเขยื้อนเคลื่อนออก เผยให้เห็นประตูลับบานหนึ่งอยู่ใต้แคร่ เมื่อเปิดออก เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ท่านเดินขึ้นบันไดมา

ที่แท้มีห้องลับใต้ดิน ห้องลับนี้สามารถเข้าออกจากหุบเขาสายรุ้งได้อีกเส้นทางหนึ่ง โดยมิมีผู้ใด สามารถสังเกตหรือพบเห็นได้ง่ายดายทั้งสองรีบประสานมือคารวะ ต่อท่านเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น เมื่อทำความเคารพแล้ว ทั้งสองรีบแนะนำท่านเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ให้แก่จ่านจือได้รู้จัก

จ่านจือรีบประสานมือคารวะ ต่อท่านเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน โดยมิรั้งรอชักช้า เมื่อเขาเห็นบุคลิกภาพของท่านแล้ว ทำให้เขามีความหวังขึ้นมาทันที ดูจากท่าทางท่านลักษณะใจดี มีเมตตากรุณา สีหน้าปรากฏรอยยิ้ม ดูโอบอ้อมอารี มิว่าเช่นไร ท่านคงมิเสือกไสไล่ส่งตน ซึ่งกำลังขาดที่พึ่งพิง หลังจากจ่านจือคารวะท่านเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนแล้ว เขากล่าวแนะนำตัวเองว่า

“ข้าพเจ้าแซ่จ้าว ชื่อจ่านจือ คารวะท่านเจ้าโอสถสายรุ้ง มารดาบุญธรรมข้าพเจ้า ถูกคนชั่วช้าสามคนฆ่าตาย เคราะห์ดีที่ได้ท่านมู่เหอ พร้อมทั้งแม่นางไป่ชิง ทั้งสองยื่นมือช่วยเหลือข้าพเจ้าเอาไว้ มิหนำซ้ำยังอาสาพาข้าพเจ้า เดินทางลงใต้มายังสถานที่แห่งนี้ ข้าพเจ้าเกรงว่า จะมาสร้างความลำบากใหญ่หลวง ให้กับท่านเจ้าโอสถสายรุ้งแล้ว”

จ่านจือบอกเล่าถึงสาเหตุ ซึ่งเฮียม่วยแซ่เฟิ่น พาตนเดินทางมายังหุบเขาสายรุ้ง เขาแสดงออกด้วยกิริยาอ่อนน้อมถ่อมตน พร้อมด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจ แววตายังชวนให้น่าสงสารเอ็นดูอีกด้วย จ่านจือ กล่าววาจาเพียงเท่านี้ หลังจากนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น กล่าววาจาต่อจากนี้

ทั้งสามรวมทั้งเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ทั้งนั่งลงสนทนากันบนแคร่ไม้ไผ่แห่งนั้น เฮียม่วยแซ่เฟิ่น บอกเล่าเรื่องราวตั้งแต่แยกทางกับเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนที่เนินเสือดาว เล่าว่าหลังจากนั้นเกิดเรื่องราวใด ขึ้นบ้าง พร้อมกับแล่าเรื่องราวเกี่ยวกับจ่านจือ โดยละเอียดมิปิดบัง ให้แก่ท่านเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนได้รับทราบ

หลังจากเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดโดยละเอียด ทั้งสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น ต่างพากันขอร้องต่อท่านเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ขอให้ท่านรับจ่านจือไว้ด้วย เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน พิศดูลักษณะท่าทางของจ่านจือ ท่านเห็นว่าเขาเป็นคนซื่อตรงมีคุณธรรม จึงรับปากสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น ว่าท่านจะช่วยรับเขาเอาไว้ดูแล เฟิ่นมู่เหอ พร้อมทั้งเฟิ่นไป่ชิงยินดีกับจ่านจือยิ่ง จากนั้นทั้งสองจะขอพักแรมเพียงหนึ่งคืน แล้วจะเดินทางกลับผาในทันที

วันรุ่งขึ้น มู่เหอกับไป่ชิง ต่างอำลาท่านเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน พร้อมทั้งจ่านจือ แล้วทั้งสองเตรียมตัวออกเดินทาง เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ให้ทั้งสองใช้เส้นทางลับใต้ดิน เดินทางออกจากหุบเขาสายรุ้ง

ก่อนจากกัน ไป่ชิงเอ่ยกล่าวกับจ่านจือว่า ให้เขาตั้งใจเรียนรู้จากเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนให้มาก อย่าเกียจคร้านดูดายเป็นเด็ดขาด หากวันชุมนุมชาวยุทธ์ที่วัดเส้าหลินมาถึง อีกราวห้าปีกว่าหลังจากนี้ เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ท่านนำพาเขาเดินทางไปด้วย เขาและสองเฮียม่วยแซ่เฟินคงได้เจอะเจอกัน จากนั้นทั้งสองจึงออกเดินทาง ใช้เส้นทางลับใต้ดิน ออกจากหุบเขาสายรุ้งไปทันที

เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนเอง ท่านได้ใช้เส้นทางลับสายนี้ เร้นกายเข้าหุบเขามาเช่นกัน ที่แท้คนที่แม่ชีสองนางติดตามมา คือเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนนั้นเอง หลังจากท่านไปพบใครคนหนึ่ง ที่นอกด่านหันหู่กวน เมื่อเสร็จธุระแล้วจึงเดินทางกลับ ระหว่างทางทราบว่ามีคนสะกดรอยติดตามมา เมื่อบรรลุถึงก่อนเข้าหุบเขาสายรุ้ง จึงสลัดหลุดพ้นมาได้ พร้อมกับหลบเข้าหุบเขาสายรุ้ง โดยใช้เส้นทางลับในห้องใต้ดิน ดังนั้นแม่ชีสองนางจึงหาท่านเท่าใด ยังไม่อาจเจอ

หลังจากสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นจากไป ค่ำคืนนั้นจ่านจือรู้สึกแปลกที่แปลกทาง จนกระทั่งนอนไม่หลับ เขาจึงนอนฟังเสียงแมลงสัตว์ปีก ส่งเสียงร้องอยู่ก้องป่า แต่เมื่อนอนฟังได้สักครู่หนึ่ง กลับมีความรู้สึกว่าช่างไพเราะ อีกทั้งยังเพลิดเพลินยิ่งนัก ในที่สุดเคลิบเคลิ้มไป แต่ก่อนจะเข้าสู่ห้วงภวังค์หลับใหล ใบหน้าหนึ่งกลับปรากฏขึ้นมาในห้วงความคิดของเขา ใบหน้าหนึ่งกับดวงตาคู่หนึ่ง

วันรุ่งขึ้น จ่านจือรีบตื่นนอนแต่เช้าตรู่ ยามเช้าบรรยากาศช่างสดชื่นยิ่ง เขาหลับตาลง พร้อมกับสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปจนกระทั่งเต็มปอด อดนึกถึงบรรยากาศยามเช้า ที่หมู่บ้านเย้ยอรุณขึ้นมามิได้ ที่นั่นในยามเช้า จะปกคลุมไปด้วยหมอกสีขาว ละอองน้ำค้างโปรยปราย เกาะติดอยู่ตามใบไม้ กับยอดหญ้าเขียวขจี ทุกเช้าจ่านจือจะตื่นขึ้นมา พร้อมกับออกมาสูดอากาศอันบริสุทธิ์ ด้วยการหลับตาลง และหายใจลึก ๆ ปล่อยให้อากาศอันบริสุทธิ์สดชื่น กระจายอยู่ภายในร่างกายให้นานที่สุด ก่อนจะค่อย ๆ ปล่อยออกมาทางนาสิกช้า ๆ

ยามเช้ายอดหญ้าอ่อนเขียวชอุ่ม ซึ่งพร่างพรมไปด้วยหยาดหยดน้ำค้างสดใส จ่านจือจะนำเคียวออกไปเกี่ยวหญ้าเหล่านั้น มาให้กับวัวและม้าในคอกของเขา ได้เคี้ยวกินกันอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนมารดาบุญธรรมของเขา ท่านจะเข้าครัวปรุงอาหารเช้า อันเลิศรส คุ้นลิ้นจ่านจือ เมื่อป้าหนิวทำกับข้าวเสร็จ เขาให้อาหารสัตว์เลี้ยงเสร็จสรรพด้วยเช่นกัน

หลังจากนั้นแม่ลูกทั้งสอง จะมาร่วมวงรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน แม้จะเป็นอาหารพื้น ๆ ธรรมดาแบบชาวบ้าน แต่กระนั้นจ่านจือ กลับรับประทานได้อร่อยยิ่ง ทุกมื้อจะรับประทานข้าวสวยไปไม่ต่ำกว่าสามชามเสมอ ป้าหนิวเองมีความสุขยิ่ง ตั้งแต่ท่านได้จ่านจือมาเป็นลูกบุญธรรม นึกมิถึงมาวันนี้ ท่านมาจากเขาไปไม่กลับแล้ว หวนนึกแล้วจ่านจือรู้สึกหดหู่ใจไม่คลาย

ดังนั้นจึงคิดว่า เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ท่านรับเขาเป็นศิษย์แล้ว เขาควรกตัญญูต่อท่านให้มาก ด้วยการปรนนิบัติท่านให้ดี เขาเคยเข้าครัวช่วยป้าหนิว หยิบจับสิ่งของเวลาป้าหนิวปรุงอาหาร จึงคิดว่าเช้านี้ จะเข้าครัวหุงข้าว พร้อมกับทำกับข้าวง่าย ๆ คล้ายกับที่แม่บุญธรรม เคยทำให้เขารับประทาน เพื่อที่ท่านเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน จะได้รับประทานกับเขาด้วย

เมื่อรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว หลังจากเก็บถ้วยชามไปล้างทำความสะอาดแล้ว เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน นั่งอยู่บนม้านั่งภายในห้องโถง ท่านเรียกให้จ่านจือเข้าไปหา พร้อมกับให้เขาคุกเข่าลงตรงหน้าท่าน จากนั้นท่านกล่าวกับเขาว่า

“ตั้งแต่เราเร้นกายจากยุทธภพมากว่าสิบห้าปี มิเคยรับศิษย์คนใด?เลยแม้แต่ผู้เดียว เราเองแก่ชรามากแล้ว คิดมิถึงก่อนตาย จะได้รับศิษย์เช่นเจ้าไว้คนหนึ่ง ดังนั้นเราจึงตั้งใจจะสอนวิชาทั้งหมดของเรา ให้กับเจ้าทั้งหมด ขอให้เจ้าตั้งใจจดจำ อีกทั้งขยันหมั่นฝึกซ้อม เราเองเบาใจที่ได้ศิษย์เช่นเจ้า มาสืบทอดวิชาทั้งหมดของเรา”

จ่านจือโขกศีรษะลงจรดพื้นแปดครั้งครา จากนั้นประสานมือขึ้นต่อหน้าเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน พร้อมกับส่งเสียงกล่าววาจาว่า

“ข้าพเจ้าจ่านจือ ขอสาบานว่า จะตั้งใจศึกษาจดจำ พร้อมทั้งจะนำความรู้ไว้คอยช่วยเหลือผู้เดือดร้อน ข้าพเจ้าจะยึดมั่นอยู่ในคุณธรรมซื่อสัตย์ต่อตนเอง และผู้อื่น หากผิดคำสาบาน ขอให้ข้าพเจ้าตายไร้ที่กลบฝัง”

เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน พยักหน้ารับทราบอย่างพึงพอใจ พร้อมกับบอกกล่าวกับเขาว่า ในยุทธจักรมากล้วนด้วยผู้คน จิตใจคนช่างลึกล้ำยากแท้หยั่งถึง รู้หน้ามิอาจรู้ใจ ผู้คนมีทั้งคนดีคนร้าย บ้างหน้าไหว้หลังหลอก ปากหวานก้นเปรี้ยว สิ่งที่อันตราย อีกทั้งยังน่าสะพรึงกลัวที่สุด นั้นคือจิตใจคน ดังนั้นบางสิ่งบางอย่าง เขาต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง ท่านมิอาจสั่งสอนได้ทั้งหมดสิ้น

ตั้งแต่นั้นมา จ่านจือตั้งใจร่ำเรียนตามคำสอน ของเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน เริ่มแรกเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ให้เขาศึกษาตัวยาสมุนไพรต่าง ๆ จ่านจือเฉลียวฉลาด มีความจำเป็นเลิศ ท่านเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ให้เขาหยิบฉวยตัวยาใด ไม่เคยผิดพลาดแม้แต่ครั้งเดียว เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนเอง อดชื่นชมจ่านจืออยู่ไม่น้อย ท่านทุ่มเทสั่งสอนวิชาให้กับเขาโดยมิได้ปิดบังซ่อนเร้น

วันนี้ จ่านจือเริ่มต้นเรียนรู้จุดชีพจรต่าง ๆ บนร่างกาย ทุกจุดเส้นล้วนจดจำได้ไม่คลาดเคลื่อน ท่านเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน กล่าวถามจุดใด เขากล่าวตอบได้อย่างแม่นยำ โดยมิต้องบอกเป็นคำรบสอง มินานนัก เขาเริ่มเรียนรู้ลมปราณขั้นพื้นฐานตามลำดับ

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป