ตอนที่ 7
ฝึกปรือวิชาแดนกังหนำ
สายลมพัดโชยฉิวผสมฝุ่นดินบางเบา คละเคล้ากลิ่นมวลพฤกษาสองฝากข้างทางเดิน ทัศนียภาพแดนใต้ให้ความรู้สึกที่เพลิดเพลินหฤหรรษ์ ท้องฟ้าสดใสมองไกลออกไปเป็นทิวเขาเรียงรายสลับซับซ้อน แม่น้ำลำธารงดงามตระการตา ต้นไม้ใบหญ้าล้วนเขียวขจี ผีเสื้อแมลงปอน้อยใหญ่บินฉวัดเฉวียนหยอกล้อ นกน้อยส่งเสียงเจื้อยแจ้วจู๋จี๋ เหนือพื้นดินสูงขึ้นไปอินทรีใหญ่บินถลาร่อนลม ดวงตะวันครึ่งดวงโผล่พ้นออกมาจากเมฆขาวราวปุยนุ่น
บัดนี้ จ่านจือกับเฟิ่นมู่เหอรวมทั้งเฟิ่นไป่ชิง คนทั้งสามเดินทางลงใต้แดนกังหนำ(ตอนล่างของแม่น้ำฮวงโห) เหยียบย่างเข้าวันที่ห้าจึงบรรลุถึงริมทะเลสาบต้งถิง เมืองเยียว์หยังมณฑลหูหนัน หากเป็นสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นลำพังทั้งสองคน ย่อมรวบรัดประหยัดเวลาการเดินทางกว่านี้มากนัก ด้วยฝีเท้าแผ่นเบารวดเร็วของคนฝึกยุทธ์นั่นเอง
แต่ทว่าคราครั้งนี้มีจ่านจือร่วมเดินทางมาด้วย สืบเนื่องจากเขาไม่เป็นวรยุทธ์ จึงทำให้การเดินทางล่าช้ากว่าผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป แม้จะล่าช้าไปบ้างแต่คนทั้งสองกลับไม่แสดงอาการอันใดให้จ่านจือรู้สึกว่าเขานั้นเป็นภาระตัวถ่วงแต่อย่างใด
มิทราบว่าเป็นเหตุการณ์บังเอิญหรือวาสนาได้พบพาน ทำให้สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นขณะเดินทางกลับผาแห่งสายลม ใช้เส้นทางผ่านหมู่บ้านเย้ยอรุณพบเห็นเหตุการณ์เข้า จึงได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือด้วยความเวทนาสงสารยากนิ่งดูดาย สำหรับเฟิ่นไป่ชิงและกอกอของนาง ต่างมีความคิดเห็นพ้องต้องกันว่าต้องช่วยเหลือจ่านจือให้ถึงที่สุด ดังนั้นคนทั้งสองจึงออกหน้านำพาจ่านจือเดินทางไปหาเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน เพื่อขอร้องให้ท่านช่วยรับตัวเขาเอาไว้ พร้อมทั้งอบรมสั่งสอนคาดว่าท่านคงไม่ไร้น้ำใจปฏิเสธ
ในความคิดเห็นของสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น คิดว่าเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ท่านตัวคนเดียวลำพังหากรับจ่านจือเอาไว้ช่วยงาน คงสามารถแบ่งเบาแรงท่านได้ส่วนหนึ่ง ดังนั้นคนทั้งสองจึงอาสานำพาเขามาส่งตามแผนที่ ซึ่งท่านผู้เฒ่าได้ทิ้งไว้ให้ก่อนจากกันครั้งนั้นที่เนินเสือดาว
เฟิ่นไป่ชิง นางเองแรกพบกับจ่านจือ กลับรู้สึกต้องชะตากับเด็กน้อยผู้นี้อย่างอธิบายไม่ถูก ดังนั้นนางจึงตั้งใจจะช่วยเหลือเขาให้ถึงที่สุด หลังจากสนทนากันอยู่หลายคำ คนทั้งสองอายุย่างเข้าสิบห้าปีเท่ากันอีกด้วย เฟิ่นไป่ชิงเห็นว่าจ่านจือเป็นคนเที่ยงตรงเปิดเผยมีคุณธรรม ฉายแววหาญกล้าชายชาตรีมีความกตัญญูรู้คุณอันลึกล้ำ คิดว่าตนและกอกอคงส่งเสริมคนมิผิด หากทว่าการลงจากผาครั้งแรกของนางครั้งนี้ ได้สร้างบุญกุศลอันยิ่งใหญ่หนหนึ่งถือว่าไม่เสียเที่ยวแล้ว นางคิดเช่นนั้น เฟิ่นมู่เหอก็เช่นกัน
หุบเขาสายรุ้งตามแผนที่ซึ่งเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนเขียนบอกไว้อย่างละเอียด ตั้งอยู่เมืองเส้าหยังซึ่งจะต้องเดินทางตัดผ่านเมืองอี้หยังและเมืองโหลวตี จึงจะบรรลุถึงเมืองเส้าหยัง คนทั้งสองคำนวณว่า อาจต้องใช้เวลาเดินทางอีกราวหนึ่งถึงสองวันน่าจะบรรลุถึง คำนวณว่าคงเสาะหาที่อยู่ของเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนได้ไม่ยากเย็นเท่าใดนัก
สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นตกลงกันไว้ว่า เมื่อส่งจ่านจือให้ถึงมือเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนแล้ว คนทั้งสองจะรีบเดินทางกลับผาแห่งสายลมทันที เพราะทั้งสองออกจากผามาเนิ่นนานมากแล้ว เกรงว่าท่านเจ้าผาจะเป็นห่วงเอาได้
ยามนี้ คนทั้งสามเห็นว่าใกล้มืดค่ำแล้ว จึงเห็นพ้องต้องกันว่าควรหาโรงเตี๊ยมสั่งอาหารรับประทานและพักผ่อนเอาแรง พรุ่งนี้เช้าค่อยเร่งรุดออกเดินทางต่อ ทั้งหมดเดินทางมาอีกไม่ไกลเท่าใดนัก พบโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งไม่เล็กไม่ใหญ่ อีกทั้งผู้คนมิพลุกพล่านจนเกินไป ดังนั้นจึงตกลงใจเข้าพักที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้สักคืน
หลังจากจับจองห้องพักพร้อมกับสั่งอาหารง่าย ๆ ไม่กี่อย่างแล้ว คนทั้งสามจึงนั่งรับประทานอาหารด้วยกัน อีกทั้งยังสนทนาเรื่องราวที่เกิดขึ้นยังโรงเตี๊ยมที่หลบหนีมา ป่านฉะนี้ไม่ทราบว่าผลการประลอง ระหว่างบุรุษสองคนผลออกมาเป็นเช่นไร เฟิ่นไป่ชิงส่งเสียงกล่าวถามกอกอของนางว่า
“ กอกอ ท่านคิดว่าการประลองของสองบุรุษนั่น ผลออกมาเป็นเช่นไร?”
เฟิ่นมู่เหอแสดงท่าทีขบคิด คีบอาหารเข้าปากขบเคี้ยวคำหนึ่ง ส่งเสียงกล่าววาจาตอบม่วยม่วยของตนว่า
“กอกอคิดว่าคนทั้งสองล้วนเจ้าเล่ห์ร้ายกาจด้วยกันทั้งคู่ ดูไม่ออกว่าผู้ใดจะได้ชัยพ่ายแพ้ แต่ที่แน่ ๆ หากพวกเราทั้งสามคนยังอยู่ที่นั่น ป่านนี้คงถูกพวกมันเหล่านั้นรุมสับกลายเป็นเต้าหู้แหลกเหลวแล้วกระมัง?”
จากนั้น เฟิ่นมู่เหอหันมาทางด้านจ่านจือ ส่งเสียงกล่าวถามความคิดเห็นว่า
“สหายน้อย เจ้าเล่า มีความคิดเห็นเป็นเช่นไร?”
จ่านจือวางตะเกียบลงบนปากชามข้าม ยกมือขึ้นเกาศีรษะหันมองใบหน้าเฟิ่นไป่ชิงคราหนึ่ง แสดงสีหน้ากระอักกระอ่วนอ้าปากกล่าวตอบอย่างไม่มีความมั่นใจว่า
“ข้าพเจ้าหูตาคับแคบขืนกล่าวตอบออกไป เกรงว่าจะกลายเป็นที่ขายหน้าแก่พวกท่านทั้งสองนัก”
เฟิ่นไป่ชิงส่งเสียงหัวร่อคิกยกมือข้างหนึ่งขึ้นป้องปาก ส่งสายตาจ้องมองใบหน้าจ่านจืออย่างขบขัน ส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“สหายน้อย พวกเราทั้งสามคนล้วนร่วมเดินทางกันมาหลายวันท่านกับข้าพเจ้าเราอายุเท่ากัน ต่อจากนี้เรียกหาข้าพเจ้าว่าไป่ชิงเถิด ส่วนกอกอของข้าพเจ้า ท่านก็เรียกหาว่าพี่มู่เหอก็แล้วกัน ส่วนท่านพวกเราจะขอเรียกว่าจ่านจือ เช่นนี้พวกเราทั้งสามคนจะได้สนิทสนมเป็นกันเอง ดังนั้นท่านมีความคิดเห็นเป็นเช่นไร? รีบบอกกล่าวออกมาอย่าได้เกรงอับอายขายหน้าแล้ว”
เฟิ่นมู่เหอได้ยินเช่นนั้น รีบส่งเสียงกล่าววาจาสนับสนุนเห็นด้วยต่อม่วยม่วยของตนต่อจ่านจือว่า
“ถูกต้อง ข้าเห็นด้วยกับม่วยม่วย ต่อจากนี้เจ้าเรียกข้าว่าพี่มู่เหอและเรียกนางว่าไป่ชิง เมื่อเป็นคนกันเองเช่นนี้ ยังจะเกรงกลัวขายหน้าอันใด? ไหน ๆ เจ้ารีบกล่าวตอบออกมาระหว่างพวกมันทั้งสองคน ผู้ใดพ่ายแพ้ผู้ใดชนะ”
จ่านจือรีบประสานสองมือขึ้นจรดปลายคาง แสดงสีหน้าสำนึกขอบคุณเต็มเปี่ยมด้วยความปลาบปลื้มตื้นตันใจ ส่งเสียงกล่าวต่อคนทั้งสองว่า
“ข้าพเจ้าจ่านจือ ขอขอบคุณต่อพี่มู่เหอและแม่นางไป่ชิงยิ่งที่มิรังเกียจข้าพเจ้า ท่านทั้งสองให้เกียรติข้าพเจ้าถึงเพียงนี้ เห็นทีข้าพเจ้าคงต้องยินยอมอับอายขายหน้าแล้ว”
จากนั้น จ่านจือส่งเสียงกล่าววาจาต่อว่า
“ตามความคิดเห็นของข้าพเจ้า บุรุษผู้สวมหน้ากากปีศาจนั่น ท่าทางดุร้ายคล้ายมีความอำมหิตอยู่มาก ส่วนบุรุษอีกผู้หนึ่งท่าทางสำอางสำรวย แต่ด้านเล่ห์เหลี่ยมอุบายแล้วคล้ายยังล้ำหน้ากว่าอยู่ครึ่งก้าว มาตรว่าฝีมืออาจจะพ่ายแพ้ไม่อาจเอาชัย แต่ในไหวพริบอุบายคล้ายสร้างความปราชัยให้แก่บุรุษสวมหน้ากากปีศาจนั่น นี่เพียงเป็นการคาดเดาเอาเองของข้าพเจ้า ถึงเช่นไรข้าพเจ้าคล้ายถือหางฝั่งบุรุษมากเล่ห์เหลี่ยมคูผู้นั้น พวกท่านทั้งสองเล่า?”
สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นหันสบสายตากัน ต่างคิดไม่ถึงว่าจ่านจือจะสามารถวิจารณ์ออกมาได้ถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังกล้ากล่าววาจายืดยาวได้ปานนี้ เห็นทีสหายน้อยผู้นี้มีมันสมองและความเฉลียวฉลาดอยู่ไม่น้อย เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้แสดงออกมาเท่านั้นเอง เฟิ่นไป่ชิงส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“ก่อนลงจากผาแห่งสายลม ท่านเจ้าผาได้กล่าววาจาเตือนพวกเราสองเฮียม่วยว่า ในยุทธภพยากจะคบหาผู้คน มิมีมิตรแท้อันจีรังอีกทั้งยังไม่มีศัตรูคู่แค้นอันถาวร อันชลธารอันลึกล้ำยังไม่ล้ำลึกถึงจิตใจคน ดังนั้นระหว่างสองบุรุษนั่น ข้าพเจ้าจึงไม่อาจคาดเดาได้เช่นกันว่าผู้ใด? ได้ชัยพ่ายแพ้ แต่คล้ายมีความเห็นพ้องกับท่านอยู่เจ็ดส่วน”
เฟิ่นไป่ชิงเมื่อกล่าววาจาจบ เฟิ่นมู่เหอพยักหน้าคล้ายเห็นด้วย ส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“ข้าเองก็เห็นด้วยกับพวกเจ้าทั้งสองคน เพียงแต่บุรุษผู้ดูท่าทางหมดจดผู้นั้นออกจะดูแปลก ๆ พิกลอยู่บ้าง แต่ถึงเช่นไร? พวกเราทั้งสามก็ไม่อาจไว้ใจพวกมัน ทางที่ดีอย่าได้พบพานกันพวกมันอีกถือว่าประเสริฐสุด”
เฟิ่นมู่เหอเห็นว่ามัวแต่สนทนากันยืดยาว เกรงว่าอาหารบนโต๊ะจะเย็นจืดชืดเสียก่อน ดังนั้นส่งเสียงกล่าวต่อม่วยม่วยของตนรวมทั้งจ่านจือว่า
“เอาเถิด พวกเรารีบรับประทานอาหารกันเสียก่อน จะได้รีบหลับนอนพักผ่อนเอาแรง วันนี้พวกเราก็เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางอยู่ไม่น้อย”
คนทั้งสามรีบคีบกับข้าวเข้าปาก พุ้ยข้าวขบเคี้ยวกันอย่างเอร็ดอร่อย วันนี้ทั้งหมดใช้เวลาเดินทางมาทั้งวัน สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น เกรงว่าจ่านจือไม่มีวรยุทธ์อาจเหน็ดเหนื่อยจนเกินไป จึงบอกให้จ่านจือรับประทานอาหารให้มาก ๆ วันรุ่งขึ้นจะได้มีเรี่ยวแรงเดินทางต่อ แต่ทว่าจ่านจือบอกกับทั้งสองว่า
“ข้าพเจ้ามิได้เหน็ดเหนื่อยมากมายเท่าใดนัก อาจเป็นเพราะข้าพเจ้าทำงานหนักมาตั้งแต่เล็ก ขอบคุณท่านทั้งสองที่เป็นห่วงข้าพเจ้า”
เป็นเช่นนั้นจริง ๆ จ่านจือมีร่างกายแข็งแรงกำยำ ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยแม้แต่คราเดียว เขาจึงไม่อ่อนเพลียเสียกำลังมากนัก ทั้งยังเกรงว่าเป็นการรบกวนสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นจนเกินไป หากตนเองมัวแต่ชักช้าเสียเวลา เพียงแค่ทั้งสองยื่นมือเข้าช่วยเหลือ รักษาชีวิตของตนไว้ นับว่าเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวงแล้ว แต่คนทั้งสองกลับมีน้ำใจนำพาเขาเดินทางมาฝากกับเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนอีก จ่านจือรู้สึกตื้นตันใจยิ่งนักหากมีโอกาสจะต้องตอบแทนบุญคุณทั้งสองอย่างแน่นอน
คนทั้งสามรับประทานอาหารจนหมดเกลี้ยงด้วยความหิวโหย โรงเตี๊ยมเล็ก ๆ แห่งนี้มีผู้คนสัญจรผ่านไปมาไม่มากนัก ภายในโรงเตี๊ยมประกอบด้วยเถ้าแก่อายุไม่เกินสี่สิบปีผู้หนึ่ง พ่อครัวและเสี่ยวเอ้ออีกสองคนเท่านั้น ทั้งสามจึงเลือกห้องพักติดกันสองห้องแล้วแยกย้ายกันเข้าห้องพักผ่อนหลับนอน
เฟิ่นไป่ชิง นางพักลำพังห้องหนึ่งทางด้านทิศตะวันออก ส่วนอีกห้องซึ่งติดกัน เฟิ่นมู่เหอกับจ้าวจ่านจืออยู่ร่วมห้องเดียวกันแยกเป็นสองเตียงนอน เฟิ่นมู่เหอเองรู้สึกเอ็นดูสหายน้อยผู้นี้ไม่มาก ด้วยเห็นว่าจ่านจือรู้จักวางตัวไม่ถือดีอวดเก่ง เวลาเจรจายังรู้จักใช้ถ้อยคำปราศรัย แม้บางครั้งจะกล่าววาจาออกมาตรง ๆ มิอ้อมค้อม คิดเช่นไรก็กล่าววาจาออกมาเช่นนั้น เฟิ่นมู่เหอกลับถือว่านั่นคือการแสดงออกถึงความจริงใจ มิได้เสแสร้ง หลังจากทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว ต่างรีบแยกย้ายล้มตัวลงนอนรุ่งสางจะได้รีบออกเดินทางแต่เช้าตรู่
สองยาม(ประมาณยี่สิบสองนาฬิกา) บริเวณโดยรอบเงียบสงัดวังเวง สายลมพัดโชยเฉื่อยฉิวเบา ๆ ยอดไม้ใบหญ้าไหวโอนเอนตามสายลมช้า ๆ เดือนเสี้ยวหลบอยู่หลังก้อนเมฆครึ้ม แต่ยังทอดแสงสลัวเลือนราง เงาไม้ใหญ่ทอดทับพื้นดินคล้ายดั่งเงานั้นขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้ฉะนั้น
ยามนี้ ทุกคนภายในโรงเตี๊ยมหลับสนิทแล้ว ทันใดนั้นเงาร่างสองสายปรากฏวูบแล้วหายวับไปทางด้านต้นไม้ใหญ่ ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก แท้จริงแล้วมีคนสะกดรอยตามคนทั้งสามมาจากหมู่บ้านเย้ยอรุณ พวกมันเป็นสองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้ง มันทั้งสองเป็นคนของหมู่ตึกกระเรียนฟ้านั้นเอง
คนทั้งสองเป็นเฮียตี๋(พี่ชายน้องชาย) กัน ในอดีตเคยเป็นโจรชั่วช้าสามานย์ปล้นชิงม้าชาวบ้าน แม้แต่ทรัพย์สินเงินทองพวกมันก็ไม่ปล่อยให้รอดพ้นหลุดมือ ฉุดคร่าหญิงสาวชาวบ้านใช้กำลังบังคับขืนใจหลังจากสมมาดปรารถนาแล้วก็ลงมือสังหารทิ้ง พวกมันอาศัยอยู่นอกด่านหันหู่กวน ด้านเพลงยุทธ์ถือว่าร้ายกาจไม่เบา มันทั้งสองใช้อาวุธนอกสารบบประเภทหนึ่ง เป็นกระบองเหล็กครึ่งท่อนยาวสามเชี๊ยะส่วนปลายทู่ โดยรอบกระบองมีเหล็กแหลมคล้ายตะปูโผล่ยื่นออกมาเป็นจำนวนมาก ส่วนปลายแหลมที่ยื่นออกมานี้มีปุ่มกลไกตรงด้ามจับควบคุม เมื่อกดปุ่มกลไกสามารถบังคับให้เหล็กปลายแหลมคมเหล่านั้น หดเข้าหรือยื่นออกมาจากตัวกระบองได้ตามต้องการ มันทั้งสองสะพายอาวุธไว้กลางหลัง
บัดนี้ พวกมันทั้งสองเห็นทั้งคนทั้งสาม ซึ่งมันสองคนสะกดรอยติดตามมาเข้าห้องพักหลับสนิท สองเทวทูตซ้ายขวาล่าถอยออกมาไม่ไกลนัก หลายวันมานี้พวกมันออกติดตามคนทั้งสามมาห่าง ๆ มันทั้งสองอายุไล่เลี่ยไม่ห่างกันเท่าใดนัก เทวทูตซ้ายเจียฮุยผู้พี่อายุสี่สิบสองปี ส่วนเทวทูตขวาเจียจิ้งผู้น้องอายุสี่สิบปี ดังนั้นเวลาเรียกหากันมันทั้งสองคนจึงไม่เรียกหาว่าเฮียตี๋เหมือนพี่น้องคู่อื่น ๆ ทั่วไป
เทวทูตซ้ายเจียฮุยผู้พี่ส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“ดูท่าพวกมันสามคนคงหลับสนิทแล้ว เจ้ากับข้าจงรีบพักผ่อนหลับนอนเอาแรงแถวนี้เถิด พรุ่งนี้เช้าจะได้รีบตื่นแล้วติดตามพวกมันอย่าให้คลาดสายตา หากเกิดผิดพลาดขึ้นมาเกรงว่าท่านหลิวซุ่นกงกงจะตำหนิพร้อมกับเอาโทษพวกเราได้”
เทวทูตขวาเจียจิ้งผู้น้องเห็นด้วย ส่งเสียงกล่าววาจาตอบว่า
“ตกลง ข้าเห็นด้วยกับเจ้าพวกเราสมควรรีบหลับนอนพักผ่อนเอาแรง แต่ข้าคล้ายยังมีข้อสงสัยประการหนึ่ง เด็กน้อยที่มาด้วยกับมันทั้งสองคนเป็นผู้ใดกัน? ลักษณะท่าทางคล้ายมิใช่ชาวยุทธ์ มันผู้นี้มีความสัมพันธ์อันใด ใกล้ชิดกับเฮียม่วยแซ่เฟิ่นสองคนนั่น”
เทวทูตซ้ายเจียฮุยกล่าวตอบว่า
“เอาไว้พวกเราค่อยสืบสาวเอาภายหลังก็แล้วกัน ข้าเห็นว่าเวลานี้ เราสองเฮียตี๋สมควรรีบเอนกายพักผ่อนก่อนเถิด ยามนี้พวกมันนอนบนตั่งเตียงสุขสบาย ปล่อยให้พวกเราทั้งสองต้องลำบากนอนตากน้ำค้างบนพื้นหญ้าหยาบกระด้างนี้ อย่ามัวเสียเวลาพูดจามากความกันอยู่เลย”
ยามนั้น มันทั้งสองคนจึงแยกย้ายกันพักผ่อน โดยใช้ผืนหญ้าใต้ต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลจากโรงเตี๊ยมมากนักเป็นที่หลับนอน
เช้าตรู่อรุณรุ่งอากาศสดชื่นแจ่มใส ม่านหมอกน้ำค้างพร่างพรมสายลมสงบเงียบ ภายในโรงเตี๊ยมคนทั้งสาม ประกอบด้วยจ้าวจ่านจือกับเฟิ่นมู่เหอและเฟิ่นไป่ชิง หลังจากทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้วรีบสั่งอาหารเป็นข้าวต้มร้อน ๆ รับประทานกับผัดผักไม่กี่อย่าง โต๊ะข้าง ๆ ห่างไปไม่ไกลนักนั่งอยู่ด้วยบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งเคยปรากฏตัวในค่ำคืนที่มีคนตายในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า อีกทั้งมันยังเคยท้าประลองกับบุรุษสวมหน้ากากปีศาจนั้นเอง
คนทั้งสามมัวแต่เร่งรีบรับประทานอาหาร จึงไม่ทันสังเกตเห็น บุรุษหนุ่มสำอางผู้นั้น มันผู้นี้หน้าตาหมดจดสดใส คิ้วโก่งจมูกเล็กเรียว ริมฝีปากบางใบหน้ารีรูปไข่ เกล้าผมตึงเป็นมวยกลางศีรษะสวมรัดเกล้าสีเงินสาดส่องประกาย ส่วนปลายผมยาวสยายลงมาเลยบ่าไม่กว้างเท่าใดนัก ดูองคาพยพไม่คล้ายบุรุษไม่คล้ายสตรีฉะนั้น
ก่อนที่คนทั้งสามจะออกเดินทาง บุรุษหนุ่มสำอางผู้นั้นได้หายตัวไปก่อนหน้าไม่ถึงครึ่งก้านธูปมอด เมื่อทั้งสามรับประทานอาหารเสร็จสรรพ จ่านจือและสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นเร่งรุดออกเดินทางทันที ใช้เวลาเดินทางตลอดทั้งวันโดยมิได้หยุดพัก เพียงแวะเติมน้ำดื่มยังลำธารระหว่างทางเท่านั้น เมื่อเวลาบ่ายคล้อยคนทั้งสามค่อยบรรลุเข้าเขตเมืองเส้าหยัง
แนวเทือกเขาอู๋หลิ่งซันคือที่ตั้งของหุบเขาสายรุ้ง แนวเทือกเขาแห่งนี้ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของมณฑลหูหนัน มีทิวเขาสลับซับซ้อนอยู่มากมายหลายลูก ตามแผนที่ซึ่งเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนเขียนไว้อย่างละเอียด คนทั้งสามคาดว่าคงเสาะหาพบได้ไม่ยากเย็น ดังนั้นทั้งสามคนเร่งรุดเดินทางเข้าสู่หุบเขาสายรุ้งทันที ด้วยเกรงกลัวจะมืดค่ำดวงตะวันชิงลับทิวเขาไปเสียก่อน
จ่านจืออดที่รู้สึกตื้นตันใจสำนึกขอบคุณสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นขึ้นมาอีกครั้งมิได้ ส่งเสียงกล่าววาจาต่อทั้งสองว่า
“พี่มู่เหอ แม่นางไป่ชิง ข้าพเจ้าต้องทำให้พวกท่านลำบากตรากตรำ ต้องขอบคุณในน้ำใจอันประเสริฐของท่านทั้งสองยิ่ง ข้าพเจ้ามิทราบว่าจะกล่าวคำพูดใด และจะตอบแทนคุณท่านทั้งสองได้เช่นไร?”
สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นแสดงสีหน้าเวทนาสงสารจ่านจือยิ่ง ดังนั้นความปรารถนาของคนทั้งสองจะต้องช่วยเหลือเขาให้ถึงที่สุด แม้ว่าจะยังไม่ทราบว่าจะสามารถพูดจาฟากฝังเขาไว้กับเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนได้หรือไม่ ไป่ชิงนางยิ้มให้กับจ่านจือพร้อมกับส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“จ่านจือ ท่านมิต้องคิดมาก พวกเราล้วนเป็นคนกันเองแล้ว ได้ช่วยเหลือท่านดั่งได้สร้างเจดีย์ยิ่งใหญ่ เมื่อได้ช่วยเหลือแล้วสมควรช่วยเหลือให้ถึงที่สุด ดั่งท่านว่า ‘ส่งพระถังซัมจั๋งทั้งที ต้องส่งให้ถึงชมพูทวีป’ ท่านมิต้องเป็นกังวลและเกรงอกเกรงใจข้าพเจ้ากับกอกอ เช่นนี้ถือว่าพวกเรามีวาสนาต่อกันดีหรือไม่?”
ได้ยินเช่นนั้น เฟิ่นมู่เหอส่งเสียงกล่าวสนับสนุนขึ้นว่า
“ถูกต้อง ม่วยม่วยเจ้ากล่าวได้ประเสริฐ พวกเราล้วนเป็นสหายพี่น้องกันแล้ว ลำบากเพียงใด? พวกเราสมควรแบกรับร่วมกัน ภายภาคหน้าไม่แน่นักว่าเราสองเฮียม่วยอาจต้องให้เจ้าช่วยเหลือ เวลานี้พวกเรารีบเดินทางเข้าหุบเขาสายรุ้งกันเถิด เดี๋ยวจะมือค่ำลงเสียก่อน”
ดังนั้น คนทั้งสามจึงเร่งฝีเท้าให้ถึงทางเข้าหุบเขาสายรุ้งโดยเร็วแม้จะยังมิพบเส้นทางเข้าก็ตามที
อันที่จริงแล้วบุรุษหนุ่มสำอางผู้ที่นั่งอยู่ในโรงเตี๊ยมตอนที่คนทั้งสามรับประทานอาหารนั้น มันมิได้หายตัวไปไหนเพียงแต่ล่วงหน้ามาดักรอคนทั้งสามก่อนเข้าหุบเขาสายรุ้งไม่ไกลมากนัก มันหลังจากได้ยินคนทั้งสามสนทนากันว่าจะเร่งรุดเดินทางเข้าหุบเขาสายรุ้ง ดังนั้นบุรุษหนุ่มผู้นี้มันตั้งใจมาดักรอคนทั้งสาม มิทราบว่ามันมีจุดประสงค์อันใดกันแน่ เป็นไปได้หรือไม่ในวันนี้ บุรุษหนุ่มผู้นี้คิดจะลงมือต่อคนทั้งสามแล้ว เนื่องด้วยมันเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ลงมือฆ่าคนในหมู่ตึกกระเรียนฟ้านั่นเอง มันจะลงมือด้วยฝ่ามืออำมหิตอีกครั้งล้วนเป็นไปได้
ยามนี้ บุรุษหนุ่มคนดังกล่าวล่วงหน้ามาไกลโข เมื่อถึงทางแยกก่อนเข้าหุบเขาสายรุ้งไม่มากนัก มันมองเห็นชายสามคนในมือถือกระบี่ กำลังมุ่งหน้าตรงมายังตำแหน่งที่ตนเองดักรอคนทั้งสามอยู่พอดี บุรุษหนุ่มผู้นี้รีบถลันหลบวูบลงข้างทาง อันมีกอหญ้าเขียวรกครึ้มแถบหนึ่งปกคลุมบดบัง
ที่แท้สามคนที่มุ่งตรงมาเป็นมันสามคน กเฬวรากชั่วช้าสามานย์ที่เข้าไปในหมู่บ้านเย้ยอรุณ แล้วลงมือทำร้ายคนอีกทั้งยังลงมือฆ่าป้าหนิวแม่บุญธรรมของจ่านจือนั้นเอง อันที่จริงพวกมันทั้งสามคนเป็นชนชั้นปลายแถวยุทธจักรมีฝีมือติดตัวนิดหน่อย หากจะเรียกหาพวกมันให้ถูกต้อง สมควรเรียกพวกมันเป็นเป็นมิจฉาชีพโจรชั่ว ปกติพวกมันทั้งสามคนหากินอยู่ในเมืองลั่วหยาง หลังจากหลิวซุ่นกงกงต้องการสืบสาวหาข่าว จึงว่าจ้างผู้คนมากมายให้หาข่าวให้กับท่าน โดยให้มือดีในหมู่ตึกกระเรียนฟ้าเป็นผู้ติดต่อว่าจ้างอีกทอดหนึ่ง
ข่าวสำคัญที่หลิวซุ่นกงกงต้องการทราบโดยด่วน มิใช่ข่าวการตายของชาวยุทธ์หรือข่าวของคนลี้ลับที่ปรากฏตัวขึ้นในบู๊ลิ้มในระยะเวลานี้ แต่กลับเป็นข่าวคราวของวลีสี่ประโยคซึ่งปรากฏขึ้นในยุทธภพ ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้จัดการเรื่องนี้คือหัวหน้าตึกหกหุนนามอันสุ่ยนั้นเอง
สามมิจฉาชีพปลายแถวได้รับการว่าจ้างจากหัวหน้าตึกหกหุน อันสุ่ย เมื่อออกหาข่าวพวกมันทำตัวเขื่องโขอวดโอ่ ใช้อำนาจบาตรใหญ่หากรื้อค้นได้สิ่งของมีค่าของชาวบ้าน พวกมันล้วนหยิบฉวยมาเป็นสมบัติของตนเอง ชาวบ้านที่ต่อสู้ขัดขืนล้วนถูกพวกมันทำร้ายทุบตี พวกมันทั้งสามคนใช้ชื่อหลิวซุ่นกงกงมาข่มขู่ผู้คนเรื่อยมา หลังจากฆ่าป้าหนิวตายแล้วกลัวทางการเอาผิด จึงปรึกษากันตกลงหลบหนีลงแดนใต้กังหนำ
สามคนชั่วปรึกษาหารือกันว่าเอาไว้เรื่องราวเงียบสงบลงสักระยะหนึ่ง จึงค่อยย้อนกลับไปยังลั่วหยางอีกครั้ง บังเอิญตอนนั่งพักระหว่างทางแอบได้ยินสองเทวทูตซ้ายขวาสนทนากัน จึงทราบว่าเป็นคนของหลิวซุ่นกงกงส่งมา
พวกมันทั้งสามคนหลังจากปรึกษาหารือกันแล้ว แสร้งสร้างข่าวเท็จขึ้นมาสักเรื่องราวหนึ่ง จากนั้นนำไปแจ้งกับคนของหลิวซุ่นกงกงทั้งสองซึ่งหมายถึงสองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้งนั้นเอง อาจโชคดีมีค่าตอบแทนเป็นเงินทองบ้าง ดังนั้นจึงได้ติดตามคนทั้งสองมาห่าง ๆ เมื่อเห็นสองเทวทูตซ้ายขวาหยุดพักผ่อน พวกมันทั้งสามจึงได้ล่วงหน้ามาก่อนช่วงหนึ่ง เพื่อตั้งหลักซักซ้อมเรื่องราวลวงโลกหลอกคน คิดจับเสือมือเปล่าต้องทุ่มเทอีกทั้งยังต้องใจกล้าหน้าด้าน แม้ในมือจะปราศจากหมากสักตัวก็ตาม พวกมันสามคนคิดเช่นนี้จริง ๆ
ในช่วงจังหวะนั้นเป็นเวลาเดียวกันกับจ่านจือพร้อมทั้งเฟิ่นมู่เหอ รวมถึงเฟิ่นไป่ชิงเดินทางผ่านมาพอดี พอคนชั่วช้าทั้งสามพบเห็นเข้าจึงจดจำได้ในทันที พวกมันทั้งสามทราบแน่แก่ใจว่าไม่อาจต้านทานต่อกร กับเฮียม่วยแซ่เฟิ่น รู้ตัวประเมินตนว่าฝีมือสู้คนทั้งสองมิได้ หนทางสุดท้ายมิต้องพึ่งพาสมองใคร่ครวญ ล้วนอาศัยเท้าสุนัขวิ่งหนีโกยอ้าวจากไปไม่คิดชีวิต
ยามนั้น เฟิ่นไป่ชิงมีสายตาปราดเปรียวยิ่ง เหลือบเห็นพวกมันทั้งสามเข้าพอดี ดังนั้นรีบส่งเสียงกล่าววาจาต่อกอกอของนางว่า
“นั่นเป็นพวกมันสามคน กอกอครานี้อย่าปล่อยให้พวกมันหนีได้ ท่านกับข้าพเจ้ารีบติดตามไปเข่นฆ่ามันให้แก่จ่านจือ”
กล่าววาจากับกอกอของนางแล้ว เฟิ่นไป่ชิงหันมากำชับกล่าวย้ำกับจ่านจือว่า
“จ่านจือ ท่านรอคอยพวกเราที่นี่อย่าได้ไปที่ใด? เด็ดขาด ข้าพเจ้ากับกอกอจะติดตามไปจัดการพวกมันแก้แค้นให้กับมารดาบุญธรรมของท่าน”
กล่าววาจากับจ่านจือจบ เฟิ่นไป่ชิงกับกอกอของนางทะยานร่างดั่งเหินบินติดตามสามคนชั่วช้าไปในทันที ทั้งสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น ติดตามพวกมันมาได้ระยะหนึ่งเกือบจะไล่ทันห่างเพียงไม่กี่ก้าว ไกลออกไปในคลองจักษุปรากฏคนชุดขาวสองนางสาดร่างพุ่งปราด ๆ มาทางด้านนี้พอดี เฟิ่นมู่เหอกับม่วยม่วยของเขารีบชะลอฝีเท้าลงพร้อมกับทิ้งตัวหมอบร่างแนบชิดติดกับเนินเตี้ยใกล้ ๆ ลูกหนึ่ง ปล่อยให้สามคนชั่วช้านั่นหลบหนีไปได้ คนชุดขาวสองนางพุ่งร่างปราดเข้ามาใกล้ด้วยระดับความเร็วดุจวิญญาณผีภูตพรายก็มิปาน
เฟิ่นไป่ชิงส่งเสียงแผ่วเบากล่าววาจากับกอกอของนางว่า
“กอกอ นี่เป็นนางชีร้ายกาจบัดซบนั่น ครานี้นางมิได้มาผู้เดียวยังติดตามมาด้วยนางชีท่าทางคล้ายกันอีกผู้หนึ่ง”
ยามนั้น นางชีทั้งสองสาดทะยานร่างห้อตะบึงมาถึงแล้วทิ้งตัวลงอย่างแผ่วเบาฝีเท้าราวไร้น้ำหนักดั่งเหยียบย่างกลางอากาศธาตุ พอเท้าแตะต้องสัมผัสพื้นเผยให้เห็นเป็นนางชีสองนางแต่งกายด้วยอาภรณ์สีขาวสะอาดตาสำหรับผู้ทรงศีล พร้อมประดับพวงประคำสีดำสนิทคล้องห้อยจรดหน้าอก
ยามนั้น นางชีทั้งสองกวาดสายตาไปมาเที่ยวหนึ่งสำรวจตรวจสอบจนทั่วบริเวณ นางชีคนหน้าอายุไม่น่าจะเกินหกสิบปี บนศีรษะสวมทับด้วยหมวกสีดำสำหรับผู้ทรงศีล ในมือยังเพิ่มด้ามแส้ปัดขนอ่อนสีดำสนิทเล่มหนึ่ง ขนแส้อ่อนหยุ่นสีขาวนวลใยดั่งเส้นไหมเงินแกว่งไกวพลิ้วไหวไปมา ส่วนนางชีคนหลังแต่งกายคล้ายเฉกเช่นเดียวกัน อายุราวสี่สิบห้าสิบปี ที่แตกต่างกันในมือของนางเพิ่มกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง
เฟิ่นมู่เหอกับเฟิ่นไปชิงเคยพบเห็นนางชีคนหน้ามาก่อนนี้แล้ว อีกทั้งยังเคยประมือกับนางอีกด้วย แต่ทว่าทั้งสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นมิอาจทราบได้ว่านางชีทั้งสองเป็นใคร และมีความสัมพันธ์อันใดเกี่ยวข้องต่อกัน รวมทั้งสังกัดค่ายพรรคสำนักใด แต่ที่รู้แจ้งกระจ่างนางชีคนหน้ามีพลังฝีมือสูงสุดยอด
คราครั้งนี้ยังเพิ่มนางชีหน้าตาดุร้ายมาอีกผู้หนึ่ง ลักษณะท่าร่างที่เหินทะยานมาเมื่อครู่ดูแล้วไม่เป็นรองนางชีคนหน้าเท่าใดนัก เฮียม่วยแซ่เฟิ่นทั้งสองรีบใช้วิชาลมปราณบังคับปิดสกัดกั้นลมหายใจ แล้วหยีดวงตาทั้งสองลงเป็นเส้นตรงแคบเก็บประกาย จ้องมองแม่ชีสองนางไว้โดยไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ริมโสตทั้งสองได้ยินนางชีตรงหน้าสนทนากันว่า
“มันผู้นั้นอันตรธานไปแล้วซือไถ่ คำนวณจากวิชาตัวเบาฝีเท้าของมันสูงส่งยอดเยี่ยม ขนาดเราท่านทั้งสองทุ่มเทฝีเท้าไล่ติดตามมาไม่ห่าง สุดท้ายมันยังสามารถหลบหนีหายตัวไปได้ไร้ร่องรอยให้ติดตาม”
ยามนั้น ผู้ที่ถูกเรียกหาว่าซือไถ่สะบัดแส้ปัดขนอ่อนคราหนึ่ง ส่งเสียงกล่าววาจาตอบว่า
“ดูท่าแล้วมันคงหนีไปได้ไม่ไกลนัก คาดคิดมิถึงเลยจริง ๆ พวกเราติดตามมันมาไม่ห่างจากนอกด่านหันหู่กวนเมืองลั่วหยาง น่าเจ็บใจนักสุดท้ายมันหลุดรอดสายตาพวกเราไปจนได้ ท่านกับเราอย่ามัวรอชักช้าเสียเวลา ช่วยกันตรวจค้นหาอีกเที่ยวหนึ่ง จากนั้นไปพบกันที่ริมทะเลสาบต้งถิงอีกหนึ่งชั่วยาม”
นางชีอีกผู้หนึ่งส่งเสียงรับคำกล่าวตอบว่า
“รับทราบแล้วซือไถ่ ข้าพเจ้าจะไปสำรวจร่องรอยทางด้านนี้ อีกหนึ่งชั่วยามพบกันที่ริมทะเลสาบต้งถิง”
กล่าววาจาจบ นางชีผู้นั้นกระชับกระบี่ในมือพุ่งร่างสาดไปในทันที นางชีอีกผู้หนึ่งซึ่งถูกเรียกหาว่าซือไถ่ นางพุ่งร่างดั่งหมอกควันไปอีกทิศทางหนึ่ง ดูจากลักษณะท่าทางนางชีทั้งสองกำลังไล่ล่าติดตามผู้ใดอยู่กระนั้น หลังจากนางชีทั้งสองจากไปไกลแล้ว เฮียม่วยแซ่เฟิ่นทั้งสอง รีบพากันออกมาจากที่หลบซ่อนหลังเนินเตี้ยทันทีอย่างโล่งอกดั่งยกภูผาออกจากอกก็มิปาน
ยามนั้น เฟิ่นไป่ชิงพ่นลมหายใจออกมาจากปากคำหนึ่ง ส่งเสียงกล่าววาจาต่อกอกอของนางว่า
“กอกอนางคือแม่ชีนิรนามผู้นั้น ผู้ที่ข้าพเจ้าประมือด้วยในเมืองลั่วหยาง นางมาทำกระไรที่กังหนำกันนะ ดูท่าทางของนางไม่น่าไว้วางใจ เรื่องราวที่นางกำลังกระทำอยู่คงมิใช่เรื่องราวดีงามอันใด? มิหนำซ้ำครานี้ยังมีนางชีท่าทางดุร้ายหมายขวัญมาด้วยอีกผู้หนึ่ง ลำพังนางชีนิรนามก็นับว่าร้ายกาจน่ากลัวจนขวัญฝ่อแล้ว ครั้งนี้มีนางชีนิรนามปรากฏตัวพร้อมกันในลักษณะนี้ เห็นทีข้าพเจ้ากับท่านจะต้องเพิ่มความระมัดระวังตัวให้มากขึ้นอีกเท่าตัว”
เฟิ่นมู่เหอพยักหน้าเห็นด้วย กล่าวตอบม่วยม่วยของเขาว่า
“สามคนชั่วช้านั่น พวกมันคงหลบหนีไปได้ไกลโขแล้ว เห็นทีข้ากับเจ้าพวกเราคงแก้แค้นให้ท่านป้าหนิวแทนจ่านจือไม่สำเร็จแล้ว”
เฟิ่นไป่ชิงแสดงสีหน้าสำนึกเสียใจ กระทืบเท้าคราหนึ่งส่งเสียงกล่าวว่า
“นี่เป็นเพราะนางชีปีศาจร้ายทั้งสอง พวกเราเกือบจะไล่ตามพวกมันทันอยู่แล้วเชียว เพียงยกกระบี่ฟาดใส่พวกมันก็บรรลุวัตถุประสงค์สำเร็จ เด็ดหัวตัดศีรษะชำระหนี้แค้นให้แก่จ่านจือได้แล้ว เพียงแต่ข้าพเจ้ายังสังสัยอยู่อีกเรื่องราวหนึ่ง?”
“เป็นเรื่องราวใดของเจ้า? รีบบอกกล่าวออกมาให้กอกอได้เข้าใจ”
เฟิ่นไป่ชิงกล่าวตอบว่า
“ข้าพเจ้ากำลังสงสัย เป็นผู้ใดกันที่นางชีทั้งสองกำลังติดตามหาตัวอยู่? ใช่ตัวชั่วช้าน่ากลัวเกลือกกลั้วพฤติกรรมต่ำช้าเทือกเดียวกับพวกนาง หรือจะเป็นคนดีมีคุณธรรมประกอบวีรกรรมหาญกล้า?”
เฟิ่นมู่เหอยังมิทันกล่าววาจาตอบโต้อันใด ฉับพลันม่วยม่วยของเขาส่งเสียงร้องอุทานเอ๊ะขึ้นอย่างตกใจ แล้วเอื้อมมือฉุดกระชากข้อมือกอกอของนางออกวิ่ง ปากส่งเสียงกล่าววาจาด้วยความร้อนรนว่า
“แย่แล้ว! พวกเราทอดทิ้งจ่านจือไว้ลำพังผู้เดียว หากนางชีทั้งสองบังเอิญผ่านไปด้านนั้น เขาจะไม่เป็นที่ระบายโทสะถูกบดขยี้แหลกเหลวในฝ่ามือพวกนาง?”
เฟิ่นมู่เหอก็เพิ่งนึกได้ถึงเรื่องราวนี้ พลันรู้สึกตกใจอดห่อปากร้องออกมาดังอา กล่าววาจาพร้อมก้าวเท้าวิ่งติดตามม่วยม่วยของเขาไป
“คราครั้งนี้ย่ำแย่แล้วจริง ๆ สหายน้อยจ่านจือไม่เป็นวรยุทธ์ อย่าว่าแต่รับมือพวกนาง เพียงยกเท้าวิ่งหลบหนีก็ไม่มีโอกาสได้ขบคิดแล้ว”
ย้อนกลับมาทางด้านจ่านจือ หลังจากเฮียม่วยแซ่เฟิ่นทั้งสองคล้อยหลังไปไม่นานนัก บนเส้นทางเดียวกันสองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุย กับเจียจิ้งเดินทางมาถึงทางแยกพอดี มันทั้งสองเมื่อพบเห็นจ่านจือยืนอยู่เพียงลำพัง มันสองคนหันสบตากันวูบพร้อมปรากฏรอยยิ้มขึ้นที่มุมปากอย่างมีแผนการอันไม่งดงาม
เทวทูตขวาเจียจิ้งผู้น้องส่งเสียงร้องว่า
“เทวทูตซ้ายเจ้าดู นั่นใช่คนผู้ซึ่งร่วมเส้นทางเดียวกันกับสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นหรือไม่?”
เทวทูตซ้ายเจียฮุยผู้พี่ส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ใช่แล้ว เป็นผู้อื่นไปมิได้ย่อมเป็นมันแน่นอน แล้วไฉนเฮียม่วยแซ่เฟิ่นทั้งสองจึงปล่อยให้มันอยู่เพียงลำพัง หรือว่ามันเกียจคร้านอีกทั้งไม่เป็นวรยุทธ์ สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นนั่นจึงทอดทิ้งมันแล้ว เทวทูตขวาเจ้าคิดว่าเช่นไร?”
เทวทูตขวาเจียจิ้งส่งเสียงคำรามในลำคอเบา ๆ ราวพยัคฆ์กำลังจับจ้องตะปบเหยื่อ รีบส่งเสียงกล่าวตอบว่า
“ช่างหัวพวกมันปะไร? จะถูกทอดทิ้งก็ดี ไม่ถูกทอดทิ้งก็ดี พวกเราทั้งสองจะต้องสนใจให้ความสำคัญด้วย ยามนี้เห็นว่ามันอยู่เดียวดายลำพัง เช่นนั้นเราสองคนเข้าไปช่วยคลายความโดยเดี่ยวเปลี่ยวเหงาให้กับมันเถิด”
นับว่าถูกต้อง ลูกแกะพลัดหลงฝูงลำพังอยู่กลางทุ่งหญ้า สุนัขจิ้งจอกสองตัวบังเอิญผ่านมาพบเห็นเข้า ลูกแกะน้อยเนื้อหอมหวานจิ้งจอกสองตัวหรือจะอดใจไม่น้ำลายไหลได้ ขืนปล่อยให้รอดพ้นเขี้ยวฟันนั่นถือว่าเป็นไปมิได้อย่างยิ่ง ยังไม่เคยได้ยินว่ามีสุนัขจิ้งจอกใจดีเช่นกัน
สองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้ง ย่อมมีความคิดเห็นเช่นเดียวกัน ยามนี้เป็นโอกาสเหมาะเจอะยิ่งหากคิดจะกำจัดจ่านจือให้พ้นทาง หากขจัดเสี้ยนหนามตำเท้าออกไปได้ ต่อไปจะก้าวเดินย่อมสะดวกสบายคล่องเท้ายิ่ง จัดการเขาไปคนหนึ่งเท่ากับหมดปัญหาไปเรื่องราวหนึ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดเด็กหนุ่มไร้วรยุทธ์เช่นเขายิ่งไม่มีราคาค่างวดอันใด เก็บไว้รังจะเป็นตัวยุ่งยากสร้างปัญหาทำเสียการใหญ่ได้ในภายหลัง
เทวทูตซ้ายเจียฮุย มันก้าวเท้าย่างสามขุมเข้าหาจ่านจือทางด้านหน้าแล้ว สำหรับกับเขาผู้ซึ่งไร้วรยุทธ์เพียงฝ่ามือเดียวนับว่าเพียงพอ แล้วแก่การลงมือ แต่ทว่าเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้ง มันทั้งสองอาศัยอยู่แต่ในหมู่ตึกกระเรียนฟ้า นานแล้วที่ไม่ได้ออกมาท่องเที่ยวมิได้ลงมือเข่นฆ่าคนจึงรู้สึกเฉามือยิ่ง
ยามนี้ พวกมันทั้งสองสบโอกาสแล้ว ดังนั้นจึงต้องการหาความสำราญสนุกสนานด้วยการฆ่าคน เทวทูตขวาเจียจิ้งจึงก้าวเท้าเข้าหาจ่านจือทางด้านหลัง คนทั้งสองสบตากันแล้วส่งรอยยิ้มให้แก่กัน พวกมันไม่เร่งรีบจึงค่อย ๆ หยอกล้อเหยื่อ
เมื่อก้าวเท้าเข้าหาจ่านจือห่างไม่ถึงสามก้าว พวกมันทั้งสองกวาดสายตาไปมาสำรวจตรวจตราจ่านจือเที่ยวหนึ่ง จับจ้องตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า พลางขบคิดว่า
‘น่าเสียดายบุคลิกภาพเด็กน้อยผู้นี้นัก ดูองคาพยพนับว่าไม่เลว ส่วนสัดเหมาะยิ่งสำหรับฝึกยุทธ์’
แต่ทว่าพวกมันเพียงแค่ขบคิดเท่านั้น หาได้ปรารถนาให้เป็นไปเช่นนั้นไม่ ช่วยเหลือกระไรมิได้แล้วในเมื่อสวรรค์ยังผลักไสไฉนนรกจะไม่ต้อนรับ พวกมันทั้งสองล้วนมีความคิดเช่นนี้ มันทั้งสองคนส่งเสียงฮิฮะในลำคอ กวาดสายตาทอประกายอำมหิต เทวทูตซ้ายเจียฮุยส่งเสียงกล่าวต่อจ่านจือว่า
“ทารกน้อยอันประเสริฐ เจ้าคงถูกสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นทอดทิ้งสินะ เจ้ารู้สึกโดดเดี่ยวหรือไม่? เจ้าคงรู้สึกกระวนกระวายใจแทบตายในเวลานี้ คิดจะก้าวเท้าถอยหลังก็ไม่ได้จะวิ่งไปข้างหน้าก็ไม่เป็น ทารกน้อยอันน่าเวทนาสงสาร เอ่ยปากเรียกเราทั้งสองเป็นบิดาสักคำ ประเดี๋ยวบิดาทั้งสองของเจ้าจะช่วยสงเคราะห์ส่งทารกอันน่ารักเยี่ยงเจ้าไปทัศนาปรโลกล่วงหน้าก่อนสักหลายปี ฮาฮา”
ในขณะที่กล่าววาจาพวกมันส่งเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนาน ทางด้านเทวทูตขวาเจียจิ้งซึ่งยืนอยู่ทางด้านหลังของจ่านจือ อ้าปากกล่าววาจาโต้ตอบว่า
“แต่ทว่ามีคนกล่าวต่อบิดาว่าในปรโลกนั้นทั้งเหน็บหนาวทรมาน ทั้งมืดมิดมองมิเห็นเส้นทาง มิมีอันใดน่าพิสมัยให้ท่องเที่ยว หรือว่าเทวทูตซ้ายเจ้าจะให้ทารกน้อยอันประเสริฐผู้นี้ล่วงหน้าไปก่อนพวกเราทั้งสอง เพื่อให้มันไปรอคอยต้อนรับพวกเราตอนที่เจ้ากับข้าติดตามมันไปอีกหลายสิบปีข้างหน้า ฮาฮา”
เทวทูตซ้ายเจียฮุย มันหัวเราะครืนออกมาด้วยความชอบอกชอบใจในคำพูดของเทวทูตขวาเจียจิ้ง มันรีบกล่าวเสริมเติมต่อทันทีว่า
“แต่เอาเถิดเด็กน้อยอันประเสริฐของบิดา เจ้าอย่าได้วิตกกังวลไป บิดาทั้งสองรับปากต่อเจ้าว่าจะรีบหาคนส่งไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้าสักหลายคน เจ้าจะได้ไม่โดดเดี่ยวเดียวดายจนเกินไปนัก เช่นนี้เจ้าเห็นว่าดีหรือไม่?”
มันทั้งสองคนเห็นว่าการฆ่าคนไร้เรื่องราว พวกมันเห็นชีวิตคนเป็นเช่นผักปลา คล้ายชิ้นเนื้อที่วางอยู่บนเขียง ที่ผ่านมามีคนตายในเงื้อมมือมันทั้งสองนับไม่ถ้วน เมื่อสิ้นสงครามทางการหันมาปราบปรามโจรผู้ร้าย มันทั้งสองจึงถูกหลิวซุ่นกงกงชักชวนให้ช่วยทำงานให้ มิเช่นนั้นจะต้องรับโทษทัณฑ์ที่พวกมันเคยก่อกันเอาไว้ แต่งตั้งให้เป็นเทวทูตซ้ายขวาตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
เทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้ง มันทั้งสองคนจึงสวามิภักดิ์ต่อหลิวซุ่นกงกง คอยทำงานให้หลิวซุ่นกงกงพร้อมกับเก็บตัวอยู่ในหมู่ตึกกระเรียนฟ้าเรื่อยมา กระทั่งครั้งนี้พวกมันทั้งสองได้รับมอบหมายให้คอยติดตามเฮียม่วยแซ่เฟิ่นนั้นเอง
ยามนั้น พวกมันทั้งสองคนกล่าววาจากระทั่งเห็นว่าเพียงพอแล้วสำหรับความสนุกสนานเรียกน้ำย่อย ดังนั้นสองเทวทูตซายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้ง พร้อมจะลงมือเข่นฆ่าคนแล้ว มันสองคนตั้งใจว่าขอซัดจ่านจือเพียงคนละหนึ่งฝ่ามือก็มากเกินไปแล้วสำหรับฆ่าคนไม่เป็นวรยุทธ์เช่นเขา
ทางด้านจ่านจือรู้สึกงงงันผสานความตระหนกตกใจ ไม่อาจปฏิเสธว่ารู้สึกหวาดกลัวจนขวัญสะท้าน จะยกเท้าก้าวไปทิศทางใดล้วนถูกสองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้งปิดเส้นทางดักเอาไว้ ในความขวัญฝ่อปลุกปลอบความหาญกล้า ส่งเสียงกล่าววาจาไถ่ถามพวกมันทั้งสองคนว่า
“นี่กระไร? พวกท่านทั้งสองมิเคยรู้จักกับข้าพเจ้า อีกทั้งพวกเรามิเคยมีเรื่องราวบาดหมางผิดใจต่อกัน ท่านทั้งสองพบหน้าข้าพเจ้าคราวแรกก็คิดลงมือเข่นฆ่าแล้ว ลองคิดใคร่ครวญให้ถ้วนถี่ ท่านสองคนกระทำเช่นนี้ออกจะไร้เหตุผลเกินไปหรือไม่?”
สองเทวทูตซ้ายขวาส่งเสียงหัวร่อฮาฮา เทวทูตขวาเจียจิ้งเค้นเสียงกล่าวตะคอกออกมาว่า
“นี่กระไร? ทารกน้อยผู้นี้ออกจะฟั่นเฟือนเสียสติไปแล้ว การเข่นฆ่าคนจะต้องอาศัยเหตุผลกลใดให้ยุ่งยาก พวกเราสองคนคิดจะฆ่าคนก็ฆ่าคน เจ้าเตรียมตัวตายได้แล้วอย่าได้อ้าปากพูดมากวุ่นวาย”
ยามนั้น จ่านจือรู้สึกสะทกสะท้านใบหน้าขาวซีดราวกระดาษ สอดส่ายสายตาเลิกลักมองออกไปคล้ายต้องการให้สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นปรากฏตัวโดยพลัน แต่ทว่าไร้วี่แววไม่มีแม้เงาของคนทั้งสอง
ทางด้านบุรุษหนุ่มหน้าแฉล้มแช่มช้อย ท่าทางสำรวยสำอางผู้นั้น มันหลบซ่อนตัวอยู่หลังกอหญ้าข้างทางห่างไปไม่ไกลนัก สองรูหูล้วนได้ยินคำพูดชัดเจนครบถ้วนมิตกหล่นตั้งแต่ต้น อีกทั้งดวงตาทั้งสองยังไม่มืดบอดเห็นเหตุการณ์แต่แรกโดยตลอด จึงดีดกายพุ่งออกจากที่ซ่อนตัว กระโดดคราเดียวก็บรรลุถึง พอทิ้งเท้าเหยียบย่างสัมผัสพื้น ยืนอยู่ระหว่างคนทั้งสามมันส่งเสียงกล่าววาจาดังสดใสว่า
“นี่กระไร? มีเรื่องราวสนุกสนานปานนี้ พวกท่านสองคนกลับแล้งน้ำใจไม่ชักชวนข้าพเจ้า เหตุการณ์เมื่อครู่ที่พวกท่านกล่าวสนทนากัน ข้าพเจ้าเห็นและได้ยินหมดสิ้น เรื่องราวของพวกท่านทั้งสองเจ้าคนผู้นี้ความจริงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับข้าพเจ้า แต่ทว่าข้าพเจ้าคิดสอดมือยุ่งเรื่องราวของผู้อื่นก็สอดมือ มิต้องสิ้นเปลืองสมองคิดเหตุผลกลใดให้วุ่นวายเช่นกัน”
บุรุษหนุ่มสำอางผู้นั้น กล่าววาจาพร้อมกับก้าวเท้าเดินเป็นวงกลมอยู่เที่ยวหนึ่ง ในมือของมันข้างหนึ่งนอกจากพกพากระบี่งดงามเล่มหนึ่งแล้ว มืออีกข้างหนึ่งกำดอกหญ้าหน้าตาประหลาดมาด้วย มันใช้ปลายดอกหญ้าเขี่ยปลายจมูกตนเองไปมาใช้ความคิด จากนั้นเอื้อมมือที่ถือดอกหญ้าออกมา ใช้ปลายดอกหญ้าเขี่ยไปมาบนบ่าขวาของจ่านจือแล้วส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“เจ้าผู้เดียว พวกมันมีกันสองคน ข้าขบคิดจนถ้วนถี่เช่นนี้เจ้าย่อมเสียเปรียบพวกมันทั้งขึ้นทั้งล่อง เอาเช่นนี้ดีหรือไม่? เจ้าอ้าปากเรียกข้าเป็นผู้ปู่สักคำ พวกมันทั้งสองให้เจ้าเรียกหามันว่าบิดา เจ้าเรียกข้าเป็นผู้ปู่เท่ากับข้ามีฐานะเป็นบิดาพวกมันทั้งสอง หากเจ้าทำตัวน่ารักเป็นผู้หลานที่ว่านอนสอนง่ายเชื่อฟัง มีหรือที่ผู้ปู่จะไม่อ้าแขนปกป้องอีกทั้งยังจะยกมือเท้าต่อยตีสั่งสอนพวกมันให้กับเจ้า”
สองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้ง ถลึงตาจับจ้องมองบุรุษผู้มาทีหลัง อีกทั้งใช้วาจาล่วงเกินพวกมันไม่เกรงอกเกรงใจ อ้าปากจะกล่าวคำด่าออกมาต่อบุรุษผู้นั้น แต่ทว่ายังช้ากว่าบุรุษผู้นั้นมันชิงกล่าวขึ้นก่อนว่า
“ช้าก่อน ยังไม่ถึงเวลาให้พวกท่านสองคนได้ออกความเห็น ข้าพเจ้ายังสนทนากับผู้หลานยังไม่เข้าใจ ช่วยรักษามารยาทอันดีเอาไว้ด้วย ประเดี๋ยวบิดาโกรธเกรี้ยวมีโทสะขึ้นมา ลงมือต่อยตีพวกท่านไม่ยั้งมือจะมาตำหนิข้าพเจ้าไม่ตักเตือนได้ในภายหลัง”
จากนั้น บุรุษผู้นั้นหันมาทางด้านจ่านจืออีกครา มันใช้สายตาสำรวจจ่านจืออีกทั้งยังใช้ดอกหญ้าประหลาดเขี่ยไปมาตามร่างของเขาส่งเสียงกล่าวว่า
“ว่าเช่นไร? ตกลงใจได้แล้วหรือไม่? จะเรียกข้าว่าผู้ปู่ได้หรือยัง?”
ยามนั้น จ่านจือแสดงสีหน้าปั้นยากส่งเสียงกล่าววาจาละล่ำละลักต่อบุรุษผู้นั้นว่า
“ข้า...ข้าพเจ้าไม่อาจเรียกท่านเป็นผู้ปู่ได้”
บุรุษผู้นั้น มันกระชากเสียงกล่าวถามทันควันว่า
“บังอาจ ไม่อาจเรียกข้าเป็นผู้ปู่ได้ เจ้ารีบบอกเหตุผลออกมาให้ข้าพึงพอใจ ไม่เช่นนั้นเงาหัวของเจ้าก็จะไม่มีเช่นกัน”
จ่านจือรีบส่งเสียงกล่าววาจาตอบตามความสัตย์จริงว่า
“ข้าพเจ้าไม่อาจเรียกท่านเป็นผู้ปู่ อีกทั้งยังไม่เรียกสองท่านนี้เป็นบิดาด้วย พวกมันสองคนไร้เหตุผลจิตใจอำมหิตชั่วช้าปานนี้ คิดแต่จะฆ่าคนถ่ายเดียว หากข้าพเจ้าเรียกท่านเป็นผู้ปู่ มิเท่ากับว่าท่านมีลูกชายต่ำช้าเลวทรามพร้อมกันถึงสองคนดอกหรือ?”
บุรุษผู้นั้นมันคิดจะหัวร่อออกมา แต่ทว่าเก็บอาการรักษาสีหน้าเอาไว้ได้ทัน พยักหน้าคราหนึ่งส่งเสียงกล่าววาจาว่า
“เอาเถิด คำกล่าวเมื่อครู่ของเจ้ายังพอเข้าหูข้าอยู่บ้าง เจ้านี่ดูท่าทางทึ่ม ๆ ทื่อ ๆ มิเอาไหน แท้จริงมีมันสมองอยู่ด้วยเหมือนกัน เจ้ากล่าวถูกต้องพวกมันสองคนไร้วาสนาได้ข้าเป็นบิดาได้ พวกมันต่ำช้าเพียงนี้คงไม่มีบิดามารดาสั่งสอนอบรม เช่นนั้นข้าจะเรียกพวกมันเป็นลูกสุนัขก็แล้วกัน”
จ่านจือยกมือข้างหนึ่งขึ้นเกาศีรษะตนเอง ส่งเสียงกล่าวถามว่า
“นี่กระไร? ท่านเรียกมันสองคนเป็นลูกสุนัข ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่ถูกต้อง สุนัขต้องมีสี่ขาสี่เท้าก้าวเดิน แต่นี่พวกมันมีเพียงสองขาสองเท้า จะให้กำเนิดออกมาจากท้องสุนัขได้เช่นไร?”
คราครั้งนี้ บุรุษผู้นั้นกลั้นเสียงหัวร่อไม่ไหวไม่อาจสำรวมอาการรักษาท่าทีได้ ยกมือขึ้นป้องปากจากนั้นส่งเสียงกล่าววาจาปนเสียงหัวร่อว่า
“เจ้าผู้นี้ ข้าเพิ่งจะกล่าวชมอยู่เมื่อครู่ว่ายังพอมีมันสมองอยู่บ้าง ที่แท้ก็โง่เง่าเบาปัญญาเหมาะกับท่าทางของเจ้าจริง ๆ ข้าพอใจเรียกมันเป็นสุนัขพวกมันก็เป็นสุนัขเข้าใจหรือไม่?”
บุรุษสำอางผู้นั้น หันมาทางด้านสองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้ง ซึ่งพวกมันสองคนโกรธกริ้วจนลมแทบพ่นออกมาจากรูหู เพียงแต่บุรุษผู้นั้นยังไม่เปิดช่องว่างให้มันสองคนได้ส่งเสียง บุรุษผู้นั้นมันส่งเสียงกล่าวว่า
“เรื่องราวเมื่อครู่ ซึ่งสุนัขท่านทั้งสองสนทนากัน ได้ยินว่าในปรโลกล้วนน่าไปเที่ยวชมนัก ข้าพเจ้าเองยังไม่เคยไปท่องเที่ยวยังปรโลกมาก่อนเลยเช่นกัน อีกทั้งยังมิอยากไปท่องเที่ยวในเร็ววันนี้ ลูกสุนัขเช่นพวกท่านทั้งสองก็ยังไม่เคยไปมิใช่ดอกรึ? เพียงได้ยินคนกล่าวว่าน่าทัศนาถึงเพียงนั้น พวกท่านทั้งสองกลับหูเบาเชื่อถือแล้ว เด็กน้อยไร้เดียงสาผู้นี้มันเองคงไม่เคยไปท่องเที่ยวมาก่อน แต่พวกท่านสองคนกลับจะส่งมันไปออกจะใจดำเกินไปแล้ว”
ยามนั้น สองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้ง มันสองคนมิทราบว่าบุรุษสำอางผู้นี้เป็นผู้ใด อีกทั้งมันมาจากสารทิศใด ในเวลานี้พวกมันไม่มีเวลาใส่ใจให้ความสำคัญแล้ว ได้ยินคำลูกสุนัขจากปากของบุรุษผู้นั้นเรียกมันต่อหน้าตรง ๆ มันทั้งสองล้วนโกรธเกรี้ยวจนถึงขีดสุด เรียกได้ว่าลมแทบพวยพุ่งออกมาจากรูหูเลยก็ว่าได้ มันทั้งสองถลึงจ้องบุรุษหนุ่มสำอางผู้นั้น คล้ายกับจะกระชากฉีกเลือดเนื้อเลาะกระดูกออกมากระนั้นคนทั้งสองมิทันจะขยับริมฝีปากกล่าววาจา บุรุษผู้นั้นส่งเสียงกล่าวขึ้นก่อนอีกว่า
“ส่วนตัวข้าพเจ้านั้น แม้นเห็นด้วยกับเรื่องราวที่พวกท่านกล่าวในปรโลก แต่สำหรับกับเจ้าทึ่มผู้นี้ สุนัขเช่นพวกท่านทั้งสองคิดจะสละเวลาส่งมันไปให้ได้ ข้าพเจ้าคล้ายยังมิเห็นด้วยอย่างยิ่ง ในความคิดเห็นของข้าพเจ้าลูกสุนัขเช่นพวกท่านสองคน น่าจะมีคุณสมบัติครบถ้วนยิ่งกว่ามันมากนัก สำหรับเดินทางไปเยี่ยมชมปรโลกแทนมัน”
เทวทูตซ้ายเจียฮุย มันรีบส่งเสียงตวาดลั่นทันควันว่า
“คุณสมบัติอันใดของเจ้า? จงรีบบอกกล่าวออกมา”
บุรุษหนุ่มสำอางได้ยินเช่นนั้น มันส่งเสียงหัวร่ออีกแล้ว หัวร่ออย่างพึงพอใจยิ่ง ใช้สายตาสำรวจขึ้นลงระหว่างสองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้ง จากนั้นมันหันมาสำรวจจ่านจืออีกเที่ยวหนึ่ง แล้วส่งเสียงกล่าววาจาตอบว่า
“คุณสมบัติอันใด? พวกท่านทั้งสองกล่าวถามได้ดียิ่ง ข้าพเจ้ากำลังกล่าวถึงคุณสมบัติของลูกสุนัข ทั้งสองท่านนี้รีบกล่าวถามคุณสมบัติสุนัข เช่นนั้นพวกท่านทั้งสองสมควรเป็นลูกสุนัขจริง ๆ แล้ว”
มาตรว่าจ่านจือจะมิเคยท่องเที่ยวยุทธภพ ชีวิตในวัยเด็กนอกจากเร่รอนแล้ว หลังจากนั้นก็อาศัยอยู่แต่เชิงเขา ไม่เคยโผล่หน้าออกมาภายนอก ดังนั้นประสบการณ์นอกหมู่บ้ายเย้ยอรุณ เขาแทบจะไม่เคยสัมผัสรับรู้มาก่อน
แต่ทว่า ต่อให้จ่านจือโง่เขลาขาดประสบการณ์ปานใด แต่สำหรับคำสนทนาระหว่างบุรุษสำอางผู้นี้กับสองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุย กับเจี้ยจิ้ง เขายังพอจับใจความคาดเดาเอาได้ว่า บุรุษผู้นี้กำลังกล่าววาจาด่าพวกมันทั้งสองคนว่าเป็นลูกสุนัขนั้นเอง
เทวทูตขวาเจียจิ้ง บัดนี้มันทราบแล้วว่าพลาดท่า วาจาของเทวทูตซ้ายเจียฮุยผู้พี่เมื่อครู่ หลุดปากกล่าวถามเช่นนั้นเท่ากับยอมรับว่ามันสองคนป็นลูกสุนัขแล้ว มันแม้กริ้วโกรธบุรุษหนุ่มสำอางมากมายปานใด ข่มใจสะกดอดกลั้นบันดาลโทสะไว้ ถึงเช่นไรนอกจากจ่านจือแล้ว บุรุษนิรนามผู้นี้มันก็คิดเข่นฆ่าปิดปากไปพร้อมกันในคราวเดียว ต่อให้ถูกเรียกหาว่าลูกสุนัขอีกสักคำช่างหัวมันปะไร จึงส่งเสียงร้องเฮอะคำหนึ่งส่งเสียงกล่าววาจาไถ่ถามว่า
“คุณสมบัติอันใดของเจ้า? มีวาจาเล่นลิ้นลวดลายใดอีกก็รีบกล่าวออกมา เราสองเทวทูตซ้ายขวามิมีเวลามากนัก หลังจากกล่าวออกมาหมดสิ้นแล้ว ลูกสุนัขเช่นเราทั้งสองจะส่งทารกนั่นกับเจ้าลงสู่ปรโลกพร้อมกันในคราวเดียว”
เทวทูตซ้ายเจียฮุยถลึงมองเทวทูตขวาเจียจิ้ง มันไม่พอใจเท่าใดนัก กับการยอมรับว่าเป็นลูกสุนัขออกมาจากปากของน้องชายมัน แต่ทว่ามันกลับมิกล้ากล่าวคำตำหนิใด มันเองเมื่อครู่ยังพลาดท่ายอมรับว่าเป็นลูกสุนัขเช่นกัน ครั้งนี้เทวทูตขวาพลาดท่าบ้างเช่นเดียวกับมัน ดังนั้นจึงถือว่าเจ๊ากันไป ไม่มีผู้ใดได้เปรียบเสียเปรียบแก่กัน
ยามนั้น บุรุษหนุ่มผู้นี้คล้ายพึงพอใจยิ่ง แสดงสีหน้าเย้ยหยันลอยหน้าลอยตากล่าววาจาโต้ตอบว่า
“คุณสมบัติของลูกสุนัขท่านทั้งสอง ข้าพเจ้าไม่ขอบอกกล่าวออกไป เพราะพวกท่านทั้งสองย่อมเข้าใจรู้ตัวตนดีอยู่แล้ว ดังนั้นข้าพเจ้าขอกล่าวคุณสมบัติไม่กี่ข้อของพวกท่าน ซึ่งมีความเหมาะสมยิ่งหากเทียบกับเจ้าทึ่มนั่น คุณสมบัติของคนที่จะไปท่องเที่ยวปรโลกดีหรือไม่?”
สองเทวทูตซายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้งกัดฟัดกรอด กำสองหมัดแนบแน่นแต่ยังยืนสงบแน่นิ่ง รอคอยฟังว่าบุรุษผู้นี้มันจะกล่าววาจาใดสืบต่อ บุรุษสำอางท่าทางหยิ่งทะนงถือดีไม่มีท่าทีอ่อนข้อแต่ประการใด ส่งเสียงกล่าววาจาสืบต่อว่า
“ประการแรกที่เห็นเด่นชัด หนึ่งนั้นลูกสุนัขเช่นท่านทั้งสอง ผ่านประสบการณ์อันโชกโชนสมควรเอาตัวรอดได้ในปรโลก ประการที่สองนั้นหากนับอายุขัยแล้ว ลูกสุนัขทั้งสองเช่นพวกท่านยังอาวุโสกว่ามันมากนัก ประการสุดท้ายองคาพยพของลูกสุนัขท่านทั้งสองครบถ้วนสมบูรณ์ยิ่ง มีคุณสมบัติมากพอสำหรับเดินทางไปท่องเที่ยวปรโลก”
ยามนั้น จ่านจือได้แต่ยืนฟังบุรุษสำอางผู้นั้นกล่าววาจาโต้ตอบกับสองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้ง สำหรับกับเขาแล้วมิทราบว่าสมควรกระทำประการใด ได้แต่ภาวนาในใจให้สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นปรากฏตัว เขาเองมิเข้าใจเช่นกันไฉนสองคนนั่นซึ่งเขาไม่เคยพบพานกันมาก่อน เหตุใดพวกมันทั้งสองจึงคิดเอาชีวิตของเขาด้วย
เรื่องราวในยุทธภพซับซ้อนวุ่นวายถึงเพียงนี้ บุรุษหน้าตาแฉล้มหมดจดลึกลับผู้นี้ก็อีกคน จ่านจือเคยพบพานมันมาแล้วเมื่อมินานมานี้ มันผู้นี้ยิ่งน่ากลัวเขาเคยเห็นฝีมือของมันมาแล้ว คาดคิดมิถึงว่าสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นอุตส่าห์พาเขาสลัดหลุดมาได้ไกลโขแล้ว มันผู้นี้ยังอุตส่าห์ติดตามมาทันจนได้ อดที่จะระลึกนึกขึ้นในใจว่า
‘ข้าพเจ้าจ่านจือก่อกรรมทำเข็ญอันใดเอาไว้กันแน่? แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลท่านไม่ไป ไฉนจะต้องติดตามมาพบพานกันที่กังหนำด้วย หรือว่าชะตาของเราจะขาดเอาคราวนี้แล้ว สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นก็จากไปไม่ทิ้งร่องรอย สงสัยต้องรอคอยรับชะตากรรมอันเลวร้ายนี้แต่โดยดีแล้ว’
จ่านจือ เมื่อทำใจยอมรับชะตากรรมอันเลวร้ายนี้ ค่อยระบายลมหายใจออกมาจากปาก มิทราบว่าทำไม่จึงยินยอมพร้อมใจ หากตนเองจะต้องตายภายใต้เงื้อมมือของบุรุษนิรนามสำอางผู้นี้ อีกประการหนึ่งหากมันไม่ปรากฏตัวออกมา ป่านนี้มิทราบจะถูกสองเทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้งลงมือสงหารไปเนิ่นนานแล้วก็ได้ ดังนั้นจึงสมควรขอบคุณต่อบุรุษผู้นี้อยู่บ้าง
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564