ตอนที่ 9
ผาแห่งสายลม
เฟิ่นไป่ชิง กับเฟิ่นมู่เหอ เมื่อออกจากหุบเขาสายรุ้งแล้ว ทั้งสองเร่งรุดเดินทางกลับจงหยวนทันที ในวันที่คนทั้งสอง เดินทางออกจากหุบเขาสายรุ้งโดยใช้เส้นทางลับใต้หุบเขาเร้นกายออกมา ระหว่างทางปลอดโปร่งไร้เรื่องราว เส้นทางบางช่วงเป็นเนินเขาทอดต่ำลงมา สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นต่างใช้ท่าร่างวิ่งตะบึงด้วยวิชาตัวเบา แลเห็นเพียงเงาร่างสองสายเท่านั้นเอง คล้ายเหยี่ยวร้ายคู่หนึ่ง ซึ่งโฉบถลาลงมายังเบื้องล่างเชิงเขา
กล่าวย้อนไปถึง บุรุษหนุ่มสำอางลึกลับผู้นั้น ผู้ซึ่งติดตามเฮียม่วยแซ่เฟิ่น อีกทั้งจ่านจือไปยังหุบเขาสายรุ้ง ในวันนั้น วันที่คนทั้งสามเดินทางเข้าหุบเขาสายรุ้งไปไม่เท่าใดนัก มันผู้นั้นได้ติดตามคนทั้งสามมา ห่าง ๆ แต่เนื่องด้วยเส้นทางคดเคี้ยว อีกทั้งยังวกวนเกินไป คล้ายดั่งเขาวงกต เป็นเหตุให้บุรุษหนุ่มสำอางหน้าอ่อนผู้นั้น ถึงกับหัวเสียแสดงอาการฉุนเฉียวออกมา เหตุผลสำคัญมันคลาดคลาทั้งสามคน จนกระทั่งมิเห็นเงา
บุรุษสำอางลึกลับผู้นั้น มันพยายามเสาะหาเส้นทางเข้าหุบเขาสายรุ้ง ผ่านไปราวสองชั่วยาม กลับยังเสาะหาเส้นทางเข้ามิพบ มันหงุดหงิดฉุนเฉียวเสียยกใหญ่ สุดท้ายระบายใส่ต้นไม้ใบหญ้า บริเวณนั้นไปหลายเท้า
มิว่าบุรุษสำอางผู้นั้น มันจะทดลองอยู่อีกหลายเที่ยว ไร้วี่แววมิเป็นผล มันยังค้นหาเส้นทางเข้าหุบเขาสายรุ้งมิพบ มันยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าใด เส้นทางยิ่งวกวนสับสนจนเวียนหัว ดังนั้นมันจึงมิกล้าสืบเท้าก้าวล่วง ลึกเข้าไปได้มากกว่านี้ สุดท้ายมันหาเส้นทางเข้าหุบสายรุ้งมิพบ ในที่สุดจึงถอดใจไม่ค้นหาต่อ บุรุษสำอางลึกลับผู้นั้น มันจึงย้อนออกมาดักรอทั้งสาม บริเวณปากทางเข้าหุบเขาสายรุ้งนั้นเอง
ผ่านไปหลายวัน ไร้ซึ่งวี่แววของคนทั้งสาม มิมีผู้ใด เดินทางออกมา จากหุบเขาสายรุ้งแม้แต่ผู้เดียว แท้จริงแล้ว บุรุษหนุ่มสำอางลึกลับผู้นั้น มันต้องการร่องรอย ของสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นเท่านั้น สำหรับกับจ่านจือเขาหาได้มีความสำคัญกับมันไม่ เบาะแสที่มันต้องการ เป็นยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณ ซึ่งไป่ชิงพกพาติดตัว ข่าวนี้ล้วนรั่วไหลไปไวยิ่งนัก กระทั่งมันยังให้ความสนใจ ไฉนบรรดาชาวยุทธ์ทั้งหลาย จะมิอยากได้ฮุบไว้ครอบครอง
เมื่อมันมิเห็นผู้ใด ออกมาจากหุบเขาสายรุ้งจริง ๆ บุรุษสำอางลึกลับผู้นั้น มันจึงผละจากไปในบัดดล มันทะยานร่างดั่งเหาะเหิน พุ่งปราด ๆ ดั่งพยัคฆ์ราวมังกร ทิศทางที่มันกำลังมุ่งไป คล้ายริมทะเลสาบต้งถิง
แต่ก่อนที่ร่างมันจะลับหาย มันอดมิได้ ที่จะเหลียวกลับมามองหุบเขาสายรุ้งเบื้องหลัง คล้ายดั่งมันยังอาลัยอาวรณ์ต่อสิ่งใด ไม่อยากจากไปกระนั้น หรือทว่าในจิตใจบุรุษสำอางลึกลับผู้นั้น มันยังระลึกนึกถึงผู้หนึ่งผู้ใดในสามคน จากนั้นมันหันกลับไป แล้วพลิ้วกายหายไปดุจควันเบาบางกลุ่มหนึ่ง มุ่งหน้าสู่ริมทะเลสาบต้งถิงจริง ๆ
กล่าวถึง สองนางชีนิรนาม หลังจากแยกย้าย ติดตามหาเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน นางทั้งสองใช้เวลาเสาะหาเป็นเวลาหลายวัน ยังไร้วี่แววเบาะแส ดังนั้นนางชีนิรนามทั้งสอง จึงเดินทางไปยังริมทะเลสาบต้งถิงเช่นกัน ซึ่งนั้นเป็นพวกนางต่างนัดหมายกันไว้
ริมทะเลสาบต้งถิง นางชีผู้ซึ่งถูกเรียกหาว่าซือไถ่ นางเดินทางมาถึงก่อนราวครึ่งชั่วยาม ส่วนแม่ชีอีกนางหนึ่ง จึงเร่งรุดมาถึงหลังจากนั้นไม่นานนัก แม่ชีสองนางเมื่อพบหน้ากัน ส่งเสียงกล่าววาจาตรงกันว่า มิพบร่องรอยอันใด ของบุคคลที่ทั้งสองติดตามมาจากนอกด่าน นางชีซึ่งถูกเรียกหาว่าซือไถ่ กล่าววาจาต่อแม่ชีอีกนางหนึ่งว่า
“มันผู้นั้นหายตัวไปไร้ร่องรอย ช่างน่าเจ็บใจยิ่ง ค่ำคืนที่ข้าพเจ้าบังเอิญผ่านไป บังเอิญได้ยินมันสนทนา กับหนุ่มสาวคู่หนึ่ง บริเวณเนินเสือดาว น่าเสียดายยิ่ง ค่ำคืนนั้น ข้าพเจ้าไปล่าช้าก้าวหนึ่ง จึงได้ยินการสนทนาเพียงมิกี่ประโยค แต่กระนั้นยังพอจับใจความสำคัญได้บางส่วน มิหนำซ้ำค่ำคืนนั้น พลันเป็นคืนแรม ข้าพเจ้าจึงมองไม่เห็นใบหน้ามัน มันเองคล้ายระมัดระวังตัวอยู่ก่อน จึงสวมหมวกคลุมหน้าตลอดเวลา ที่แท้มันผู้นั้นเป็นผู้ใดกัน? พฤติกรรมของมัน ไม่น่าไว้วางใจ ชวนให้สงสัยยิ่ง”
ถูกต้องของนาง ในค่ำคืนนั้นขณะที่นางเดินทางมาถึง เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน พร้อมทั้งสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น คนทั้งสามกำลังจะแยกย้ายไปจากบริเวณนั้นแล้ว ดังนั้นทั้งสามจึงอำพรางร่างกายและใบหน้ามิดชิด ความมืดมิดของเดือนแรม ยังช่วยบดบังอำพรางให้อีกทอดหนึ่ง
เมื่อคนทั้งสามผงะแยกย้ายจากไปแล้ว นางกลับพบว่า นอกจากนางแล้ว ในบริเวณนั้น ยังมีชุดดำคลุมหน้าอีกผู้หนึ่ง ซึ่งแอบฟังการสนทนา ของบุคคลทั้งสามอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นนางจึงมิกล้าเขยื้อนเคลื่อนกาย เข้าไปใกล้ ๆ ได้มากกว่านั้น
อีกประการนั้นคือ นางเกรงว่าคนทั้งสามจะพลันรู้ตัว ดังนั้นบางช่วงบางตอน ซึ่งทั้งสามสนทนากัน นางจึงจับใจความสำคัญได้ไม่กระจ่างนัก สำหรับเรื่องราวที่นางแอบได้ยิน ซึ่งนางให้ความสนใจเป็นพิเศษ นั้นเป็นเรื่องยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณ ซึ่งเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน มอบให้แก่ไป่ชิงเป็นของกำนัลนั้นเอง
ในขณะนั้น นางชีผู้นี้พอรู้ตัว ว่ายังมีชุดดำลึกลับอีกผู้หนึ่ง ผู้ซึ่งซุ่มฟังเรื่องราวสนทนาเช่นเดียวกับนาง มันผู้นั้นย่อมทราบเช่นกัน ทราบเรื่องยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณ แน่นอนที่สุด เมื่อนางยังสนใจปานนี้ มีกิเลสเกิดขึ้นในจิตใจ นางต้องการได้มันมาครอบครอง เช่นนี้คนชุดดำนั้นเล่า ใยมันจะไม่สนใจได้มาครอบครอง
ถึงแม้นว่า นางจะยังมิทราบ คนชุดดำลึกลับคลุมหน้าผู้นั้น เป็นผู้ใดกันแน่ และมันเป็นคนจากสารทิศใด นอกเหนือจากนี้ รังสีอำมหิต ที่แผ่ซ่านปานอสูรร้าย คล้ายกระจายออกมาจากตัวมัน ดังนั้นนางจึงคิดว่าคนชุดดำลึกลับผู้นั้น มันคงมีวรยุทธ์อันร้ายกาจน่ากลัวยิ่ง
หลังจากนั้น นางได้ติดตามเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ไป ห่าง ๆ พร้อมกับส่งข่าวถึงคนไว้ใจ ให้ติดตามเฮียม่วยแซ่เฟิ่นไป ส่วนตัวนางนั้น ได้เรียกตัวแม่ชีอีกนางหนึ่งมา เรียกมาเสริมกำลังช่วยติดตาม เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ลงใต้แดนกังหนำ
นางเร่งติดตาม เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ตั้งแต่เนินเสือดาว แต่ทว่า เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ท่านมีวิชาตัวเบาอันแสนยอดเยี่ยมสูงส่ง นางชีนิรนามจึงสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปไม่น้อย หลังจากนั้น เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ท่านเดินทางออกสู่นอกด่านหันหู่กวน แล้วมุ่งหน้าไปอีกเป็นระยะทางเกือบร้อยลี้ ก่อนที่แม่ชีอีกนางจะเดินทางมาสมทบ
นางชีนิรนามทั้งสอง ติดตามเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนไปห่าง ๆ จนกระทั่งเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเย๊ยะเทียน หายตัวเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งปลูกสร้างอยู่กลางสวน มีต้นไม้ร่มรื่น เส้นทางเข้าไปยังตัวบ้านจะต้องเดินข้ามสะพานตอไม้เล็ก ๆ ซึ่งปักไว้ในบึงน้ำ ทำเป็นสะพานทอดข้ามไปยังบ้านหลังนั้น นอกจากสะพานที่จัดสร้างจากตอไม้แล้ว ในบึงน้ำมิมีสิ่งใด ให้นางทั้งสองใช้หลบซ่อนตัวได้ ดังนั้นพวกนางจึงมิกล้าบุ่มบ่าม ติดตามเข้าไปในระยะกระชั้นชิด ด้วยเกรงว่าคนที่อยู่ภายในบ้านจะพานรู้ตัว
นางชีนิรนามทั้งสอง หลบซ่อนเร้นกายในบริเวณนั้น รอคอยโดยใช้ความอดทนยิ่ง ผ่านไปหนึ่งวันยังไร้วี่แวว สองวันยังมิปรากฏ เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ไฉนท่านยังไม่ออกมา นางชีนิรนามทั้งสองร้องว่าผิดท่า พากันบุกเข้าไปในบ้านหลังนั้น
นางชีนิรนามทั้งสอง หลังจากกระแทกสองฝ่ามือออกไป ทำลายบานประตูล้มครืนลง เมื่อเบียดร่างผ่านบานประตูเข้าไปภายในบ้าน กลับมิพบผู้ใด อาศัยอยู่ภายในบ้านหลังนั้น กระทั่งมุสิกสักตัวยังมิมีเพ่นพ่านในบ้านหลังนั้น
นางชีนิรนามทั้งสอง จึงทราบว่าผิดท่าหลงกล เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนเข้าให้แล้ว ที่แท้เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ท่านรู้ตัวว่าถูกคนสะกดรอยติดตามมา ตั้งแต่เนินเสือดาวแล้ว แต่แสร้งทำทีเป็นไม่รู้ตัว อีกทั้งยังซ้อนแผนล่อหลอกนางทั้งสอง หลอกพวกนางไปยังบ้านหลังนั้น ก่อนที่จะหลบหนีออกมาทางด้านหลัง แล้วเร่งเดินทางกลับหุบเขาสายรุ้งทันที
เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน กลับผิดความคาดหมายนัก ไฉนตลอดเส้นทาง นางทั้งสองจึงติดตามท่านมา สลัดมิหลุด เขี่ยมิพ้นทาง ประการนี้ เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน รู้สึกปวดเศียรมืดมิดทุกทิศทาง
แม่ชีทั้งสองทราบได้เช่นไร ว่าตนเองใช้เส้นทางนี้เดินทาง คล้ายกับนางมีดวงตางอกเงยขึ้นมา มิว่าท่านจะใช้เส้นทางสายใด ล้วนถูกพวกนางติดตามเจอ ดั่งเงาตามตัวอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นท่านจึงมิอาจสลัดหลุดพ้น อาจเป็นไปได้อยู่หลายส่วน มีคนส่งข่าวบอกนางทั้งสอง ดังนั้นเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน จึงใช้เส้นทางลับเป็นหนทางสุดท้ายสลัดหลุดจากนางทั้งสอง เข้าสู่หุบเขาสายรุ้งสำเร็จ
ริมทะเลสาบต้งถิง
“มิทราบว่าท่าน คิดจะกระทำเช่นไรต่อไป? ในเมื่อคนที่พวกเราติดตามตัวได้อันตรธานหายไป กระทั่งบัดนี้ยังหาร่องรอยใดไม่เจอ สถานที่แถบนี้ ล้วนเป็นดินแดนกังหนำ พวกเรายิ่งมิคุ้นเคยเท่าใดนัก อีกทั้งท่านเอง ยังเก็บตัวมาช้านาน มิได้ออกมาจากที่พำนักเป็นเวลามากกว่าสิบปี ดังนั้นวันเวลาเปลี่ยนไป สถานที่เองย่อมต้องเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน ฉะนั้นมิว่าสิ่งใด? ย่อมมิเหมือนเดิม”
นางชีนิรนามผู้ซึ่งเดินทางมาถึงก่อนส่งเสียงกล่าวถาม นางชีซึ่งในมือถือแส้ปัดขนอ่อน แสดงท่าทีใช้ความคิดแต่ยังมิตอบคำถาม แม่ชีนางนั้นจึงกล่าววาจาสืบต่อว่า
“หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เปลี่ยนไปมากจริง ๆ กระทั่งผู้คนยังมิอาจทนต่อสังขาร มิให้ไม่หย่อนยานได้ จิตใจเล่าจะยังคงหนักแน่นดุจหินผา หรือว่าเปลี่ยนแปลงไปแล้วเช่นเดียวกัน?”
นางชีอีกนางยังคงยืนนิ่งรับฟังมิส่งเสียง เพียงสะบัดแส้ปัดขนอ่อนไปมาช้า ๆ นางชีคนเดิมกล่าววาจาสืบต่อ
“แผนการใหญ่ของท่านนั้น คือยึดครองยุทธภพ ถึงแม้เพียงแค่เริ่มต้นแผนการ แต่มีความเป็นไปได้ ใช่ในเร็ววันจะพลันสำเร็จ ทุกฝ่ายต่างแยกย้ายกันทำงาน ตามแผนการท่านวางไว้ ผลงานล่าสุดนั้น สมควรเป็นวลีสี่ประโยค ซึ่งท่านให้คนของเรา ปล่อยข่าวออกสู่ยุทธจักร คาดคิดมิถึงจริง ๆ ว่าจะได้ผลเกินความคาดหมาย เมื่อสำนักต่าง ๆ ได้ข่าววลีสี่ประโยคนี้ ล้วนมีการเคลื่อนไหวแล้ว ยุทธภพที่หลับใหลไปเนิ่นนาน พลันเริ่มจะฟื้นตื่นขึ้นอีกครั้ง แต่ทว่าฝ่ามือลึกลับที่สังหารคนตายไปหลายคนนั้น ล้วนมิใช่ฝีมือของท่าน ฉะนั้นมันเป็นฝีมือผู้ใด ท่านพอทราบแล้วหรือไม่?”
นางชีอีกนางสะบัดแส้ปัดขนอ่อนขวับ ขนแส้สีขาวดุจไหมเงิน สะบัดพาดกับท่อนแขนข้างซ้ายของนาง จากนั้นนางชีนางนั้นกล่าววาจาบ้างว่า
“ข้าพเจ้าเอง กระทั่งบัดนี้ ยังขบคิดมิออกเช่นกันว่า ฝ่ามือลึกลับนั้น ที่แท้เป็นฝีมือผู้ใด? ฝ่ามือเดียว สามารถทำลายอวัยวะภายในแหลกเหลว นับว่าเป็นวิชาฝ่ามืออันร้ายกาจสุดหยั่งคาด นับได้ว่าเป็นวิชาฝ่ามือที่น่ากลัวที่สุดในเวลานี้ ข้าพเจ้าเองยังคิดมิออกเช่นกันว่า เป็นผู้ใดกัน ที่ยังฝึกวิชาฝ่ามือร้ายกาจนี้สำเร็จ ในอดีตวิชาฝ่ามือนี้ แม้แต่ผู้ที่คิดค้นวิชาฝ่ามือเอง ท่านยังมิต้องการฝึกฝน รวมทั้งยังมิยอมถ่ายทอด ให้กับศิษย์คนใดในสำนักอีกด้วย”
นางชีผู้ซึ่งถูกเรียกหาว่าซือไถ่ นางตอบพลางท่าทางครุ่นคิด แสดงว่านางชีผู้นี้ นางต้องรู้จักวิชาฝ่ามือชั่วร้ายนี้อย่างแน่นอน หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก นางชีผู้นั้นจึงกล่าววาจาต่อว่า
“ปรมาจารย์ท่านนั้น ถึงแม้ว่าท่าน จะมิฝึกปรือ รวมทั้งยังมิยอมถ่ายทอดให้แก่ศิษย์ ครั้นท่านจะทำลายทิ้งไป กลับรู้สึกเสียดายความรู้ ที่คิดค้นวิชาฝ่ามือนี้ขึ้นมาเป็นเวลาหลายปี”
นางชีนางนั้นสะบัดแส้ปัดขนอ่อนอีกครั้ง จากนั้นพาดปลายแส้สีเงินยวงไว้บนแขนซ้ายเช่นเดิม แล้วส่งเสียงกล่าวว่า
“ดังนั้น ท่านจึงได้เขียนเคล็ดวิชาฝ่ามือนี้ ฝากไว้บนผืนจีวรที่ใช้คลุมกาย เป็นจีวรของหลวงจีนเส้าหลินท่านหนึ่ง ซึ่งหลวงจีนท่านนี้เป็นสหายรักของท่าน ด้วยท่านเชื่อว่าหลวงจีนท่านนั้น ท่านเปี่ยมล้นไปด้วยเมตตาธรรม หากสักวันในภายภาคหน้า ท่านได้พบเจอผู้มีบุญวาสนาที่มีจิตใจเปี่ยมล้นด้วยคุณธรรมสัตย์ซื่อ ถือว่าบุคคลผู้นั้นมีวาสนาได้ร่ำเรียนวิชาฝ่ามือนี้”
นางชีผู้นั้นยังเล่าต่ออีกว่า ต่อมาหลวงจีนเส้าหลินท่านนั้น ได้คัดลอกอักษรบนจีวร ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาฝ่ามือนี้ สอดแทรกไว้ในหนังสือธัมมะเล่มหนึ่ง ซึ่งท่านได้สอดแทรกตัวอักษร เคล็ดวิชาฝ่ามือนั้น ไว้กับตัวอักษร ในหนังสือธัมมะเล่มนั้น อย่างแนบเนียน หากทว่า ผู้ที่อ่านหนังสือธัมมะเล่มนั้น เป็นผู้ที่ไม่ศึกษาพระธรรมคำสอนจนแตกฉาน อีกทั้งไม่มีความรอบรู้ลึกซึ้งตีความ จะมิอาจพบเห็นความนัยของตัวอักษรที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาฝ่ามือนี้ได้เป็นเด็ดขาด
ต่อมาสุยเหวินตี้ฮ่องเต้ พระราชาในเวลานั้น เสด็จมายังวัดเส้าหลิน และได้เที่ยวชมหอพระคัมภีร์ของวัดเส้าหลิน สุยเหวินตี้ฮ่องเต้ ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นยิ่งนัก พอพระองค์ทอดพระเนตรเห็นหนังสือธัมมะหลายเล่ม จึงสนพระทัยใฝ่ศึกษา พระองค์กลับสนพระทัยใคร่ศึกษาหลักธรรม ในหนังสือธัมมะเล่มดังกล่าวเข้าพอดี
ดังนั้น พระองค์จึงตรัสกับเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินในขณะนั้นว่าพระองค์สนพระทัยหนังสือเล่มนั้น อยากจะขอนำกลับไปศึกษายังพระราชวังของพระองค์ เจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน ท่านจึงถวายหนังสือธัมมะเล่มนั้น ให้กับสุยเหวินตี้ฮ่องเต้ไป ตั้งแต่บัดนั้นมาหนังสือเล่มนั้นจึงถูกเก็บอยู่ในพระราชวัง จนกระทั่งสุยเหวินตี้ฮ่องเต้สวรรคตลงอย่างกระทันหัน
สุยหยางตี้ฮ่องเต้ พระราชาองค์ต่อมา ซึ่งเป็นโอรสองค์ที่สอง เป็นพระราชาที่ไม่สนใจในพระพุทธศาสนา ได้แต่เสพสุขหาความสำราญ กับสาวงามและท่องเที่ยว จึงไม่สนใจหนังสือธัมมะเหล่านั้น ในที่สุดหนังสือเล่มนั้นก็หายสาบสูญไป ส่วนเคล็ดวิชาที่บันทึกไว้ บนผืนจีวรของหลวงจีนท่านนั้น ต่อมาท่านเองหลังจากสละตำแหน่งเจ้าอาวาสแล้ว ได้เดินทางไปยังหน้าผาแห่งหนึ่ง พร้อมกับนั่งกรรมฐานอยู่ริมหน้าผาแห่งนั้น เป็นเวลาหลายเดือน
บรรดาศิษย์ของท่าน ต่างเดินทางไปเชิญท่านกลับเส้าหลิน แต่ท่านปฏิเสธ กล่าวแต่เพียงว่าท่านระลึกนึกถึงสหายรักของท่านผู้หนึ่ง ด้วยสหายของท่านดับชีวิตลงใต้ผาแห่งนี้ ซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นท่านมีส่วนเกี่ยวข้องร่วมด้วย หลังจากกล่าวกับศิษย์จบแล้ว หลวงจีนท่านนั้นทิ้งร่างลงสู่ก้นหุบเหวแห่งนั้น เคล็ดวิชาฝ่ามือนี้ จึงสูญหายไปตั้งแต่บัดนั้น จนกระทั่งบัดนี้ มีคนเสียชีวิตภายใต้วิชาฝ่ามือนี้ได้เช่นไร
พอเล่าถึงตอนนี้ แม่ชีซือไถ่นางนั้นทอดถอนใจคราหนึ่ง ก่อนจะกล่าววาจากับแม่ชีอีกนางว่า
“ส่วนคนชุดดำที่ข้าพเจ้าพบเห็น ที่เนินเสือดาวเมื่อเดือนก่อน มันเป็นใครกัน ดูลักษณะแล้วเป็นผู้ทักษะยุทธ์ ท่านให้คนของเราสืบสาวหาเบาะแสของคนผู้นี้ ข้าพเจ้าเกรงว่ามันจะเป็นอุปสรรคในการยึดครองยุทธภพของข้าพเจ้าในภายหน้าได้”
แม่ชีอีกนางพยักหน้ารับทราบคำสั่ง เอ่ยกล่าวว่าจะรีบไปดำเนินการตามคำสั่งโดยเร็ว นางชีซือไถ่จึงกล่าววาจาต่อว่า
“นับว่าโชคดีที่ค่ำคืนนั้น มันเข้าใจว่าข้าพเจ้าคือคนของอารามอเทวตา ข้าพเจ้าเพียงแต่ใช้วิชาดรรชนีท่าหนึ่ง ซึ่งคล้ายคลึงกับดรรชนีเทวะของอารามอเทวตา ดูท่าแล้วมันเชื่อสนิทว่าข้าพเจ้าเป็นคนของอารามอเทวตาจริง ๆ ข้าพเจ้าเองมิได้ปรากฏตัวให้มันเห็น ปล่อยให้คนชุดดำเข้าใจผิดคิดเช่นนั้น มันจะได้มุ่งไปคิดบัญชีกับอารามอเทวตา ส่วนข้าพเจ้า คอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ฮาฮา”
นางชีซือไท่ส่งเสียงหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ จนแม่ชีอีกนางอดมิได้ที่จะหัวร่อตามด้วยบุคลิกภาพ อันเจ้าเล่ห์มีแผนการชั่วช้าต่ำทราม นางชีซือไถ่หลังจากสิ้นเสียงหัวเราะแล้ว กล่าวต่อกับแม่ชีนางนั้นว่า
“มิหนำซ้ำ ข้าพเจ้า กับท่าน เราทั้งสองต่างปลอมตัวเป็นนางชี ก่อกวนให้ชาวยุทธ์เข้าใจผิด คิดว่าเป็นคนของอารามอเทวตา ชาวยุทธ์ทั้งหลายต่างต้องเหยียบย่างเข้าอารามอเทวตา เพื่อไปคิดบัญชี เมื่อถึงตอนนั้นยุทธภพเกิดความวุ่ยวาย แผนการของข้าพเจ้ายิ่งง่ายดายดุจลัดนิ้วบนฝ่ามือ หมากตานี้ข้าพเจ้ายังต้องการกระตุ้นโทสะเจ้าอารามอเทวตา นางชีเทวราชชิ้วโส่วให้มันเผยตัวออกมา”
ที่แท้นางชีสองนางเป็นตัวปลอม ความจริงแล้วคนของอารามอเทวตา เก็บตัวอยู่ในอารามมิเคยออกมาสู่ยุทธภพ ตามคำสัตย์ที่ได้ให้ไว้ต่อหน้าบรรดาชาวยุทธ์ ของนางชีเทวราชชิ้วโส่ว แต่นางมีข้อแม้ว่า หากเมื่อใดชาวยุทธ์ บุกรุกเข้าบริเวณอารามอเทวตาของนาง เมื่อนั้นคำสัตย์ที่เคยให้ไว้เป็นอันสิ้นสุด
ครั้งนี้สตรีสองนางใช้ชื่อของอารามอเทวตา อีกทั้งปลอมตัวเป็นนางชีเทวราชชิ้วโส่ว และคนของอารามอเทวตาออกมาก่อกวน คิดว่าครั้งนี้ นางชีเทวราชชิ้วโส่วต้องออกมาคิดบัญชีเอาคืนอย่างแน่นอน
ขณะที่แม่ชีปลอมสองนาง กำลังสนทนากันอยู่อย่างออกรส คนผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้น พร้อมกับแยกย้ายหนึ่งฝ่ามือ หนึ่งเท้าจู่โจมเข้าหานางชีสองนางอย่างดุดัน เสียงหวืดหวือของพลังฝ่ามือ และเท้าปะทะกันอย่างเกรี้ยวกราดหวาดเสียว นางชีสองนางยกฝ่ามือขึ้นต้านทานกระบวนท่า พลิกร่างพลิ้วถอยไปหนึ่งก้าว
ผู้มาวาดเท้าเป็นครึ่งวงกลม เข้าหานางชีที่ถูกเรียกหาเป็นซือไถ่ แม่ชีปลอมนางนั้นถลันหลบวูบไปด้านข้าง คนที่ลงมือเห็นเช่นนั้นกระแทกฝ่ามือกลับหลังเข้าหาแม่ชีอีกนางโดยไม่เหลียวหน้ากลับมาดู พลังฝ่ามือเกรี้ยวกราดดุดัน แม่ชีนางนั้นลอยตัวตีลังกาหลบหลีกพลังฝ่ามือ ส่วนแม่ชีอีกนางวาดเท้าออกทางด้านซ้าย แล้วตีลังกาเฉียง ๆ ทิ้งร่างสู่พื้น เมื่อนางชีสองนางทิ้งร่างสู่พื้น ร้องพร้อมเพรียงกันว่า
“เหยาเยี่ยนผิง!”
“เสียวเอี้ย!” (นายน้อย)
ที่แท้ผู้ที่มา คือบุรุษหนุ่มสำอางที่ผละจากหุบเขาสายรุ้งนั้นเอง เมื่อถูกเรียกชื่อ รีบประสานมือคารวะนางชีทั้งสอง พร้อมกับส่งเสียงว่า
“ท่านแม่”
“อี้บ้อ” (ท่านน้า)
บุรุษหนุ่มสำอางผู้นั้น เรียกนางชีซือไถ่ว่าท่านแม่ และเรียกแม่ชีอีกนางว่าท่านน้า พลางกวาดสายตาสำรวจนางชีทั้งสอง พร้อมกับเดินวนรอบกายของนางชีทั้งสอง แล้วปรบมืออย่างชื่นชมกล่าวว่า
“ข้าพเจ้า นับถือท่านทั้งสองยิ่งนัก ดูมิออกจริง ๆ ว่าท่านแม่กับท่านน้าปลอมเป็นนางชีถือศีลกินเจ ได้แนบเนียนถึงเพียงนี้ วิชาปลอมแปลงโฉมของท่านแม่กับท่านน้าช่างสูงส่งยอดเยี่ยม แม้แต่ข้าพเจ้าเยี่ยนผิง เกือบจะจดจำพวกท่านแทบมิได้”
นางชีผู้ซึ่งถูกเรียกหาว่าท่านแม่ กล่าวตอบบุรุษสำอางว่า
“เจ้าเองกลับปลอมเป็นบุรุษได้ไม่เลวเลย ช่างแนบเนียนไร้ที่ติเฉกเช่นเดียวกัน”
แม่ชีอีกนางกล่าวเสริมว่า
“นี่เป็นความสามารถอันยอดเยี่ยม ของนายน้อยแห่งสำนักมารสวรรค์ เปรียบไปคล้ายลูกไม้ใกล้ต้นร่วงหล่นไปไม่ไกลเลย มิว่าจะเป็นฝีมือด้านการปลอมแปลงโฉม วรยุทธ์ยิ่งเด่นล้ำก้าวหน้า ที่กล่าวมาล้วนได้ท่านผู้เป็นมารดาแล้ว”
แม่ชีนางนั้น กล่าวคำยกยอปอปั้นแม่ชีอีกนางหนึ่ง แม่ชีนางนั้นกลับพึงพอใจยิ่ง ส่งเสียงกล่าวว่า
“มิเพียงข้าพเจ้าที่อบรมสั่งสอน ท่านเองกลับเหน็ดเหนื่อยไปไม่น้อย เปรียบไปข้าพเจ้ากับท่านนั้น เป็นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งใบให้กับนาง ดังนั้นเราสองเป็นเช่นไร ไฉนนางจะกลับกลายคล้ายผู้อื่นได้เล่า?”
แม่ชีนางนั้นพยักหน้าเห็นด้วย รีบกล่าว
“ถูกต้องของท่าน นายน้อยเยี่ยนผิงเก่งกล้าสามารถ เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ อีกทั้งเฉลียวฉลาดทั้งสติปัญญา ใบหน้าผิวพรรณกลับยิ่งงดงามปานสวรรค์แต่งเสริมเติมต่อ อีกทั้งยังได้ความงดงามจากมารดามาเก้าส่วน”
แม่ชีอีกนางกล่าวว่า
“อีกส่วนล้วนละม้ายคล้ายกับท่าน”
แล้วทั้งสองต่างหัวเราะพออกพอใจยิ่ง บุรุษสำอางที่แท้นางเป็นสตรีที่แต่งกายเช่นบุรุษ นางส่งเสียงเอ่ยกล่าวขึ้นว่า
“พวกท่านทั้งสองอย่ามัวแต่ยกยอปอปั้นกันเองนักเลย ข้าพเจ้าเหยาเยี่ยนผิง เป็นนายน้อยสำนักมารสวรรค์ ข้าพเจ้าชื่นชอบเช่นนี้ หากเป็นอิสตรีมีอันใดชวนให้พิสมัย มิน่าเล่นเช่นบุรุษเยี่ยงนี้ พวกท่านทั้งสองได้ความคืบหน้าเป็นเช่นไรบ้าง?”
แม่ชีสองนางต่างส่ายหน้า แล้วนางชีผู้ซึ่งถูกเรียกหาว่ามารดากล่าวว่า
“เราสองคนเกือบจะติดตามมันทันอยู่แล้ว แต่มันคล้ายกับมีวิชาแปลงกายหายตัวได้ สุดท้ายมันหายตัวไปไร้ร่องรอย มองเห็นความสำเร็จอยู่ไม่ไกล สุดท้ายคว้าน้ำเหลวตอนปลายเข้าใจได้ น่าเจ็บใจยิ่งนัก อุตส่าห์ปลอมแปลงเป็นนางชีถือศีลกินเจ เจ้าเล่าเป็นเช่นไรได้กระไรคืบหน้ามาบ้างหรือไม่?”
บุรุษสำอางผู้นั้นส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ข้าพเจ้าก็เป็นเช่นพวกท่าน คว้าน้ำเหลวในช่วงสุดท้ายเช่นกัน มันสองคนกับบุรุษท่าทางทึ่ม ๆ เช่นขอทานผู้หนึ่ง หายตัวไปไร้ร่องรอยคล้ายหายตัวได้เฉกเช่นเดียวกัน”
ทั้งสามสนทนาเรื่องราวกันอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะจากพลิ้วร่างจากไป มุ่งหน้าสู่มณฑลเหอหนัน
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564