Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (เฮียม่วยแซ่เฟิ่น)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

เฮียม่วยแซ่เฟิ่น

  • 24/05/2564

ตอนที่ 6

เฮียม่วยแซ่เฟิ่น

คนผู้ที่ใช้กระบี่แทงป้าหนิวเมื่อครู่ มันเงื้อกระบี่ตรงเข้าหาจ่านจืออีกครั้ง ท่าทางมุ่งร้ายหมายขวัญ ป้าหนิวแม้เจ็บปวดบาดแผลแทบขาดใจ แต่ท่านขบฟันแน่นรวบรวมกำลังที่เหลืออยู่ทั้งหมดใช้ออกในคราวเดียว ป้าหนิวใช้มือทั้งสองคว้ากอดสองขาของคนผู้นั้นไว้แนบแน่น พร้อมกับอ้าปากร้องตะโกน ส่งเสียงกล่าวต่อจ่านจือทั้งน้ำตาว่า

“เซียวจือหนีไป อย่าได้ห่วงมารดาอีก มารดาของเจ้าแก่ชราแล้ว ตายไปก็ไม่เสียดาย เจ้ารีบหนีไปจากที่นี่เร็วเข้า”

ป้าหนิวเลี้ยงจ่านจือมา ท่านรักและเอ็นดูทะนุถนอมเขาเหมือนลูกในไส้ คราครั้งนี้ทราบแน่ว่าไม่อาจรักษาชีวิตตนเองเอาไว้ได้ ปากส่งเสียงบอกกล่าวให้เขารีบหนีไป เด็กน้อยน้ำตาไหลหลั่งพรั่งพรูเป็นทาง ความรู้สึกในยามนี้ คล้ายดั่งถูกคมมีดกรีดลงกลางใจก็มิปาน ทั้งเจ็บปวดทั้งสงสารป้าหนิวกระทั่งมิอาจอธิบายความรู้สึกออกมาได้ แต่กระนั้นเด็กน้อยยังเสียงเสียงสั่นลั่นวาจากล่าวต่อป้าหนิวว่า

“ท่านแม่ ข้าพเจ้าจะไม่ไปไหนเด็ดขาด เซียวจือจะตายกับท่านแม่ ภายหน้าหากไม่มีท่านแม่แล้ว ข้าพเจ้าจะอยู่ได้เช่นไร?”

น้ำเสียงของจ่านจือ กล่าวทั้งน้ำตานองหน้าทั้งมิเกรงกลัวต่อความตาย เด็กน้อยโผพุ่งเข้าหาร่างที่ชุ่มโชกไปด้วยโลหิตของแม่บุญธรรม คนผู้นั้นมันถูกป้าหนิวใช้สองมือคว้าจับสองขาไว้ขยับมิได้ ดังนั้นมันจึงเงื้อกระบี่ในมือขึ้นสุดหล้า แล้วฟันฉับเข้ากลางหลังป้าหนิว ซึ่งนอนอยู่บนพื้นเต็มแรงสุดกำลัง

ป้าหนิวสะดุ้งเฮือกขึ้นคราหนึ่ง ศีรษะเงยแหงนหงายมาด้านหลังโลหิตคำโตพุ่งกระฉูดออกจากปากป้าหนิวราวน้ำพุ สายตาท่านเพ่งจับจ้องมายังใบหน้าของจ่านจือ สองมือพยายามไขว่คว้าอากาศวุ่นวาย ไม่มีน้ำเสียงใด ๆ เล็ดรอดหลุดออกมาจากปากของท่านอีก มีเพียงโลหิตสีแดงเข้มไหลออกมาไม่หยุด ก่อนที่ป้าหนิวท่านจะสิ้นใจไปกับพื้นตรงนั้นโดยที่สองตาของท่านยังคงเบิกโพลง จับจ้องมายังร่างของจ่านจือด้วยความเป็นห่วง

เด็กน้อยแม้จะมีม่านหมอกน้ำตาบดบังสายตาเอาไว้ แต่เขากลับเห็นภาพตรงหน้าได้ชัดเจนยิ่ง ส่งเสียงร้องก้องตะโกนจนสุดเสียงดังว่า

“ท่านแม่!”

จ่านจือ หลังจากส่งเสียงร้องแล้ว เขาไม่สนใจสิ่งใดอีกแล้ว คิดเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับสามคนนั้น เขาพุ่งร่างเข้าหาคนที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุด สองหมัดต่อยสะเปะสะปะวุ่นวายเข้าใส่ไม่จำแนกแยกแยะทิศทาง คนผู้แสดงสีหน้าเหยียดหยันส่งเสียงหัวร่อในลำคอหึ ๆ จากนั้นมันยกเท้าข้างหนึ่งถีบโครมเข้าใส่หน้าอกเด็กน้อยเต็มแรง กระทั่งร่างของจ่านจือลอยหงายไปด้านหลังราววาเศษ ก่อนที่ร่างจะตกลงฟาดกระแทกพื้นดังครืนใหญ่ จนฝุ่นสีขาวหม่นบนพื้นฟุ้งตลบกระจัดกระจาย คนผู้นั้นส่งเสียงตะคอกดังลั่นว่า

“เด็กน้อยโสโครก เบื่อการมีชีวิตแล้วใช่หรือไม่?”

จากนั้น เมื่อมันกล่าววาจาจบ รีบหันมาสั่งพรรคพวกของมันดังว่า

“พวกเรารุมสับร่างมันเป็นชิ้น ๆ”

กล่าวจบ กระบี่สามเล่มแยกย้ายจู่โจมเข้าใส่ร่างเด็กน้อย ซึ่งในเวลานี้ยังคงนอนกองอยู่กับพื้นพร้อมเพรียงกันโดยมิต้องนัดหมาย

ฉับพลันทันใดนั้น เงาคนสองสายเคลื่อนไหววูบวาบเข้ามา

“ซี่ ซี่ ซี่”

เสียงซี่พอดัง กระบี่สามเล่ม กระเด็นกระดอนหลุดจากมือของคนทั้งสาม เงาร่างสายหนึ่งปรากฏกายขึ้น พร้อมกับซัดก้อนหินสามก้อนกระแทกกระบี่ทั้งสามเล่มปลิวกระเด็น กระบวนท่าที่ใช้ ทั้งรวดเร็วทั้งแม่นยำดั่งจับวาง เฟิ่นไป่ชิงเป็นนางเอง กอกอของนางเฟิ่นมู่เหอก็มาด้วย พวกมันทั้งสามคนเห็นเช่นนั้น ทราบว่าเป็นยอดฝีมือ รีบก้มลงเก็บกระบี แล้วพากันกระโจนวิ่งหนีจนสุดกำลัง

จ่านจือมิรอช้า รีบลุกขึ้นวิ่งตรงเข้าไปกอดร่างไร้วิญญาณของป้าหนิวเอาไว้ พร้อมกับร่ำไห้คร่ำครวญน้ำตาไหลนองใบหน้าเปียกชุ่ม สภาพน่าเวทนาสงสารยิ่ง เฮียม่วยแซ่เฟิ่นเห็นเช่นนั้น รู้สึกสะทกสะท้อนหดหู่จับใจ คนทั้งสองรีบตรงเข้าไปประคองช่วยเหลือ เฟิ่นไป่ชิงส่งเสียงกล่าววาจากับเขาว่า

“สหาย ระงับความเศร้าโศกเสียใจเอาไว้ก่อนเถิด อย่าได้ร้องไห้แล้ว มิเช่นนั้นมารดาของเจ้าอาจจากไปไม่สงบ”

จากนั้น เฟิ่นมู่เหอส่งเสียงกล่าววาจากับจ่านจือต่อว่า

“ถูกต้องแล้วสหายน้อย หากเจ้ายังไม่หยุดร้องไห้ วิญญาณของมารดาเจ้าจะมิได้ไปสวรรค์ ข้าคิดว่าพวกเรามาช่วยกันจัดการเรื่องศพของมารดาเจ้าก่อนเถิด”

จ่านจือหลังจากใช้หลังมือเช็ดปาดหยาดน้ำตาแล้ว หันมองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น แสดงสีหน้าสำนึกขอบคุณ ประสานมือขึ้นส่งเสียงกล่าวดังว่า

“ข้าพเจ้าขอขอบคุณจอมยุทธ์ทั้งสอง หากท่านทั้งสองมิยื่นมือเข้าช่วยเหลือข้าพเจ้าคงตายไปแล้ว มิทราบว่าจอมยุทธ์ทั้งสองมีชื่อสูงส่งว่ากระไร? ส่วนข้าพเจ้านามว่าจ้าวจ่านจือ”

เฟิ่นมู่เหอพยักหน้าพร้อมกับส่งเสียงกล่าวแนะนำตัวกับจ่านจือว่า

“อย่าได้เรียกหาเราสองเฮียม่วยว่าจอมยุทธ์เลย ได้ยินแล้วกระอักกระอ่วนระคายหูอยู่บ้าง ข้ามีนามว่าเฟิ่นมู่เหอ”

เฟิ่นไป่ชิง นางรีบแนะนำตัวเองต่อจากกอกอของนางว่า

“ข้าพเจ้าเป็นม่วยม่วยของพี่มู่เหอ เรียกข้าพเจ้าว่าเฟิ่นไป่ชิง สหายน้อยที่แท้ท่านเรียกว่าจ้าวจ่านจือ”

จ่านจือกล่าวตอบว่า

“ถูกแล้ว ข้าพเจ้าเรียกว่าจ้าวจ่านจือ ขอบคุณจอมยุทธ์ ออท่านทั้งสองที่จะช่วยเหลือข้าพเจ้า จัดการเรื่องฝังศพของมารดา”

หลังจากจัดการฝังศพป้าหนิวแล้ว จ่านจือนั่งซึมเซาเศร้าโศกไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอยู่เป็นเวลานาน ญาติสนิทคนสุดท้ายที่เขามีมาตายจากกะทันหัน เด็กน้อยไม่เหลือผู้ใดอีกแล้ว หลังจากเฮียม่วยแซ่เฟิ่นปรึกษาหารือกัน เห็นว่าสมควรจะช่วยเหลือเขาสักครั้ง หากปล่อยทิ้งไป สามคนชั่วนั้นย้อนกลับมา เขาคงต้องถูกฆ่าตายอย่างแน่นอน จึงเห็นพ้องกันว่าจะพาเขาไปฝากให้เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนช่วยดูแล  

หลังจากนั้นอีกสองวัน คนทั้งสามจึงออกเดินทาง ไปยังสถานที่ ซึ่งเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนทิ้งไว้ให้ เมื่อออกจากหมู่บ้านเย้ยอรุณผ่านไปเป็นเวลาครึ่งวัน สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นพาจ่านจือตัดผ่านเส้นทางสายหนึ่ง อันเป็นเส้นทางมุ่งตรงสู่เมืองหลวงลั่วหยาง ตั้งแต่เด็กเขาไม่เคยเหยียบย่างออกจากหมู่บ้านเย้ยอรุณ ดังนั้นจึงไม่รู้จักเส้นทางที่กำลังก้าวเดิน เห็นสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นเดินพลางสนทนากันไปพลาง จ่านจือมิกล้าชักช้ารีบก้าวเท้าติดตามไป

เดินทางมาอีกระยะหนึ่ง จ่านจือมองเห็นผู้คนพลุกพล่านเดินสวนกันไปมา ทุกคนล้วนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์สะอาดสะอ้าน อีกทั้งใบหน้าของทุกคนยังดูหมดจดสดใส บางคนขี่ม้าควบขับเหยาะย่างวิ่งผ่านไป จ่านจืออดมิได้ที่จะเหลียวหลังกลับไปมองผู้คนเหล่านั้น บางขบวนมีจำนวนหลายคน บางครั้งมองเห็นคนแบกหามเกี้ยวตกแต่งหรูหราผ่านไปอีกหลายขบวน บางคนพกพาอาวุธกระบี่ จ่านจือคาดเดาเอาเองว่าผู้คนเหล่านั้น หากมิใช่ชาวยุทธ์ก็อาจเป็นอันธพาล จ่านจือหวนนึกขึ้นในใจว่า

‘ชีวิตของผู้คนในเมืองหลวง ช่างดูสับสนวุ่นวายมากมายถึงเพียงนี้’

ยามนี้ใกล้มืดค่ำ สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น จึงมุ่งตรงสู่ตัวเมืองแห่งหนึ่งเพื่อหาโรงเตี๊ยมพักแรม ไม่นานเท่าใดนักแลเห็นโรงเตี๊ยมที่หนึ่ง ตั้งอยู่ไม่ไกล คนทั้งสามจึงตรงเข้าไปติดต่อเถ้าแก่เพื่อจองห้องพัก แต่ได้รับคำตอบจากเถ้าแก่โรงเตี๊ยมว่า

“เสียใจด้วยนายท่านทั้งสาม ค่ำคืนนี้มีคนจองห้องพักเต็มหมดแล้วทุกห้อง รบกวนพวกท่านทั้งสามเสาะหาสถานที่อื่นเถิด”

เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น เฟิ่นมู่เหอรู้สึกแปลกประหลาดใจอยู่บ้าง ส่งเสียงกล่าวถามเถ้าแก่โรงเตี๊ยมกลับไปว่า

“จองเต็มหมดแล้วทุกห้องเชียวรึ ข้าพเจ้ากลับมองมิเห็นว่าจะมีคนพักอาศัยอยู่สักกี่คน เถ้าแก่ท่านกล่าววาจาล้อเล่นกับพวกเราทั้งสามใช่หรือไม่?”

เมื่อทอดสายตามองเข้าไปภายในโรงเตี๊ยม ภายในร้านเงียบเชียบไร้เงาผู้คน มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่นั่งรับประทานอาหารอยู่ชั้นล่าง เถ้าแก่โรงเตี๊ยมส่งเสียงกล่าววาจาตอบว่า

“ข้าพเจ้ามิได้กล่าววาจาล้อเล่น ทุกห้องล้วนถูกจับจองไว้เต็มหมดแล้วจริง ๆ พวกท่านเดินทางไปข้างหน้า ห่างจากที่นี่ไปทางตะวันตกราวครึ่งลี้ มีโรงเตี๊ยมอีกที่หนึ่ง พวกท่านไปพักยังที่นั่นเถิด”

คำตอบของเถ้าแก่โรงเตี๊ยม กล่าวยืนยันพร้อมกับแนะนำให้คนทั้งสามไปหาโรงเตี๊ยมอีกที่หนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างไปทางตะวันตกอีกครึ่งลี้

เฟิ่นไป่ชิง นางส่งเสียงกล่าวถามขึ้นบ้างด้วยความสงสัย

 “เถ้าแก่ แต่ข้าพเจ้ายังสงสัยว่าโรงเตี๊ยมของท่าน ถูกจับจองเต็มไว้หมดแล้วแต่แรก แต่ไฉนจึงไม่เห็นมีคนอยู่ภายในโรงเตี๊ยมมากมายดั่งวาจาท่าน? มีเพียงไม่กี่คนที่นั่งรับประทานอาหารเท่านั้นเอง”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยม มองซ้ายแลขวาแสดงท่าทางกระอักกระอ่วน ก่อนที่จะกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า

“ข้าพเจ้าขอเรียนตามตรง  ถูกต้องแล้ว ในโรงเตี๊ยมไม่มีคนพักอาศัยอยู่แม้แต่ผู้เดียว แต่ทุกห้องถูกจับจองเอาไว้ตั้งแต่ตอนบ่าย ผู้ที่มาจับจองได้จ่ายเงินค่าห้องไว้เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังสั่งกำชับไว้อีกว่า ห้ามมิให้แขกผู้อื่นเข้าพักอาศัยได้เป็นอันขาด มิเช่นนั้นแล้วจะถล่มโรงเตี๊ยมของข้าพเจ้าให้ราบคาบเป็นหน้ากลอง”

ยามนั้น สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นหันสบตากัน ต่างพากันสงสัยว่าผู้ที่เถ้าแก่โรงเตี๊ยมกล่าวถึง มันเป็นผู้ใดกันแน่ ไฉนจึงเหมาโรงเตี๊ยมทั้งหลัง เอาไว้โดยห้ามมิให้แขกอื่นเข้าพักอาศัย จ่านจือเองสงสัยด้วยเช่นกันแต่ไม่ค่อยใส่ใจเท่าใดนัก อาจเป็นเพราะเขายังไม่ทราบว่าในยุทธภพมีเรื่องราวซับซ้อนมากมาย เขาเองอาศัยอยู่แต่หมู่บ้านเย้ยอรุณเชิงเขา จึงมิทราบว่ายุทธภพมีเรื่องราวมากมายปานนี้

เฟิ่นมู่เหอ ส่งเสียงกล่าวถามเถ้าแก่โรงเตี๊ยมอีกว่า

“เถ้าแก่ ท่านพอจะบอกได้หรือไม่? ผู้ใดที่เหมาโรงเตี๊ยมของท่าน”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมสอดส่ายสายตาไปมา สีหน้าคล้ายเกรงกลัวเรื่องราวใดอยู่ ก่อนส่งเสียงกล่าววาจาตอบว่า

“ข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นผู้ใด? ทราบแต่เพียงมีดรุณีอ่อนวัยสองนางเป็นผู้มาติดต่อ นางทั้งสองกล่าวว่านายน้อยของพวกนางเป็นผู้ให้มาติดต่อขอเช่าห้องพักทั้งหมด ก่อนจากไปพวกนางทั้งสอง ยังซัดอาวุธลับเป็นรูปหัวกะโหลกปีศาจ ปักไว้ตรงด้านหน้าโรงเตี๊ยมอีกด้วย หากพวกท่านทั้งสามไม่เชื่อถือคำพูดข้าพเจ้า พวกท่านลองเดินไปดูให้เห็นกับตาเองเถิด”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมบอกกล่าวเรื่องราวจบ พลางชี้มือไปยังเสาไม้ต้นหนึ่งด้านหน้าโรงเตี๊ยม บอกให้คนทั้งสามเดินไปดูอาวุธลับ ซึ่งดรุณีสองนางได้ซัดขว้างปักเอาไว้ก่อนจากไป ดังนั้นคนทั้งสามจึงรีบวิ่งไปยังทิศทางที่เถ้าแก่โรงเตี๊ยมชี้นิ้วกล่าวบอก

เมื่อไปถึงเสาไม้ต้นนั้น คนทั้งสามกลับไม่เห็นอาวุธลับแม้แต่ชิ้นเดียว แต่ใกล้ ๆ กันนั้นบนม้านั่งตัวหนึ่ง นั่งอยู่ด้วยบุคคลผู้หนึ่ง คนผู้นั้นนั่งหันหน้าไปอีกด้านหนึ่ง จึงมองไม่เห็นใบหน้ามัน ก่อนที่ทั้งสามจะคิดทำประการใด บุคคลผู้นั้นชูมือข้างหนึ่งขึ้น ในมือกำวัตถุสองชิ้นพร้อมกับส่งเสียงกล่าววาจา โดยไม่หันหน้ามามองคนทั้งสามว่า

“พวกท่าน กำลังมองหาอาวุธลับสองชิ้นนี้ใช่หรือไม่?”

คนผู้นั้นส่งเสียงกล่าวห้าวหาญ ฟังแล้วคาดเดาได้ว่าเป็นบุรุษอายุเยาว์ผู้หนึ่ง เถ้าแก่โรงเตี๊ยมที่ก้าวเท้าติดตามมาได้ยินเช่นนั้น รีบวิ่งเข้าไปหาคนผู้นั้น พร้อมส่งเสียงละล่ำละลักต่อคนผู้นั้นว่า

“ท่าน...ท่านเป็นใคร ทราบหรือไม่? ว่าท่านกำลังสร้างความเดือดร้อนให้กับข้าพเจ้าแล้ว อาวุธลับสองชิ้นในมือท่าน ผู้ที่จับจองโรงเตี๊ยมสั่งกำชับไว้ว่า ห้ามมิให้ผู้ใดดึงออกมาเด็ดขาด หากทว่าข้าพเจ้าดูแลไม่ดีมีคนดึงออกมา ศีรษะข้าพเจ้าจะหลุดจากบ่า ท่านรีบนำอาวุธลับสองชิ้นในมือท่าน รีบนำกลับไปปักไว้ที่เดิมเร็วเข้า”

คนผู้นั้นยังคงนั่งก้มหน้า หันไปยังทิศทางตรงกับข้ามกับที่คนทั้งสี่ยืนอยู่ คนผู้นั้นลดมือที่กำอาวุธลับรูปร่างรางประหลาดลง แล้วส่งเสียงกล่าววาจาดังกังวานว่า

“เถ้าแก่ ฟังจากน้ำเสียงของท่านหวาดกลัวถึงเพียงนี้ ฟังจากที่ท่านกล่าวเมื่อครู่ ผู้ที่จับจองโรงเตี๊ยมเป็นเพียงดรุณีอ่อนเยาว์สองนาง โรงเตี๊ยมของท่านออกจะกว้างใหญ่ ใช่มีห้องหับมากมายหลายห้องถูกต้องหรือไม่?”

คนผู้นั้นมิรอให้เถ้าแก่โรงเตี๊ยมกล่าวตอบ ส่งเสียงกล่าววาจาต่อทันทีว่า

“ข้าพเจ้าเองเดินทางผ่านมาเหน็ดเหนื่อยยิ่ง อีกทั้งต้องการพักผ่อนหลับนอนเก็บออมเรี่ยวแรง พอดีเหลือบเห็นอาวุธลับประหลาดสองชิ้นนี้ปักอยู่ตรงทางเข้า มองดูแล้วเกะกะสายตานักจึงดึงออกมาชมเล่น หากผู้เป็นเจ้าของอาวุธสองชิ้นนี้จะเอาเรื่องท่าน ให้พวกมันมาหาเรื่องกับข้าพเจ้า”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมขยับปากคิดกล่าววาจาตอบ แต่ทว่าคนผู้นั้นมิปิดโอกาสให้ มันส่งเสียงสอดขึ้นก่อนว่า

“แต่มิว่าเช่นไร? ค่ำคืนนี้ข้าพเจ้าจะต้องได้ห้องพักในโรงเตี๊ยมของท่าน  มิเช่นนั้นข้าพเจ้าจะถล่มโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ให้ราบคาบเป็นหน้ากลองไม่เหลือซากเช่นเดียวกัน”

คนผู้นั้นกล่าววาจาจบ พร้อมกับลุกขึ้นยืนแล้วหันหน้ามาเผชิญกับคนทั้งสี่ พอเห็นชัดเจนเป็นบุรุษอายุราวสิบสี่สิบห้าปีผู้หนึ่ง หน้าตาหมดจดสำอาง แต่งกายด้วยเสื้อผ้าราคาแพง พร้อมกันนั้นมือข้างที่กำอาวุธลับเอาไว้ออกแรงเกร็งลมปราณ พริบตาเดียวอาวุธสองชิ้นในมือแหลกละเอียดไม่เหลือชิ้นส่วน พร้อมกับมืออีกข้างฟาดกระแทกขึ้นใส่แผ่นกระเบื้องหลังคาโดยที่มิได้แหงนหน้ามอง เสียงเปรี้ยงปร้างดังขึ้นคราหนึ่ง ส่งผลให้กระเบื้องแผ่นนั้นทะลุเป็นช่องขนาดเท่าชามข้าว

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความตระหนกตกใจแก่จ่านจือยิ่ง แต่ทว่าสำหรับสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น คนทั้งสองกลับไม่แสดงอาการตกใจออกมาแม้แต่น้อย เฟิ่นไป่ชิงหันมากระซิบกล่าวกับจ่านจือว่า

“ท่านตกใจใช่หรือไม่? ท่านมิต้องกลัวไป ค่ำคืนนี้มีเรื่องราวสนุกสนานให้ชมดูอีกแล้ว ท่านยืนอยู่ใกล้ ๆ เราทั้งสองเอาไว้อย่าได้ห่าง ในยุทธภพไม่คล้ายในหมู่บ้านเย้ยอรุณที่ท่านอยู่อาศัย อีกทั้งยังไม่เหมือนผาเร้นลับที่ข้าพเจ้ากับกอกออยู่อาศัยเช่นเดียวกัน”

เฟิ่นไป่ชิง นางแสดงสีหน้าตื้นเต้นยินดี คล้ายกับได้พบกับเรื่องราวสนุกสนานปานฉะนั้น รีบส่งเสียงกล่าววาจากับจ่านจือต่อทันทีว่า

“ข้าพเจ้าเองเพิ่งติดตามกอกอ ออกมาท่องเที่ยวเป็นครั้งแรก รู้สึกแปลกประหลาดและตื่นเต้นนัก แต่ทว่าได้ฟังท่านเจ้าผากับกอกอบอกเล่าอยู่บ่อย ๆ ดังนั้นจึงไม่รู้สึกตกใจกระไรนัก ท่านเองจะต้องเรียนรู้เอาไว้ต่อไปจะได้เอาตัวรอด”

จ่านจือ แม้ยังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ยังเข้าใจในคำพูดของเฟิ่นไป่ชิง นางหมายความถึงยุทธภพซับซ้อนอันตราย เปรียบมิได้กับหมู่บ้านเย้ยอรุณ กับผาเร้นลับซึ่งนางกับกอกอของนางอยู่อาศัย จ่านจือพยักหน้ารับทราบ พร้อมกับครุ่นคิดขึ้นในใจว่า

‘ถูกต้องแล้ว ที่ท่านกล่าวมาเมื่อครู่มิผิดพลาดแม้แต่น้อย แม้แต่หมู่บ้านเย้ยอรุณที่สงบเงียบ ไม่ยุ่งเกี่ยวหรือข้องแวะกับยุทธภพ ยังถูกคนชั่วช้าสามคนบุกเข้าไปทำร้ายสังหารมารดาบุญธรรม กระทั่งท่านเสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตาข้าพเจ้า’

ดังนั้น จ่านจือจึงบอกกับตัวเองว่า นับจากวันนี้เขาจะต้องเรียนรู้โลกภายนอกเอาไว้ให้มาก ตลอดทางที่ทั้งสามร่วมเดินทางผ่านมาด้วยกัน สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นได้เล่าเรื่องราวมากมายในยุทธจักร ซึ่งจ่านจือมิเคยทราบมาก่อนให้เขาได้รับรู้ เวลานี้แม้จะตกใจต่อเหตุการณ์ตรงหน้าอยู่มาก แต่เขาต้องปรับตัวตามสถานการณ์ตามคำแนะนำของสองเฮียม่วย

ยามนั้น เถ้าแก่โรงเตี๊ยมตกใจกระทั่งหน้าถอดสีแปรเปลี่ยน กระทำสิ่งใดไม่ถูก ทันใดนั้น เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากหน้าโรงเตี๊ยม ทุกคนรีบหันหน้าไปมองยังต้นเสียงเป็นตาเดียว ยกเว้นบุรุษสำอางผู้นั้น ดูมันไม่ค่อยสนใจต่อเสียงกล่าววาจานั้นเท่าใดนัก เสียงนั้นคล้ายตะคอกกล่าวไม่พึงพอใจอย่างยิ่งกล่าวดังว่า

“เถ้าแก่ ข้าพเจ้าให้คนมาเหมาโรงเตี๊ยมของท่านเอาไว้ ในเมื่อข้าพเจ้าชำระค่าโรงเตี๊ยมหมดสิ้นแล้ว อีกทั้งยังสั่งกำชับเอาไว้ว่า มิให้ผู้ใดเข้ามาก่อกวนวุ่นวาย เรื่องง่าย ๆ เพียงนี้ท่านยังจัดการให้กับข้าพเจ้ามิได้ เห็นทีลำคอของท่านคงมิต้องการให้ศีรษะตั้งอยู่เป็นแน่?”

พอสิ้นเสียงกล่าววาจานั้น กลุ่มคนจำนวนหนึ่ง แบกหามเกี้ยวเข้ามา ด้านหน้าขบวนก้าวเดินด้วยดรุณีสองนางซ้ายขวา ดรุณีคนขวาโอบอุ้มปี่แป้(กีร์ต้าจีน) ดรุณีคนซ้ายประคองพิณอย่างละตัว ด้านหลังเกี้ยวติดตามด้วยคนอีกสิบกว่าคน ทุกคนพกพาอาวุธติดตัว ท่าทางมีวิชามิต่ำช้าเลวทราม ล้วนแล้วแต่แต่งกายด้วยชุดเสื้อผ้าสีขาวล้วน

ยามนั้น พอคนแบกหามวางเกี้ยวลงแล้ว คนผู้หนึ่งแหวกผ้าม่านด้านหน้าเกี้ยวแล้วดีดกายพุ่งร่างออกมา พอเห็นชัดถนัดตาเป็นบุรุษชุดขาวผู้หนึ่ง ในมือถือพัดจีบกวัดแกว่งไปมา ระหว่างเอวเหน็บขลุ่ยเงินด้ามหนึ่ง แต่ที่ชวนสงสัยใบหน้ากลับสวมทับด้วยหน้ากากปีศาจ กระทั่งไม่สามารถคาดเดาหน้าตาของมันได้ ดูจากลักษณะองคาพยพภายนอก เป็นบุรุษวัยเยาว์ผู้หนึ่ง

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมเห็นเช่นนั้น ยิ่งตกอกตกใจจนเหงื่อไหลโซมกาย รีบประสานมือกล่าวตอบบุรุษชุดขาวสวมหน้ากากปีศาจด้วยน้ำเสียงสั่นรัวว่า

“ข้าพเจ้ารับเงินท่านแล้ว ย่อมต้องปฏิบัติตามไม่อาจบิดพลิ้วเป็นอื่นได้ เพียงแต่ว่าจอมยุทธ์น้อยท่านนี้ มิทราบว่ามาจากสถานที่ใด? นอกจากทำลายอาวุธลับสองชิ้นของท่านแล้ว เขายังข่มขู่จะเอาห้องพักภายในโรงเตี๊ยมให้ได้”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมขณะกล่าววาจา ลอบชำเลืองสายตาไปมองบุรุษสำอางผู้นั้นวูบหนึ่ง จากนั้นหันมากล่าววาจาต่อบุรุษชุดขาวสวมหน้ากากปีศาจต่อว่า

“ข้าพเจ้าเองได้แจ้งแก่จอมยุทธ์ท่านนี้ไปแล้วว่า โรงเตี๊ยมข้าพเจ้าถูกเหมาเอาไว้หมดสิ้นแล้ว แต่ทว่าจอมยุทธ์น้อยท่านนี้ยังมิยอมเลิกรา  เรื่องนี้ข้าพเจ้าว่าพวกท่านจัดการกันเองจะไม่ดีกว่าหรอกรึ? ส่วนนายท่านสามคนนี้หาได้มีส่วนเกี่ยวข้องไม่? พวกเขาเพียงแวะเข้ามาสอบถามหาโรงเตี๊ยมที่อยู่ถัดไปเท่านั้นเอง”

บุรุษชุดขาวกวัดแกว่งพัดจีบในมือคราหนึ่ง หันมาสำรวจคนทั้งสามวูบหนึ่งคล้ายไม่เห็นคนทั้งสามอยู่ในสายตา ส่งเสียงกล่าวกับเถ้าแก่โรงเตี๊ยมดังว่า

“ไฉนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง? มิว่าผู้ใด? ที่อยู่สถานที่นี้ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น หากข้าพเจ้ามิกล่าวอนุญาตให้จากไป ไม่ว่าผู้ใดอย่าได้หมายจากไปโดยมีลมหายใจ”

บุรุษสวมหน้ากากปีศาจตวาดก้อง พร้อมกับชำเลืองมองมาทางด้านจ่านจือกับสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น ทั้งสามก่อนออกเดินทางแต่งกายเป็นชาวบ้านธรรมดาไม่เป็นที่สะดุดตา ทั้งนี้เนื่องจากสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นถูกเจ้าผาของทั้งสองสั่งกำชับ มิให้แสดงวิชาฝ่ามือให้ชาวยุทธ์สงสัย ดังนั้นสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นจึงไม่แสดงออกเช่นกันว่ามีพลังวิชาติดตัวให้ผู้ใดสังเกตเห็น

ยามนั้น เฟิ่นมู่เหอกล่าวต่อบุรุษชุดขาวสวมหน้ากากปีศาจ ส่วนเฟิ่นไป่ชิงนางรับปากกับกอกอนางว่าจะไม่ก่อเรื่องราวใดอีก ดังนั้นไม่แสดงอากัปกิริยาใดให้เป็นที่สงสัยว่ามีวิชาฝ่ามือติดตัว เฟิ่นมู่เหอกล่าววาจาว่า

“ถูกต้อง ที่เถ้าแก่กล่าวเมื่อครู่มิผิด เราทั้งสามเดินทางผ่านมา เพียงแวะหาโรงเตี๊ยมพักผ่อนหลับนอนเท่านั้น เมื่อเถ้าแก่แจ้งว่าโรงเตี๊ยมเต็มหมดแล้ว พวกเราทั้งสามจึงจะเดินทางไปยังโรงเตี๊ยมที่อยู่ถัดไปอีกครึ่งลี้ พวกเราสามคนเป็นเพียงชาวบ้านร้านถิ่นธรรมดา ไม่ทราบเรื่องราวยุทธภพ มิทราบว่าท่านจะปลดปล่อยพวกเราสามคนไปได้แล้วหรือไม่?”

สำหรับบุรุษหน้าตาสำอางสวมใส่เสื้อผ้าราคาแพงที่มาก่อนหน้านั้น มันเมื่อเห็นคนทั้งหมดสนทนากันไม่มีข้อสรุป จึงแสดงสีหน้าไม่พึงพอใจส่งเสียงกล่าวสวนสอดขึ้นกลางคันว่า

“ที่แท้ เป็นปีศาจโสโครกตนหนึ่ง? ปีศาจสกปรกท่านนี้เองที่เหมาโรงเตี๊ยม เฮอะใบหน้าปีศาจของท่านคงน่าเกลียดน่ากลัวมากสินะ จึงต้องสวมใส่หน้ากากปีศาจปกปิดอำพรางเอาไว้ชั้นหนึ่ง ข้าพเจ้าต้องการห้องพักห้องหนึ่งสำหรับค่ำคืนนี้ ที่สำคัญจะต้องเป็นสถานที่นี้เท่านั้น ดูจากลักษณะของปีศาจท่านแล้ว สมควรจะพอมีฝีมือติดตัวอยู่บ้าง เสียดายอยู่เพียงประการหนึ่ง...?”

บุรุษชุดขาวสวมหน้ากากปีศาจ เมื่อถูกเรียกหาว่าปีศาจโสโครก อีกทั้งบุรุษหน้าตาหมดจดสำอางผู้นั้นยังกล่าววาจาไม่เกรงอกเกรงใจมัน ดังนั้นจึงส่งเสียงตะคอกสวนดังว่า

“มีอันใด ประการหนึ่งของท่านหมายถึงสิ่งใด? ท่านรีบกล่าวออกมาให้กระจ่าง”

บุรุษสำอางแสดงท่าทางยียวนกวนโทสะ แล้วกล่าววาจาตอบโต้ว่า

“เสียดายที่ขี้ขลาดตาขาวทำตัวคล้ายลูกเต่าหดหัวอยู่ภายในกระดอง หาใช่ผู้กล้าชายชาตรีไม่  ท่านใช้พวกมากเดินทาง หากท่านเป็นบุรุษผู้กล้าแท้จริง ท่านกล้าประลองตัวต่อตัวกับข้าพเจ้าหรือไม่?”

บุรุษชุดขาวสวมหน้ากากปีศาจ กล่าววาจาสวนโต้ตอบเช่นกันว่า

“ประลองอันใด?”

บุรุษชุดสำอางหน้าตาหมดจด มันเดินวนรอบกายบุรุษชุดขาวสามหน้ากากปีศาจรอบหนึ่ง จากนั้นส่งเสียงกล่าววาจาตอบว่า

“ประลองฝีมือถือว่าข้าพเจ้าเสียเปรียบท่านอยู่ครึ่งก้าว ท่านขี้ขลาดปานนี้เห็นอยู่ชัดเจนว่าพกพาคนมามากมาย หากประลองกันตัวต่อตัว ข้าพเจ้าหาได้เกรงกลัวท่านไม่ แต่ทว่าพวกท่านมีคนมากจะเชื่อถือได้เช่นไร? ว่าจะมิใช้วิธีหมาหมู่ในภายหลัง หากข้าพเจ้าเอาชนะท่านแล้ว พวกท่านย่อมต้องใช้วิธีอันธพาล อาศัยพวกมากกรุ้มรุมต่อข้าพเจ้าอยู่ดี”

บุรุษชุดชาวแสดงท่าทีฉุนเฉียว ตลาดลั่นราวก่นด่าดังว่า

“เช่นนั้น ท่านต้องการเช่นไร? อย่ามัวลวดลายรีบกล่าววาจา”

บุรุษหน้าผู้นั้นส่งเสียงกล่าวถามว่า

“เช่นนั้น ข้าพเจ้าขอถามปีศาจโสโครกท่าน มิทราบว่าท่านใช่ชื่นชอบดนตรีศิลปะอยู่บ้าง ถูกต้องหรือไม่?”

บุรุษผู้ถูกกล่าวถาม แสดงปฏิกิริยาเย้ยหยันแฝงความเย่อหยิ่งผยองอวดดีอยู่เก้าส่วน มาตรว่ามองไม่เห็นรอยยิ้มภายใต้หน้ากากปีศาจของมัน แต่ทว่ายังได้ยินเสียงหัวร่อฮึ ๆ ในลำคอเบา ๆ จากนั้นส่งเสียงกล่าววาจาตอบว่า

“นับว่าสายตาของท่าน ยังพอใช้การได้บ้างเช่นกัน สายตาท่านมิได้พิการใช้งานมิได้เสียทีเดียว ถูกต้องข้าพเจ้ามิอาจอิดออดปฏิเสธ ดนตรีศิลปะถือเป็นความสามารถอันดับสอง รองจากวิทยายุทธ์ที่ข้าพเจ้าพอมีติดตัวอยู่บ้าง ฟังจากวาจากลิ้งกลอกดั่งสุนัขจิ้งจอกของท่าน อีกทั้งยังกล่าววาจาเล่นลิ้นปลิ้นปล้อน หากข้าพเจ้ามองผิดพลาดท่านคงพอจะมีความรอบรู้เรื่องบทกลอนกวีอยู่บ้างสินะ?”

บุรุษผู้ถูกกล่าวถาม มันเผยรอยยิ้มเย้ยหยันสวนกลับมา ท่าทางทะนงตนอวดดีราวกับไม่อาจลดราวาศอกได้ไม่ มิเพียงเท่านั้นสายตายังสำรวจบุรุษตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า กล่าววาจาโต้ตอบห้าวหาญชัดเจนว่า

“หูปีศาจโสโครกของท่านยังใช้การได้เช่นกัน มิได้พิกลพิการแต่ประการใด? ถูกต้องของท่าน บทกลอนกวีถือเป็นความสามารถอันดับสองรองจากวิทยายุทธ์ที่ข้าพเจ้าชื่นชอบ”

บุรุษหน้าตาหมดจดสำอาง มันใช้หางตาช้อนมองบุรุษสวมหน้ากากปีศาจจากปลายเท้าขึ้นมาจรดศีรษะอีกครา เผยรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก ส่งเสียงกล่าววาจาต่อทันทีว่า

“เช่นนั้นท่านกับข้าพเจ้าเรามาประลองกัน ท่านบรรเลงดนตรีออกมา ส่วนข้าพเจ้าจะร่ายบทกลอน หากผิดเพี้ยนแม้แต่ท่อนเดียว ถือว่าข้าพเจ้าพ่ายแพ้ปีศาจท่าน แต่ทว่าหากภายในสามเพลง ท่านยังด้อยสามารถไร้ฝีมือมีเพียงคำอวดอ้าง วาจาที่กล่าวราวผายลมล้มข้าพเจ้ามิได้ ถือว่าค่ำคืนนี้ข้าพเจ้าย่อมพักอาศัยในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ได้โดยปลอดโปร่ง อีกทั้งมิต้องจ่ายเงินแม้แต่อีแปะเดียว”

บุรุษผู้สวมทับใบหน้าด้วยหน้ากากปีศาจ เมื่อได้ฟังเงื่อนไขการประลอง พร้อมทั้งเห็นปฏิกิริยาท่าทางของบุรุษผู้กล่าวท้า มันยังคงกล่าววาจายียวนกวนโทสะ ในถ้อยคำยังสอดแทรกคำด่าเสียดสีไม่เกรงอกเกรงใจ ดังนั้นเค้นเสียงเฮอะออกมาคำหนึ่ง ส่งเสียงกล่าวรับคำท้าว่า

“ตกลงตามนั้น ก่อนประลองขอทราบชื่อแซ่ท่าน?”

บุรุษสวมหน้ากากปีศาจ กล่าวถามชื่อแซ่ของบุรุษผู้ท้าประลอง แต่ทว่ามันเค้นเสียงร้องเฮอะคำหนึ่งเช่นกัน ก่อนจะส่งเสียงกล่าววาจาตอบกลับมาว่า

“ชื่อแซ่อันสูงส่งของข้าพเจ้า มิบอกกล่าวต่อปีศาจต่ำช้าเด็ดขาด ปีศาจที่ขี้ขลาดราวลูกเต่า ไม่กล้าเปิดเผยใบหน้าอันแท้จริงต่อผู้คน หากปีศาจโสโครกท่านต้องการทราบชื่อแซ่ข้าพเจ้า ท่านจงรีบปลดหน้ากากปีศาจชั่วช้าของท่านออกมาก่อนเถิด สำหรับชื่อแซ่และหัวนอนปลายเท้าของปีศาจท่าน ข้าพเจ้าไม่ต้องการได้ยินให้ระคายหู อีกทั้งมิต้องการสิ้นเปลืองสมองจดจำ ท่านจะว่าเช่นไร จะถอดหน้ากากปีศาจโสโครกของท่านออกหรือไม่?”

บุรุษสำอางท่าทางเจ้าเล่ห์เหลี่ยมคู ทุกคำพูดที่กล่าววาจาออกมานั้น มันมิยอมแพ้หรืออ่อนข้อให้กับบุรุษสวมหน้ากากปีศาจแม้แต่ก้าวเดียว ส่วนบุรุษสวมหน้ากากปีศาจผู้นั้น คล้ายมันมิต้องการเปิดเผยใบหน้าแท้จริงเช่นกัน ดังนั้นจึงจนมุมมิอาจบังคับให้บุรุษสำอางบอกกล่าวชื่อแซ่แท้จริงออกมาต่อหน้ามันได้

ยามนั้น ในขณะที่ทั้งสองโต้เถียงกัน ระหว่างบุรุษหน้ากากปีศาจกับบุรุษท่าทางสำรวยสำอาง สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นมิต้องการให้ร่องรอยถูกเปิดเผยเช่นกัน ดังนั้นลอบวางแผนการขึ้นในใจ คนทั้งสองอาศัยช่วงจังหวะที่สองบุรุษเริ่มประลองกัน กำหนดแผนการที่จะสลัดหลุดออกมาจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้ เห็นท่าแล้วว่ามิง่ายดายนักที่จะออกมาโดยปลอดโปร่งไร้เรื่องราว หากเป็นเช่นนั้นจะต้องแสดงวิชาฝีมือประจำสำนักออกไป ประการนี้ถือว่าไม่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้

จ่านจือได้ยินสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น ปรึกษาหารือแผนการรับมือกันเบา ๆ แว่วเข้าหูว่า

“กอกอ ข้าพเจ้าคิดออกแล้วว่าพวกเราจะกระทำเช่นไร? จึงจะสลัดพ้นจากโรงเตี๊ยมอันน่ากลัวแห่งนี้ไปได้”

เฟิ่นไป่ชิงเมื่อกล่าววาจาต่อกอกอของนาง เฟิ่นมู่เหอรีบส่งเสียงแผ่วเบากล่าวถามว่า

“วิเศษ ม่วยม่วยไหนเจ้าลองบอกกล่าวออกมาให้กอกอของเจ้าได้รับทราบอย่าได้ชักช้า”

เฟิ่นไป่ชิง นางกระซิบกระซาบตอบต่อกอกอของนางว่า

“กอกอลืมเลือนไปแล้วกระมัง? เราทั้งสองได้รับการถ่ายทอดวิชาค่ายกลจากท่านเจ้าผามาตั้งแต่เล็ก ก่อนที่พวกเราจะเข้ามายังโรงเตี๊ยม ข้าพเจ้าล้วนเห็นด้านหน้าเป็นชัยภูมิเหมาะยิ่งที่พวกเราจะสร้างค่ายกลอันแยบยลขึ้น อาศัยจังหวะนี้ที่มันทั้งสองประลองติดพันมิอาจแบ่งแยกสมาธิ เพียงเท่านี้พวกเราทั้งสามย่อมจากไปไกลโขหลายลี้แล้ว”

จ่านจือ แม้ไม่เข้าใจเท่าใดนักเกี่ยวกับเรื่องราวที่สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นสนทนากัน แต่ยังพอจับใจความได้ว่า คนทั้งสองกำลังจะหาทางหลบหนีไปจากสถานที่แห่งนี้ จ่านจือลอบมองบุรุษทั้งสองซึ่งกำลังประลองดนตรีกับบทกลอนกวีกันอยู่อย่างไม่ยอมลดราวาศอกให้แก่กัน บุรุษสำอางท่าทางร้อยเล่ห์พันเหลี่ยมคู ส่วนบุรุษสวมหน้ากากปีศาจดูท่าทางอำมหิตโหดเหี้ยม หากทว่าคนทั้งสองร่วมมือกันแล้ว ต่อให้สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นแสดงวิชาฝ่ามือออกไป ไม่แน่นักว่าจะรอดพ้นไปจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้ได้ง่ายดาย

ยามนั้น จ่านจือพิศมองใบหน้าบุรุษสำอางวูบหนึ่ง เขามีความรู้สึกว่าบุรุษผู้นี้ดูท่าทางแปลก ๆ ผิดปกติเช่นไรไม่อาจอธิบาย ปฏิกิริยาท่าทีของมันชอบกลอยู่บ้าง แต่มิทราบว่าผิดปกติเช่นไร อดกล่าวคำพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ว่า

“บุรุษผู้นี้แม้จะดูแปลกพิกลอยู่บ้าง แต่ท่าทางยังน่ากลัวน้อยกว่าคนผู้สวมหน้ากากปีศาจผู้นั้น เสียดายที่เราไม่อาจรอชมจนกระทั่งจบการประลองได้”

ในขณะเดียวกัน สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นมิรีรอชักช้า คนทั้งสองเริ่มแผนการจัดวางตำแหน่งค่ายกลทันทีตามที่ได้ร่ำเรียนมา ค่ายกลที่ใช้ได้ยินเฟิ่นไป่ชิงนางเรียกว่า “ย้ายทิศ ปิดเส้นทาง”

สองบุรุษซึ่งกำลังติดพันประลองกันยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ มารู้ตัวอีกทีว่าสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นมิใช่ชาวบ้านธรรมดานับว่าสายไปแล้ว คนทั้งสองประลองติดพันพร้อมกับแบ่งแยกสมาธิ ไล่ติดตามสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นและจ่านจือมา แต่ทว่าค่ายกลที่ใช้พิสดารเกินกว่าที่คนทั้งสองจะฝ่าได้ง่ายดาย อีกทั้งบุรุษทั้งสองยังมิเคยพบพานค่ายกลพิสดารเช่นนี้มาก่อน มิทราบว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานปานใด ที่ทราบได้คนทั้งสามเดินทางล่วงเลยพ้นโรงเตี๊ยมแห่งนั้นมาหลายลี้แล้วนั้นเอง

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป