รักนรินทร์เกิดมาพิการขาเดินไม่ได้แต่กลับยินยอมแต่งงานกับธนัตถ์ชายหนุ่มผู้แสนเย็นชาแต่ปากร้าย
รักนรินทร์เกิดมาพิการขาเดินไม่ได้แต่กลับยินยอมแต่งงานกับธนัตถ์ชายหนุ่มผู้แสนเย็นชาแต่ปากร้าย
บทที่1
'สีน้ำตาลอ่อนก็ดูดีนะครับ' เสียงนุ่มของชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังคุยกับรักนรินทร์ผ่านวิดีโอคอล
"รักก็คิดแบบนั้นครับ จับคู่กับสีครีมก็ไม่เลว ให้ความรู้สึกเป็นเอิร์ธโทนดีครับ" คนตัวเล็กพูดพลางเทียบแถบสีสองสีด้วยกัน รักนรินทร์กำลังคุยกับบก.ที่ดูแลเรื่องงานเขียนของเขา
งานเขียนเรื่องหนึ่งได้รับเลือกให้ตีพิมพ์ รักนรินทร์ไฉนเลยจะไม่ดีใจถึงแม้งานเขียนจะได้ตีพิมพ์มาหลายเรื่องแล้วก็ตาม และด้วยความที่พื้นเพเป็นคนละเอียดอยู่แล้วการออกแบบหรือเลือกสีปกหนังสือรักนรินทร์ก็ใส่ใจมากเช่นกัน
เราคุยกันมาร่วมจะสามชั่วโมงแล้ว!
'งั้นสีครีมส่วนปก กระดาษเป็นแบบถนอมสายตา สายคั่นหน้าสีน้ำตาลนะครับ...' ปลายสายทวนรายละเอียดอีกรอบ
"ตามนั้นเลยครับคุณวิทย์" รักนรินทร์ตอบพร้อมรอยยิ้ม ไม่ว่าจะกี่ครั้งเวลาที่ได้ตีพิมพ์ก็หยุดตื่นเต้นไม่ได้เลย
'โอเคครับ ถ้าเล่มตัวอย่างเสร็จเมื่อไหร่ผมจะเอาไปให้ดูที่บ้านนะครับคุณรัก' คุณวิทย์ดันแว่นขึ้นพร้อมจดรายละเอียดอีกเล็กน้อยแล้วสบตากับรักนรินทร์ในจอแท็บเล็ตที่วางอยู่บนโต๊ะ
รักนรินทร์เองก็แอบเกรงใจคุณบก.อยู่ตลอด ต้องมาฟังเขาเป็นชั่วโมงแบบนี้แล้วยังเป็นฝ่ายมาหาเขาที่บ้านเสมอเพราะเขาต้องนั่งรถเข็นจะไปไหนมาไหนไม่ค่อยสะดวกนัก คุณวิทย์จึงอาสามาหารักนรินทร์เอง
"ขอบคุณครับคุณวิทย์ ต้องรบกวนคุณตลอดเลย"
'อย่าคิดมากครับคุณรัก ยังไงมันก็เป็นหน้าที่ของบก.อย่างผม' ชายหนุ่มส่งยิ้มบางไปให้รักนรินทร์ หากบก.อย่างเขาคอยดูแลและอำนวยความสะดวก นักเขียนก็จะมีเวลาคิดผลงานและไอเดียมากขึ้นโดยไม่ต้องพะวงกับสิ่งอื่น
"ขอบคุณอีกครั้งนะครับคุณวิทย์ งั้นรักจะรอนะครับ สวัสดีครับ" รักนรินทร์กล่าวลาและเมื่ออีกฝ่ายตอบกลับเขาก็กดวางสายวิดีโอคอล
รักนรินทร์บิดขี้เกียจเล็กน้อยรู้สึกปวดหลังปวดคอนิดหน่อย พลันสายตาเหลือบไปมองเวลาบนนาฬิกาโบราณตัวใหญ่
จะหกโมงแล้วหรือเนี่ย...
ชัชวาลไม่ได้เข้ามารบกวนรักนรินทร์เพราะคุณชายตัวเล็กบอกกับพ่อบ้านไว้ว่าเขามีประชุมกับคุณบก. ชัชวาลจึงทำเพียงแค่รินน้ำชาให้เหมือนทุกครั้งแล้วเดินออกจากห้องหนังสือไป
รักนรินทร์นั่งอมยิ้มให้กับหนังสือที่จะได้รับการตีพิมพ์ เขาอยากจะลองไปร้านหนังสือเพื่อสังเกตสีหน้าและความพอใจของคนที่ซื้องานของเขาไป
เนื้อเรื่องจะถูกใจไหม
พวกเขาจะชอบหรือเปล่า...
ไม่ว่าจะผ่านการตีพิมพ์มากี่เรื่องหรือกี่ครั้งรักนรินทร์ก็อดจะคิดมากไม่ได้ จนบางทีถึงกับนอนไม่หลับเลยทีเดียว
แต่คุณวิทย์บอกกับเขาว่าหากงานเขียนของเขาได้รับการตีพิมพ์ นั่นก็การันตีแล้วได้เลยว่าคนที่ซื้อไปอย่างไรก็ชอบงานของเขาแน่นอน ได้ยินคำให้กำลังใจแบบนั้นรักนรินทร์ก็รู้สึกดีขึ้นมาเลย
นั่งจมอยู่กับความคิดได้ไม่เท่าไหร่ชัชวาลก็เคาะประตูหน้าห้อง รักนรินทร์เผลอสะดุ้งตัวหลุดจากภวังค์ความคิดแล้วขานรับทันที
"ขออภัยที่รบกวนนะครับคุณรัก ผมเห็นว่าได้เวลาอาหารเย็นแล้ว คุณรักอยากจะรับอาหารที่นี่เลยไหมครับ? " ชัชวาลถามออกไป ปกติเขาก็จะไม่มารบกวนหากเจ้านายกำลังติดประชุมหรือติดสายกับใคร แต่ตอนนี้ถึงเวลาของมื้อเย็นคุณรักก็ควรรับอาหารเสียหน่อยไม่เช่นนั้นจะทำงานเพลินจนร่างกายเจ็บป่วยเอาได้
"รักคุยงานเสร็จแล้วครับอาชัช เดี๋ยวไปห้องอาหารเลยก็ได้ครับ" รักนรินทร์ตอบ ชัชวาลจึงช่วยพยุงรักนรินทร์ที่นั่งอยู่บนโซฟาให้เปลี่ยนมานั่งบนรถเข็นแทน
รักนรินทร์เองก็ต้องใช้กำลังแขนตัวเองเพื่อที่จะยันตัวขึ้น สองมือจับรถเข็นแน่นแล้วค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งแล้วจับขาของตนแต่ละข้างให้วางอยู่บนที่พักเท้า
รักนรินทร์ไม่อยากให้ชัชวาลมาช่วยเขามาก อย่างไรรักนรินทร์ก็คิดว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน การช่วยเหลือตัวเองให้ได้นั่นคือสิ่งสำคัญ
ชัชวาลค่อยๆ เข็นรักนรินทร์ออกจากห้องหนังสือมุ่งไปยังห้องสำหรับทานอาหาร รักนรินทร์ก็อยากจะเข็นเองอยู่หรอกนะ แต่อาชัชของเขานี่สิไม่ยอมท่าเดียว
รักนรินทร์ที่กำลังผ่านห้องนั่งเล่นไปยังจุดหมายสายตาก็เหลือบเห็นร่างสูงของใครบางคนเสียก่อน
"ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับพี่ฤกษ์" เขาบอกให้ชัชวาลหยุดเข็นสักครู่แล้วกล่าวทักทายผู้มาใหม่
ฤกษ์คือพี่ชายแท้ๆ ของรักนรินทร์และเป็นครอบครัวจริงๆ เพียงคนเดียวที่เขาเหลืออยู่ เพราะทั้งพ่อและแม่ของเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อหลายปีก่อน ทำให้ตอนนี้ฤกษ์เป็นเหมือนเสาหลักของตระกูลก็ว่าได้
"อืม" ฤกษ์เพียงรับคำในลำคอ แล้วส่งกระเป๋าทำงานให้เด็กรับใช้นำไปเก็บ "พึ่งทานข้าว? " ฤกษ์เลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม
"ครับ พอดีว่ารักเพิ่งประชุมกับคุณวิทย์เสร็จครับ" คนตัวเล็กตอบพลางส่งยิ้มไปให้
"อืม พี่จะไปล้างมือล้างหน้า นายไปรอพี่ที่ห้องอาหารได้เลย" คนเป็นพี่พยักหน้าเล็กน้อยแล้วบอกให้น้องชายไปรอที่โต๊ะก่อน
รักนรินทร์รับคำ และเมื่อมาถึงห้องอาหารชัชวาลก็จัดการล็อกล้อรถเข็นไว้ไม่ให้เคลื่อน พอรักนรินทร์ดันตัวขึ้นนั่งบนเก้าอี้เรียบร้อย ป้าบัวก็เดินออกมาพอดี
"อ้าวคุณรักป้ากำลังจะเดินไปดูคุณอยู่พอดีเลยค่ะ แก้วกับพิณรีบไปยกกับข้าวออกมาทีนะ" ป้าบัวพูดขึ้นแล้วหันไปบอกให้เด็กรับใช้คนอื่นมาเริ่มตั้งโต๊ะ
"รักคุยกับคุณวิทย์นานไปหน่อยครับ.. ป้าบัวครับพี่ฤกษ์กลับมาแล้วนะครับกำลังไปล้างมืออยู่" รักนรินทร์ตอบแม่นมของตนแล้วบอกเรื่องที่พี่ชายกลับถึงบ้านแล้ว
"ทราบแล้วค่ะ เดี๋ยวป้ารีบไปช่วยพวกเด็กๆ ตั้งโต๊ะก่อนนะคะ" พูดจบเธอก็รีบกลับเข้าไปในครัวยกอาหารออกมาจนครบ
ฤกษ์หลังจากทำธุระในห้องน้ำเสร็จก็ตามมาที่ห้องอาหาร เขาเดินไปนั่งที่หัวโต๊ะโดยด้านขวามือมีรักนรินทร์นั่งอยู่ ส่วนรถเข็นของน้องชายถูกเข็นมาจอดติดพนังหลังเก้าอี้ของเจ้าตัว
ฤกษ์มองรถเข็นนั้นนิ่งๆ โดยไม่พูดอะไร เด็กรับใช้รีบเสิร์ฟน้ำเย็นๆ แล้วตักข้าวสวยสีขาวลงในจานของเจ้านายทั้งสอง
"วันนี้ป้าบัวทำมัสมั่นของโปรดพี่ฤกษ์ด้วย แล้วก็มีห่อหมกปลากรายของชอบของรัก" รักนรินทร์พอเห็นกัวข้าววันนี้ก็พูดออกมาทันที เขายิ้มน้อยยิ้มใหญ่
ป้าบัวทำของโปรดของเขาสองพี่น้อง มื้อนี้ได้จุกแน่ๆ ...
จากนั้นฤกษ์และรักนรินทร์ก็ทานข้าวกันโดยไม่มีใครพูดอะไร เป็นปกติของสองคนพี่น้อง ด้วยความที่ฤกษ์และรักนรินทร์อายุห่างกันถึง6ปี ฤกษ์ที่อายุยี่สิบเก้าจึงเป็นผู้ใหญ่ที่สุขุมและนิ่งขรึมเนื่องจากเขาต้องเป็นหัวหน้าครอบครัวทำให้ผ่านอะไรมาหลายๆ อย่าง ต่างกับรักนรินทร์ที่เขาให้อิสระแก่น้องได้ทำในสิ่งที่ต้องการ
ฤกษ์เองก็เป็นผู้ชายที่หลายคนหมายปองเฉกเช่นเดียวกับรักนรินทร์ รูปร่างหน้าตาของคนพี่นั้นส่วนใหญ่จะได้จากทางพ่อมามากกว่า ดวงตา โครงหน้า จมูก ส่วนริมฝีปากได้จากแม่ พอมารวมอยู่บนใบหน้าของฤกษ์แล้วก็หล่อเหลาเอาการเสียจนใครเห็นก็คงหลงรักทันที
แม้จะอายุสามสิบแล้ว ฤกษ์ก็ยังคงถือครองสถานะโสด เขาไม่มีเจ้าของหัวใจเพราะเวลาของเขาไปอยู่ที่งานเสียมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้น ฤกษ์ก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งหากจะบอกว่าไม่มีความรู้สึกทางเพศเลยคงเป็นไปไม่ได้ และเมื่อเขาต้องการเขาเพียงแค่ระบายกับคนที่สมยอมและจะไม่มาผูกมัดกับเขาเท่านั้น
แต่ช่วงนี้ฤกษ์ต้องทำงานค่อนข้างหนัก สีหน้าของเขาซูบเซียวเล็กน้อยจากการอดหลับอดนอน รักนรินทร์ที่เห็นแบบนั้นอดเป็นห่วงไม่ได้
"งานที่บริษัทเป็นอย่างไรบ้างครับพี่ฤกษ์" เห็นฤกษ์รวบช้อนแล้วยกน้ำขึ้นดื่ม รักนรินทร์จึงถามคนพี่
"ก็ไม่มีอะไรมาก ปกติดี" ฤกษ์ตอบพลางวางแก้วน้ำลงแล้วสบตากับน้องชาย
รักนรินทร์งุนงงกับคำตอบ
สรุปมีหรือไม่มี พี่ฤกษ์ไม่ได้กวนประสาทเราแน่นะ
แต่ช่างเถอะ เขาเป็นห่วงคนตรงหน้ามากกว่า สีหน้าความเหนื่อยล้ามันปรากฏอยู่บนหน้าของคนเป็นพี่ รักนรินทร์รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเอาเปรียบ พี่ชายต้องคอยทำงานหนักเพื่อเขาอดหลับอดนอนมากกว่าเขา แต่เขากลับอยู่อย่างสบายใจ ได้ทำงานที่ชอบ มีเวลากับตัวเอง คิดแล้วก็รู้สึกผิดต่อฤกษ์มากเหลือเกิน
"พอจะมีอะไรให้รักช่วยได้บ้างไหมครับพี่ฤกษ์" เขาถามออกไปเสียงแผ่ว
"หมายถึง? " ฤกษ์ไม่เข้าใจคำว่าช่วยของรักนรินทร์ จะช่วยเขาเรื่องอะไรงั้นหรือ
"เอ่อ.. รักหมายถึง งานที่บริษัทพอจะมีอะไรที่รักช่วยได้บ้างไหม หรือจะอะไรก็ได้ รักอยากช่วยแบ่งเบาภาระพี่ฤกษ์บ้าง" รักนรินทร์เม้มปาก มือประสานกุมกันอย่างประหม่า ปกติไม่ค่อยได้คุยเรื่องบริษัทกับพี่ฤกษ์เท่าไหร่ เขาจึงรู้สึกกังวล
นี่เขากำลังอวดดีอยู่หรือเปล่านะ...
"..."
"รักอยากช่วยอะไรพี่ฤกษ์บ้าง พี่ฤกษ์ต้องบริหารบริษัทอยู่คนเดียว รักเห็นพี่ฤกษ์เหนื่อย ตะ..แต่รักไม่ได้หมายความว่ารักจะมาขอบริหารบริษัทเองนะ รักหมายถึงรักอยากทำตัวให้เป็นประโยชน์กับพี่ฤกษ์บ้าง คือรักแค่..คือ-"
"ใจเย็นๆ ก่อนรักนรินทร์" รักนรินทร์รัวคำพูดจนอีกฝ่ายต้องรีบห้ามเอาไว้
"ขอโทษครับพี่ฤกษ์ รักแค่อยากช่วยพี่ฤกษ์บ้าง"
"นายไม่จำเป็นต้องมาช่วยงานพี่" ฤกษ์พูดออกมาเสียงเรียบ
"รักเข้าใจครับพี่ฤกษ์ รักเดินไม่ได้แบบนี้ขืนไปทำงานคงยิ่งเป็นภาระกว่าเดิม" รักนรินทร์เข้าใจว่าคนพี่กำลังบอกว่าตัวเขานั้นคงไร้ประโยชน์ พิการแบบนี้คงมาเป็นภาระเสียมากกว่า
ฤกษ์มองหน้าน้องชายนิ่งๆ แล้วถอนหายใจเล็กน้อย คาดว่ารักนรินทร์คงตีโพยตีพายคำเขาไปเองเสียแล้ว
"พี่ไม่ได้ว่านายว่าจะมาเป็นภาระ" เขาพูดเสียงอ่อนลง
รักนรินทร์ได้ยินแบบนั้นจึงรีบเงยหน้ามองพี่ชายตนทันที
"ที่พี่หมายถึงคือมันไม่มีอะไรที่หนักหนาสาหัสจนพี่ทำไม่ได้ นายไม่จำเป็นต้องกังวล ใช้เวลาที่นายมีทุ่มเทให้กับงานเขียนไป"
"รักทำแต่งานตัวเอง งานเพื่อตัวเองนะพี่ฤกษ์ แต่พี่ฤกษ์กำลังทำเพื่อรักเพื่อครอบครัว คนที่เห็นแก่ตัวก็คือรัก" แม้พี่ฤกษ์จะเป็นคนให้อิสระแก่เขาแต่รักนรินทร์เองก็หวังจะเป็นประโยชน์ให้พี่ชายตนได้บ้าง
"ที่พูดนั่นแน่ใจงั้นเหรอ"
"..."
"งานเขียนของนายมันทำให้คนอื่นมีความสุขด้วยไม่ใช่เหรอ นายตั้งใจทำมันออกมาเพื่อให้คนอ่านได้ชื่นชมนั่นก็เท่ากับว่านายทำเพื่อคนอื่นอยู่ด้วย" ฤกษ์พูดออกไปพลางลูบไปบนศีรษะน้องชายตัวเล็กเบาๆ "เรื่องบริษัทพี่จัดการเองได้ มันไม่มีอะไร แค่ช่วงนี้ต้องจัดการเอกสารหนี้สินเก่าๆที่เหลืออยู่ก็แค่นั้น ดังนั้นก็อย่าพึ่งคิดแทนพี่หรือคิดไปเองอีก"
ตระกูลอธิพัฒน์มนตรีประกอบกิจการผลิตยาทางการแพทย์ มีชื่อเสียงโด่งดังไม่แพ้บริษัทใด แต่หลังจากพ่อแม่ของฤกษ์และรักนรินทร์เสียชีวิต บริษัทก็เจอมรสุมอย่างหนัก หนี้สินมากมายที่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นตอนไหนเพราะในช่วงที่พ่อของเขาบริหารอยู่ตัวของฤกษ์ตอนนั้นกำลังเรียนปริญญาโทอยู่ที่อังกฤษ หลังจากพ่อและแม่เสียไป สันต์ภพ ผู้เป็นน้องชายพ่อหรืออาของเขาได้รับหน้าที่บริหารแทนชั่วคราว ฤกษ์จึงกลับไปเรียนต่อให้จบแล้วกลับมาบริหารกิจการต่อ แต่อยู่ๆบริษัทหลายแห่งก็ส่งใบแจ้งหนี้มาถึงเขา เอกสารพวกนั้นระบุเหมือนกันหมดว่าพ่อของเขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดหนี้สินมหาศาล รวมๆแล้วเกือบสามพันล้านบาท
เมื่อฤกษ์มาเป็นผู้บริหารก็ใช้เวลาอยู่หลายปีในการฟื้นฟูบริษัท เขาสามารถจัดการปัญหาหนี้สินไปได้ส่วนหนึ่ง จนมาถึงตอนนี้ก็ยังจัดการไปได้อีกเรื่อยๆ
"รักขอโทษที่เซ้าซี้นะครับพี่ฤกษ์" รักนรินทร์รู้สึกแล้วว่าตนดูจะงี่เง่ามากไปหน่อย ทั้งๆที่พี่ชายของเขาเครียดกับงานมาทั้งวันแต่ยังต้องมาปวดหัวกับรักนรินทร์อีก คนตัวเล็กสำนึกแล้วจริงๆ
"ไม่เป็นไร ทีหลังก็อย่าคิดไปเอง"
"ครับ"
"พี่อิ่มแล้ว ขอขึ้นห้องก่อนแล้วกัน"
ฤกษ์ขอตัวกลับขึ้นห้องก่อน จึงเหลือรักนรินทร์ที่นั่งอยู่ในห้องอาหาร ชัชวาลเดินเข้ามาเห็นเจ้านายน้อยหน้าหงอยลงไปนิดก็เข้ามาปลอบโยนให้ เขาได้ยินที่คุณรักคุยกับคุณฤกษ์ทั้งหมด อดสงสารคุณรักไม่ได้จริงๆ ก็คงอยากช่วยตามประสาคุณรักนั่นแหละนะ
"พี่ฤกษ์นี่สุดยอดมากๆเลยเนอะอาชัช รักอยากเป็นแบบพี่ฤกษ์ให้ได้บ้างจัง" รักนรินทร์หันมาพูดกับพ่อบ้านของตน
"เป็นคุณรักแบบนี้ดีแล้วครับ คุณฤกษ์เองก็อยากให้เป็นแบบนั้น" ชัชวาลตอบกลับขณะที่เข็นรถเข็นของรักนรินทร์มาใกล้ๆ
"งั้นรักจะเป็นเด็กดีที่น่ารักของทุกคนแบบนี้ไปตลอดเลยนะครับอาชัช" รักนรินทร์ยิ้ม
" ครับคุณรัก"
23.48 น.
"อ๊ะ.. คุณฤกษ์ อย่าตะ.. ตรงนั้น อื้อ! "
เสียงครวญครางของใครคนหนึ่งดังขึ้น ร่างกายคว่ำลงกับเตียงนุ่ม ช่องทางด้านหลังกำลังรับแรงกระแทกที่ใส่เข้ามาอย่างหนักหน่วง
"อืมมมม" ฤกษ์ส่งเสียงอย่างพอใจ หยัดสะโพกบดเบียดมากขึ้น จากนั้นพลิกอีกฝ่ายให้นอนหงาย จับสองขาเรียวพาดไปกับบ่ากว้างของตนแล้วเพิ่มแรงสวนกายทันที
"อ๊ะ.. อ๊าา อ๊ะๆๆๆ คะ..คุณฤกษ์ พอแล้ว ระ..แรงไปแล้ว อื้ออออ! "
"อ่าาา รัดแรงขนาดนี้แน่ใจงั้นเหรอว่าอยากให้พอ" ฤกษ์โน้มกายสูดดมซอกคอของอีกฝ่าย กระซิบถามเสียงหยอกเย้าแล้วเลียใบหูนิ่มของคนตัวเล็กกว่า
"อื้ออ! คุณฤกษ์ อ๊าา.. คุณฤกษ์ อ๊ะๆๆๆๆ" เมื่ออดทนต่อความรัญจวนที่ได้รับไม่ไหวอีกต่อไป ร่างบางส่งเสียงครางเรียกชื่อของฤกษ์เป็นสัญญาณว่าเจ้าตัวต้องการจะไปให้ถึงปลายทาง
"ฮึ่มมมม" ฤกษ์เองเมื่อได้ยินอีกฝ่ายครางชื่อตน เขาจับสะโพกเล็กให้แน่นกว่าเดิม แล้วกระแทกเข้าไปอย่างแรง ส่งเสียงในลำคออย่างดุดัน
"อ๊ะ อ๊าาาา" ในที่สุดคนใต้ร่างก็ปลดปล่อยออกมา มือเรียวจิกไปที่หลังของร่างสูงอย่างแรง
"อ่าาาาาาา" ฤกษ์เองก็ปลดปล่อยออกมาเช่นเดียวกัน น้ำสีขาวขุ่นถูกปล่อยอยู่ในกายของอีกคน เขาหอบหายใจอยู่สักครู่แล้วถอนกายตนออกมา
"คุณฤกษ์ ไปอาบน้ำก่อนเถอะครับ" อีกฝ่ายที่เห็นฤกษ์ผละออกจากตัวเขาแล้วจึงเอ่ยให้คนตัวใหญ่กว่าใช้ห้องน้ำก่อนได้เลย เจ้าตัวยังรู้สึกเหนื่อยไม่หาย นอนหงายตัวค่อยๆสูดอากาศเข้าปอด
ฤกษ์มองอีกคนนิ่งๆไม่พูดอะไร เขาลุกขึ้นหมายจะไปห้องน้ำตามที่อีกฝ่ายบอก แต่แทนที่จะเดินผ่านอีกคนไปเขากลับเดินอ้อมมาที่เตียงอีกฝั่งแล้วอุ้มคนตัวเล็กขึ้น
"อ๊ะ คุณฤกษ์จะทำอะไรครับ!" อีกฝ่ายตกใจทันที ร่างกายลอยขึ้นและด้วยความกลัวตกเขาเผลอกอดคออีกคนอย่างลืมตัว
คนตัวสูงนิ่งเงียบอุ้มอีกคนเข้าไปแล้วเสียงครางของคนสองคนก็ดังขึ้นอีกครั้ง...
เมื่อเสร็จกิจกามอารมณ์ ทั้งสองต่างอยู่บนเตียงกว้าง ฤกษ์ครึ่งนั่งครึ่งนอน แผ่นหลังพิงไปกับหมอนใบใหญ่บนตักมีแล็ปท็อปของตนที่กำลังแสดงข้อมูลต่างๆของบริษัท ส่วนอีกคนที่อ่อนเพลียจากการร่วมรักทำเพียงแค่นอนนิ่งๆไม่พูดอะไร เขาเหนื่อยจนหมดแรง
ฤกษ์ตรวจดูงานที่เหลือของวันนี้อีกครั้ง สายตาไล่ดูข้อมูลการซื้อขาย กราฟยอดกำไรกำลังค่อยๆเพิ่มอย่างคงที่ เขารู้สึกพอใจอยู่ไม่น้อย
เขานั่งคิดถึงเรื่องที่รักนรินทร์ขอร้องตนวันนี้ อย่างที่บอก รักนรินทร์ไม่จำเป็นต้องมาช่วยงานเขา ไม่ใช่เพราะดูถูกดูแคลนกายสภาพของน้องชาย แต่เพราะฤกษ์จัดการดูแลเองได้ และตอนนี้มันก็กำลังไปได้ดี
ลึกๆแล้วเขาก็อยากให้รักนรินทร์ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เพราะเขารู้ว่าน้องชายเป็นคนคิดมากและชอบคิดว่าตัวเองเป็นภาระให้คนอื่น ซึ่งฤกษ์ไม่เคยมีความคิดแบบนั้นแม้แต่น้อย
ตั้งแต่พ่อกับแม่เสียไป เขาตั้งมั่นกับตัวเองว่าจะดูแลทุกอย่างให้ดีไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เป็นผู้นำตระกูลที่ดี ที่คุณอาสันต์ภพไม่ได้เป็นผู้นำต่อจากวิรุจนั่นเพราะหุ้นบริษัทและทรัพย์สินวิรุจได้โอนย้ายมาเป็นชื่อของฤกษ์และรักนรินทร์ ทำให้สันต์ภพเป็นได้เพียงกรรมการฝ่ายบริหารเท่านั้น แต่ไม่มีสิทธิถือครองทรัพย์สินใด ฤกษ์เองก็แปลกใจที่พ่อของเขาไม่ให้อะไรแก่น้องชายของตนเลย
"คุณฤกษ์จะค้างที่นี่ไหมครับ?" จู่ๆคนที่นอนเงียบมาสักพักก็ถามขึ้น
ไม่ได้เจอคุณฤกษ์มาหลายอาทิตย์ นึกว่าคุณฤกษ์จะไม่มาหาเขาแล้วเสียอีก คิดว่าคงจะเจอคู่นอนที่ถูกใจมากกว่าเขา แต่อยู่ๆคุณฤกษ์ก็โทรมาหาแล้วบอกกำลังไปหา อันที่จริงเขาก็ยังมีงานที่ต้องจัดการแต่ในใจมันก็อยากจะเจอคุณฤกษ์มากเหมือนกัน
สุขใจที่ได้อยู่กับคุณฤกษ์...
"อืม" ฤกษ์ตอบรับเสียงเรียบ เขาไม่อยากขับรถกลับไปกลับมาอีก ความคิดที่จะมาหาอีกคนตอนแรกแทบจะไม่ได้อยู่ในหัวด้วยซ้ำ
"ผมดีใจที่คุณฤกษ์มาหานะครับ" อีกฝ่ายพูดขึ้นเสียงเบาแต่สายตากลับมองไปที่เพดานห้องนิ่งๆ
"..."
"นึกว่าคุณฤกษ์คงไปนอนกับคนอื่นแล้ว.." สิ้นประโยคของคนตัวเล็ก ฤกษ์ผินใบหน้ามองอีกฝ่ายที่ตอนนี้ไม่ได้มองเขาแม้แต่น้อย มือหน้ายกขึ้นบีบสันกรามอีกคนไม่แรงมาก
"ฉันจะไปนอนกับใคร นายมีปัญหาเหรอ?"
"เปล่าครับ ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น" อีกฝ่ายเริ่มรู้สึกถึงแรงที่ส่งมาอย่างหนัก ยอมหันไปสบตากับคุณฤกษ์
"นายไม่มีสิทธิอะไรมาห้ามฉัน ถ้าฉันต้องการจะนอนกับคนอื่น"
"..."
"ฉันไม่ชอบให้ใครมาทำตัวเป็นเจ้าของฉัน หรือฉันไม่เคยบอก" ฤกษ์เลิกคิ้วขึ้นแต่มือยังคงบีบหน้าอีกฝ่ายอยู่แบบนั้น
"เคยครับ.. แต่ผมแค่อยากบอกว่าถ้าคุณฤกษ์มีคู่นอนใหม่หรือไม่ต้องการผมแล้ว ก็ช่วยบอกทีครับ" เขาพูดเสียงแผ่วในตอนท้าย หากคุณฤกษ์จะนอนกับใครหรือหมดความสนใจในตัวเขาแล้วก็ขอให้บอกกัน เขาจะได้ไม่ต้องรออย่างมีหวังแบบนี้
แม้จะรู้ว่าคุณฤกษ์ไม่ต้องการคู่นอนที่อยากมาผูกมัดตัวเองก็ตาม
"นายบอกฉันเองนี่ ถ้าฉันต้องการนายก็พร้อมจะเป็นที่รองรับ"
ใช่.. เขาเป็นคนบอกคุณฤกษ์เอง เพราะคิดว่าเขาอาจจะมีหวัง
"และฉันเองก็บอกนายตั้งแต่แรกว่าจะไม่มีการผูกมัด" ฤกษ์จ้องเข้าไปในดวงตาเล็กปล่อยมือที่จากอีกฝ่ายแล้วบีบแขนเล็กไว้แทน
"..."
"จะผิดคำพูดกับฉันหรือไง วิทย์" ฤกษ์เรียกชื่อของอีกคนออกมา
"ไม่ใช่แบบนั้นครับคุณฤกษ์.."
"ครั้งก่อนนายก็เอาเรื่องงานของรักมาอ้าง คิดว่าฉันจะสนหรือไง"
"ขอโทษครับ" วิทย์หลุบตาลง
"ฉันจะบอกเป็นครั้งสุดท้าย แล้วจำใส่สมองไว้นะวิทย์"
"..."
"ถ้าฉันต้องการเมื่อไหร่ นายจะต้องอ้าขาให้ฉันเท่านั้น!"
เป็นแค่ที่ระบายอารมณ์อย่าหวังว่าจะมีสิทธิในตัวเขา อย่าก้าวก่ายให้มากนัก ไม่เช่นนั้นสักวันเขาจะเขี่ยทิ้งอย่างไม่ใยดี
.
.
.
"ไม่ถูกปากหรือคะคุณรัก?" ป้าบัวถามรักนรินทร์ขึ้นเมื่อเห็นท่าทีเด็กน้อยในเช้าวันนี้ นั่งเท้าคางบนโต๊ะ มือที่จับช้อนก็คนข้าวต้มไปมา สีหน้าดูไม่สดชื่นเอาเสียเลย
หรือวันนี้เธอจะทำอาหารเช้าไม่อร่อยกันนะ
"ไม่ใช่หรอกครับป้าบัว ข้าวต้มป้าบัวน่ะอร่อยทุกวันอยู่แล้วครับ"
"แล้วคุณรักเป็นอะไรหรือเปล่าคะ หรือจะไม่สบาย?"
"เปล่าครับ รักแค่รู้สึกแปลกๆยังไงชอบกล"
วันนี้รักนรินทร์รู้สึกแปลกๆมาตั้งแต่เช้า เหมือนจะพะวงกับบางสิ่งบางอย่างแต่เขาไม่รู้ว่าคืออะไร ท้องฟ้าก็ช่างมืดครึ้มสงสัยคงเพราะฝนจะตกหนักจิตใจเขาเลยไม่สดใสตามไปด้วย
"แปลกอย่างไรกันคะคุณรัก"
"รักก็บอกไม่ถูกเหมือนกันครับป้าบัว สงสัยเป็นเพราะฝนจะตก เลยรู้สึกไม่ดีละมั้งครับ" รักนรินทร์ตอบพลางผินใบหน้าไปทางหน้าต่าง เขาไม่ชอบฝนเอาเสียเลย ทั้งฟ้าร้อง ฟ้าผ่า เขากลัวมาก เวลาฝนหยุดตกพื้นก็จะเฉอะแฉะแถมยังมีกบกระโดดไปมาอีกด้วย
"อย่างนั้นก็อย่าคิดมากเลยนะคะคุณรัก เดี๋ยวป้าไปอบคุกกี้ไว้ให้ดีกว่า จะได้ทานพร้อมน้ำชาตอนบ่ายนะคะ"
"ขอบคุณครับป้าบัว" รักนรินทร์ยิ้มรับ มีทั้งน้ำชาของอาชัชและคุกกี้ของป้าบัว แค่นี้เขาก็อารมณ์ดีขึ้นหน่อยแล้ว
15.36 น.
"เฮ้อ คิดอะไรไม่ออกเลยวันนี้ ทำไมกันนะ" รักนรินทร์บ่นขึ้น ตอนเช้าก็รู้สึกไม่ค่อยดี พอมาตอนนี้ก็พาลทำให้นึกไอเดียอะไรไม่ได้สักอย่าง เขาหงุดหงิดจริงๆ
บ่ายนี้ฝนตกลงมาบางๆ อากาศเริ่มเย็นขึ้น รักนรินทร์กอดแขนตัวเองพลางลูบเบาๆ น้ำชาที่จิบไปได้เล็กน้อยเริ่มจะเย็นตามไปกับสภาพอากาศ
"งั้นวันนี้พักสักหน่อยดีกว่า" รักนรินทร์ตัดสินใจพักจากงานเขียน ในเมื่อคิดอะไรไม่ออกก็ไม่ต้องคิดแล้วกัน!
ก๊อก ก๊อก..
คนตัวเล็กหันมองตามเสียงที่ประตู เป็นพ่อบ้านของเขาที่เข้ามา
"ขออนุญาตนะครับคุณรัก" ชัชวาลเอ่ยขึ้น
"มีอะไรหรือเปล่าครับอาชัช?" รักนรินทร์ถามอย่างแปลกใจ
"คุณฤกษ์กลับมาบ้านแล้วครับ ท่านต้องการพบคุณรัก" ชัชวาลตอบพลางปิดประตูแล้วเดินเข้าไปหารักนรินทร์
"พี่ฤกษ์? ทำไมกลับมาเร็วจังครับ แล้วพี่ฤกษ์มีเรื่องอะไรจะคุยกับรักเหรอครับ?" รักนรินทร์รัวคำถาม สีหน้างุนงงอย่างเห็นได้ชัด
พี่ฤกษ์เคยกลับมาบ้านช่วงเวลาที่ไหนกัน กว่าจะกลับช่วงเย็นๆ ดึกๆ บางวันก็ไม่ได้กลับด้วยซ้ำ แล้วที่บอกมีเรื่องจะคุยมันเรื่องอะไรกันนะ หรือพี่ฤกษ์มีอะไรอยากให้ช่วยบ้างแล้ว
"ผมเองก็ไมทราบเหมือนกันครับคุณรัก"
"งั้นรักรีบไปหาพี่ฤกษ์ก่อนดีกว่า" รักนรินทร์ตอบ ชัชวาลจึงช่วยเจ้านายย้ายมานั่งที่รถเข็นแล้วพาออกจากห้องหนังสือไปหาเจ้านายใหญ่ที่นั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่น
รักนรินทร์เห็นพี่ชายนั่งอยู่ที่โซฟาสีขาวกลางห้อง สีหน้าดูคร่ำเครียด บรรยากาศรอบกายดูอึดอัด คงไม่ใช่ว่าเขาไปทำอะไรไม่ดีเอาไว้หรอกนะ
"พี่ฤกษ์กลับเร็วจังครับวันนี้" รักนรินทร์เป็นฝ่ายทักก่อน พลางส่งยิ้มบางๆไปให้ เขาไม่ได้ย้ายมานั่งบนโซฟาเหมือนพี่ชายแต่ยังคงนั่งอยู่บนรถเข็นตามเดิม ส่วนชัชวาลเดินออกไปอีกทางให้เจ้านายสองคนได้คุยกัน
"รัก พี่มีเรื่องสำคัญอยากจะคุยด้วย" ฤกษ์เริ่มเข้าเรื่องที่ทำให้เขาค่อนข้างร้อนใจจนรีบกลับมาหารักนรินทร์
"เรื่องอะไรครับพี่ฤกษ์" คนตัวเล็กมองสบตาพี่ชาย เขารู้สึกถึงความกังวลของคนตัวสูง
รวมถึงรักนรินทร์เอง ความรู้สึกในตอนเช้านั่น...
มันกลับมาอีกแล้ว
"เช้านี้มีโทรศัพท์มาถึงพี่ เขาพูดว่าเป็นทนายจากตระกูลวรภัทรสิริกุล" ฤกษ์พูดเสียงเครียด
"วรภัทรสิริกุล.. อ๋อ ตระกูลที่รู้จักกับคุณพ่อใช่ไหมครับ" รักนรินทร์ทำท่านึก แล้วก็พอจะจำได้คร่าวๆ
ครั้นยังเด็กคนจากตระกูลนั้นมักพบปะพูดคุยกับพ่อของเขาประจำ แม้จะจำรายละเอียดไม่ค่อยได้เพราะยังเด็กแต่ก็รู้ว่าอธิพัฒน์มนตรีและวรภัทรสิริกุลมีสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกัน
แม้จะมีบางครั้งที่แวะมาหาที่บ้านแต่ดูเหมือนจะนัดพบกันนอกบ้านเสียส่วนใหญ่ ตัวเขาที่ยังเด็กมีคุณแม่และแม่นมคอยดูแล ส่วนพี่ฤกษ์เรียนโรงเรียนประจำที่ต่างประเทศ พอคุณพ่อคุณแม่เสียเขาร้องไห้ฟูมฟายไม่ได้สนใจใคร อีกทั้งหลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกับฝ่ายนั้นอีก ทำให้เรื่องของวรภัทรสิริกุลค่อนข้างเลือนลางในความทรงจำของเขา
"อืม" ฤกษ์ตอบรับ
"แล้วทนายจากวรภัทรสิริกุลมีอะไรกับพี่ฤกษ์หรือครับ"
"ไม่ใช่กับพี่" ฤกษ์พูดเสียงนิ่ง มองหน้าน้องชายอย่างจริงจัง
"เอ่อ แล้วมีธุระกับใครครับ?" รักนรินทร์งุนงงเข้าไปอีก หากไม่ใช่พี่ฤกษ์แล้วตระกูลนั้นจะมีธุระกับใครได้อีก
"กับรัก"
"..."
"คุณไพศาลเจ้าตระกูลที่เสียไปได้ทำพินัยกรรมไว้ให้กับครอบครัว"
"แล้วมันเกี่ยวกับรักยังไงครับ?" รักนรินทร์เริ่มใจเต้น สองมือบีบเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว เหมือนมันสัมผัสได้ว่าบางอย่างที่เขาพะวงกำลังจะเกิดขึ้น
และเขาจะรับรู้ได้จากปากของฤกษ์ในตอนนี้...
"พินัยกรรมระบุไว้ว่ารักต้องแต่งงานกับลูกชายคนโตของไพศาล วรภัทรสิริกุล"
"..."
"รักต้องแต่งงานกับธนัตถ์ วรภัทรสิริกุล"
.
.
.
รถยนต์สีดำคันหรูจอดส่งผู้โดยสารที่หน้าทางเข้าของโรงแรมระดับห้าดาวแห่งหนึ่ง
คนขับลงมาเปิดประตูด้านหลังทางขวามือ ชัชวาลที่นั่งอยู่ด้านหน้าคนขับก็รีบลงมาจากรถ เขาเปิดท้ายรถรีบเตรียมรถเข็นให้รักนรินทร์ ฤกษ์พยุงน้องชายให้นั่งที่รถเข็น เขาเห็นสีหน้าน้องชายไม่ยินดียินร้ายอะไรแต่เจ้าตัวก็เงียบมาตั้งแต่เมื่อวาน
"พี่จะปฏิเสธให้ชัดเจน" ฤกษ์เอ่ยขึ้นขณะที่พากันไปที่ลิฟท์แก้วตัวใหญ่เพื่อขึ้นไปยังชั้นบนสุดของโรงแรม
"..." รักนรินทร์เพียงแค่สบตาพี่ชาย เขามองไปยังด้านนอก ท้องฟ้ามืดมิด ดวงดาวพราวแสงระยิบระยับสวยงาม หากแต่รักนรินทร์กลับไม่ได้มองอย่างจริงจังนัก
ติ๊ง..
ลิฟท์แก้วหยุดที่ชั้นบนสุดของโรงแรม ชั้นนี้เป็นเลาจน์ที่เป็นทั้งภัตตาคารและบาร์เหล้า แสงไฟสลัวแต่ไม่มืดมาก เพื่อให้เหมาะกับช่วงมื้อค่ำ
ฤกษ์แจ้งหมายเลขโต๊ะที่ฝ่ายนัดส่งมาให้เขา บริกรตอบรับแล้วพาคนเดินไปยังที่นั่ง ดูเหมือนจะจองโซนที่ค่อนข้างจะเป็นส่วนตัว
รักนรินทร์รู้สึกกังวล เขาเอื้อมมือน้อยขึ้นจับกับมือใหญ่ของฤกษ์ที่เดินอยู่ข้างเขาอย่างต้องการกำลังใจ
"พี่ฤกษ์.." เสียงเรียกนั้นแสนเบาหวิว ฤกษ์บีบมือน้องแน่นขึ้น สูดหายใจเข้าแล้วพยักหน้าให้น้องชายว่าเขาจะไม่ไปไหน
บริกรนำทางมาถึงที่หมายผายมือไปยังโต๊ะอาหาร รักนรินทร์และฤกษ์เห็นคนจากวรภัทรสิริกุลที่รออยู่ก่อน มือของรักนรินทร์ยิ่งบีบมือของพี่ชายแน่นขึ้น ฤกษ์เองก็กระชับมือน้องชายทันที
"สวัสดีรักนรินทร์"
นี่สินะ
ธนัตถ์ วรภัทรสิริกุล..
ยังไม่ได้เช็คคำผิดค่ะ