Your Wishlist

รักนรินทร์ (บทที่ 3)

Author: Jiramil

รักนรินทร์​เกิดมาพิการขาเดินไม่ได้แต่กลับยินยอมแต่งงานกับธนัตถ์ชายหนุ่มผู้แสนเย็นชาแต่ปากร้าย

จำนวนตอน : N/A

บทที่ 3

  • 23/12/2567

บทที่ 3

 

รถยนต์เคลื่อนตัวไปบนพื้นถนนยามค่ำคืน แสงจากเสาไฟสีส้มส่องสว่างช่วยให้คนขับมองเห็นเส้นทาง ท้องฟ้ามืดสนิทแต่ยังพราวไปด้วยดวงดาวดวงน้อย

 

"พี่ฤกษ์ผิดหวังในตัวรักหรือครับ? " รักนรินทร์เอ่ยถามพี่ชายที่ในตอนนี้ที่หันหน้าออกไปทางนอกหน้าต่างรถเท่านั้น เสียงของคนตัวเล็กช่างแผ่วเบาเหลือเกิน

 

วันนี้เขาทั้งหักหน้าและทำลายน้ำใจของพี่ชายที่ต่อสู้เพื่อเขา พี่ชายที่ออกหน้าเพื่อเขา แต่เขากลับหักล้างน้ำใจนั้นของฤกษ์ต่อหน้าวรภัทรสิริกุล

 

"..." ฤกษ์ยังคงเงียบ ใบหน้าราวเทพบุตรนั้นยังคงหันออกไปมองทิวทัศน์ภายนอก

 

แม้ตอนเจรจากับอีกฝ่ายเขาจะยอมรักนรินทร์อย่างโดยดี แต่เมื่อทุกอย่างจบลง จะบอกว่าไม่รู้สึกอะไรเลยคงเป็นไปไม่ได้ เขาไม่คิดว่าน้องชายจะยินยอมแต่งงาน แรกเริ่มเดิมทีรักนรินทร์ไม่อยากยินยอมตอบรับข้อเสนอนั่น คนเป็นพี่จึงได้หมายมั่นว่าอย่างไรเขาก็จะปฏิเสธอีกฝ่ายเพื่อรักนรินทร์ แต่แล้วน้องชายกลับเปลี่ยนใจ นั่นทำให้ทั้งคำพูดและการกระทำของเขามันช่างสูญเปล่า ฤกษ์จึงได้นั่งเงียบมาสักพักแล้ว

 

"รักขอโทษนะครับพี่ฤกษ์.." รักนรินทร์รู้สึกผิดจากใจจริง เขาไม่ได้ตั้งใจจะหักหน้าพี่ชายแม้แต่น้อย รักนรินทร์เพียงคิดว่ามันเป็นสิ่งเดียวที่เขาจะช่วยฤกษ์ได้ เขาไม่ได้อยากเป็นภาระแบบที่ใครบางคนประณามเขาไว้

 

ฤกษ์พอได้ยินน้องชายกล่าวขอโทษก็ผินใบหน้ากลับมา รักนรินทร์ก้มหน้างุดไม่กล้าสบตาคนเป็นพี่ ฤกษ์มองรักนรินทร์อยู่นิ่งๆ สักพักก็ถอนหายใจหนักๆ ออกมา

 

"พี่ไม่ได้ผิดหวังในตัวนาย พี่แค่ไม่เข้าใจว่านายจะยึดติดกับคำว่าภาระไปถึงไหน" ฤกษ์บอกกับอีกฝ่ายอย่างหงุดหงิด ไม่ว่าอะไรรักนรินทร์ก็จะพูดว่าตัวเองเป็นภาระจึงอยากช่วยเขาบ้าง อยากจะเป็นประโยชน์ให้เขาบ้าง

 

ฤกษ์ไม่ได้ต้องการอะไรจากรักนรินทร์อยู่แล้วและอันที่จริงตัวเขาเองก็ไม่ได้มองว่าน้องชายเป็นภาระแม้แต่น้อย มีแต่รักนรินทร์ที่คิดไปเองทั้งนั้น

 

"พี่เข้าใจนะว่านายอยากจะช่วยพี่ พี่ฟังและรับรู้ แต่พี่บอกแล้วว่าพี่จัดการเองได้ ไหนจะไอ้การแต่งงานบ้าบอนี่อีก นายคิดอะไรอยู่ คนที่นายต้องแต่งงานด้วยมันเลวขนาดนั้น" ฤกษ์ถามออกไปอย่างอัดอั้น

 

"รักบอกแล้วว่าการแต่งงานกับเขามันได้สินทรัพย์ที่คุ้มค่ามาก.. รักรู้ว่าคนอื่นๆ คงจะมองรักเป็นไอ้หน้าเงินแบบที่เขากล่าวหา แต่รักก็เรียกร้องเพื่อให้สมราคาที่เขาควรจะชดใช้ให้กับการกระทำและคำพูดแสนหยาบคายนั่น" รักนรินทร์สูดลมหายใจเข้าแล้วพูดต่อ "แต่งงานและอยู่กับเขาเพียงหนึ่งปี รักทำได้อยู่แล้วถ้าเทียบกับที่พี่ฤกษ์ต้องแบกรับทุกอย่างเพื่อครอบครัว รักเองก็ขอเลือกเส้นทางของรัก โอกาสมากองตรงหน้ารักจะไม่ยอมเสียไปพี่ฤกษ์"

 

สายตาของรักนรินทร์มุ่งมั่นเสียจนคนเป็นพี่เถียงไม่ออก น้องชายเขาเป็นคนที่เมื่อตัดสินใจแล้วก็จะทำจนถึงที่สุด

 

"ไม่ใช่เพียงหนึ่งปี แต่ตั้งหนึ่งปีที่รักจะต้องทนอยู่กับคนแบบนั้น แล้วคิดหรือว่ามันจะยอมจ่ายเงินให้ทุกครั้งที่มันหยามนาย" ฤกษ์ถามกลับไป คนแบบนั้นดูก็รู้ว่าเจ้าเล่ห์เพทุบาย คนที่จะเสียเปรียบมันก็มีแต่น้องชายเขา

 

"การแต่งงานกับเขาก็ไม่ต่างอะไรจากการทำงานโดยแลกกับเงิน รักมีหน้าที่อยู่ให้ครบสัญญาเพื่อให้เขาได้มรดกจากคุณไพศาล และเมื่อครบหนึ่งปี รักเพียงหย่าและรับค่าตอบแทนที่ตกลงกันไว้ จากนั้นทั้งรักและเขาก็แยกกันไปใช้ชีวิตของตัวเอง"

 

"แล้วถ้ามันไม่ใช่หนึ่งปีล่ะ? " คำถามของฤกษ์ทำให้รักนรินทร์ไม่เข้าใจ

 

"พี่ฤกษ์หมายถึงอะไรครับ? "

 

"ถ้านายเกิดมีความรู้สึกต่อมัน นายจะว่ายังไง.."

 

รักนรินทร์พลันนิ่งไปทันที

 

"พี่แค่คิดถึงความเป็นไปได้.. แต่ลืมที่พี่พูดเถอะ มันคงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว" ฤกษ์บอกปัดอย่างไม่ใส่ใจ คนเลวอย่างนั้นน้องชายเขาจะไปเผลอใจให้มันได้อย่างไร เขาช่างคิดอะไรได้สาระเสียจริง

 

"ครับ.. แต่ พี่ฤกษ์ยังไงรักก็ขอโทษที่หักหน้าพี่ฤกษ์นะครับ รักทำให้พี่ฤกษ์เสียหน้าให้ฝ่ายนั้น.." รักนรินทร์กล่าวขอโทษถึงเรื่องวันนี้อีกครั้ง เขาลุแก่โทษแล้วจริงๆ

 

"ช่างเถอะ พี่ไม่ได้คิดมาก" ฤกษ์ไม่ใส่ใจ อย่างไรรักนรินทร์ก็เป็นน้องชายเพียงคนเดียวของเขา จะมาทะเลาะกันคงไม่ได้อะไร

 

"ครับ" รักนรินทร์ตอบกลับ เขายิ้มบางให้พี่ชายที่ไม่ถือสาหาความที่เขาเอาแต่ใจตัวเอง

 

และเมื่อสิ้นคำของรักนรินทร์ เขาและฤกษ์ก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก ทั้งสองคนอยู่กับความเงียบในรถจนกระทั่งกลับถึงบ้านอธิพัฒน์มนตรี

 

 

 

 

 

 

 

 

"ตกลงเงื่อนไขเป็นไปตามพินัยกรรมนะครับ" ทนายของวรภัทรสิริกุลเอ่ยขึ้น

 

วันนี้เป็นครั้งแรกที่รักนรินทร์ได้มาเยือนที่บ้านของอีกฝ่าย อดจะทึ่งไม่ได้ถึงความงดงามหรูหราที่คฤหาสน์ของวรภัทรสิริกุลเผยโฉมอยู่ตอนนี้ ราวกับยืนอยู่ในพระราชวังก็ไม่ปาน รักนรินทร์ในใจถึงกับนึกถึงคำพูดของธนัตถ์ที่กล่าวว่าเจ้าตัวนั้นรวยมาก

 

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อสินะ..

 

เช้านี้รักนรินทร์มาถึงตั้งแต่เก้าโมง พอลงจากรถ เขาก็เห็นว่าชายหนุ่มคู่สมรสมายืนรอรับอยู่หน้าบ้านพร้อมคุณหญิงอรุณี อีกทั้งยังมองพี่ชายเขาด้วยสายตาอาฆาตอีกด้วย

 

"ไม่ต้องสอดส่ายสายตาสำรวจบ้านฉันมากหรอกรักนรินทร์ ยังไงแกก็ต้องมาอยู่ที่นี่ แล้วอย่าดีใจจนตัวสั่นเกินไปล่ะ"

 

คำทักทายที่ควรจะเป็นมารยาทพื้นฐานไม่มีหลุดจากปาก มีแต่พ่นคำเหน็บแนมให้เขาแต่เช้า รักนรินทร์พลางส่ายหน้าอย่างหน่ายใจ คนๆ นี้ในหัวจะคิดอะไรดีๆ อย่างคนอื่นเขาบ้างไหมนะ

 

แต่ก็นับว่าโชคดีที่ครั้งนี้คุณหญิงอรุณีเธอรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร เธอแอบเอ็ดลูกชายเบาๆ เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับรักนรินทร์ หากเขาหย่าคนที่จะไม่ได้อะไรเลยก็คือฝ่ายนั้น

 

ฤกษ์ที่มากับรักนรินทร์วันนี้ดูเงียบขรึมกว่าครั้งก่อน ท่าทีก็เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เขาฟังทนายของอีกฝ่ายทวนรายละเอียดสัญญาโดยไม่ได้กล่าวอะไร

 

"คุณทนายอย่าลืมเรื่องเงื่อนไขที่ผมขอให้ลงเพิ่มไปนะครับ" รักนรินทร์เอ่ยบอก เงื่อนไขสำคัญขนาดนี้จะไม่ให้ตกหายไปสักข้อแน่

 

ธนัตถ์ที่ได้ยินอีกคนรีบท้วงทนายของตระกูลก็ยิ้มเยาะ "หึ กลัวไม่ได้เงินขนาดนั้นเลยหรือรักนรินทร์? "

 

คุณหญิงอรุณีอยากจะตบหน้าผากตัวเอง ลูกชายเขาหาเรื่องคนตัวเล็กได้ตลอด ส่วนฤกษ์ทำเพียงดูสถานการณ์แล้วจิบกาแฟไปเงียบๆ

 

"ครับ ผมกลัว.. กลัวว่าจะเสียเปรียบคนแย่ๆ แบบคุณ" รักนรินทร์เองก็ไม่ยอมแพ้เถียงกลับไป

 

เขาไม่ใช่คนที่จะมายอมทนฟังอีกฝ่ายสาดคำแย่ๆ ใส่อยู่คนเดียวแน่!

 

ทนายของตระกูลเห็นท่าไม่ดี เขากระแอมไอเล็กน้อยเพื่อขัดจังหวะแล้วทวนเงื่อนไขทั้งหมดอีกครั้ง และเมื่อไม่มีใครคัดค้านเขาจึงขอตัวกลับไปก่อน เหลือเพียงคนจากสองตระกูลเท่านั้น

 

"ฤกษ์แต่งงานป้าจะไปดูมาให้แล้วจะแจ้งทางหนูรักอีกทีนะคะ" คุณหญิงบอกกับรักนรินทร์ ถึงจะแต่งงานเพราะเรื่องพินัยกรรม แต่จะมาทำลวกๆ ไม่ใช่วิสัยของเธอ "ธีมแต่งงานหนูรักอยากได้แบบไหนคะ หรือจะลองคิดกับธนัตถ์กันก่อน? "

 

รักนรินทร์ชะงักไปกับคำถาม เขาไม่คิดว่าจะต้องถึงขั้นจัดงาน เขาทั้งสองไม่ได้แต่งงานเพราะความรัก รักนรินทร์จึงคิดว่าการจัดงานคงไม่จำเป็น

 

"เอ่อ ผมว่าแค่จดทะเบียนก็พอครับคุณหญิง อย่าจัดงานให้สิ้นเปลืองเลยครับ" รักนรินทร์ปฏิเสธเสียงสุภาพ

 

"จะดีหรือคะหนูรัก อันที่จริงป้าเชิญแค่คนสนิทมาร่วมงานเท่านั้นเองค่ะ หนูรักไม่ต้องคิดมาก" คุณหญิงเธอเห็นรักนรินทร์ปฏิเสธแบบนั้นก็อดจะคิดไม่ได้ สงสัยเจ้าตัวคงกลัวว่าหากแขกเหรื่อในงานมาเห็นว่าลูกชายของเธอแต่งงานกับผู้ชายด้วยกันซ้ำยังพิการด้วย คงจะถูกเอาไปพูดต่อ

 

นี่มันต่างจากครั้งก่อนที่นัดพบกันที่โรงแรม เธอจ่ายเงินเป็นค่าปิดปากให้บริกรก็จริง แต่เพื่อไม่ให้หลุดเรื่องที่ลูกชายโดนต่อยแถมยังสู้กลับไม่ได้ หมดมาดว่าที่ผู้นำวรภัทรสิริกุลเสียจนดูไม่ได้

 

ใจจริงแล้วเธอก็เอ็นดูรักนรินทร์ ไหนๆ ก็แต่งงานกับลูกชายเขาแม้จะชั่วคราวแต่เธอก็คิดว่าควรจะจัดงานให้เป็นรูปธรรม ใครเห็นจะได้ไม่เอาไปพูดกันลับหลังว่าลูกชายเขามีเมียเก็บไว้ลับๆ นั่นยิ่งแย่เข้าไปใหญ่

 

"กลัวเปลืองเงินฝั่งฉัน แต่เรียกไปไม่รู้ตั้งกี่ล้าน แกจะมารู้สึกเสียดายอะไร" คนปากร้ายพูดขึ้น ไม่รู้ว่ามันจะมารู้สึกอะไรกับเงินแค่นี้ คงเสียดายที่เอาเงินไปจัดงานแต่งโง่ๆ สินะ

 

"แทนที่จะเอาเงินส่วนนั้นมาเป็นค่าตอบแทนให้ผม แต่กลับเอาไปจัดงานแต่งงานที่ทั้งคุณและผมไม่ได้ต้องการ จะไม่เสียดายได้อย่างไรครับ คุณธนัตถ์" รักนรินทร์โต้ตอบ เขาจะพูดอะไรก็ผิดไปเสียหมด ถ้าธนัตถ์อยากให้เขาผิดเขาก็จะผิดให้ถึงใจไปเลย

 

"แกนี่มันยิ่งกว่าปลิง! "

 

"ขอบคุณครับ" รักนรินทร์ไหวไหล่แล้วกล่าวขอบคุณ ธนัตถ์ยิ่งเห็นก็โมโหกว่าเดิม

 

แต่จู่ๆ เขาก็นึกอะไรได้ รอยยิ้มเย็นค่อยๆ เผยบนใบหน้า หากรักนรินทร์ไม่ต้องการงานแต่งงาน เขาก็จะกระทำสวนทางจากอีกคน

 

"ผมจะจัดงานให้ใหญ่โตที่สุด คุณแม่เชิญแขกมาได้เลยจะร้อยสองร้อยคนก็เชิญมาเลยครับ ผมอยากจะจัดงานให้ยิ่งใหญ่ที่สุด อยากให้ทุกคนได้เห็นว่าคู่สมรสของผมดูดีแค่ไหน" ธนัตถ์บอกคนเป็นแม่แต่ใบหน้าจดจ้องที่คนตัวเล็ก

 

รักนรินทร์รู้สึกเหมือนตัวเองพลาดท่า เสียรู้ให้อีกฝ่าย เขาไม่ได้อยากป่าวประกาศให้ใครรู้แม้แต่น้อยว่าเขาแต่งงานกับธนัตถ์

 

"คุณธนัตถ์! ผมบอกแล้วไงว่าไม่ต้องการงานแต่ง แค่จดทะเบียนกันก็พอ"

 

"ฉันก็ไม่ได้อยากจะอวดใครหรอกนะว่ามีคู่แต่งงานเป็นคนพิการแบบนี้ แต่อย่าลืมสิ ฉันเป็นคนมีหน้ามีตาในวงการธุรกิจ พวกสอดรู้สอดเห็นมันเยอะ ถ้ามีคนรู้ว่าฉันแต่งงานกับแกแต่ไม่ออกสื่อ คนจะมองฉันยังไง คิดเสียหน่อยเถอะไม่ใช่คิดแต่จะขูดรีดเงินฉันทุกเวลาแบบนี้" ธนัตถ์สะใจที่ได้เห็นว่ารักนรินทร์ตอนนี้ทำได้แค่เม้มปากแน่นแต่เถียงอะไรไม่ได้ จะมาทันความคิดของธนัตถ์ได้อย่างไรในเมื่อรักนรินทร์ไม่เคยสัมผัสสังคมแบบนั้น

 

"งั้นก็ยกเลิกสัญญาไป แกจะได้ไม่ต้องกลัวว่าจะมีคนสอดรู้" ฤกษ์ที่เงียบมาสักพักก็พูดขึ้น ธนัตถ์รีบหันขวับไปทางต้นเสียง สีหน้าไม่พอใจชัดเจน 

 

ฤกษ์เองก็ช่างยุ แต่หากยุน้องชายให้ยกเลิกสัญญาตอนนี้ได้เขาก็ยินดีจะทำ

 

"เอาเป็นว่าจัดงานใหญ่แบบที่ธนัตถ์บอกแล้วกันนะคะ ในงานคงมีนักธุรกิจมาเข้าร่วมมากมาย เป็นโอกาสดีจะได้หาคอนแทคใหม่ๆไปด้วยนะคะคุณฤกษ์" คุณหญิงเธอรีบพูดสรุปเพื่อตัดบทแล้วหันไปบอกฤกษ์ อย่างน้อยก็เป็นการประนีประนอมทั้งสองฝ่าย

 

"ครับ" ฤกษ์ตอบรับเสียงเรียบ แม้จะรู้สึกขอบคุณที่แขกส่วนใหญ่เป็นคนรู้จักของอีกฝ่าย แต่เขาก็ไม่ค่อยอยากจะสนทนากับคุณหญิงมากนัก

 

ธนัตถ์สมเพชอีกฝ่ายอยู่ในใจ เหมือนกันทั้งพี่ทั้งน้อง   อย่างไรก็กอบโกยผลประโยชน์จากวรภัทรสิริกุลอยู่ดี

 

"รบกวนทางคุณหญิงช่วยจัดการทีนะครับ ผมกับรักนรินทร์ขอตัว" ฤกษ์กล่าวลาแล้วลุกออกจากเก้าอี้ ชัชวาลที่ยืนรออยู่มุมห้องเดินเข้ามาปลดล็อกล้อรถเข็นของเจ้านายน้อยแล้วจะพาไปขึ้นรถ

 

"ธนัตถ์ลูกไปส่งน้องกับคุณฤกษ์ทีนะ แม่มีสายด่วนเข้ามาน่ะจ้ะ"

 

"ครับ" ธนัตถ์รับคำนิ่งๆ เขาเดินตามพวกอธิพัฒน์มนตรีออกไป

 

เขาเห็นฤกษ์ขึ้นรถอีกฝั่งไปเพื่อรอช่วยพยุงน้องชายจากด้านใน จังหวะที่ชัชวาลเข็นมาถึงรถและกำลังจะเปิดประตูนั้นธนัตถ์ก็โน้มตัวไปหารักนรินทร์

 

"ปากดีให้ได้ตลอดนะรักนรินทร์ พอถึงวันที่แกย้ายมาอยู่ที่นี่เมื่อไหร่ ฉันจะเอาคืนแกแน่ๆ" เขาพูดเสียงเยียบเย็นข้างใบหูเล็ก รักนรินทร์พลันขนลุกวาบขึ้นมา เขาทำใจสู้เมินเฉยต่อคำขู่เหล่านั้น

 

 

 

 

รถยนต์แล่นออกไปจากตระกูลวรภัทรสิริกุลแล้ว ธนัตถ์มองตามไปจนสุดสายตา เขาหันหลังเดินเข้าบ้านเห็นคนเป็นแม่จิบน้ำส้มเย็นจัดจนไอน้ำเกาะข้างแก้วอย่างอารมณ์ดีบนโซฟาตัวหรู

 

"คุณแม่ดูมีความสุขจังนะครับ" ธนัตถ์เอ่ยขึ้นพลางเดินไปนั่งที่โซฟาอีกตัว เขาเอนหลังพิงกายอย่างเหนื่อยอ่อน

 

"แหม ก็ต้องมีความสุขสิจ๊ะ เราจะได้รับมรดกจากคุณพ่อ แถมลูกก็ได้ทั้งตระกูลและบริษัททั้งหมด แม่ก็ต้องดีใจสิ"

 

"แต่ผมทุกข์เพราะต้องแต่งงานกับปลิงดูดเงินอย่างไอ้พิการนั่น คุณแม่ก็เห็นมันเรียกร้องอะไรจากเราไปตั้งมาก" พอนึกถึงคนที่เพิ่งกลับไปเขาก็รู้สึกชิงชังขึ้นมาทันที หากรักนรินทร์สงบปากสงบคำเสียบ้างเขาคงไม่อิดออดเรื่องการแต่งงานเพียงสักนิด

 

ยังไม่รวมพี่ชายมันที่ทำเขาไว้อย่างเจ็บแสบ ทั้งพี่ทั้งน้องไม่ต่างกันเลย แสร้งเป็นคนดีเสียจนธนัตถ์รู้สึกสะอิดสะเอียนขึ้นมา

 

"ช่วยไม่ได้หรอกจ้ะ คุณพ่อเป็นคนต้องการแบบนี้ ถ้าไม่ทำลูกก็จะต้องสูญเสียตำแหน่งให้กับภูวนาถ ต่อให้เอ็นดูแค่ไหนแม่ก็ยอมไม่ได้จริงๆ" คุณหญิงกล่าวออกมาเสียงเครียด เธอไม่ได้เกลียดอะไรภูวนาถและพริสา แต่เธอชังคนเป็นแม่ของเด็กสองคน สามีเธอวันๆเอาแต่ขลุกอยู่กับผู้หญิงคนนั้น แม้ตอนเธอคลอดธนัตถ์ออกมา เจ้าสัวไพศาลก็ยังให้ความสำคัญเธอน้อยกว่า เธอจึงไม่อยากให้อะไรตกไปถึงผู้หญิงคนนั้นแม้แต่สตางค์แดงเดียว

 

แต่ทั้งเธอและลูกชายก็อดจะแปลกใจกับเงื่อนไขของพินัยกรรมไม่ได้ ทำไมต้องแต่งงาน แล้วทำไมต้องเป็นรักนรินทร์ ทำไมไม่เป็นคนอื่น มันมีแต่คำถามอยู่มากมาย

 

"ว่าแต่แม่ เราเถอะ ทำไมจู่ๆอยากให้จัดงานใหญ่ ไหนตอนแรกยังบอกแม่อยู่เลยว่าไม่ต้องจัด" ก่อนหน้าที่รักนรินทร์จะมาพบที่บ้าน เธอคุยกับธนัตถ์ถึงเรื่องการจัดงานแต่ง แต่ลูกชายเธอก็ปฏิเสธและพูดเหมือนที่รักนรินทร์บอก คือแค่จดทะเบียนสมรสก็เพียงพอแล้ว แต่เธอยืนกรานจะให้จัดงานให้ได้ ธนัตถ์จึงยอมคนเป็นแม่เพื่อตัดปัญหา

 

"ผมอยากจัดให้มันอกแตกตายเล่น พวกหิวเงินอย่างรักนรินทร์คงเสียดายจนตัวสั่น อีกอย่างมันจะได้เห็นสายตาที่คนทั้งงานมองมันอย่างสมเพชเวทนาจนทนไม่ได้ต้องหนีออกจากงานแน่ ผมก็คงรับบทคู่สมรสที่น่าสงสาร ถูกอีกคนทิ้งให้รับแขกคนเดียว" ธนัตถ์แสร้งตีหน้าเศร้าแล้วกล่าวออกมา คุณหญิงอรุณีเห็นแบบนั้นเธอจึงส่ายหน้าไปมาให้กับความคิดแย่ๆของลูกชาย

 

"หลังจากงานแต่งงานแม่คงต้องบินกลับปารีส หวังว่าจะอยู่กันได้นะ"

 

"ได้สิครับ ผมจะดูแลอย่างดีเลย" ชายหนุ่มยิ้มราวกับตัวร้าย 

 

เขาจะดูแลรักนรินทร์ให้เท่ากับที่เจ้าตัวปากเก่งใส่เขาอย่างสาสม! 

 

 

 

 

 

 

รักนรินทร์และฤกษ์กลับถึงบ้านช่วงสิบเอ็ดโมงกว่า เขาเห็นรถสีเหลืองคุ้นตาจอดอยู่ข้างสวนดอกไม้ พอเข้ามาในบ้านเจ้าของรถกำลังนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขก

 

"คุณวิทย์ สวัสดีครับ" รักนรินทร์กล่าวทักทายผู้มาเยือน เขายิ้มกว้างเมื่อเห็นบก.คู่ใจที่นี่ เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายมาหาเขาเรื่องอะไร

 

"สวัสดีครับคุณรัก คุณฤกษ์..." วิทย์ตอบกลับยิ้มๆ ก่อนจะเบนสายตาไปทางคนตัวสูงที่เดินเข้ามาพร้อมกับรักนรินทร์ วิทย์พลางส่งยิ้มน้อยๆเป็นกานทักทายอีกคน ฤกษ์เพียงมองบก.หนุ่มนิ่งๆ ทำเอาวิทย์รู้สึกเจื่อนไปนิด

 

"คุณวิทย์มารอนานหรือยังครับ?" รักนรินทร์เอ่ยถาม 

 

"ผมมาถึงเมื่อสิบนาทีก่อนครับ เผอิญทางสำนักพิมพ์แจ้งว่าเล่มตัวอย่างเสร็จแล้วผมเลยเข้าไปรับ แล้วก็มาทำธุระแถวนี้พอดีเลยว่าจะแวะเอามาให้คุณรักดูเลยน่ะครับ" บก.หนุ่มตอบพลางดันแว่นขึ้นเล็กน้อย "จริงๆผมไม่คิดจะรบกวนหากคุณรักไม่อยู่แต่ป้าบัวเธอบอกว่าคุณรักกำลังกลับบ้านเลยให้ผมรอก่อนน่ะครับ" 

 

"ดีเลยคุณวิทย์ งั้นเรามาดูเล่มตัวอย่างกัน รักตื่นเต้นอยากจะเห็นแล้วครับ" ร่างบนรถเข็นกล่าวอย่างดีอกดีใจ 

เขารอเล่มตัวอย่างมาหลายวัน อยากจะเห็นผลงานเต็มที

 

"รักไปเปลี่ยนชุดให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยลงมาคุยงาน" ฤกษ์บอกกับน้องชายเสียงเรียบ เขาเห็นว่าน้องชายเขาสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาว อากาศวันนี้ค่อนข้างจะอบอ้าว เขาจึงบอกให้น้องชายไปเปลี่ยนชุดที่สบายตัวกว่านี้

 

"จริงด้วย เสื้อเชิ้ตตัวนี้ใส่แล้วเหงื่อออกเยอะตลอดเลย งั้นเดี๋ยวรักจะรีบลงมานะครับคุณวิทย์" รักนรินทร์กล่าวกับวิทย์ จากนั้นชัชวาลจึงพอรักนรินทร์ขึ้นไปเปลี่ยนชุดที่ห้องชั้นบน

 

ภายในห้องรับแขกตอนนี้มีเพียงวิทย์และฤกษ์สองคน บก.หนุ่มจึงเป็นฝ่ายพูดคุยกับอีกฝ่ายก่อน

 

"วันนี้คุณฤกษ์ไม่เข้าบริษัทหรือครับ?"

 

"ไม่" ฤกษ์ตอบสั้นๆพลางเดินไปนั่งข้างๆบนโซฟาตัวเดียวกับวิทย์

 

ร่างสูงโน้มใบหน้าเข้าใกล้อีกฝ่าย ใช้มือรั้งคอบางแล้วดึงเข้าหาตน กดริมฝีปากมอบจูบหนักหน่วงให้บก.หนุ่มอย่างไม่ทันตั้งตัว

 

"อื้อ!" วิทย์ตกใจ อยู่ๆคุณฤกษ์ก็จูบเขา เขากลัวจะมีใครมาเห็นจึงรีบขืนตัวและใช้สองมือผลักอีกคนออก

 

ฤกษ์ขมวดคิ้วรู้สึกหงุดหงิด เขาถอนริมฝีปากออกแล้วบีบคออีกคน

 

"อย่ามาขัดใจฉันนะวิทย์! ฉันบอกแล้วไงถ้าฉันต้องการนายก็ต้องยอม!" เขาตวาดใส่อีกคนไม่ดังมากนัก

 

"นี่มันบ้านคุณนะคุณฤกษ์! ถ้ามีใครมาเห็นเข้าจะทำยังไงครับ" วิทย์หน้าเบ้เล็กน้อยเมื่อฤกษ์เพิ่มแรงงบีบที่คอเขา สองมือเล็กยกขึ้นจับมืออีกคนที่บีบรอบลำคอเขาอยู่ พยายามดึงออกแต่ไม่เป็นผลรังแต่จะทำให้คนตัวสูงโมโหกว่าเดิม

 

"เห็นแล้วยังไง? ก็ให้เห็นไปสิ แค่จะเอาคู่นอนคงไม่ใช่เรื่องใหญ่" 

 

"วันนี้ผมมาคุยงานกับคุณรักนะครับ ถ้าคุณฤกษ์ต้องการจริงๆไปรอผมที่คอนโดได้ไหมครับ?" วิทย์ถามออกไป พยายามไม่ทำให้อีกคนอารมณ์เสียไปมากกว่าเดิม

 

"อย่ามาสั่งฉันว่าฉันต้องทำอะไร ทั้งๆที่นายมันก็แค่พวกใจง่ายยอมให้เอาฟรี"

 

"คุณฤกษ์..." วิทย์พูดเสียงสั่นเครือน้ำตาคลอหน่วย 

 

เขาเสียใจกับคำพูดของอีกคนจริงๆ มันเหมือนอีกคนฉีกกระชากความรู้สึกของเขาจนป่นปี้ 

 

ทำอะไรพูดอะไรก็ผิดไปเสียทุกอย่าง แต่เขาก็ไม่เคยจะรู้สึกโกรธอีกคนแม้แต่น้อย

 

ถ้าไม่รักมีหรือเขาจะยอมผู้ชายใจร้ายแบบนี้... 

 

ฤกษ์เห็นอีกคนเหมือนจะร้องไห้ จึงปล่อยมือออกจากลำคอขาว ลุกขึ้นเดินผ่านอีกคนหมายจะเดินกลับขึ้นห้องไป

 

"อย่ามาขัดใจฉันอีก" 

 

วิทย์ที่นั่งหันหลังให้เพียงแค่พยักหน้าเบาๆ ฤกษ์จึงเดินออกไป

 

บก.หนุ่มนั่งสงบสติอารมณ์อยู่ไม่นานนักรักนรินทร์ก็ลงมาหาเขา เจ้าตัวยิ้มน่ารักมาแต่ไกลพร้อมถือแท็บเล็ตประจำตัวมาด้วย

 

"ขอโทษที่ให้รอนะครับคุณวิทย์" 

 

"ไม่เป็นไรครับคุณรัก" 

 

"คุณวิทย์ดูหน้าซีดๆ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ" รักนรินทร์กล่าวอย่างเป็นห่วง กลัวอีกฝ่ายจะทำงานหนักจนไม่ได้พักผ่อนถึงได้หน้าซีดเซียวแบบนี้

 

"เปล่าครับคุณรัก เรามาดูหนังสือตัวอย่างกันดีกว่าครับ" วิทย์ปฏิเสธแล้วเปลี่ยนมาคุยเรื่องงาน

 

"ได้เลยครับ" รักนรินทร์ตอบพร้อมรอยยิ้ม

 

 

 

 

 

 

.

.

.

รักนรินทร์พูดคุยกับวิทย์มาร่วมสองชั่วโมง งานเขียนของเขาจะได้รับการตีพิมพ์อย่างเป็นทางการในเดือนหน้า คนตัวเล็กแสนดีใจยิ้มไม่ยอมหยุดทำเอาบก.หนุ่มรู้สึกอยากจะยิ้มตามไปด้วย

 

"รักลืมถามไปเลยว่าคุณวิทย์ทานข้าวมาหรือยัง นี่คุยกันมาจนบ่ายเลย" รักนรินทร์มองดูเวลาก็นึกขึ้นได้ ตั้งแต่กลับมาเขาเองก็ยังไม่ได้ทานอะไรเลย มัวแต่ดีใจลืมถามบก.ของตนเช่นกัน

 

"ตอนมาถึงที่นี่ป้าบัวนำขนมมาให้ทานรองท้องแล้วครับ อันที่จริงก็ยังรู้สึกอิ่มๆอยู่เลย"

 

"รักต้องขอโทษคุณวิทย์ด้วยนะ นี่ถ้าคุณวิทย์ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องคงได้เป็นลมแน่ๆ" รักนรินทร์กล่าวอย่างรู้สึกผิด เขานี่ไม่นึกถึงใจแขกเสียเลย

 

วิทย์หัวเราะเล็กน้อยให้กับความน่ารักของอีกคน พูดคุยกันอีกเล็กน้อยวิทย์จึงขอตัวกลับ

 

"ผมจะแจ้งทางสำนักพิมพ์อีกทีนะครับ ถ้าเรื่องที่สองที่เสนอไปได้ตีพิมพ์ด้วยผมจะมารีบมาถึงบ้านเลยครับ"

 

สิ้นคำบก.หนุ่ม รักนรินทร์นึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่ได้บอกอีกฝ่ายว่าเขาจะต้องย้ายไปอยู่ที่บ้านวรภัทรสิริกุล

 

"คุณวิทย์ รักลืมบอกเรื่องหนึ่งไป" 

 

"ครับ?" 

 

"คือรักจะต้องย้ายไปอยู่ที่อื่นสักหนึ่งปี คุณวิทย์คงต้องไปหารักที่นั่นครับ" รักนรินทร์กล่าวสีหน้าพลันหม่นหมองลงไปเล็กน้อย

 

"ย้ายทำไมหรือครับ? แล้วคุณรักจะไปอยู่ที่ไหนครับ?" 

 

"คือรัก.. กำลังจะแต่งงานครับ เลยต้องย้ายไปอยู่ที่บ้านคู่สมรสน่ะครับ"

 

"แต่งงานหรือครับ งั้นผมขอแสดงความยินดีด้วย แล้วคู่สมรสคุณรักคือใครหรือครับ?" วิทย์กล่าวออกไปอย่างไม่รู้ เขาจึงเอ่ยคำยินดีให้แก่รักนรินทร์

 

"เขาคือธนัตถ์ วรภัทรสิริกุลครับ" พูดชื่อเขาทีไรรักนรินทร์มักนึกถึงคำพูดของอีกฝ่ายตลอด 

 

คำพวกนั้นมันฝังลงสมองเขาเสียแล้วน่ะสิ

 

"ลูกชายของเจ้าสัวไพศาลและคุณหญิงอรุณีนั่นเอง เป็นคู่สมรสที่ดีครับ ทั้งฐานะและชาติตระกูล คุณรักโชคดีมากๆเลยครับ"

 

"ครับ รักโชคดีมากจริงๆ" เขาตอบแกมประชดประชันเล็กน้อย

 

กับคนปากเสียแบบนั้นคงต้องไปทำบุญล้างซวยสักร้อยวัด!

 

 

 

 

 

 

 

"ฤกษ์แต่งงานเป็นวันพุธที่แปดเดือนหน้านะคะ เดี๋ยวป้าจะให้ธนัตถ์ไปรับหนูรักมาตัดชุดแต่งงานพรุ่งนี้... "

 

 

คุณหญิงอรุณีแจ้งวันแต่งงานให้ฤกษ์และรักนรินทร์รับรู้เมื่อเย็นวานนี้

 

รักนรินทร์แอบใจหายที่เขาต้องแต่งงานกับธนัตถ์เร็วขนาดนี้ แต่เริ่มเร็วมันก็จบเร็ว ตัวเขาก็เป็นคนตัดสินใจจะทำจะไม่มาล้มเลิกกลางทางแน่

 

ตอนนี้คนตัวเล็กกำลังให้คนปากร้ายมารับไปตัดชุดแต่งงานอย่างที่คุณแม่ของเขาบอก เขารออยู่กับพ่อบ้านคนสนิทสองคนส่วนพี่ชายติดประชุมด่วนจึงเข้าไปบริษัทไปตั้งแต่เช้า

 

รักนรินทร์รออยู่สักพักก็เห็นรถสปอร์ทสีดำเงาวับขับเข้ามา รถจอดเทียบอยู่ตรงหน้าของเขา 

 

ร่างสูงเปิดประตูลงมา เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีเทาอ่อนกางเกงสแล็คสีดำกับรองเท้าแบรนด์เนม

เขายกมือถอดแว่ยกันแดดราคาแพงออกจากใบหน้า รักนรินทร์จึงได้เห็นสีหน้าที่แสดงความรำคาญของอีกฝ่ายเต็มๆ

 

"สวัสดีครับคุณธนัตถ์" รักนรินทร์ประนมมือไหว้และกล่าวทักทายแบบที่คนมีมารยาทพึงกระทำ

 

"คนขับรถบ้านนี้มันไม่มีหรือไงถึงได้ต้องให้ฉันลดตัวมารับไอ้พิการแบบแก" ธนัตถ์นอกจากจะไม่รับไหว้ยังจะพูดจาไม่ดีใส่รักนรินทร์อีก

 

ชัชวาลรู้สึกไม่พอใจแทน แต่รักนรินทร์กำชับเอาไว้ว่าหากอีกฝ่ายพูดอะไรขอให้อย่าตอบโต้

 

ปัญญาชนจะต้องไม่ใส่ใจกับคำพูดร้ายกาจแบบนั้น

 

"คุณหญิงอรุณีเป็นคนบอกว่าคุณจะมารับผม ผมไม่ได้ขอให้คุณมา ยกเลิกงานแต่งไปดีไหมครับ คุณจะได้ไม่เสียเวลา" 

 

"งานแต่งงานของฉันกับแกมีไว้เพื่ออะไรรู้ไหม? ถ้าไม่รู้จะบอกให้" 

 

"เพื่ออะไรล่ะครับ" รักนรินทร์ถาม

 

ธนัตถ์ยิ้มหยันเล็กน้อยแล้วตอบอีกคน "เพื่อให้คนได้เห็นไงว่าฉันมีคู่สมรสเป็นไอ้พิการน่าสมเพช พิการแล้วยังมาแต่งงานเพราะต้องการจะสูบเงินจากฉัน เป็นแค่ไอ้ตัวเดินไม่ได้มากภาระที่โลภมาก เรียกร้องเงินเป็นล้านทั้งๆที่ตัวมันแสนจะไร้ราคา"

 

รักนรินทร์จดจำคำพูดเหล่านั้นไว้เต็มอก อีกฝ่ายจะสาดคำเสียใส่เขามากเท่าไรก็เชิญ เขาจะขอจำเอาไว้ย้ำเตือนตัวเองว่าอีกฝ่ายหยามเหยียดเขามากเพียงใด

 

เพราะอนาคตมันไม่แน่นอน... 

 

ความรู้สึกคนก็ด้วย

 

"ไม่ครับคุณธนัตถ์ ผมไม่ได้หมายถึงว่าคุณอยากจะจัดงานแต่งงานไปทำไม" รักนรินทร์ยิ้มให้ก่อนจะตอบ

 

"แกหมายความว่าไง?"

 

"ผมหมายถึง.. คุณจะบอกผมไปเพื่ออะไรครับ ผมไม่ได้อยากรู้เสียหน่อย"

 

"รักนรินทร์!!!"

 

ธนัตถ์เดือดดาลหน้าแดงก่ำ ไอ้พิการนี่มันคิดจะกวนประสาทเขา! 

 

"แก! ไอ้พิการ! ฉันไม่เอาแกไว้แน่!!!" ธนัตถ์ชี้หน้าด่ากราด ชัชวาลที่ยืนอยู่ก็กลั้นขำแทบจะไม่อยู่

 

"ผมขอโทษนะครับถ้าทำให้คุณเข้าใจผิด" รักนรินทร์กล่าวขอโทษ สีหน้าใสซื่อราวกับที่พูดไปเขาไม่รู้จริงๆ

 

ธนัตถ์หัวฟัดหัวเหวี่ยงอยากจะจับไอ้พิการนี่มาบีบให้แหลกคามือ ทั้งๆที่มันต้อยต่ำกว่าเขาแต่เขากลับเป็นรองมัน แค่นี้ก็จะบ้าตายอยู่แล้ว!! 

 

"คุณยังจะไปร้านตัดชุดอยู่หรือเปล่าครับคุณธนัตถ์?" รักนรินทร์ถาม หากไม่ไปเขาก็ยินดีจะใส่ชุดเช่าเอาก็ได้ อันที่จริงยกเลิกงานไปเสียได้จะดีกว่า

 

"ขึ้นรถ!" ธนัตถ์พูดอย่างหัวเสีย เขาเดินอ้อมไปฝั่งคนขับกำลังจะเปิดประตู สายตามองชัชวาลที่กำลังพารักนรินทร์ขึ้นรถตรงที่นั่งด้านหลังพลันเขาก็คิดอะไรบางอย่างได้

 

"อาชัชไม่นั่งข้างหลังกับรักหรือครับ?" 

 

"คงจะไม่เหมาะครับคุณรัก ผมไปนั่งข้างหน้าดีกว่าครับ" ชัชวาลเอ่ยอย่างสุภาพ อย่างไรธนัตถ์ก็มีศักดิ์เหมือนเจ้านาย จะให้เขานั่งข้างหลังแล้วทำเหมือนธนัตถ์เป็นคนขับรถได้อย่างไร

 

"ก็ได้ครับ" รักนรินทร์ตอบรับ

 

ชัชวาลปิดประตูด้านหลังกำลังเอื้อมเปิดประตูทางด้านหน้า คนขับปากร้ายก็เหยียบคันเร่งออกตัวเสียก่อน

 

"อาชัช! คุณธนัตถ์!! คุณทำบ้าอะไรเนี่ย! จอดรถเลยนะ อาชัชยังไม่ได้ขึ้นรถเลยนะ!" รักนรินทร์ตกใจเขารีบโวยวายใส่คนขับทันที ชัชวาลที่วิ่งตามรถมาได้นิดเดียวก็ต้องหยุดหอบหายใจเนื่องด้วยอายุที่มากขึ้นรวมถึงธนัตถ์ขับออกไปเร็วมากจนเขาตามไม่ทัน

 

รักนรินทร์ใจกระตุก เขาร้องให้อีกฝ่ายจอดรถแต่ก็ไม่เป็นผล ธนัตถ์มองกระจกด้านหลังเห็นใบหน้าอีกคนตื่นกลัวอย่างชัดเจนรอยยิ้มร้ายก็เผยออกมา

 

"ถึงทีฉันเอาคืนแกแล้วไอ้พิการ" 

 

N/A
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป