Your Wishlist

จอมยุทธ์เจ้ายุทธจักร (ยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณ)

Author: หยกเหินลม

เมื่อยุทธภพแบ่งออกเป็นสอง มารยึดครองยุทธจักร คัมภีร์ยุทธ์ที่สาบสูญกลับคืนสู่บู๊ลิ้ม บุญคุณความแค้นรอการสะสาง หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด เด็กน้อยผู้หนึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุทธจักรได้เช่นไร หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งเคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปถพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล

จำนวนตอน :

ยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณ

  • 19/04/2564

ตอนที่ 4

ยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณ

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น แสดงสีหน้าตื่นเต้นสงสัย เฟิ่นไป่ชิงผู้น้องส่งเสียงกล่าววาจาถามทันทีว่า

“หากเป็นเช่นนั้น แม้นรับประทานตัวยาพร้อมกันสองเม็ดต่างสี มันจึงไม่มีพิษสงอันใด หลงเหลืออยู่เลยถูกต้องหรือไม่? ท่านเจ้าโอสถสายรุ้ง”

เฟิ่นมู่เหอ ผู้เป็นพี่ชายรีบส่งเสียงกล่าววาจาสนับสนุนขึ้นว่า

“ท่านเจ้าโอสถสายรุ้ง สิ่งที่ม่วยม่วยข้าพเจ้ากล่าวมาเมื่อครู่ วาจาที่นางกล่าวใช่เข้าใจถูกต้องหรือไม่?”

เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ท่านพยักหน้าพร้อมกล่าวว่า

“ถูกต้อง พวกเจ้าทั้งสองคนเข้าใจมิผิด หากรับประทานเม็ดยาต่างสีสองเม็ดพร้อมกัน ด้วยพิษสิบแปดชนิดจะข่มพิษด้วยกันเองจนหมดสิ้น นอกเหนือจากนั้น หากผู้ใดต้องพิษไม่ว่าจะรุนแรงร้ายกาจสักเพียงใด? จะขจัดสลายสิ้นไม่เหลือซาก”

เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน แสดงสีหน้าภูมิอกภูมิใจ ส่งเสียงกล่าววาจาต่อว่า

“นอกเหนือจากนั้น หากนำตัวยาสองชนิดไปบดผสม หรือรับประทานพร้อมกับดีงูมรกตเก้าหัว จะทำให้เพิ่มพลังวัตรได้เทียบเท่ากับคนฝึกยุทธ์ถึงสามสิบปีเลยทีเดียว”

สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นได้ยินเช่นนั้น ยิ่งแสดงสีหน้าสงสัยและรู้สึกแปลกประหลาดใจ เฟิ่นมู่เหอผู้พี่จึงส่งเสียงกล่าววาจาถามว่า

“ดีงูมรกตเก้าหัว มันคือสิ่งวิเศษชนิดใดกัน? มันมีอยู่จริงเช่นนั้นหรือ? ท่านเจ้าโอสถสายรุ้ง ตั้งแต่เกิดมาข้าพเจ้าเพิ่งได้ยินชื่อมันเป็นครั้งแรก”

เฟิ่นมู่เหอผู้พี่ กับเฟิ่นไป่ชิงผู้น้อง คนทั้งสองยิ่งเพิ่มพูนความสงสัยทวีคูณ หากดีงูมรกตเก้าหัวที่ว่านี้ มีสรรพคุณวิเศษพิสดารเช่นนั้นจริง ถ้ามีอยู่ในโลกหล้าชาวยุทธ์คงต้องแย่งชิงไขว่คว้า เพื่อให้ได้มาครอบครองของวิเศษนี้อย่างแน่นอน เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ท่านทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วส่งเสียงกล่าววาจาตอบว่า

“เล่าขานกันว่า ดีงูมรกตเก้าหัวเป็นดีงูเทพเจ้า ร้อยปีจะมีปรากฏออกมาครั้งหนึ่ง ผู้ที่มีวาสนาเท่านั้นจึงจะได้พบพาน อีกทั้งมีวาสนาได้ครอบครองดีงูวิเศษ ในอดีตมีผู้ได้ครอบครองดีงูวิเศษนี้ แต่ลำพังดีงูวิเศษเพียงสิ่งเดียว เพียงช่วยให้เพิ่มพลังยุทธ์ได้ราวสิบห้าปีเท่านั้น แต่หากนำมาผสมกับตัวยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณที่เราคิดค้นขึ้นนี้ จะทำให้เพิ่มพูนพลังวัตรได้อีกเท่าตัว เทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ถึงสามสิบปีเลยทีเดียว”

เฟิ่นไป่ชิง นางรีบซุกขวดกระเบื้องเคลือบไว้ในแขนเสื้อด้วยความระมัดระวัง จากนั้นส่งเสียงกล่าววาจาไถ่ถามเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนว่า

“ข้าพเจ้าขอเรียนถามท่านผู้เฒ่า มิทราบว่าเป็นผู้ใดกัน? ที่มีวาสนาสูงส่งได้ครอบครองดีงูวิเศษ คนผู้นั้นที่ท่านกล่าวถึงนับว่าโชคดีถึงที่สุด รบกวนท่านเจ้าโอสถช่วยบอกเล่าเรื่องราว ซึ่งเกี่ยวข้องกับคนผู้นั้น ให้ข้าพเจ้ากับกอกอได้รับทราบจะได้หรือไม่?”

เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ท่านแย้มยิ้มแสดงสีหน้าครุ่นคิด มือข้างขวายกขึ้นลูบเครายาว มือที่เหลืออีกข้างหยิบถือหมวกเล่ย ท่านทอดถอนใจเฮือกหนึ่ง จากนั้นส่งเสียงกล่าววาจาบอกเล่าเรื่องราวต่อเฮียม่วยแซ่เฟิ่นว่า

“คนผู้นี้เป็นซือโจว(ปรมาจารย์) ท่านหนึ่งยากที่จะเอ่ยนาม เมื่อท่านได้รับประทานดีงูวิเศษทำให้สำเร็จวิชาสูงส่ง อีกไม่นานต่อมาท่านได้รจนาคัมภีร์ยุทธ์ขึ้นมาเล่มหนึ่ง เรียกว่า ‘คัมภีร์สุริยันจันทรา’ ซึ่งภายในบรรจุกระบวนท่าและเคล็ดวิชาล้ำเลิศที่สยบไปทั่วภพจบแดน หากแม้นผู้ใด? ได้ฝึกจะกลายเป็นยอดคน เป็นเจ้ายุทธ์ไร้ผู้ต่อต้าน”

เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน สลับมองใบหน้าของสองพี่น้องแซ่เฟิ่น เมื่อเห็นว่าทั้งสองกระตือรือร้นสนอกสนใจ จึงส่งเสียงกล่าววาจาบอกเล่าเรื่องราวต่อทันทีว่า

“ภายหลัง คัมภีร์ยุทธ์ถูกแยกออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคัมภีร์สุริยัน ภายในบรรจุกระบวนท่าวิชาที่ลึกล้ำพิสดาร ส่วนหลังคัมภีร์จันทรา ภายในบรรจุเคล็ดวิชาลมปราณ อีกทั้งวิชาดรรชนีแขนงหนึ่ง แต่น่าเสียดายไม่มีผู้ใด? ได้พบเห็น เมื่อคัมภีร์ยุทธ์ทั้งสองเล่ม ได้หายสาบสูญไปจากยุทธภพเมื่อสิบกว่าปีก่อน”

เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน พร้อมกับเฟิ่นมู่เหอและเฟิ่นไป่ชิง คนทั้งสามสนทนาพลางก้าวเท้าเดินไปช้า ๆ ยิ่งเพิ่มพูนความสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้นทวีคูณ เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน เมื่อเห็นว่าสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นจดจ่อรอรับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ดังนั้นจึงส่งเสียงกล่าววาจายืดยาวเล่าเหตุการณ์ว่า

“ในตอนนั้นปรมาจารย์ท่านนี้มีอายุราวสี่สิบปี ตอนที่ท่านได้พบพานกับดีงูมรกตเก้าหัว ส่วนสถานที่นั้นไม่เปิดเผยว่าเป็นที่ใดกันแน่? อีกทั้งยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าท่านนี้ได้ดีงูวิเศษมาด้วยวิธีการใด หลังจากท่านได้ของวิเศษล้ำค่ามาจึงได้กลืนกินมันลงท้องไป

จริงเท็จมิอาจไขข้อกังขา เชื่อว่าท่านได้หมดลมหายใจไปเป็นเวลาถึงหนึ่งร้อยวัน แต่กระนั้นสังขารกลับมิเน่าเปื่อยสลาย มิหนำซ้ำทั่วทั้งร่างยังเปล่งปลั่งดั่งทองส่องประกายสุกใส  มีผู้รู้หลายท่านบอกว่า ท่านคล้ายดั่งกบจำศีลอยู่ใต้พื้นพิภพ เหมือนทารกน้อยในครรภ์มารดา

เชื่อกันว่า นั่นคือวิถีทางแห่งการบำเพ็ญเพียรแห่งเต๋า เป็นการฝึกลมปราณก่อนกำเนิด ดูดซับเอาพลังธรรมชาติอันบริสุทธิ์ แม้จมูกไม่หายใจแต่ท่านได้หายใจทางท้อง ขณะที่ท่านนอนจำศีล ภายในสรรพางค์กายเกิดการโคจรพลังลมปราณอันบริสุทธิ์ไม่สะดุดติดขัด รอบแล้วรอบเล่าต่อเนื่องไม่ขาดตอน ทำให้โลหิตไหลเวียนไปทั่วร่าง จุดชีพจรต่าง ๆ ได้ถูกทะลวงจนหมดสิ้น

ผ่านไปร้อยวันท่านกลับฟื้นคืนมา พร้อมกับสำเร็จสุดยอดวิชาโดยไม่ตั้งใจ หลังจากนั้นไม่นานท่านได้คิดค้นวิชาแขนงต่าง ๆ จนแตกฉานกลายเป็นยอดคน วันเวลาผ่านไปกระทั่งอายุได้หกสิบปี ท่านจึงได้รจนาคัมภีร์ยุทธ์ขึ้นมาเล่มหนึ่ง ภายในบรรจุสุดยอดวิชาแขนงต่าง ๆ ไว้

ต่อมาภายหลัง ท่านได้ลี้กายหายตัวจากยุทธภพ เนื่องจากมีสำนักต่าง ๆ พากันคิดแย่งชิงคัมภีร์ยุทธ์สุดยอดวิชา ซึ่งท่านบัญญัติขึ้นมาเพื่อหวังเป็นเจ้ายุทธภพ ท่านหายตัวไปจากยุทธภพโดยไร้ร่องรอยนับระยะเวลาแล้วอาจนานถึงสามสิบปีโดยไร้วี่แวว

มาทราบข่าวอีกที ตอนที่ท่านกลับคืนสู่จงหยวน พร้อมทั้งนำศิษย์ที่ท่านรับไว้กลับมาด้วยถึงห้าคนด้วยกัน ส่วนตัวท่านเองมีความสนิทสนมกับท่านเจ้าอาวาสแห่งวัดเส้าหลินในขณะนั้น หลังจากได้พบหน้ากับเจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน จึงได้ปรึกษาหารือกับเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินว่า ท่านต้องการจะก่อตั้งสำนักเป็นหลักแหล่งเสียที พร้อมทั้งตั้งปณิธานทุ่มเทเวลาอบรมสั่งสอนศิษย์ทั้งห้าให้ผดุงคุณธรรม พร้อมทั้งถ่ายทอดสุดยอดวิชาของท่านให้กับศิษย์ทั้งห้าคน จุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือชาวยุทธ์ค้ำจุนบู๊ลิ๊ม ท่านเจ้าอาวาสแห่งวัดเส้าหลินท่านจึงเห็นด้วยกับความคิดนี้

ดังนั้น ท่านเจ้าอาวาสแห่งวัดเส้าหลินสหายรักของท่าน จึงเสาะหายอดเขาลูกหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดเส้าหลินเท่าใดนัก ยอดเขาลูกนี้เส้นทางขึ้นลงแสนลำบากยิ่ง ทั้งสูงชันอันตราย อีกทั้งเต็มไปด้วยหุบเหวหินผา ยอดเขาลูกนี้มีความสูงเสียดฟ้า จึงเรียกหายอดเขาลูกนี้ว่า ‘เขาหมื่นเซียน’ ด้วยเชื่อว่าเทพวิเศษเซียนสวรรค์ เทพเซียนเหล่านั้นทั้งหลายบนสรวงสวรรค์ชั้นฟ้า ต่างใช้ยอดเขานี้เป็นเส้นทางจากสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์

ในที่สุด ท่านได้เลือกสถานที่ราบด้านหนึ่งของยอดเขาหมื่นเซียน ก่อตั้งสำนักขึ้นมา โดยมีศิษย์ทั้งห้าคนเป็นศิษย์รุ่นที่หนึ่ง ท่านปรมาจารย์ผู้นี้ได้ทุ่มเทถ่ายทอดวิทยายุทธ์สุดยอดวิชา ให้กับศิษย์ทั้งห้าคนตามความถนัด นอกเหนือจากวิทยายุทธ์แล้ว ท่านยังถ่ายทอดศาสตร์วิชาทั้งห้า ให้แก่ศิษย์แต่ละคนแตกต่างกันอันได้แก่ ศาสตร์โหราพยากรณ์ บทกลอนกวี ดนตรีศิลปะ ตำรับยาโอสถ และอาวุธลับค่ายกล

อีกห้าปีต่อมา ในดินแดนจงหยวนเกิดเรื่องราวขึ้นมามากมาย เหล่ามารครองยุทธภพ แม้แต่ฝ่ายธัมมะเอง ยังคิดแย่งชิงคัมภีร์สุริยันจันทรา สมบัติล้ำค่าสุดยอดวิชาของแดนดิน ในที่สุดท่านแบ่งคัมภีร์เล่มนี้ออกเป็นสองส่วน เรียกว่า ‘คัมภีร์สุริยัน’ และ ‘จันทรา’ หลังจากนั้น ปรมาจารย์นี้ รวมทั้งคัมภีร์ยุทธ์ทั้งสองเล่ม จึงได้หายสาบสูญไปจากยุทธภพ นับเวลาจากวันนั้นถึงวันนี้สิบห้าปีมาแล้ว จนกระทั่งเมื่อหลายเดือนก่อน กลับปรากฏข้อความเป็นวลีสี่ประโยคว่า

‘หนึ่งคัมภีร์สยบกระบวนท่า หนึ่งคัมภีร์เคล็ดวิชาดรรชนี สุริยันจันทราปรากฏในปฐพี สยบไปหมื่นลี้ร้อยมณฑล’

ดังนั้น สำนักต่าง ๆ ทั้งฝ่ายธัมมะและอธรรม ล้วนมีการเคลื่อนไหวเมื่อปรากฏเบาะแสสำคัญของสุดยอดคัมภีร์ยุทธ์ ตั้งแต่ปรากฏวลีสี่ประโยค มีผู้คนตายแล้วสิบกว่าศพ แต่ละคนต่างถูกฝ่ามือลึกลับ กระแทกทำลายอวัยวะภายในแหลกละเอียด เสียชีวิตภายใต้ฝ่ามือนี้ สำนักต่าง ๆ จึงสันนิษฐานกันว่า อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับบุรุษอายุเยาว์ผู้หนึ่ง ซึ่งปรากฏตัวขึ้นในงานวันครบรอบวันเกิดของเจ้าหมู่ตึกกระเรียนฟ้าหลิวซุ่นกงกง”

เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ท่านเล่าเรื่องราวถึงตอนนี้ พลันทอดถอนใจขึ้นมาเฮือกหนึ่ง แล้วส่งเสียงกล่าววาจาว่า

“นับจากวันนี้ไปอีกห้าปีกับหกเดือน บรรดาชาวยุทธ์ทั้งหลายในบู๊ลิ้ม ต่างนัดชุมนุมรวมตัวกันที่วัดเส้าหลิน เพื่อทำการคัดเลือกผู้นำชาวยุทธ์ หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า ประมุขยุทธภพนั่นเอง”

เฟิ่นไป่ชิง นางได้ยินเช่นนั้นส่งเสียงกล่าวถามด้วยความสงสัยว่า

“คัดเลือกประมุขยุทธภพเช่นนั้นหรือ ท่านเจ้าโอสถสายรุ้ง ไฉนยุทธภพจึงต้องมีประมุขยุทธภพด้วย ประมุขยุทธภพมีความสำคัญอย่างไร?”

เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน จ้องมองมองใบหน้าของสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นวูบหนึ่ง จากนั้นส่งเสียงกล่าววาจาตอบว่า

“มังกรมิอาจไร้หัว พยัคฆ์มิอาจไร้เขี้ยว ยุทธภพก็เฉกเช่นเดียวกันไม่อาจขาดผู้นำ มิเช่นนั้นแล้ว เหล่ามารอธรรมทั้งหลายที่เริ่มกลับมาเคลื่อนไหว คงพาก่อความวุ่นวายขึ้นจนกลายเป็นการนองเลือด จะมีผู้บริสุทธิ์อีกมากมายต้องมารับเคราะห์กรรมนี้”

เฟิ่นมู่เหอส่งเสียงกล่าวว่า

“ดังนั้น จึงต้องคัดเลือกประมุขยุทธภพถูกต้องหรือไม่?”

เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนกล่าวตอบว่า

“ถูกต้อง เจ้ากล่าวมามิผิด ดังนั้นจึงต้องคัดเลือกผู้นำชาวยุทธ์มาทำหน้าที่คลี่คลายปมการตายปริศนานี้ ซึ่งผู้ตายหลายคนเป็นคนของสำนักต่าง ๆ ดูเค้าลางเภทภัยครั้งนี้ใหญ่หลวงยากคลี่คลาย”

เฟิ่นไป่ชิง นางได้ยินเช่นนั้นส่งเสียงร้องว่า

“อีกห้าปีกับหกเดือน นับไปเลยเทศกาลสารทง่วนเซียวไปห้าวัน สมควรตรงกับวันแรมห้าค่ำเดือนยี่ ถูกต้องหรือไม่กอกอ?”

เฟิ่นไป่ชิง นางมิเพียงส่งเสียงเอ่ยวาจาเท่านั้น ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาพร้อมกับนับนิ้วในมือ กอกอของนางพยักหน้าบ่งบอกว่าถูกต้อง สาเหตุที่นางแสดงท่าทางตื่นเต้นยินดีนั้น อาจเพราะพี่ชายของนางรับปากเอาไว้ว่าทุกปีต่อจากนี้ เขาจะพานางออกมาท่องเที่ยวแดนจงหยวนในเทศกาลสารทง่วนเซียว

ง่วน(แรก) เซียว(กลางคืน) เทศกาลสารทง่วนเซียว จึงหมายถึงคืนที่พระจันทร์เต็มดวงครั้งแรกในรอบปี  ตรงกับวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนอ้าย ในวันนี้ทุกบ้านจะนิยมกินขนมบัวลอยกันในครอบครัว และออกจากบ้านมาชมการประดับโคมไฟเพื่อความเป็นสิริมงคลอีกด้วย

เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน กล่าววาจาสืบต่อหลังจากนิ่งเงียบงันไปชั่วขณะ ในยามนี้ทั้งหมดหยุดเท้าก้าวเดิน เปลี่ยนอิริยาบถเป็นการยืนสนทนาอยู่กับที่แทน ซึ่งเป็นด้านหนึ่งของเนินเสือดาว มีต้นไม้น้อยใหญ่ อีกทั้งยังมีต้นหญ้าขึ้นอยู่เรียงรายเป็นทิวแถวสูงเลยสะเอว ท่านส่งเสียงกล่าววาจาว่า

“ในวันนั้น เราคาดว่าจะมีบรรดาชาวยุทธ์มากมาย ล้วนเดินทางมาร่วมชุมนุมยังวัดเส้าหลิน พวกเจ้าทั้งสองอย่าได้เที่ยวเล่น รีบเร่งเดินทางกลับสำนัก นำเรื่องราวที่เกิดขึ้นพร้อมกับบอกกล่าวเกี่ยวกับการชุมนุมชาวยุทธ์ให้เจ้าผาของพวกเจ้าได้รับทราบ”

ยามนั้น เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน จ้องมองหน้าสองเฮีม่วยแซ่เฟิ่นอีกครา คล้ายกับเคลือบแคลงสงสัยสิ่งใดอยู่กระนั้น ก่อนจะส่งเสียงกล่าวถามทั้งสองว่า

“อืมม์ แต่เราสงสัยว่าไฉนพวกเจ้าทั้งสองคน ถึงเรียกเจ้าเฒ่าชราว่าเจ้าผา? ที่ถูกต้องสมควรจะเรียกว่าซือแป๋”

เฟิ่นมู่เหอ เอ่ยวาจาให้เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนฟังว่า เขาและคนในผาต่างไม่ทราบเหตุผลเช่นกัน เพราะเหตุใดเจ้าผาของพวกเขามิให้เรียกหาว่าอาจารย์ เฟิ่นมู่เหอกล่าวอธิบายว่า

“เรื่องนี้ข้าพเจ้าเฮียม่วยต่างค้างคาใจแต่ไม่กล้าซักถาม ท่านเจ้าผาบอกว่าในชีวิตนี้ท่านไม่คิดรับศิษย์ แต่ที่ท่านยอมสอนวรยุทธ์ให้เราเฮียม่วยนั้น เพียงเพื่อให้ช่วยงานท่านในสำนัก ดังนั้นท่านจึงสั่งให้ทุกคนในผาทั้งหมด เรียกหาท่านผู้เฒ่าว่าท่านเจ้าผา”

เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน พยักหน้ารับทราบแม้ไม่เข้าใจเหตุผล พร้อมกับส่งเสียงกล่าววาจากับทั้งสองต่อว่า

“เอาเถิด เรื่องนี้เจ้าเฒ่าย่อมมีเหตุผลของมัน สักวันพวกเราคงกระจ่างได้เอง พวกเจ้าเองอย่าให้สร้างความลำบากใจให้แก่มัน นี่ก็ดึกดื่นมากแล้ว พวกเจ้าทั้งสองรีบเดินทางกลับโรงเตี๊ยมพักผ่อนออมแรง ขืนอยู่แถวนี้เนิ่นนานเกินไป อาจมีคนสะกิดความสงสัยเอาได้ เราเองจะต้องเดินทางไปนอกด่านทำงานชิ้นหนึ่งให้สำเร็จ แล้วเราจะส่งข่าวให้เจ้าผาของพวกเจ้าได้รับทราบ หากมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปจากนี้ พวกเจ้ารีบส่งข่าวไปตามที่อยู่ซึ่งเราได้ให้ไว้นี้”

หลังจากทั้งสามสนทนากันอีกราวครึ่งชั่วยาม เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ท่านบอกให้เฟิ่นมู่เหอและเฟิ่นไปชิง รีบเดินทางกลับโรงเตี๊ยม ส่วนตัวท่านเองจะเดินทางออกนอกด่านไปกระทำเรื่องราวประการหนึ่ง เหตุผลอีกข้อหนึ่งหากอยู่เนิ่นนานเกินไป จะเป็นที่สงสัยของผู้คนผ่านมาพบเห็นได้

เฟิ่นไป่ชิง ส่งเสียงกล่าวอำลา พร้อมทั้งกล่าวคำขอบคุณเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน เมื่อเห็นว่าต้องแยกย้ายจากกัน นางส่งเสียงกล่าววาจาว่า

“เช่นนั้น ข้าพเจ้าเฟิ่นไป่ชิงขออำลาท่านผู้เฒ่า ขอบคุณท่านเจ้าโอสถสายรุ้ง สำหรับของขวัญเป็นยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณ ที่ท่านมอบให้แก่ข้าพเจ้า ท่านผู้เฒ่าโปรดถนอมตัวแล้วค่อยพบเจอกันใหม่”

ยามนั้น เมื่อผู้เป็นม่วยม่วยส่งเสียงกล่าววาจาจบ เฟิ่นมู่เหอผู้เป็นกอกอ เขารีบส่งเสียงกล่าววาจาต่อทันทีว่า

“ข้าพเจ้าเฟิ่นมู่เหอ ต้องขออำลาท่านผู้เฒ่าด้วยเช่นกัน ท่านเจ้าโอสถสายรุ้งอย่าได้ห่วงวิตก ข้าพเจ้าและไป่ชิงจะรีบเดินทางกลับผา พร้อมกับนำเรื่องราวที่เกิดขึ้น ไปบอกกล่าวต่อท่านเจ้าผามิให้ตกหล่น หากมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงหลังจากนี้ ข้าพเจ้าจะรีบแจ้งไปตามที่อยู่ของท่าน ท่านผู้เฒ่าโปรดถนอมตัว”

หลังจากร่ำลากันอยู่อีกหลายคำ คนทั้งสามต่างแยกย้ายจากกัน สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น พลิ้วกายราวเหาะเหินมุ่งหน้ากลับโรงเตี๊ยมต้าเหอชุน ส่วนเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน กระโดดขึ้นลงไม่กี่ครา ร่างหายวับไปกับความมืดมิดของราตรีกาล มองไปคล้ายหมอกควันเบาบางกลุ่มหนึ่ง

บัดนั้น ห่างออกไปไม่ไกลเท่าใดนัก หลังเนินดินเตี้ยลูกเล็ก ๆ ซุ่มดูอยู่ด้วยชายชุดดำผู้หนึ่ง ชุดดำที่เคยปรากฏกายท้ายหมู่บ้านเย้ยอรุณหลายคืนก่อนนั่นเอง ถ้อยคำการสนทนาของทั้งสามมันได้ยินไม่หมดสิ้นก็จริง แต่พอจับใจความได้หลายประโยค เมื่อทั้งสามจากไปมันจึงออกมาจากตำแหน่งที่ซ่อนตัว จากนั้นส่งเสียงเปล่งวาจาโดยเบิกบานใจว่า

“คัมภีร์ยุทธ์สุริยันจันทรา ไม่เสียแรงที่เสาะหาเบาะแส ในที่สุดได้เราก็ได้ร่องรอย อีกไม่นานยุทธภพนี้ต้องตกเป็นของเรา ฮา ๆ”

ทันใดนั้น ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงหัวร่อของอาคันตุกะชุดดำ เสียงหัวร่ออีกเสียงหนึ่งพลันดังสอดขึ้นว่า

“ฮา ๆ คิดจะเป็นเจ้ายุทธ์ปกครองบู๊ลิ้ม แม้แต่หน้าตายังไม่กล้าเปิดเผยให้ผู้คนได้พบเห็น น่าขัน ช่างน่าขันกล่าววาจาได้มิอายปาก สุนัขผายลมยังน่าฟังกว่าคำพูดเพ้อเจ้อเหลวไหล ท่านมีคุณสมบัติกระไรปกครองยุทธภพ?”

สิ้นเสียง พลังเย็นเยียบสายหนึ่ง แผ่พุ่งแหวกฝ่าอากาศมาด้วยความเร็วจนแทบตระหนก อาคันตุกะชุดดำใจหายวาบ รีบเกร็งลมปราณขึ้นคุ้มครองกายพลางพุ่งร่างเฉียง ๆ ออกไปด้านข้างหนึ่งวา แล้วกระโดดพุ่งร่างขึ้นหมุนตัวตีลังกากลางอากาศหนึ่งรอบ พอทิ้งเท้าแตะสัมผัสพื้นเห็นต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ด้านหลัง ตำแหน่งที่ตนเองยืนเมื่อครู่หักโค่นล้มครืนลง ชายชุดดำส่งเสียงร้องอุทานด้วยความตกใจว่า

“ดรรชนีเทวะ! ท่านเป็นใคร มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับอารามอเทวตา (เทวตา หมายถึงชาวสวรรค์ผู้มีตาทิพย์ หูทิพย์ เสวยอาหารทิพย์) เมื่อมาแล้วไยไม่ปรากฏตัว?”

เสียงแหลมเล็กแสบแก้วหู ดังแล้วค่อยจางหายห่างออกไปกับความมืดมิด แท้จริงแล้วเจ้าของเสียงจากไปหลายลี้แล้ว เพียงแต่โคจรพลังบังคับเส้นเสียงด้วยลมปราณ โต้ตอบกลับมาด้วยวิชาบังคับคลื่นเสียงไกลพันลี้กลับมาว่า

“อารามอเทวตายินดีต้อนรับ มีปัญญาเชิญมาถามไถ่ได้ทุกเมื่อ ค่ำคืนนี้ข้าพเจ้ามีธุระไม่มีเวลามาวิสาสะ กับกล่าววาจาสนุกสนานกับท่าน จงซุกหัวซ่อนหางของท่านให้มิดชิดเถอะ ฮาฮา”

คนชุดดำแม้ในใจใคร่ติดตามเจ้าของเสียงไป แต่ทว่ามิอาจกระทำตามใจปรารถนา อีกประการในตอนนี้ยังไม่ต้องการเปิดเผยตัวให้เป็นที่สงสัยแก่ผู้คน ดังนั้นจึงจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังเพื่อมิให้เสียงานใหญ่ ดังนั้นจึงพุ่งร่างออกจากสถานที่แห่งนั้น มุ่งหน้าตามทิศทางซึ่งสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นมุ่งหน้าไปนั่นเอง

ยุทธภพในเวลานี้แม้เงียบสงบไร้เรื่องราว แต่เหล่ามารอธรรมใช่ว่าจะไม่มีออกมาก่อกวน หากจะกล่าวถึงสำนักมารที่มีชื่อเสียง และมีพลังฝีมือสูงเยี่ยม เป็นชนชั้นยอดฝีมือแถวหน้ายุทธภพ พอจะจำแนกแจกแจงได้ดังนี้

สำนักอสรพิษดำ ผู้เป็นเจ้าสำนักเป็นสองสามีภรรยา ชาวยุทธ์ต่างหลีกหนีเมื่อทั้งสองปรากฏตัว นอกจากพลังฝีมือไม่รวบรัดธรรมดาแล้ว ด้านความร้ายกาจของวิชาพิษนับได้ว่าเป็นที่หนึ่งเลยทีเดียว ในปัจจุบันนี้คนทั้งสองน่าจะมีอายุล่วงเลยเหยียบย่างเกือบร้อยปีแล้วเห็นจะได้  ฝ่ายสามีมีฉายาตาเฒ่าเข็มวิเศษนามฝ่านอี้เฉิน ส่วนภรรยาได้รับฉายายายเฒ่าหมื่นพิษนามเนี๊ยะซิ้ว”

สำนักฝ่ามือโลหิต เจ้าสำนักมีฉายาว่าหัตถ์อมตะนามหลี่ปู้เหว่ย ด้านพลังฝีมือร้ายกาจสูงส่ง ยามลงมือจะเห็นฝ่ามือของคนผู้นี้เปลี่ยนเป็นสีแดงฉานคล้ายดั่งโลหิต ยุทธภพต่างทราบกันดีว่า ฝ่ามือนี้เรียกว่าฝ่ามือโลหิต โหดเหี้ยมและอำมหิตไร้ปรานี ในอดีตมีผู้สังเวยวิญญาณให้กับมันผู้นี้มานับไม่ถ้วน

สำนักอินทรีขาว เจ้าสำนักฉายาอินทรีกลางฟ้านามหว่าเกาเฉิง ใช้วิชากรงเล็บอินทรีเหล็กสร้างชื่อไปทั่วยุทธภพ ประวัติภูมิหลังไม่ค่อยชัดเจนเท่าใดนัก ที่ชัดเจนที่สุดคือความชั่วช้าสามานย์ของมัน ทั้งสามสำนักมารที่กล่าวถึงนี้ ในอดีตสร้างความวุ่นวายและก่อกวนยุทธภพสร้างความหวาดกลัวแก่ผู้คน แต่สิบห้าปีมานี้ ข่าวคราวของบุคคลเหล่านี้กลับเงียบหายไป กระทั่งชาวยุทธ์คิดว่าพวกมันคงล้มหายตายจากไปจากยุทธภพหมดสิ้นแล้ว

เมื่อกล่าวถึงสำนักมารทั้งสามแล้ว แน่นอนสำนักฝ่ายธัมมะ ไม่มีผู้ใดไม่รู้จักวัดเส้าหลิน นอกจากเจ้าอาวาสแต่ละรุ่นจะมีวรยุทธ์สูงส่งแก่กล้าแล้ว หลวงจีนแต่ละรูปต่างมีฝีมือสูงเยี่ยมยากประมาทคาดเดา อีกทั้งยังมีหลวงจีนชราที่เก็บตัวไม่ยุ่งเกี่ยวทางโลก ร่ำลือกันว่าพวกท่านเก็บซ่อนตัวมิดชิดซุกงำพลังฝีมือไม่เปิดเผย ดังนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมา สำนักมารต่างมิกล้าตอแยตรง ๆ กับวัดเส้าหลิน

นอกจากนั้น อีกสามสำนักฝ่ายธัมมะประกอบด้วย สำนักเมฆฟ้าพิรุณ หุบเขาผาพยัคฆ์ขาว และพรรคไผ่หลิว นอกเหนือจากนี้ยังมียอดคนซึ่งไปมาไร้ร่องรอยอีกผู้หนึ่ง ชาวยุทธ์เรียกหาว่าขอทานพเนจรฉายามังกรล่องเมฆานามหวงเกาฉือ ผู้เฒ่าท่านนี้มีผู้คนเข้าร่วมอุดมการณ์มากมายทั่วแผ่นดิน ส่วนใหญ่จะเป็นยาจกขอทานทั้งหลาย หรือหลายคนรู้จักท่านในฐานะประมุขพรรคกระยาจกนั่นเอง

ส่วนทางด้านราชสำนักมีหมู่ตึกกระเรียนฟ้า ที่ผ่านมาให้ความช่วยเหลือฝ่ายธัมมะด้วยดีตลอดเวลา หลิวซุ่นกงกงเจ้าหมู่ตึกกระเรียนฟ้า เพาะสร้างมือดีเอาไว้มากมาย ด้านพลังฝีมือร้ายกาจสูงส่งตามคำร่ำลือ

ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด ยังเทียบมิได้เลยกับสำนักหนึ่ง ซึ่งล่มสลายไปจากยุทธภพเมื่อสิบห้าปีก่อน นั่นคือสำนักตำหนักหมื่นเทพ แห่งเขาหมื่นเซียน เจ้าสำนักคบหาเป็นสหายรักกับเจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน สำนักแห่งนี้เรียกได้ว่า เป็นอันดับหนึ่งในยุคนั้น

นอกเหนือจากผู้เป็นเจ้าสำนัก จะมีพลังฝีมือสูงส่งไร้เทียมทานแล้ว ศิษย์ทั้งห้าของท่านยังมีวิทยายุทธ์สูงสุดยอด สร้างความครั่นคร้ามแก่เหล่ามารอธรรม แต่น่าเสียดายที่สำนักแห่งนี้ ต้องมาล่มสลายไป พร้อมกับศิษย์ทั้งห้ามาหายตัวไร้ร่องรอย แต่สิ่งที่ชาวยุทธ์ทั้งหลายต่างหมายปองหวังได้ครอบครอง นั่นคือคัมภีร์ยุทธ์สุริยันจันทรา สมบัติล้ำค่าวิชาสูงสุด หากผู้ใดได้เป็นเจ้าของ สามารถปกครองบู๊ลิ้มไร้ผู้ต่อต้าน

เมื่อมาเกิดเหตุการณ์ มีผู้คนถูกสังหารด้วยบุคคลลึกลับ ทุกคนเสียชีวิตด้วยวิชาฝ่ามือเดียวกัน ผู้ที่ลงมือใช้เพียงฝ่ามือเดียว สามารถทำลายอวัยวะภายในแหลกละเอียด หรือมือสังหารลึกลับรายนี้ จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับวลีสี่ประโยค ซึ่งเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนได้กล่าวถึง หากเป็นเช่นนั้นจริง ผู้ที่ลงมือจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่บ้าง อีกทั้งยังไม่ประสงค์ดีต่อยุทธภพอย่างแน่นอน

นอกจากนั้น ยังไม่อาจมองข้ามคนอีกผู้หนึ่ง ซึ่งสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นได้ประมือมา นั่นคือแม่ชีนิรนามนางหนึ่ง หรือว่านางจะเป็นบุคคลลึกลับที่ลงมือฆ่าคน อีกทั้งบุรุษหนุ่มลึกลับที่ปรากฏตัวในหมู่ตึกกระเรียนฟ้าล้วนน่าสงสัยเช่นกัน สุดท้ายยังมีอาคันตุกะชุดดำอีกผู้หนึ่ง ทุกคนล้วนน่าสงสัยว่าอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายปริศนาในครั้งนี้ แม้แต่สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น ยังไม่อาจยกเว้น ยุทธภพที่หลับใหลเริ่มส่อเค้าความวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

 

17 เมษายน 2564
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป