ตอนที่ 5
แม่ชีนิรนามกับอารามอเทวตา
เทือกเขาซงซาน นอกจากวัดเส้าหลิน ถัดไปอีกสามลูกเป็นที่ตั้งของอารามอเทวตา อารามแห่งนี้ไม่มีผู้ใดทราบความเป็นมาแน่ชัด เนื่องจากที่ผ่านมาอารามแห่งนี้ เก็บตัวไม่ยุ่งเกี่ยวกับบู๊ลิ้ม มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่พอจะรู้จักอารามแห่งนี้ ลือกันว่าในอารามมีเพียงแม่ชีเก้านางเท่านั้นเอง แต่ด้านพลังยุทธ์ถือว่าสูงสุดยอดยากตอแย โดยเฉพาะวิชาดรรชนีเทวะ กับวิชาเก้าชโลทร (ชโลทร หมายถึงห้วงน้ำ) ที่ผ่านมามีคนฝึกได้เพียงขั้นที่สี่ แต่ทว่าอานุภาพสูงส่ง หากฝึกสำเร็จถึงขั้นที่เก้า คิดว่าหาคู่มือต่อกรได้ยากยิ่ง
อารามอเทวตา แม้อยู่ห่างออกไปจากวัดเส้าหลินเพียงสามลูก แต่ทว่าสิบห้าปีที่ผ่านมานี้ ต่างไม่เคยข้องแวะไปมาหาสู่กันแม้แต่เพียงครั้งเดียว แม่ชีทุกนางล้วนแต่เก็บตัวอยู่ภายในอาราม แต่เมื่อสำนักต่าง ๆ เริ่มมีการเคลื่อนไหว อารามแห่งนี้จึงไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน อารามอเทวตา มีแม่ชีอาศัยอยู่ด้วยกันเก้านาง ผู้ก่อตั้งอารามนามชิ้วโส่ว ฉายานางชีเทวราช
จำเดิม ก่อนหน้าที่นางจะปลงผมออกบวชเป็นชี นางมีอีกฉายาหนึ่ง ซึ่งชาวยุทธ์เรียกหาว่าเทพธิดาซินแส ด้วยสาเหตุใดยังเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยของชาวยุทธ์ เมื่อนางถูกสำนักอาจารย์อเปหิออกจากสำนัก ตั้งแต่บัดนั้น นางจึงกลับกลายเปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากเดิมเคยเป็นคนที่มีนิสัยนุ่มนวลอ่อนโยน รักษาคุณธรรมเป็นที่รักใคร่ของผู้คน นอกจากนั้น นางยังรอบรู้ในเรื่องการทำนายทายทักอีกด้วย น้อยครั้งนักที่นางจะพยากรณ์เรื่องราวผิดพลาดได้
อาจจะเป็นด้วยเหตุนี้ นางได้ทำนายเรื่องราวหนึ่งคลาดเคลื่อน จนกระทั่งเป็นชนวนเหตุให้เกิดความบาดหมางขึ้น ระหว่างศิษย์ในสำนักและบรรดาชาวยุทธ์ เมื่อนางถูกขับไล่ออกจากสำนัก ได้ก่อความผิดมหันต์ร้ายแรงอีกครั้ง ด้วยการเข่นฆ่าชาวยุทธ์มากมายตายกลาดเกลื่อน นางถูกชาวยุทธ์ตามล่าอยู่หลายปี จึงเร้นกายบนเขาแห่งนี้ และก่อตั้งอารามออกบวชเป็นชี ก่อนปลงผมออกบวชนางลั่นวาจาว่า จะไม่ทำนายทายทัก หรือใช้วิชาความรู้เกี่ยวกับการทำนายอีกต่อไป
เมื่อออกบวชและก่อตั้งอาราม เพื่อเป็นการระบายความแค้น นางจึงตั้งชื่ออารามแห่งนี้ว่า “อเทวตา” ซึ่งความจริงแล้ว “เทวตา”หมายถึงเทพ หรือเทวดาชาวสวรรค์ ซึ่งมีหูทิพย์ ตาทิพย์ เสวยอาหารทิพย์ แท้จริงแล้วควรตั้งชื่อว่าอารามเทวตาน่าจะเหมาะกว่า ซึ่งจะหมายถึงที่อยู่ของชาวสวรรค์หรือเทพ แต่นางถูกชาวยุทธ์เหยียดหยัน จึงตั้งชื่ออารามของนางว่าไม่ใช่ที่อยู่ของชาวสวรรค์ หรือเทพนั่นเอง
ในเมื่อชาวยุทธ์ขับไสไล่ส่งนาง กล่าวหาว่านางเป็นมารยุทธภพ ดังนั้นมารกับเทพย่อมไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกัน หากชาวยุทธ์ทั้งหลายเป็นเทพ นางเองย่อมเป็นมาร ดังนั้นสถานที่ที่นางอาศัยย่อมไม่ใช่ที่อยู่ของเทพจึงตั้งชื่ออารามว่า “อารามอเทวตา” และออกกฎห้ามแม่ชีทุกนางออกจากอารามแม้แต่ก้าวเดียว อีกทั้งห้ามมิให้ชาวยุทธ์ทุกคนเหยียบย่างเข้าไปในบริเวณอารามอเทวตาเช่นกัน ที่ผ่านมานางรักษากฎนี้อย่างเคร่งครัด
กระทั่งไม่นานมานี้ มีคนของอารามอเทวตาปรากฏตัวขึ้นในยุทธภพ อีกทั้งยังทำร้ายคน นั่นย่อมแสดงว่า นางยอมกลืนน้ำลายตนเองทำลายกฎที่ตนบัญญัติไว้ ด้วยการออกจากอารามที่อยู่บนยอดเขา ซึ่งก่อนหน้านั้นได้เก็บตัวไม่ออกมายุ่งเกี่ยวถึงสิบห้าปีเต็ม หรือว่าการตายของบรรดาชาวยุทธ์ในครั้งนี้ จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปรากฏตัวของอารามอเทวตาแล้ว
กล่าวย้อนไปครั้งก่อน เหตุการณ์ที่เฮียม่วยแซ่เฟิ่นประมือกับแม่ชีนิรนามนางหนึ่ง ด้วยสาเหตุใดที่นางต้องทำร้ายคนไม่มีผู้ใดทราบ ตอนนั้นเฟิ่นไป่ชิงซึ่งออกมาเดินเล่นพอดี บังเอิญพบเห็นเข้า นางไม่กระจ่างความนัย เห็นว่าคนกำลังถูกทำร้าย มิหนำซ้ำผู้ที่ลงมือยังเป็นผู้ทรงศีลจึงยื่นมือเข้าช่วยเหลือ กระทั่งเกิดการต่อสู้กันขึ้นกับแม่ชีนิรนามนางนั้น แต่ทว่าด้วยพลังฝีมือแล้ว เฟิ่นไป่ชิงยังห่างชั้นกว่านางเทียบชั้นไม่ติด แม้นว่าในขณะนั้น แม่ชีนิรนามนางนั้นจะออมมือให้แล้วก็ตาม
เมื่อเฟิ่นมู่เหอพี่ชายของนางตามมา เห็นน้องสาวของตนกำลังต่อสู้กับแม่ชีนิรนามนางนั้น จึงรีบเข้าช่วยเหลืออีกแรง แต่กลับสู้แม่ชีนิรนามนางนั้นมิได้เช่นเดียวกัน เหตุการณ์คับขันเฟิ่นไปชิงจึงงัดวิชาก้นหีบออกมาใช้ เป็นอาวุธลับเข็มโปรยบุปผาร่วง เพื่อข่มขวัญแม่ชีนิรนามนางนั้น แท้จริงวิชาอาวุธลับนางยังฝึกได้เพียงสามส่วน แต่ได้ผลแม่ชีนางนั้นชะงักและล่าถอยไป
ดังนั้นอาจเป็นการสะกิดความสงสัย ให้แก่แม่ชีนิรนามนางนั้น แท้จริงแล้วนางมิได้ล่าถอยไป ดั่งเช่นเฮียม่วยแซ่เฟิ่นเข้าใจ แต่นางแอบสะกดรอยติดตามเฮียม่วยแซ่เฟิ่นไปห่าง ๆ จวบจนค่ำคืนหนึ่งนางติดตามเฮียม่วยแซ่เฟิ่นมาถึงเนินเสือดาว และได้ยินการสนทนาระหว่างเฮียม่วยแซ่เฟิ่น กับเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน
เมื่อทั้งสามจากไปแล้ว นางจึงพบว่านอกจากนางแล้ว สถานที่แห่งนั้นยังมีอาคันตุกะชุดดำอีกผู้หนึ่งซ่อนตัวอยู่ ดังนั้นนางจึงได้ลงมือทดสอบฝีมือของคนชุดดำลึกลับ แต่ด้วยรังสีอำมหิตที่แฝงอยู่ในตัวคนผู้นั้นรุนแรง และดูออกว่าคนผู้นั้นเป็นยอดฝีมือไม่ควรตอแย นางจึงล่าถอย และรีบติดตามเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนไป
ทางด้านอาคันตุกะชุดดำในค่ำคืนนั้น ทราบแต่เพียงว่าผู้ลงมือใช้วิชาดรรชนีเทวะ ซึ่งเป็นวิชาของอารามอเทวตา แต่มิทราบว่าเป็นแม่ชีนางใด ชายลึกลับผู้ไม่เปิดเผยใบหน้า รีบติดตามพี่น้องแซ่เฟิ่นไปห่าง ๆ จุดประสงค์ของมัน นอกจากเบาะแสเกี่ยวกับคัมภีร์ยุทธ์สุริยันจันทราแล้ว ยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณ ซึ่งเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน มอบให้เฟิ่นไป่ชิง มันต้องการได้มาครอบครองเช่นเดียวกัน
จากคำสนทนาที่แอบได้ยินมา ทราบว่าเป็นยาวิเศษแปลกพิสดารหายากในแผ่นดิน ประการอันสำคัญยังเป็นส่วนผสมกับดีงูมรกตเก้าหัว ทั้งที่มันมิทราบว่า ดีงูมรกตเก้าหัวคือสิ่งวิเศษใดก็ตาม แต่มีส่วนช่วยเพิ่มพูนพลังยุทธ์เท่ากับคนฝึกวรยุทธ์ถึงสามสิบปีอีกด้วย เมื่อติดตามถึงโรงเตี๊ยมเห็นเฮียม่วยแซ่เฟิ่นสั่งอาหารรับประทาน แล้วเก็บตัวเข้าห้องพัก มันจึงได้จากไป คิดว่าก่อนฟ้าสางค่อยย้อนมาดูอีกที
ทางด้านหมู่ตึกกระเรียนฟ้า วันนี้หลิวซุ่นกงกงเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องในหมู่ตึกเข้าปรึกษาหารือตั้งแต่เช้า หมู่ตึกกระเรียนฟ้าสร้างเป็นอาคารสองชั้น กินเนื้อที่มากหลาย มีห้าตึกติดกัน หากมองเข้าไปจากภายนอก จะเห็นหมู่ตึกทั้งห้าหลัง คล้ายนกกระเรียนกำลังกางปีกโบยบิน
ด้านหน้าตึก มีเสาไม้ขนาดใหญ่สองต้น แกะสลักเป็นรูปขาของนกกระเรียน ที่ฐานของเสาสองต้น ยังแกะสลักเป็นอุ้งกรงเล็บของนกกระเรียน หลังคาด้านหน้าสร้างยื่นออกมาเลียนส่วนหัว และปากของนกกระเรียน ตึกที่อยู่ตรงกลางมีชื่อเรียกหาว่าตึกเทพปักษา หลิวซุ่นกงกงพำนักอยู่ภายในตัวตึกนี้ ด้านซ้ายสองหลังคือตึกหกหุน กับตึกเมฆา และสองหลังทางด้านขวา คือตึกอินทรี กับตึกคชสีห์
ห้องโถงด้านหลังตั้งโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวแปดเชี้ยะ กว้างสามเชี้ยะครึ่ง สองตัวตั้งต่อติดกัน ปูด้วยผ้าแพรสีแดงเพลิง วางเก้าอี้ไม้จันทน์แดงด้านละสี่ตัว ตรงหัวโต๊ะสองด้านอีกด้านละตัว รวมแล้วสิบตัวไม่ขาดไม่เกิน เก้าอี้ตัวที่อยู่หัวโต๊ะทางทิศเหนือของห้องโถง เป็นไม้จันทน์แดงบุด้วยขนเตียวอ่อนนุ่มนิ่ม(เตียว เป็นสัตว์จำพวกหนู ตัวยาวประมาณสองฟุต ขนยาวราวนิ้วครึ่งอ่อนนุ่มปุกปุย อาศัยอยู่ในป่าทางภาคเหนือ) ผนังทั้งสี่ด้านประดับประดาด้วยภาพวาดต่าง ๆ หลิวซุ่นกงกงชื่นชอบภาพวาด พร้อมกันนั้นยังโปรดปรานดนตรีการร่ายรำอีกด้วย
เมื่อจัดแจงโต๊ะเก้าอี้และสถานที่เรียบร้อยแล้ว เด็กรับใช้หลายคนทยอยยกอาหารรสเลิศ ลำเลียงป้านสุรารูปทรงหรูหราล้ำค่า ซึ่งภายในบรรจุสุราชั้นยอดอายุเกือบร้อยปีออกมา เมื่อจัดวางแล้วล่าถอยออกจากห้องโถงไปยืนอยู่มุมใกล้ ๆ กัน หลิวซุ่นกงกงเดินนำหน้าขบวนออกมา แล้วนั่งลงตรงเก้าอี้หัวโต๊ะที่บุด้วยขนเตียว ด้านขวานั่งด้วยบุคคลสี่คน เรียงจากหลิวกงกงอันได้แก่ หัวหน้าตึกหกหุนนามอันสุ่ย หัวหน้าตึกเมฆานามฉีฝ่าน หัวหน้าตึกอินทรีนามต้าถง และหัวหน้าตึกคชสีห์นามเกาฉวน ตามลำดับ
ด้านซ้ายของหลิวซุ่นกงกง นั่งด้วยบุคคลสี่คนเฉกเช่นเดียวกันเรียงจากหลิวซุ่นกงกง ต๊กม้อเต็กไต้ซือลามะจากทิเบต ต่อด้วยยอดฝีมือจากเผ่าอุยกูร์นามเล่อต้าเต๋อ ถัดไปเป็นยอดฝีมือจากนอกด่านสองคน เทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้ง ที่หัวโต๊ะทางทิศใต้นั่งไว้ด้วยยอดฝีมือจากอู่เยี่ยว์นามเสิ่นซื่อสูอวี้
หลายเดือนมานี้คนของหลิวซุ่นกงกง ได้ออกไปคอยติดตามหาข่าว ได้ส่งข่าวกลับมาเกี่ยวกับการปรากฏตัวของเฮียม่วยแซ่เฟิ่น กับเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน รวมทั้งคนของอารามอเทวตา รวมทั้งวลีสี่ประโยคที่ปรากฏในยุทธจักร อีกทั้งข่าวที่มีคนตายภายใต้ฝ่ามือลึกลับ ในหมู่บ้านเย้ยอรุณกลางหุบเขา
บนโต๊ะอาหารต่างปรึกษาหารือถึงเรื่องราวเหล่านี้ เมื่อรับประทานอาหารจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ได้ข้อสรุปว่าให้ทุกฝ่ายแยกย้ายกันทำงาน ต๊กม้อเต็กไต้ซือลามะจากทิเบต กับเสิ่นซื่อสูอวี้คอยติดตามคนของอารามอเทวตา เทวทูตซ้ายขวาเจียฮุยกับเจียจิ้ง ติดตามเฮียม่วยแซ่เฟิ่น หัวหน้าตึกหกหุนอันสุ่ย คอยแกะข่าวของวลีสี่ประโยค หัวหน้าตึกที่เหลืออีกสามคน คอยเสริมประสานสอดรับทั้งนอกใน ส่วนเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน หลิวซุ่นกงกงจะให้เจ้าสำนักต่าง ๆ ที่ไม่ได้เชิญมาวันนี้ช่วยเหลืออีกแรง เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว ต่างแยกย้ายกันทำงานในทันที
เชิงเขาทางทิศใต้เป็นที่ราบ อันเป็นสถานที่ตั้งของหมู่บ้านเย้ยอรุณ หมู่บ้านแห่งนี้มีชาวบ้านอาศัยอยู่ราวสามสิบกว่าหลังคาเรือน หลังจากหลายวันก่อน มีคนแปลกหน้าหลายกลุ่มเข้ามาในหมู่บ้านแห่งนี้หลังจากนั้นได้ออกจากหมู่บ้านไป ช่วงนี้ไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้นในหมู่บ้านอีก ชาวบ้านจึงใช้ชีวิตกันตามปกติ มิต้องรีบร้อนปิดประตูหน้าต่าง เข้านอนแต่หัวค่ำเหมือนเมื่อก่อนอีก
บ้านหลังหนึ่งไม่ใหญ่โตเท่าใดนัก ในบ้านอาศัยอยู่เพียงสองคน ป้าหนิวเป็นคนต่างถิ่น อพยพย้ายถิ่นฐานมาเมื่อสิบปีก่อน มาลงหลักปักฐานทำไร่ และเลี้ยงสัตว์ที่นี่ ในตอนนั้นป้าหนิวหอบหิ้วเด็กชายวัยไม่เกินสิบขวบปีมาด้วยคนหนึ่ง หลังจากนั้นป้าหนิวกับเด็กน้อย ได้อาศัยอยู่บ้านหลังนี้เรื่อยมา ตอนนี้ป้าหนิวอายุล่วงเลยปาเข้าวัยหกสิบเอ็ดปีแล้ว
วันเวลาที่ผ่านไปสิบปี กระทั่งเด็กน้อยเติบใหญ่ อายุย่างสิบห้าปีแล้ว ด้วยรูปร่างที่สูงโปร่งกำยำทรงพลัง แขนขายาวมือหยาบใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาคมคายได้รูป คิ้วหนาเข้มดกดำ ดวงตาคมกริบเป็นประกาย จมูกโด่งเป็นสันได้รูปรับกับใบหน้า นับว่าเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาเลยทีเดียว แต่ทว่าอยู่ภายใต้อาภรณ์ที่ค่อนข้างเก่าคร่ำ มีรอยปะชุนอยู่หลายที่ มองดูจนแทบจำสีเดิมของเนื้อผ้ามิได้แล้ว ตั้งแต่เล็กเด็กน้อยขยันทำงานช่วยป้าหนิวทุกอย่าง ไม่เคยเกียจคร้านดูดาย
ตั้งแต่เด็ก ป้าหนิวไม่มีเงินทองพอที่จะส่งเด็กน้อยไปร่ำเรียนเขียนหนังสือ แต่นับว่าโชคดีของเด็กน้อยอยู่บ้าง ซึ่งได้เพื่อนบ้านที่พอรู้หนังสืออักขระ ช่วยสอนให้เขียนอ่านตัวหนังสือต่าง ๆ ด้วยความมานะผสานกับพรสวรรค์ที่มี เด็กน้อยเรียนรู้ได้รวดเร็วยิ่ง อีกทั้งยังมีความจดจำเป็นเลิศ จวบจนบัดนี้สามารถอ่านเขียนได้คล่องแคล่วไม่ติดขัดแต่อย่างใด
ตั้งแต่เล็กเด็กน้อยเป็นคนกินจุ ป้าหนิวจึงต้องทำอาหารมากกว่าปกติทุกครั้ง ด้วยสาเหตุนี้เอง เมื่อเจริญวัยทำให้ร่างกายสูงใหญ่กำยำแข็งแรง ผนวกกับตรากตรำทำงานหนัก ทั้งขุดดิน ตักน้ำ ผ่าฟืน หรือแม้แต่ขึ้นเขาหาของป่า ล่าสัตว์ เด็กน้อยล้วนเคยกระทำมาแล้วทั้งสิ้น
ตอนนี้โพล้เพล้ใกล้ค่ำ ป้าหนิวส่งเสียงกะโกนเรียกเด็กน้อย หลังจากเข้าครัวปรุงอาหารสามอย่างพร้อมกับข้าวสวยร้อน ๆ อีกทั้งยังมีน้ำแกง ที่ป้าหนิวชอบทำให้เด็กน้อยดื่มกินเป็นประจำ ป้าหนิวส่งเสียงร้องเรียกเด็กน้อยดังมาว่า
“เซียวจือ(จือน้อย) ล้างมือเช็ดหน้าเช็ดตา แล้วมากินข้าวเร็วเข้า น้ำแกงกำลังร้อน ๆ กินอิ่มแล้วจะได้เข้านอนแต่หัวค่ำ ตั่วแป๊ะ(ลุงใหญ่) ที่อยู่บ้านหลังสุดท้าย มาบอกกับแม่ว่า พรุ่งนี้เช้าไหว้วานให้เจ้า ไปช่วยซ่อมหลังคาให้ท่านหน่อย นอนแต่หัวค่ำจะได้ตื่นแต่เช้า”
เด็กน้อยที่ถูกเรียกหาว่าเซียวจือ ส่งเสียงตะโกนกล่าวตอบไปว่า
“ข้าพเจ้าทราบแล้วท่านแม่ ท่านเองมากินพร้อมกับข้าพเจ้าด้วยสิ”
เด็กน้อยมิรอช้า รีบล้างมือล้างไม้ทำความสะอาดใบหน้าเสร็จ รีบวิ่งเข้าครัว ปากส่งเสียงเรียกป้าหนิว ให้มารับประทานข้าวพร้อมกับตน เมื่อนั่งลงบนเก้าอี้ไม้เก่า ๆ ป้าหนิวรีบตักข้าวสวยร้อน ๆ ส่งกลิ่นหอมกรุ่น พร้อมกับควันสีขาวลอยอบอวลชวนให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารทำงาน ป้าหนิวเมื่อตักข้าวสวยให้เด็กน้อยแล้ว รีบนั่งลงฝั่งตรงกันข้าม รับประทานอาหารเย็นกันตามประสาชาวบ้านชนบท
เด็กน้อยกินข้าวไปถึงสามชาม หลังจากอาบน้ำชำระร่างกายแล้ว มิลืมที่จะทบทวนหนังสืออยู่ครู่หนึ่ง จึงเป่าตะเกียงน้ำมันสน แล้วรีบล้มตัวลงนอน แต่ก่อนจะหลับใหลไป อดนึกถึงชีวิตตอนวัยเด็กของตนขึ้นมามิได้ ตอนนั้นทราบเพียงว่าเกิดสงครามสู้รบ พอจดจำความได้ว่า ตนเองอาศัยอยู่กับขบวนชาวบ้าน ที่อพยพหลบหนีภัยสงคราม ในแต่ละวันต้องร่อนเร่พเนจรไปเรื่อย ๆ ไร้หลักแหล่งแน่นอน จวบจนที่สุดจากการหนีสงครามสู้รบ จึงพลัดหลงกับชาวบ้านขบวนนั้น
ตอนนั้นด้วยวัยเพียงไม่กี่ขวบปี ความหิวโหยจำต้องเก็บเศษอาหารกิน บางวันแม้แต่ข้าวสักครึ่งคำ ยังมิได้ผ่านริมฝีปากซูบซีดอิดโรย น้ำแม้หยดมิได้ไหลผ่านลำคออันแห้งผาก บางครั้งเดินผ่านป่าเขาลำเนาไพร ท่องไปตามยถากรรม กระทั่งได้มาพบกับป้าหนิว ซึ่งอพยพหนีภัยสงครามเช่นเดียวกัน เมื่อป้าหนิวพบเห็นเด็กน้อยตัวคนเดียว ไร้ญาติขาดมิตร ด้วยความเวทนาสงสาร จึงหอบหิ้วเด็กน้อยมาอยู่หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้
สิ่งของมีค่าที่พอมีติดตัว เหลือเพียงชิ้นเดียว นั่นคือหยกเหินลมชิ้นหนึ่ง สลักอักษรคำเดียวเอาไว้ ตอนแรกเด็กน้อยไม่ทราบว่า อักษรที่สลักบนหยกอ่านว่ากระไร เมื่อได้ร่ำเรียนเขียนตัวหนังสือ จึงได้ทราบว่า อักษรที่สลักอยู่บนหยกที่ตนพกพาติดตัว คือคำว่า “จ้าว” นั้นเอง
ตั้งแต่คราแรกที่พบพานกับป้าหนิว ในขณะนั้นเด็กน้อยยังไม่ทราบว่า ตนเองมีชื่อแซ่ว่ากระไร ดังนั้นป้าหนิว จึงตั้งชื่อให้กับเด็กน้อยว่า “จ่านจือ” แต่ส่วนใหญ่แล้ว ป้าหนิวมักจะติดปาก เรียกหาเขาว่าจือน้อยเสียมากกว่า ภายหลังเมื่อทราบว่า บนหยกสลักอักษรคำว่า “จ้าว” เอาไว้ ป้าหนิวจึงคิดว่า อักษรคำนั้นน่าจะมีความสำคัญกับเด็กน้อย จึงใช้ตั้งเป็นแซ่ให้กับเขา ตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งบัดนี้ เด็กน้อยจึงใช้ชื่อจ้าวจ่านจือมาโดยตลอด ส่วนหยกเหินลมชิ้นนั้น เก็บไว้ไม่ห่างตัว ผ่านไปไม่เท่าใดนัก เด็กน้อยผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
หมู่บ้านเย้ยอรุณเชิงเขา ยามสายของวันนี้มีชายแปลกหน้าพกพากระบี่เข้ามาสามคน ดูลักษณะท่าทางพวกมันไม่ใช่คนดีกระไรนัก ทั้งสามคนเหมือนกับกำลังค้นหากระไรบางอย่าง เมื่อเข้ามาในหมู่บ้าน ต่างรื้อค้นตามซอกมุมต่าง ๆ คอกสัตว์ รวมทั้งบ้านทุกหลังของชาวบ้าน ใครขัดขวางพวกมันทุบตีทำร้าย ชาวบ้านหลายคน ถูกทุบตีจนได้รับบาดเจ็บ ป้าหนิวเห็นเพื่อนบ้านถูกทำร้าย รีบเข้าไปหมายช่วยเหลือ จนกระทั่งถูกคนผู้หนึ่งในสามคน ใช้หมัดต่อยเข้าใส่ที่ท้องน้อย จนป้าหนิวล้มไปกองอยู่กับพื้น
ช่วงเวลานั้น จ่านจือกลับมาจากไปช่วยซ่อมหลังคา ให้เพื่อนบ้านพอดี ระหว่างทางเขายังแวะเก็บฟืนติดไม้ติดมือมาให้ป้าหนิว ใช้เป็นเชื้อเพลิง สำหรับทำกับข้าวอีกด้วย เมื่อเห็นป้าหนิวแม่บุญธรรม ถูกทำร้ายกองอยู่กับพื้น เขารีบโยนมัดฟืนทิ้งโดยพลัน กระโจนเข้าประคองร่างป้าหนิวด้วยความเป็นห่วง คนที่ต่อยป้าหนิวเมื่อครู่ เห็นเช่นนั้นมันตรงเข้ามา พร้อมกับยกเท้าขวาเตะประเคนเข้าใส่ร่างจ่านจือเต็มแรง ปากส่งเสียงข่มขวัญดังว่า
“เด็กทารกผู้นี้ เจ้าแส่สอดเรื่องราวของพวกเรารึ? แสดงว่าสะกดคำว่าตายไม่เป็นสินะ?”
เสียงทึบดังหนัก ๆ เมื่อเท้าของคนผู้นั้นเตะโดนที่สีข้างของจ่านจือ ส่งผลให้ร่างของเขา เซถลากระเด็นไปตามแรง รู้สึกเจ็บแสบปวดร้อน ตรงตำแหน่งที่โดนเตะเมื่อครู่ จ่านจือถึงแม้เจ็บปวดเพียงใด กลับไม่ยอมปล่อยให้ป้าหนิวถูกพวกมันทำร้ายอีก เขาพุ่งตรงเข้าไปใช้สองแขน กอดป้าหนิวเอาไว้แนบแน่น พร้อมกับใช้ร่างของตนเอง ปิดป้องกั้นร่างของป้าหนิวเอาไว้ ชายคนเดิมเตะซ้ำเข้ามาอีกสองเท้าติดต่อกัน จ่านจือรีบเบี่ยงตัวเอาร่างรับสองเท้าเอาไว้ กลัวว่าจะโดนป้าหนิวแม่บุญธรรมของเขา
มาตรว่ารู้สึกเจ็บแสบปวดร้อนสักปานใด จ่านจือมิยอมเปล่งเสียงร้องออกมาจากปากแม้ครึ่งคำ เพียงกัดฟันกรอดข่มความเจ็บปวดเอาไว้ คิดเพียงอย่างเดียวว่า ป้าหนิวแม่บุญธรรมเป็นญาติสนิทเพียงผู้เดียวที่หลงเหลืออยู่ ที่ผ่านมาเรื่องราวเล็กน้อยหรือใหญ่โตปานใดป้าหนิวมิเคยดุด่าว่าตนแม้แต่น้อย ท่านทั้งรักทั้งเอ็นดูตนดั่งลูกแท้ ๆ ตอนที่มองเห็นคนผู้นั้น ต่อยป้าหนิวล้มลง หัวใจของจ่านจือคล้ายถูกคมมีดกรีดใส่ รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวเหลือประมาณ ตนยอมตายเสียยังดีกว่า ที่จะยอมให้ผู้ใด มาทำร้ายแม่บุญธรรม
ป้าหนิว ร่างครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่ในอ้อมกอดของเขา ท่านเห็นจ่านจือ เอาร่างรับเท้าของคนผู้นั้นเอาไว้ เพื่อมิให้ตนเองถูกทำร้าย ความกตัญญูรู้คุณ ที่จ่านจือแสดงออกมา ทำให้ท่านลืมความเจ็บปวดที่ท้องน้อยจนหมดสิ้น รู้สึกปลาบปลื้มยินดี และตื้นตันใจเหลือประมาณ มิเสียแรง ที่เลี้ยงดูจ่านจือมาสิบกว่าปี เพียงเท่านี้ ป้าหนิวรับรู้ถึงความรักความกตัญญูของเขา ที่มีต่อตน
ป้าหนิวเอง รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวใจไม่แตกต่างจากจ่านจือ เมื่อเห็นเขาถูกทำร้าย ตั้งแต่เล็กมาท่านไม่เคยตีจ่านจือแม้เพียงครั้ง ทุกคราที่ท่านเห็นเด็กน้อย ออกไปเล่นซุกซนได้บาดแผลกลับมา ป้าหนิวจะรีบหาหยูกยา มาทารักษาบาดแผลให้ โดยไม่เคยดุด่าว่ากล่าว
สองคนที่อยู่ห่างออกไป รีบเดินเข้ามาสมทบ พร้อมกับกวัดแกว่งกระบี่ในมือไปมา หนึ่งในสองคนที่เดินเข้ามาใหม่ กล่าวกับคนที่ลงมือเตะจ่านจือว่า
“เจ้าโง่ มัวชักช้าเสียเวลา รีบจัดการเจ้าโสโครกนั้นเร็วเข้า ส่วนอีกคนเป็นแค่หญิงชาวบ้าน คิดกระไรให้มากความ ยังมีอีกหลายหลัง ที่พวกเรายังมิได้ค้นหา เจ้าจัดการหญิงชราผู้นั้น เดี๋ยวพวกข้าสองคนจัดการเด็กน้อยโสโครกนี้เอง”
กล่าวจบ คนผู้นั้นตรงเข้าคว้าตัวป้าหนิวเอาไว้ อีกสองคนตรงเข้าคว้าจับแขนสองข้างของจ่านจือ ที่โอบกอดป้าหนิวอยู่มิยอมปล่อย เมื่อเห็นเขามิยอมปล่อยมือที่กอดร่างป้าหนิวเอาไว้ หนึ่งในสองคน จึงใช้หมัดขวา ต่อยเข้าใส่ใบหน้าของจ่านจือเต็มแรง และเป็นช่วงจังหวะที่อีกคนหนึ่ง ออกแรงกระชากแขนของเขา ทำให้ร่างของจ่านจือ กับป้าหนิว แยกผละออกจากกันในทันที
คนผู้นั้น เมื่อกระชากร่างจ่านจือมา มิรอช้ายกเข่ากระทุ้งเข้าใส่ที่ท้องน้อยของเขา เสียงทึบหนัก ๆ เมื่อเข่าของคนผู้นั้นสัมผัสกับท้องน้อยของเขา จ่านจืองอร่างลงตามแรงกระทุ้ง มีความรู้สึกว่า อาหาร และน้ำย่อยในกระเพาะและลำไส้ คล้ายจะพุ่งทะลักย้อนกลับออกมาก็มิปาน แต่ถึงจะเจ็บปวดสักปานใด จ่านจือกลับมิสนใจ เป็นห่วงเพียงแต่ป้าหนิวแม่บุญธรรมเท่านั้น
คนผู้ที่ดึงร่างของป้าหนิวไป ยกฝ่ามือซ้ายที่ไม่มีกระบี่ ตบเข้าที่กกหูของป้าหนิวดังเพี๊ยะ จนร่างของป้าหนิว เซถลาไปด้านข้าง จ่านจือเห็นเช่นนั้น รู้สึกปวดร้าวใจสุดทนทาน ในช่วงเวลานั้น ไม่คิดกระไรอีกแล้วนอกจากจะช่วยแม่บุญธรรม จึงรวบรวมพละกำลังทั้งหมด สลัดหลุดจากคนทั้งสอง พุ่งร่างเข้าหาคนที่ใช้ฝ่ามือตบป้าหนิว แล้วใช้สองมือผลักคนผู้นั้น จนร่างมันเซถอยไปสองสามก้าว
คนผู้นั้น แสดงสีหน้าโกรธแค้นตะคอกเสียงใส่จ่านจือดังว่า
“เด็กน้อยโสโครก สมควรตาย เจ้าอย่าอยู่เลย”
คนผู้ที่ถูกจ่านจือ ใช้สองฝ่ามือผลักเซไปเมื่อครู่ หลังจากตะคอกขึ้น พร้อมกับเสือกกระบี่ในมือ เสือกแทงปลายกระบี่พุ่งตรงเข้าใส่ร่างเขา เวลานั้นจ่านจือเองทำกระไรไม่ถูก ปลายกระบี่อยู่พ้นร่าง ห่างไม่ถึงสามฝ่ามือ
เสียงคมกระบี่ชำแรกผ่านผิวเนื้อ พร้อมกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดยากบรรยายดังขึ้น
“สวบ โอ๊ย!”
ภาพที่เห็นปลายกระบี่จมลึกทะลุเข้าไปเหนือลิ้นปี่เกือบครึ่งเล่ม โลหิตสีแดงสดพุ่งกระฉูดสวนทางคมกระบี่ออกมา ร่างของผู้ที่ถูกแทงสั่นระริกรัวค่อย ๆ ทรุดตัวลงกับพื้น ปากพยายามส่งเสียงร้องว่า
“เซียวจือ รีบหนีไปลูก ไม่ต้องห่วงมารดา หนีไปเร็วเข้าลูกแม่”
เป็นเสียงของป้าหนิว ท่านบอกให้จ่านจือรีบหนีไป ในจังหวะที่คนผู้นั้น แทงกระบี่ใส่ร่างของเขา เมื่อท่านเห็นจ่านจือยืนทำกระไรไม่ถูก ก่อนที่ปลายกระบี่จะบรรลุถึงร่างของเขา ท่านอาศัยพละกำลังที่มีอยู่ทั้งหมด พุ่งตรงไปใช้สองมือผลักร่างจ่านจือห่างออกมา พร้อมกับใช้ร่างของตนเองเข้ารับปลายกระบี่แทน
จ่านจือเห็นร่างป้าหนิวทรุดลงกับพื้น พร้อมกับโลหิตไหลทะลักออกมาดั่งน้ำพุ น้ำตาลูกผู้ชายแตกพรั่งพรูจนนองใบหน้า แทนที่จ่านจือ จะวิ่งหนีไป ตามคำบอกของป้าหนิว เขากลับวิ่งเข้าไปหาป้าหนิว ปากส่งเสียงร่ำร้องวุ่นวายดังว่า
“ท่านแม่ ข้าพเจ้าไม่หนี ท่านแม่อย่าตายนะ ข้าพเจ้าจะช่วยท่านแม่ หากต้องตาย เซียวจือขอตายพร้อมกับท่านแม่”
หยกเหินลม/ชล ชโลทร
17 เมษายน 2564