รักนรินทร์เกิดมาพิการขาเดินไม่ได้แต่กลับยินยอมแต่งงานกับธนัตถ์ชายหนุ่มผู้แสนเย็นชาแต่ปากร้าย
รักนรินทร์เกิดมาพิการขาเดินไม่ได้แต่กลับยินยอมแต่งงานกับธนัตถ์ชายหนุ่มผู้แสนเย็นชาแต่ปากร้าย
บทที่ 2
"สวัสดีครับคุณธนัตถ์.."
ในที่สุดก็ได้พบตัวจริงของกันและกัน ก่อนหน้านี้พวกเขาเห็นอีกฝ่ายจากรูปถ่ายเท่านั้น
รักนรินทร์เมื่อเห็นก็อดจะชื่นชมไม่ได้ ธนัตถ์ตัวจริงดูหล่อและเป็นผู้ใหญ่มากกว่าที่คิด กลิ่นอายสุขุม รวมกับบุคลิกท่าทีที่สงบนิ่งทำให้องค์ประกอบทุกอย่างผสมกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ส่วนรักนรินทร์ในสายตาธนัตถ์นั้น เขามองว่าอีกฝ่ายก็หน้าตาดีไม่น้อย ค่อนข้างจะสำอาง ดูสะอาด แต่บอบบางอ่อนแอ และเขายังได้ยินมาว่าเจ้าตัวพิการเดินไม่ได้ ต้องนั่งรถเข็นอยู่ตลอด ฟังแล้วก็เป็นคนน่าสงสาร แต่พอได้มาเห็นกับตาว่าเดินไม่ได้จริงๆ เขาก็รู้สึกเวทนารักนรินทร์เสียมากกว่า
ต่อให้หน้าตาดีหรือชาติตระกูลจะดีแค่ไหนแต่พิการแบบนี้ก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี
"สวัสดีครับคุณหญิงอรุณี ผมฤกษ์พี่ชายของรักนรินทร์ ส่วนนี่คุณชัชวาลผู้ดูแลของรักครับ" ฤกษ์กล่าวทักทายแนะนำฝั่งของตนแก่ผู้อาวุโสที่สุดก่อน ตาคมยังเห็นชายหนุ่มอีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเธออีกด้วย ส่วนรักนรินทร์ยกมือขึ้นไหว้อีกฝ่ายหลังจากพี่ชายแนะนำตัว
"สวัสดีค่ะคุณฤกษ์ หนูรัก อย่าเรียกคุณหญิงเลยจ้ะ เรียกคุณแม่ดีกว่านะคะ" คุณหญิงเธอตอบรับอย่างคนอารมณ์ดี ไหนๆ ก็จะดองเป็นทองแผ่นเดียวกันแล้วจะมามัวเรียนคุณหญิงได้อย่างไร
"เอ่อ.." รักนรินทร์อ้ำอึ้ง ตัวเขาเพิ่งจะพบคุณหญิงวันนี้เป็นครั้งแรก อยู่ๆ จะให้มาเรียกแม่เลยมันออกจะแปลกๆ
"คงไม่เหมาะเท่าไหร่ครับคุณหญิง ไว้หลังจากเราคุยธุระกันก่อนดีกว่าครับ" ฤกษ์ตอบกลับไปเสียงนิ่ง ดูเหมือนคุณหญิงเธอคงจะมั่นใจว่ารักนรินทร์จะยอมรับข้อตกลง ผลสรุปมันยังไม่ออกมาคงจะด่วนตัดสินใจตอนนี้ไม่ได้
ฝั่งคุณหญิงอรุณีเข้าใจคำของคนพี่ไปว่าอีกฝ่ายอาจจะหยอกเย้าตามประสานักธุรกิจ อย่าเพิ่งเร่งรัดเปลี่ยนสรรพนามแต่รอให้ทำสัญญาเสร็จสิ้นเสียก่อน เธอคิดว่าอีกฝ่ายคงตอบรับแน่นอน
"แหม แบบนั้นก็ได้ค่ะ อ๊ะ.. จริงสิ คุณฤกษ์หนูรัก นี่ภูวนาถกับพริสานะคะ เป็นลูกชายของคุณไพศาลกับ-"
"เมียน้อย" คุณหญิงเธอยังไม่ทันแนะนำสองพี่น้องเรียบร้อยดีธนัตถ์ก็ตอบแทรกขึ้นมา
"ไอ้ธนัตถ์! มึงอยากมีเรื่องมากใช่ไหม! " ภูวนาถเดือดดาล เขาอุตส่าห์เก็บปากเงียบมาตั้งนาน แต่ไอ้เวรนี่มันคงอยากปากแตกมากสินะ
"ฉันพูดผิดตรงไหนกัน แกกับพริสาเป็นลูกเมียน้อยจริงๆ หรือไม่ใช่? " ธนัตถ์ยียวนแต่คงมาดเรียบนิ่งเอาไว้ เขาเองก็ไม่ได้อยากจะมาใช้อากาศหายใจร่วมกับมันเลยสักนิดถ้าไม่เพราะพวกมันสองคนมีส่วนเกี่ยวข้องในพินัยกรรม
"ธนัตถ์! ภูวนาถ! " คุณหญิงเรียกชื่อสองคนเป็นการเตือน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็มีโอกาสตีกันตลอด เธอเหนื่อยหน่ายพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
"คุณหญิงก็เห็นว่ามันเริ่ม! " ภูวนาถเถียงกลับ
ธนัตถ์ยิ้มเยาะอย่างผู้มีชัย ลูกเมียน้อยอย่างมันคิดว่าแม่เขาจะเห็นใจงั้นหรือ คิดผิดเสียแล้วภูวนาถ
"เราอยู่ต่อหน้าแขกนะ มีอะไรก็ไปเคลียร์กันทีหลัง" คุณหญิงบอกปัด "ขอโทษด้วยนะคะ คุณฤกษ์หนูรัก ก็อย่างที่ได้ยิน คุณไพศาลเธอมีภรรยาสองคนน่ะจ้ะ"
รักนรินทร์ทำเพียงพยักหน้ารับรู้ ส่วนฤกษ์มองพิจารณาครอบครัวนี้อีกครั้ง คนหนึ่งก็เย่อหยิ่งถือตัว คนหนึ่งหยาบคายและใช้กำลัง ส่วนอีกคนขี้กลัวและไม่กล้าตอบโต้แบบนี้จะไปช่วยใครได้
แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับเหตุผลที่จะปฏิเสธข้อตกลงนั่น!
"เอาเป็นว่ามาทานมื้อค่ำกันดีกว่าค่ะ เชิญค่ะคุณฤกษ์หนูรัก" คุณหญิงอรุณีจัดแจงที่นั่งให้ทุกคน เธอและฤกษ์นั่งหัวโต๊ะคนละฝั่งโดยมีรักนรินทร์ที่ยังคงนั่งอยู่บนรถเข็นเพราะเจ้าตัวขอไว้และธนัตถ์นั่งอยู่ข้างกันฝั่งขวามือ ภูวนาถและพริสานั่งฝั่งซ้ายมือ ส่วนชัชวาลที่ตามมาคอยดูแลรักนรินทร์ก็ออกไปคอยบริเวณอื่น
"ป้าสั่งอาหารไว้ล่วงหน้าแล้วคิดว่าถ้าทั้งสองคนมาจะได้ไม่ต้องคอยนานแต่ไม่รู้จะถูกปากกันไหม เดี๋ยวลองดูเมนูแล้วสั่งเพิ่มได้เลยนะคะ ไม่ต้องเกรงใจนะป้าเป็นเจ้ามือเองค่ะ" คุณหญิงพูดอย่างเป็นกันเองและกำลังจะเรียกบริกรให้นำเมนูมาให้ทั้งสองคน
"เอ่อ ไม่เป็นไรครับคุณหญิง ผมทานอะไรก็ได้ครับ" รักนรินทร์รีบยกมือปฏิเสธเจ้าหล่อน ปกติเขาเป็นง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ทานได้หมด
"ผมก็ไม่ขอรบกวนเช่นเดียวกันครับคุณหญิง" ฤกษ์เองก็เอ่ยปฏิเสธเสียงเรียบ
"ไม่ต้องเกรงใจไปหรอกครับ ที่นี่อาหารอร่อยมากทีเดียว กว่าจะจองโต๊ะได้ไม่ง่ายเลย" ธนัตถ์พูดขึ้น เขาคิดว่าอีกฝ่ายคงจะเล่นตัวให้ดูเป็นคนดี ขอบอกตรงๆ เห็นแบบนั้นแล้วมันน่ารำคาญ!
รักนรินทร์หันไปมองหน้าพี่ชายว่าจะเอาอย่างไรดี ตัวเขาและพี่ชายต่างไม่ได้ต้องการอะไรแต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะเหน็บแนมที่พวกเขาปฏิเสธน้ำใจคุณหญิงอรุณี
"เอ่อ คุณรักกับคุณฤกษ์ลองทานเนื้อแกะย่างดูไหมครับ ที่นี่ขึ้นชื่อมาก" พริสาทำใจกล้าแนะนำเมนูแทน บรรยากาศตอนนี้ค่อนข้างจะตรึงเครียด เขาเลยเผลอพูดเพื่อจะทำลายความอึดอัดลง
และพริสารู้ทันทีว่าใครจะพูดต่อจากตน..
"ใครอนุญาตให้พูดกันพริสา" ธนัตถ์เอ่ยขึ้นแล้วมองหน้าอีกฝ่าย
'กะแล้ว..' พริสาคิดในใจ ไม่ว่าจะทำอะไรคุณธนัตถ์ก็คอยจับผิดเขาอยู่ตลอด
"แล้วมึงจะทำไมวะไอ้ธนัตถ์" เมื่อธนัตถ์เริ่มมีหรือภูวนาถจะไม่โต้ตอบเพื่อน้องชาย เขาอยากรู้นักว่ามันเป็นอะไรนักหนาถึงได้คอยพูดหาเรื่องเขาสองพี่น้องได้ตลอด
"รักษามารยาทหน่อยภูวนาถ เรากำลังมีแขกนะ" คุณหญิงปรามขึ้น เธอเหนื่อยกับสองคนนี้จริงๆ "ป้าขอโทษอีกครั้งนะคะคุณฤกษ์หนูรัก"
"คุณหญิงควรจะมีวิธีจัดการให้ดีกว่านี้นะครับ คำขอโทษไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นแม้แต่น้อย" ฤกษ์ตอกกลับ เขาอดทนมองชายหนุ่มสองคนที่พร้อมจะมีเรื่องกันตลอดเวลามาสักพักแล้วและจะไม่ทนอีก เขาไม่ได้ว่างมากที่จะมาเห็นอะไรไร้สาระแบบนี้
"เอ่อ.." คุณหญิงอรุณีพูดไม่ออก เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะพูดกับเธอเช่นนี้ ธนัตถ์เองก็คิ้วขมวดที่อีกฝ่ายเหมือนจะต่อว่าทั้งเขาและคนเป็นแม่
"คุณหญิงเองก็เป็นนักธุรกิจ คงรู้นะครับว่าเวลาของเรามีค่าแค่ไหน" ฤกษ์จ้องคุณหญิงนิ่งแต่ไว้ท่าทีไม่มีเสียมารยาทต่อผู้ใหญ่แม้ว่าคำพูดกับการกระทำจะสวนทางก็ตาม
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ บริกรขออนุญาตนำอาหารมาเสิร์ฟบนโต๊ะจนเต็มแล้วขอตัวถอยไป
"ผมคิดว่าเราควรเริ่มคุยธุระได้แล้วล่ะครับ" ฤกษ์กล่าว เขามองหน้าหญิงอาวุโสอย่างจริงจัง สายตาของเขากำลังบอกว่าจะไม่มีการล้อเล่นอะไรอีกต่อไป
รักนรินทร์พลันสูดลมหายใจเข้าทันทีที่ได้ยินคำของพี่ชาย มันถึงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องเจรจากันเสียที
.
.
.
"ธนัตถ์จะขึ้นเป็นผู้นำของวรภัทรสิริกุลและประธานบริษัทธุรกิจในเครือทั้งหมดของคุณไพศาลซึ่งจะได้รับทรัยพ์สินบางส่วนอย่างสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อได้สมรสกับรักนรินทร์ อธิพัฒน์มนตรี.." คุณหญิงอรุณีเริ่มต้นกล่าวรายละเอียดของจุดประสงค์การนัดพบครั้งนี้ ธนัตถ์บุตรชายนั่งกอดอกสีหน้าไร้อารมณ์ต่างจากรักนรินทร์ที่มีสีหน้ากังวลอย่างชัดเจน
"แต่เงื่อนไขก็คือ จะต้องแต่งงานแล้วอยู่ด้วยกันที่บ้านวรภัทรสิริกุลให้ครบหนึ่งปี หากทั้งสองหย่าขาดกันก่อนครบกำหนดหนึ่งปีหนูรักจะได้ค่าชดเชยสิบล้านและจะถือว่าธนัตถ์ไม่มีสิทธิในการขึ้นเป็นผู้นำและตำแหน่งประธานบริษัทในเครือ ภูวนาถและพริสานอกจากได้รับทรัพย์สินบางส่วนแล้วก็จะเป็นผู้มีสิทธิในการเป็นผู้นำตระกูลและตำแหน่งประธานบริษัททันที" คุณหญิงเว้นจังหวะเล็กน้อยแล้วหันหน้าไปทางรักนรินทร์ "ส่วนหนูรัก.. การแต่งงานครั้งนี้หนูจะได้รับค่าสินสอดจำนวนห้าร้อยล้านบาท ที่ดินและหุ้นบริษัทของเราสามสิบเปอร์เซ็น และเมื่อครบกำหนดหนึ่งปีหนูจะได้รับเงินชดเชยสิบล้านบาทเช่นเดียวกัน" เธอพูดจบก็ยกน้ำขึ้นจิบแก้กระหาย
"แล้วถ้ารักนรินทร์ปฏิเสธ คุณหญิงจะว่าอย่างไรครับ? " ฤกษ์ถามเสียงนิ่ง
คุณหญิงอรุณีแทบจะสำลักน้ำทันที เธอมีสีหน้าตกใจมากพลันรีบหันไปหาเจ้าของเสียงทันที รวมถึงธนัตถ์และสองพี่น้องต่างแม่ก็เช่นเดียวกัน ไม่มีใครคาดคิดว่าฝ่ายนั้นจะถามอะไรแบบนี้
เงินตั้งมากมายกับการแต่งงาน1ปี ไม่มีใครคิดจะปฏิเสธแน่!
"คะ..คุณฤกษ์เมื่อสักครู่ว่าอย่างไรนะคะ? "
"ผมถามว่าหากรักนรินทร์ปฏิเสธที่จะแต่งงาน คุณหญิงจะว่าอย่างไรครับ? " ฤกษ์ทวนอีกครั้ง เขาเห็นสีหน้าที่แสดงออกชัดเจน เป็นไปตามที่เขาคิด คุณหญิงคงคิดว่าทางนี้จะตกลงแน่นอน
"ทำไมถึงปฏิเสธละครับ? " ธนัตถ์เป็นคนถาม เขาเองก็ใช่ว่าอยากแต่งงานกับรักนรินทร์เสียเมื่อไหร่ อีกทั้งเจ้าตัวยังพิการแบบนี้เขาคงไม่คิดพิศวาสแต่งมาเป็นภรรยาแน่ แต่เพราะพินัยกรรมงี่เง่านั่นที่เขาไม่อาจเลี่ยงได้
จะให้ทุกอย่างไปเป็นของลูกเมียน้อยชั้นต่ำเขาคงยอมไม่ได้
"แล้วทำไมรักนรินทร์ต้องแต่งงานกับคุณ? " ฤกษ์ยิงคำถามออกไป สายตามองธนัตถ์เรียบนิ่ง ส่วนรักนรินทร์เพียงแค่มองคนทั้งสองไปมาไม่ได้เอ่ยอะไร
"ก็เพราะผมรวยมาก ได้ข่าวว่าธุรกิจของคุณติดหนี้มหาศาลจนตอนนี้ก็ยังใช้หนี้ไม่หมด แต่ถ้ารักนรินทร์แต่งงานกับผมเราก็ได้ประโยชน์ทั้งคู่ พวกคุณได้เงินจากค่าสินสอดและค่าชดเชยหลังหย่าไปจำนวนมาก ส่วนผมก็ได้ในสิ่งที่ควรจะได้ ยุติธรรมกันทั้งสองฝ่าย" ธนัตถ์ตอบ อย่างที่บอกการแต่งงานครั้งนี้มีแต่ได้กับได้ทั้งสองฝ่าย แล้วยังมีเหตุผลอะไรให้ปฏิเสธ
"จริงอยู่ที่บริษัทของผมมีหนี้สินมากมาย แต่เราสามารถจัดการได้ ยอดกำไรของเราเพิ่มขึ้นทุกไตรมาส หนี้สินที่มีทยอยคืนไปหลายส่วนแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้รักนรินทร์แต่งงานเพื่อเงินของพวกคุณ กรุณาทำความเข้าใจใหม่เสียด้วยนะครับ" ฤกษ์อธิบายให้คนเย่อหยิ่งถือตัวอย่างธนัตถ์ได้เข้าใจ จะให้น้องชายเขาแต่งงานเพื่อเงินงั้นหรือ อย่ามาล้อเล่นกันดีกว่า อิสระของรักนรินทร์ไม่ควรมาหยุดกับคนแบบนี้
"แต่ถ้าน้องคุณแต่งงานคุณก็จะมีเงินไปใช้หนี้ ไหนจะหุ้นบริษัทของวรภัทรสิริกุลอีก เผลอๆ รวมกับกำไรทางนั้นก็คงปลดหนี้ได้เร็วแน่ ผมเองก็จะได้เป็นประธานบริษัทอย่างเต็มตัว แต่งงานกันแค่หนึ่งปีถือว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้มเสียอีก" ธนัตถ์เองก็ไม่ยอมแพ้ ตัวเขามันไม่มีทางเลือกก็คงต้องเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายให้ได้
ได้กำไรทั้งสองฝ่าย หากอีกคนเป็นนักธุรกิจแบบที่พูดก็ต้องยอมรับข้อเสนอ!
"เรื่องที่คุณจะได้เป็นประธานบริษัทหรือไม่.. มันไม่เกี่ยวอะไรกับรักนรินทร์ อีกอย่างเท่าที่ฟังในพินัยกรรมเองก็ไม่ได้บอกว่ารักนรินทร์ต้องแต่งงานอย่างไม่มีทางเลือก ซึ่งก็หมายความว่ารักนรินทร์มีสิทธิที่จะปฏิเสธได้"
"หึ ไม่เกี่ยวงั้นหรือ ก็คงใช่.. แต่ตัวคุณเองก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพินัยกรรมเลย คุณเป็นคนนอกที่ไม่ควรจะมายุ่งด้วยซ้ำ" ธนัตถ์เริ่มไม่พอใจ อีกฝ่ายดูท่าจะไม่ยอมท่าเดียว แต่แล้วอย่างไรล่ะ ในเมื่อคนที่ต้องแต่งงานกับเขาคือรักนรินทร์ไม่ใช่พี่ชายอย่างฤกษ์ เขาจะไม่ยอมเสียเบี้ยไปแน่
"พี่ฤกษ์เป็นครอบครัวของผมไม่ใช่คนนอก กรุณาให้เกียรติด้วยครับคุณธนัตถ์" รักนรินทร์ที่เงียบมานานเอ่ยขึ้น อีกคนดูจะพูดลามปามพี่ชายเขาเกินไปแล้ว
"ให้เกียรติหรือ? เหอะ สิ่งที่ฉันพูดมันคือความจริง คนที่จะตัดสินใจว่าจะแต่งไม่แต่งคือเธอ แต่เธออย่าลืมนะว่าสิ่งได้จากการแต่งงานกับฉันมันมากมายขนาดไหน ลำพังตัวเธอที่เป็นแค่นักเขียนตัวนิดเดียวจะช่วยอะไรได้บ้างงั้นหรือรักนรินทร์" ธนัตถ์พูดจี้ใจ เขาได้ยินมาเหมือนกันว่าคนตัวเล็กทำอาชีพเป็นนักเขียนอิสระ รายได้ไม่ได้มากนัก อีกทั้งยังไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ในธุรกิจของตระกูลเพราะพี่ชายเป็นคนดูแลทั้งหมด สรุปได้ว่าคนที่คอยหักล้างหนี้ให้บริษัทคือฤกษ์เพียงคนเดียว
"ธนัตถ์พูดอะไรแบบนั้น ขอโทษคุณฤกษ์กับหนูรักเดี๋ยวนี้เลยนะ! " คุณหญิงเห็นท่าไม่ดีเธอรีบพูดปรามลูกชายเธอทันที เธอเองก็เป็นคนหนึ่งที่หวังในมรดกของตระกูล หากลูกชายเธอทำให้มันพังตรงนี้ ทั้งเธอและลูกชายจะต้องหลุดไปอยู่ต่ำสุดของตระกูลแน่
"คนพิการไร้ประโยชน์แบบเธอก็เป็นได้แค่ภาระ รักนรินทร์" ธนัตถ์กล่าวอย่างร้ายกาจ
รักนรินทร์สะอึกกับคำพูดทิ่มแทงใจเหล่านั้น
รู้ตัวอยู่แล้วว่าไร้ประโยชน์...
รู้อยู่แล้วว่าพิการ...
แต่พอได้ยินจากคนอื่นแบบนี้ใจของรักนรินทร์มันยิ่งเจ็บปวดมากกว่าเดิม
เราเองก็ไม่ได้อยากเกิดมาพิการเสียหน่อย...
"ว้าย! คุณฤกษ์! " คุณหญิงตกใจกรีดร้องทันทีเมื่อเห็นฤกษ์ไม่พูดอะไรแต่ลุกขึ้นมากระชากคอเสื้อของลูกชายเธอแล้วชกไปที่ใบหน้าหล่ออย่างแรง แม้แต่ธนัตถ์ก็ตั้งตัวไม่ทัน
ฤกษ์แรงเยอะกว่าธนัตถ์มากด้วยความที่ตัวสูงใหญ่กว่า เขามองคนที่พึ่งจะต่อยไปราวกับว่าถ้ากระชากเนื้อคนตรงหน้าออกมาได้คงทำไปแล้ว
รักนรินทร์และพริสาเองก็ตกใจไม่ต่างกัน แต่มีเพียงแค่ภูวนาถที่แอบยิ้มสะใจอยู่คนเดียว
หึ ปากแบบมึงก็สมควรแล้วไอ้ธนัตถ์!
"ยิ่งเห็นฉันก็ยิ่งมั่นใจว่ารักนรินทร์ไม่สมควรจะแต่งงานกับคนอย่างแก! " ฤกษ์ตวาดใส่เสียงเข้ม ดวงตาเกรี้ยวกราด ขมับปูดโปนเพราะความโกรธ อีกฝ่ายจะต่อว่าหรือเหน็บแนมเขาอย่างไรก็เชิญ แต่ไม่ใช่กับรักนรินทร์!
บริเวณที่พวกเขาอยู่ค่อนข้างจะส่วนตัว แม้จะเกิดการวิวาทคนนอกก็อาจจะไม่ได้ยินเสียง มีเพียงบริกรตรงนั้นที่รีบเข้ามาดูเหตุการณ์ แต่คุณหญิงเป็นฝ่ายพูดคุยกับบริกรให้ถอยไป แล้วเจ้าหล่อนยังแอบให้เงินบริกรเป็นค่าปิดปาดอีกด้วย จะให้มีข่าวหลุดออกไปไม่ได้เด็ดขาด
"คิดว่าฉันจะสนใจงั้นเหรอว่าแกจะได้อะไรจากพินัยกรรมของพ่อแก? อย่าพูดให้ขำดีกว่า ใครจะสนไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมแบบแก" ฤกษ์พูดเสียงเยียบเย็น สาดวาจาใส่คืนคนที่เลือดกลบปากอยู่ตรงหน้าเขา
"คุณบอกเองนี่ว่าคุณเป็นนักธุรกิจ คุณไม่น่าเข้าใจอะไรยาก คุณไม่ได้เป็นฝ่ายเสียเปรียบแม้แต่น้อย แต่เราได้รับผลประโยชน์ทั้งคู่ เหตุผลแค่นี้ก็เพียงพอแล้วคุณฤกษ์" ธนัตถ์พูดไปก็เจ็บมุมปากไป สีหน้าเหยเกจากความเจ็บปวด
"1ปีแลกกับรักนรินทร์ต้องแต่งงาน คิดว่าน้องชายฉันจะต้องเสียสุขภาพจิตกับคนอย่างแกแค่ไหน! นอกจากจะไม่ให้เกียรติแล้วแกยังดูถูกน้องชายฉันอีก เนี่ยหรือคนจะเป็นใหญ่ของวรภัทรสิริกุล น่าขัน! " ฤกษ์เพิ่มแรงกระชากคอเสื้ออีกฝ่าย ง้างมืออีกข้างขึ้นชกไปที่หน้าของธนัตถ์
หมับ!!
"พี่ฤกษ์.."
ฤกษ์ชะงัก มือที่กำหมัดแน่นห่างจากหน้าของอีกคนแค่เซนเดียว ธนัตถ์เองใจหายวาบไปชั่วครู่ เขาเหลือบสายตาหันไปมองเจ้าของเสียงเล็กนั่น
รักนรินทร์เอื้อมมือทั้งสองข้างมากอดแขนแกร่งของพี่ชายไว้ ฤกษ์ไม่รู้ว่าน้องชายขยับมาตั้งแต่ตอนไหนแต่เขาเองก็ตกใจกับการกระทำของรักนรินทร์
"พะ..พี่ฤกษ์ พอเถอะนะ อย่าทำร้ายคุณธนัตถ์เลยครับ" คนตัวเล็กพูดขึ้น เขาไม่อยากให้พี่ชายไปทำร้ายใครและเจ็บตัวเพราะเรื่องแบบนี้
"มันดูถูกรัก มันไม่ให้เกียรติรัก พี่ยอมไม่ได้! "
"รักขอร้องพี่ฤกษ์ รักไม่อยากเห็นพี่ฤกษ์เจ็บตัว เชื่อรักนะพี่ฤกษ์" รักนรินทร์อ้อนวอน ครอบครัวเราก็มีกันแค่นี้ ถ้าอีกฝ่ายแจ้งความจับพี่ฤกษ์ล่ะเขาจะอยู่อย่างไร
ฤกษ์ใจอ่อนเมื่อน้องชายกล่าวขอร้อง เขาปล่อยคอเสื้ออีกฝ่ายลงแล้วปัดเสื้อสูทตนเล็กน้อย ส่วนธนัตถ์เช็ดเลือดที่มุมปาก จดจ้องสายตาไปยังรักนรินทร์
ยังจะมาขอร้องอะไรคนอื่น ต้นเหตุมันก็มาจากเธอไม่ใช่หรือรักนรินทร์!
"ตายแล้ว ธนัตถ์เป็นอะไรมากไหมลูก เจ็บมากไหม" คุณหญิงเธอรีบวิ่งเข้าไปดูลูกชายทันที
ภาพคุณหญิงโอ๋ลูกชายแบบนั้นไม่ต่างจากธนัตถ์เป็นพวกลูกติดแม่ พวกลูกแหง่ ภูวนาถอดจะหัวเราะขันไม่ได้ พริสาที่ยืนอยู่ข้างๆ เห็นพี่ชายเหมือนจะกลั้นขำจนตัวสั่นจึงเอื้อมมือเรียวไปตีแขนพี่ชายไม่แรงมากนัก
"พี่ภู! " พริสาเอ็ดพี่ชายให้ได้ยินกันสองคน ภูวนาถทำไม่รู้ร้อนรู้หนาว นาทีนี้ขอให้เขาได้สะใจเสียหน่อยเถอะ
คุณหญิงอรุณีพอเห็นลูกชายเธอถึงกับเลือดตกยาวออกก็อดรนทนไม่ได้เช่นเดียวกัน อย่างน้อยเธอก็เป็นแม่คน
"มันจะมากเกินไปแล้วนะคะคุณฤกษ์! " เธอตวาดใส่ทันที "ถึงกับเข้ามาชกจนได้เลือดแบบนี้ป้าไม่ยอมนะคะ! "
"แล้วทีลูกชายคุณหญิงมาพูดจาดูถูกน้องชายผมล่ะครับ ผมต้องยินดีอย่างนั้นหรือครับ" เขาตอกกลับเสียงนิ่ง แผลแค่นั้นมันยังน้อยไปกับที่มันดูถูกน้องชายเขา
"ธนัตถ์แค่เผลอตัวพูดออกมา แต่ที่คุณทำคือการทำร้ายร่างกายนะคะ! "
"เผลอตัวพูดหรือครับ? " ฤกษ์เอ่ย
"ค่ะ มันก็แค่คำพูดไม่เห็นต้องใส่ใจเลยนะคะ" เพราะความรักลูกที่มากเกินไปจึงทำให้เธอพูดอะไรไม่คิด
"ผมจะบอกอะไรให้นะครับคุณหญิง"
"..."
"คนพูด พูดไม่นานมันก็ลืม แต่คนฟัง เขาจำไปจนตาย"
"..."
"ผมไม่แปลกใจที่ลูกชายคุณนิสัยแบบนี้ คุณรักลูกคุณผมไม่ว่าหรอกนะ แต่ช่วยปลูกฝังนิสัยดีๆ เข้าไปบ้างก็ดีนะครับ"
คุณหญิงอรุณีหน้าม้านในทันใด เธอไม่เคยถูกใครพูดใส่แบบนี้มาก่อน เธอรู้ว่าลูกชายเธอผิดที่ไปพูดวาจาดูถูกรักนรินทร์ แต่เพราะความโมโหที่เห็นลูกเจ็บตัวเธอจึงพลั้งปากตวาดใส่ฤกษ์
ตอนนี้เธอรู้สึกตัวแล้วว่ายังคงต้องพึ่งพารักนรินทร์อยู่... แต่สถานการณ์ในตอนนี้มันพังเละเทะไปหมด เธอได้แต่เสียใจกับการกระทำในตอนนี้
จะต้องเสียทุกอย่างให้ลูกนอกไส้อย่างนั้นหรือ...
"พี่ฤกษ์ครับ" จู่ๆ รักนรินทร์ก็เรียกพี่ชายขึ้น
ฤกษ์หันไปหาน้องชาย เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
"รักตัดสินใจแล้ว"
"..."
"รักจะแต่งงานกับคุณธนัตถ์ครับ"
ฤกษ์ไม่อยากเชื่อหูตัวเอง น้องชายเขาบอกว่าจะแต่งงานงั้นหรือ?!
ส่วนคุณหญิงอรุณีเธอยิ้มกว้างทันทีที่ได้ยิน สถานการณ์กลับมาพลิกผัน ธนัตถ์เองก็ไม่ต่างกันแม้จะไม่ได้แสดงสีหน้าท่าทางอะไรเลย
"จะบ้าไปแล้วเหรอรัก! " ฤกษ์ถามน้องชายเสียงดัง
"รักไม่ได้บ้าพี่ฤกษ์ รักคิดมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วและตอนนี้รักก็ตัดสินใจดีแล้ว" รักนรินทร์ตอบเสียงหนักแน่น
"รักจะแต่งกับคนแบบนี้น่ะหรือ คนที่มันดูถูกนาย! " อย่าล้อเขาเล่นแบบนี้ ฤกษ์ไม่เห็นด้วย ถ้าเขายอมเขาจะไปต่อยมันเพื่อน้องชายทำไมกัน!
"ครับพี่ฤกษ์ รักจะแต่งกับคุณธนัตถ์ คนที่ดูถูกรักและลามปามพี่ฤกษ์" ประโยคหลังเขาพูดแล้วมองหน้าธนัตถ์
"ได้ยินแล้วนะคุณพี่เขย" ธนัตถ์ยิ้มหยันให้ฤกษ์
"ทำไมตัดสินใจแบบนี้รัก บอกพี่ ทำไม.." คนเป็นพี่พูดเสียงเบาคล้ายอย่างไรก็ไม่เชื่อ
"รักอยากช่วยพี่ฤกษ์ใช้หนี้ไวๆ มันไม่ใช่หนี้ของพี่ฤกษ์คนเดียว มันคือหนี้ที่ครอบครัวเราต้องช่วยกันจ่าย รักไม่อยากทนเห็นพี่ฤกษ์เหนื่อยคนเดียว รักไม่ได้สบายใจหรอกนะพี่ฤกษ์ แต่หากรักแต่งงานกับเขา ไม่ใช่แค่เราจะใช้หนี้ได้จนหมด แต่เราจะตั้งตัวหรือก่อตั้งธุรกิจใหม่ได้เลย ทั้งรักและพี่ฤกษ์ก็จะได้ทำในสิ่งที่อยากทำกันทั้งคู่นะครับ" รักนรินทร์อธิบาย และเขาขอยืนยันว่าเขาจะแต่งงานกับธนัตถ์แน่นอน
"รักนรินทร์ฟังพี่" ฤกษ์คุกเข่าข้างหนึ่งให้ความสูงอยู่ระดับเดียวกับน้องชาย สองมือกุมมือเล็กเอาไว้
"..."
"เราไม่ได้ลำบากอะไรเลย หนี้สินก็ส่วนหนี้สิน เรายังมีกินมีใช้ และพี่บอกแล้วว่าเรากำลังทยอยใช้หนี้อยู่เรื่อยๆ ไม่มีขาด กำไรของเรากำลังเพิ่มขึ้นเพราะบริษัทกลับมาฟื้นตัว รักไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ ไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรกับพี่ ทุกอย่างเป็นเพราะพี่ต้องการให้เป็นแบบนี้... ต้องการให้รักมีความสุข" ฤกษ์กล่าวกับน้องชาย ราวกับว่าความในใจของเขากำลังค่อยๆ เผยออกมา
"แต่รักก็ยังทุกข์ใจเสมอพี่ฤกษ์ รักอยากช่วยพี่ฤกษ์ตลอดเวลา รักขอร้องแค่ครั้งนี้ รับฟังรักได้ไหม" มือเล็กบีบมือพี่ชายที่กุมไว้แน่นขึ้น หากฤกษ์รักและอยากให้เขามีความสุขเขาก็ขอร้องให้ฤกษ์รับฟังเขาสักครั้ง
"แต่หนึ่งปีนะรัก หนึ่งปีที่ต้องทนอยู่กับคนแบบนั้น" ไม่วายสายตาก็ตวัดหันไปมองคนที่พูดถึง
"หนึ่งปีกับทรัพย์สินที่ได้รับถือว่าคุ้มมากนะครับ จะมองว่ารักเห็นแก่เงินก็ได้ แต่เจตนารักก็ยังไม่เปลี่ยน" สายตามุ่งมั่นมันส่งไปถึงฤกษ์ น้องชายเขาไม่เคยเถียงตนสักคำ แต่่ครั้งนี้ไม่ว่่จะพูดอย่างไรก็ไม่ยอมท่าเดียว
"ถ้าแบบนั้นให้สัญญากับพี่ หากมันทำรักเจ็บช้ำน้ำใจให้บอกพี่ทันที พี่จะให้หย่าทันที" ฤกษ์ขอคำมั่นกับน้องชายแม้ว่าใจยังคงหวังว่าน้องชายจะกลับคำที่กล่าวออกมา
"รักสัญญาครับ" รักนรินทร์ยกนิ้วตนและพี่ชายเกี่ยวก้อยสัญญากัน
คุณหญิงอรุณีดีใจที่ในที่สุดรักนรินทร์ก็ตกลงที่จะแต่งงานกับลูกชายตน เธอรีบเดินไปหาสองพี่น้องอธิพัฒน์มนตรีทันที
"งั้นตกลงว่าหนูรักตกลงจะแต่งงานกับธนัตถ์แล้วใช่ไหมคะ?"
รักนรินทร์ยิ้มบางก่อนจะตอบ "ครับ รักตกลงแต่งงานกับคุณธนัตถ์"
คุณหญิงเธอยิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิม พลันในหัวนึกถึงมรดกมากมายที่จะมาเป็นของตนและลูกชาย
"แต่รักมีข้อแม้"
รอยยิ้มของคุณหญิงชะงักในทันที
"ข้อแม้อะไรคะหนูรัก"
"หนึ่ง ผมจะขอเพิ่มเงินค่าสินสอดจากห้าร้อยล้านเป็นแปดร้อยล้าน เพื่อเป็นค่าทำขวัญที่ทำร้ายจิตใจทั้งผมและพี่ฤกษ์.. " รักนรินทร์บอกเงื่อนไขข้อแรกมาก็ทำเอาธนัตถ์เดือดดาลทันที
"เพิ่มขึ้นมาสามร้อยล้าน! เธอนี่มันหน้าเงินจริงๆนะรักนรินทร์!"
"คุณบอกเองไม่ใช่หรือครับว่าคุณรวยมาก อันที่จริงเงินสินสอดห้าร้อยล้านก็เป็นเงินของคุณไพศาล จ่ายเพิ่มเองสามร้อยล้านไม่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับคนรวยแบบคุณ" รักนรินทร์ย้อนคำพูดของอีกคน เห็นแบบนี้เขาไม่ใช่คนจะยอมใคร ทั้งเขาและพี่ฤกษ์เจ็บปวดกับคำพูดอีกฝ่ายก็ต้องจ่ายให้สมราคาคุย
รักนรินทร์กำลังเอาคืน!
ธนัตถ์ฮึดฮัดเถียงไม่ออก ส่วนคุณหญิงอรุณีได้แต่ยิ้มแห้ง ภูวนาถและพริสาก็ยังคงนั่งฟังอยู่เงียบๆ นั่งมองไอ้ธนัตถ์เสียท่าสนุกดีจริง
"ส่วนข้อสอง ผมขอเพิ่มเงินจากการหย่าจากสิบล้านเป็นห้าสิบล้าน"
"รักนรินทร์!!" ธนัตถ์หน้าแดงก่ำจากความโมโห มันจะเกินไปแล้ว แต่งงานกันเพียงหนึ่งปีเขาต้องเสียเวินมากขนาดเชียวหรือ!
"สาม หากเราหย่ากันก่อนครบกำหนดคุณก็ต้องจ่ายให้ผมห้าสิบล้าน"
"แกมันหน้าเงินจริงๆด้วย! พิการแล้วยังไม่เจียม!" ธนัตถ์ตวาดใส่ สรุปแล้วพ่อเขาให้แต่งงานกับตัวอะไรกันแน่!
ฤกษ์แทบจะพุ่งเข้าใส่คนพูดทันที ใครกันแน่ไม่เจียมตัว เมื่อกี้โดนเขาซัดไปรอบคงยังไม่เข็ดสินะ
รักนรินทร์รีบรั้งพี่ชายไว้แล้วมองหน้าเป็นเขิงว่าเขาจะจัดการเอง
"สี่ หากคุณพูดจาดูถูกผมหรือคนในครอบครัวผม คุณต้องจ่ายค่าทำขวัญครั้งละห้าล้านบาท"
คุณหญิงอรุณีแทบลมจับ อีกฝ่ายกอบโกยไปมากมายขนาดนี้พวกเธอคงได้หมดตัวก่อนเป็นแน่
ธนัตถ์กัดฟันกรอดอย่างจำนน ร่างเล็กตรงหน้าเขาช่างร้ายกาจ ตอนแรกทำตัวเป็นคนดีแต่ตอนนี้มันเผยสันดานให้เห็น แต่งงานกันเมื่อไหร่เขาจะขอเอาคืนมันบ้าง!
"เท่านี้ครับ ทางฝ่ายคุณธนัตถ์จะยอมรับเงื่อนไขของผมหรือไม่ครับ?"
รักนรินทร์ใช่ว่าจะอยากเรียกเงินมากมายขนาดนี้ แต่คู่สมรสของเขาหาความดีไม่เจอ เปิดปากพ่นคำดูถูกเขาและพี่ชาย จิตใจเขาแม้จะเข้มแข็งเพียงใดมันก็สึกกร่อนได้ ดังนั้นเขาเองก็ไม่ขอเป็นฝ่ายทนทุกข์คนเดียว เรียกค่าเสียเวลาค่าทำขวัญตั่งต่างคงไม่มากเกินไปสำหรับคนอย่างธนัตถ์ วรภัทรสิริกุลกระมัง
"ตกลง" ชายหนุ่มคู่สมรสตอบเสียงเข้ม
มันกล้าท้าทายก็อย่าหาว่าเขาไม่เตือน เงื่อนไขไร้สาระพวกนั้นอย่าคิดว่าจะทำอะไรคนอย่างธนัตถ์ได้เลย
เขาจะทำให้มันได้รู้ว่านรกเป็นอย่างไร
แกไม่ได้อยู่เป็นสุขแน่! รักนรินทร์