Your Wishlist

รักนรินทร์ (บทที่ 4)

Author: Jiramil

รักนรินทร์​เกิดมาพิการขาเดินไม่ได้แต่กลับยินยอมแต่งงานกับธนัตถ์ชายหนุ่มผู้แสนเย็นชาแต่ปากร้าย

จำนวนตอน : N/A

บทที่ 4

  • 23/12/2567

บทที่ 4

 

"ผมบอกให้คุณจอดรถไง! คุณทำบ้าอะไรของคุณเนี่ยคุณธนัตถ์! " รักนรินทร์กำลังตระหนก อีกคนไม่ฟังเสียงตะโกนของเขาแม้แต่น้อย

 

"หึ เกิดกลัวขึ้นมารึไง นั่งรถไปกับฉันสองคนไม่เห็นจะมีอะไรต้องกลัว" ธนัตถ์มองนรินทร์จากกระจกหลัง หนำซ้ำยังเหยียดยิ้มแกมสะใจ

 

รักนรินทร์หวั่นใจ เขาไม่นึกว่าอีกคนจะร้ายเพียงนี้ ไม่นึกว่าจะกลั่นแกล้งกันมากขนาดนี้ เขาโกรธ รักนรินทร์โกรธไอ้คนปากเสียนี่ที่สุด!

 

"ผมไม่ได้กลัวคุณ ผมแค่ไม่อยากร่วมรถไปกับคุณสองคน คุณมันเจ้าเล่ห์เพทุบาย! คุณทิ้งอาชัชได้ยังไง! " รักนรินทร์แสนจะโกรธ มือเล็กพลางควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าใบเล็กของตัวเอง แต่เขากลับพบว่าทั้งกระเป๋าและข้าวของของเขาไม่ได้อยู่ที่นี่

 

'ฝากอาชัชไว้นี่นา! โถ่เอ๊ย'

 

รักนรินทร์สบถในใจ เขานึกขึ้นได้ว่าได้ฝากกระเป๋าสะพายใบเล็กไว้กับพ่อบ้านคนสนิทตอนที่อีกคนกำลังพยุงเขานั่งบนรถ ชัชวาลเผลอสะพายมันไว้กับตัวตอนที่กำลังจะเปิดประตูด้านหน้า แต่คนนิสัยเสียกลับออกรถเสียก่อน รักนรินทร์จึงติดต่อใครไม่ได้ตอนนี้

 

"คนที่ฉันต้องมารับก็คือแก ฉันไม่ได้ใจกว้างพอจะแบ่งที่นั่งกับใคร โดยเฉพาะพวกชั้นต่ำ"

 

"คุณถอนคำพูดเดี๋ยวนี้เลยนะ! คุณจะมาว่าอาชัชแบบนี้ไม่ได้!! " รักนรินทร์มือสั่นจากความโมโห หากจะด่าทอตัวเขาเขาก็ยอม แต่กับอาชัชที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่ยังเด็กจนเป็นเหมือนครอบครัวของรักนรินทร์จริงๆ นั้นเขายอมไม่ได้!

 

"หรือคุณลืมไปแล้วถ้าคุณพูดจาดูถูกหรือหยามเหยียดครอบครัวผมเมื่อไหร่ คุณต้องจ่ายชดเชยให้ผม" รักนรินทร์เอ่ยทวนสัญญาที่เขาบอกไว้

 

"อะไรกันรักนรินทร์ ยังไม่ทันจะเป็นคู่ครองกันอย่างถูกต้อง แกก็เรียกร้องเงินทำขวัญเสียแล้วเหรอ อะไรจะกระหายเงินของฉันขนาดนั้น" ธนัตถ์กล่าวพลางแค่นหัวเราะ ไอ้ตัวภาระสงสัยมันคงมีแต่เรื่องเงินอยู่เต็มหัว

 

"มันคือหนึ่งในเงื่อนไขที่เราตกลงกัน คุณคิดจะผิดสัญญางั้นเหรอครับ"

 

"สัญญาจะมีผลก็ต่อเมื่อเราจดทะเบียนกันอย่างถูกต้อง แต่คนใช้ของแกก็ไม่นับว่าเป็นครอบครัว ดังนั้นต่อให้แต่งงานกันแล้วฉันจะว่ามันยังไงก็ได้" ธนัตถ์ยียวนรักนรินทร์ แม้ตอนนี้สองมือจะจับพวงมาลัย สองตาจะมองถนน แต่เขาก็ยังกวนประสาทรักนรินทร์ได้ตลอดทาง

 

"แต่ผมถือว่าอาชัชคือคนในครอบครัวจริงๆ ของผม คุณควรจะให้เกียรติอาชัชด้วย ถ้าคุณไม่ชอบผมก็มาลงที่ผมคนเดียว แต่กรุณาอย่ามาพูดจาดูถูกเขาแบบนั้นอีก" รักนรินทร์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง จะเกลียดเขาก็เกลียดไปเถอะแต่กับอาชัชหรือไม่ว่าจะเป็นใครธนัตถ์ก็ไม่ควรดูถูกทั้งนั้น

 

"อันที่จริงนะ ในระบุสัญญามันจะมีเงื่อนไขข้อนั้นของแกจริงๆ รึเปล่ารักนรินทร์" ธนัตถ์พูดถึงเงื่อนไขที่รักนรินทร์เรียกร้องค่าทำขวัญจากเขา

 

คนตัวเล็กงุนงงกับคำพูดของอีกฝ่าย เงื่อนไขทุกข้อในระบุสัญญาเขาได้ยินทนายพูดเรียงออกมาทีละข้ออย่างชัดเจน

 

"คุณหมายถึงอะไร? เงื่อนไขนั่นผมได้ยินคุณทนายพูดทวนซ้ำหลายรอบ มันจะไม่มีได้ยังงะ.. หรือว่าคุณ! "

 

"คิดว่าทนายของวรภัทรสิริกุลจะฟังใครมากกว่ากัน ระหว่างเจ้านายที่มันรับใช้มาแสนนาน กับไอ้ตัวดูดเงินที่พิการอย่างแก"

 

รักนรินทร์พูดไม่ออก มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน ต่อให้ทนายคนนั้นจะทำงานให้ฝ่ายนั้นมานาน แต่จรรยาบรรณในความเที่ยงธรรมล่ะ เขาจะละทิ้งมันได้ลงจริงหรือ!

 

"ผมไม่เชื่อคุณ ต่อให้เขาจะทำงานให้พวกคุณมาหลายรุ่น แต่ทนายอย่างเขาไม่มีทางจะเปลี่ยนแปลงสัญญาเองโดยพลการ ถ้าทำแบบนั้นคู่สัญญาต้องอยู่พร้อมหน้าเพื่อรับฟัง" รักนรินทร์ไม่ปักใจเชื่อ คนอย่างธนัตถ์นึกจะพูดอะไรก็พูดออกมาอย่างไม่อายปาก แล้วจะทำใจให้เชื่อได้อย่างไร

 

"ขนาดแกยังอยากได้เงินของฉันขนาดนี้ แล้วคิดว่ามันจะไม่เป็นแบบแกรึไง? " ธนัตถ์พูดให้อีกคนคิด

 

รักนรินทร์ทำหน้าไม่เข้าใจ แต่แล้วเจ้าตัวก็เริ่มคิดถึงความหมายที่อีกคนพูด

 

"คุณใช้เงินฟาดหัว.." คนตัวเล็กพึมพำเบาๆ แต่คนปากร้ายก็ยังได้ยิน

 

"เสียไปเยอะกว่าที่คิด แต่ถ้าเทียบกันกับที่ต้องคอยจ่ายค่าปรับทีละห้าล้านก็คงจะน้อยกว่า เพราะฉันคงหลุดคำด่ามากมายให้ไอ้ตัวเดินไม่ได้อย่างแกแน่" สิ้นคำธนัตถ์ก็หัวเราะออกมา สีหน้ามันช่างน่าสมเพช มันคงคิดว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่มันต้องการ ขนาดมันยังเรียกเงินจากเขาเป็นร้อยล้านแล้วนับประสาอะไรกับทนายแก่คนหนึ่งที่ใกล้จะเกษียณเต็มที รับเงินของเขาแล้วใช้ชีวิตอย่างมีความสุขจนกว่าจะตายด้วยเงินมากมาย ใครปฏิเสธก็โง่แล้ว

 

"คุณมันเกินเยียวยา คุณธนัตถ์.. แทนที่ตัวคุณเองจะเป็นฝ่ายเลิกดูถูกผมแต่คุณกลับใช้เงินแก้ปัญหา ที่คุณบอกว่ารวยมากผมก็เชื่อแล้วจริงๆ " รักนรินทร์กล่าวอย่างผิดหวัง คิดว่าต่อให้ธนัตถ์จะเกลียดเขามากแค่ไหนแต่คงมีใจซื่อสัตย์พอ แต่เปล่าเลย

 

คนๆ นี้ทำได้ทุกอย่างเพื่อตัวเอง...

 

"สมเพชตัวเองเถอะรักนรินทร์ แกพลาดตั้งแต่ยอมแต่งงานกับฉัน ถ้าไม่เรียกร้องเงื่อนไขไร้สาระพวกนั้นแกคงสบายกว่านี้ อย่าคิดว่าฉันจะยอมเป็นเบี้ยให้แก"

 

รักนรินทร์ไม่อยากจะเถียงอีกฝ่ายต่อไป คนตัวเล็กลอบถอนหายใจแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างรถ

บรรยากาศอึมครึมอึดอัด รักนรินทร์รู้สึกเบื่อ ทำไมร้านตัดชุดที่พวกเขาจะไปอยู่ไกลกว่าที่คิด โทรศัพท์ก็ไม่มีจะติดต่อใครก็ไม่ได้

 

นั่งรถไปได้อีกสักพักรักนรินทร์ก็เห็นธนัตถ์จอดรถริมฟุตบาทข้างทาง หลังทางเดินเป็นพุ่มไม้รกๆ ป้ายรถประจำทางก็ไม่มีทำให้บริเวณนี้มีเพียงแค่รถที่ผ่านไปผ่านมาตรงถนนใหญ่

 

"คุณจอดรถทำไมครับ? " รักนรินทร์ถามอย่างแปลกใจ

 

ธนัตถ์ไม่ได้ตอบคำถามของรักนรินทร์ เขาลงจากรถเดินอ้อมมาเปิดประตูหลัง

 

"คุณจะทำอะไร! " คนตัวเล็กตกใจ อีกฝ่ายเปิดประตูฝั่งที่เขานั่งแล้วโน้มตัวเข้ามาในรถ รักนรินทร์พยายามกระเถิบตัวให้ชิดกับประตูอีกฝั่งแต่ก็สู้แรงอีกคนไม่ได้

 

ธนัตถ์จับขาเรียวที่ไม่มีความรู้สึกของอีกคน เขาออกแรงดึงส่งผลให้ร่างรักนรินทร์ถูกลากตามไป

 

ตุ้บ!

 

รักนรินทร์ถูกลากมากองอยู่ข้างฟุตบาท ธนัตถ์ไม่มีความนุ่มนวลให้แม้แต่นิด ร่างบางตกใจและงุนงงเขาเงยหน้ามองอีกฝ่ายที่ในตอนนี้ส่งยิ้มให้เขา

 

"คะ..คุณธนัตถ์ คุณคิดจะทำอะไร? "

 

"ฉันนึกขึ้นได้ ว่าแกขอให้ฉันจอดรถตั้งแต่ออกมา ฉันก็หาที่ทางเหมาะๆ จะได้จอดให้แกลง และมันก็คือตรงนี้" ธนัตถ์ยิ้มสะใจ เขายืนค้ำหัวรักนรินทร์สองมือล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกงสแล็คเนื้อดี

 

"คุณ.. คุณจะทิ้งผมไว้ตรงนี้เหรอ" รักนรินทร์ถามเสียงสั่น ต่อให้เขาจะใจสู้และเข้มแข็งแค่ไหนแต่การที่อีกฝ่ายจะมาทิ้งเขากลางทางแบบนี้เขาเองก็รู้สึกกลัว

 

เส้นทางที่ไม่เคยมา โทรศัพท์จะติดต่อใครก็ไม่มี ขาก็เดินไม่ได้ แล้วยังโดนคนใจร้ายมาทิ้งไว้ข้างทาง จะให้เขาทนทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลยคงเป็นไปไม่ได้

 

"แกอยากให้ฉันจอดมากไม่ใช่เหรอไอ้พิการ ฉันจอดให้แล้ว พอใจไหมล่ะ หึหึ" คนตัวสูงพอใจที่ได้เห็นสีหน้าที่กำลังกลัวเหมือนนกตัวสั่น

 

"คุณจะทิ้งผมไว้ตรงนี้ไม่ได้นะคุณธนัตถ์! คุณจะใจร้ายเกินไปแล้ว"

 

"รถที่แกนั่งมาก็เป็นของฉัน ถ้าฉันไม่พอใจให้แกนั่งไปด้วยแกก็ต้องลง! "

 

รักนรินทร์กัดปากน้ำตาคลออย่างเจ็บใจ เขามองซ้ายมองขวาสองข้างทาง ไม่มีคนเดินผ่าน รถที่วิ่งบนถนนใหญ่ก็ไม่ได้มีมาก เขากลัวจริงๆ

 

"ถ้าคุณอยากจะทิ้งผมไว้ตรงนี้จริงๆ ผมก็ขอรบกวนยืมโทรศัพท์ของคุณมาติดต่อหาอาชัชจะได้หรือเปล่าครับ ผมลืมกระเป๋าไว้กับอาชัช" รักนรินทร์ขอร้องอีกฝ่าย

 

ธนัตถ์มองอีกคนนิ่งๆ เขานั่งย่อเข่าข้างหนึ่งเพื่อจะได้สนทนากับรักนรินทร์ชัดๆ

 

"หึ ทำไมไม่ปากดีให้เหมือนตอนแรกล่ะรักนรินทร์" เขาพูดแล้วล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋า รักนรินทร์รู้สึกโล่งใจคิดว่าอีกฝ่ายยอมให้ใช้โทรศัพท์แล้ว

 

แต่มันกลับไม่ใช่..

 

"ผ้าเช็ดหน้าของฉัน เก็บไว้เช็ดน้ำตาน่าสมเพชของแกเถอะ" เขาพูดแล้วส่งให้รักนรินทร์

 

รักนรินทร์ไม่มีคำพูดของจริง เขากำลังช็อกที่ถูกทิ้ง แม้น้ำตามันอยากจะไหลแต่รักนรินทร์กลับกลั้นมันเอาไว้

 

ไม่อยากให้คนคนนี้เห็นเขาที่กำลังอ่อนแอ..

 

ธนัตถ์ยิ้มจางๆ ราวกับคนใจดี เขาลุกขึ้นเต็มความสูงคว้าแว่นกันแดดที่เหน็บไว้ตรงกระเป๋าเสื้อขึ้นมาสวมพลางเดินอ้อมกลับไปที่ประตูฝั่งคนขับ

 

"อ้อ ลืมบอกไป ถ้าแกไปถึงร้านตัดชุดนั่นได้ฉันจะคืนรถเข็นเก่าๆ ที่อยู่หลังรถให้แก ถ้าไปถึงได้น่ะนะ หึหึ" ธนัตถ์เย้ยหยันร่างบนฟุตบาท "ส่วนผ้าเช็ดหน้าไม่จำเป็นต้องเอามาคืนฉัน ใช้เสร็จก็เอาไปทิ้งซะ" พูดจบธนัตถ์ก็ก้าวขาขึ้นรถและออกตัวไป ทิ้งให้รักนรินทร์นั่งกองอยู่ตรงนั้นเพียงคนเดียว

 

 

 

รักนรินทร์สั่นกลัว เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอย่างไร พยายามมองซ้ายมองขวาหาคนช่วย

 

แท็กซี่คันหนึ่งที่ผ่านเส้นทางนี้มาเห็นรักนรินทร์นั่งอยู่ที่พื้นก็คิดว่าเจ้าตัวอาจจะกำลังนั่งรอเรียกใช้บริการ คนขับจอดเทียบทางเดินกดเปิดหน้าต่างจะคุยกับรักนรินทร์ แต่เขาก็ไม่เห็นว่าคนที่นั่งอยู่บนพื้นจะลุกขึ้นมาเสียที

 

"น้องจะไปไหม! " คนขับโน้มตัวมาอีกฝั่งก็ยังเห็นรักนรินทร์นั่งกองอยู่บนพื้น เขาจึงตะโกนถามคนตัวเล็ก

 

รักนรินทร์พยายามลากตัวเองไปใกล้รถ สองมือค้ำยันร่างแล้วไถตัวเองไปให้ได้มากที่สุด

 

"ปะ-"

 

"ไม่ไปก็บอกดิวะ! เสียเวลาทำมาหากิน! " รักนรินทร์ยังพูดไม่ทันจบ คนขับแท็กซี่ก็โวยวายอย่างหัวเสีย เขาคิดว่าอีกคนไม่ยอมลุกเพราะไม่ได้หวังจะใช้บริการจากเขาจึงขับรถออกไปทันที

 

"ดะ เดี๋ยวครับ! คุณครับ! " ทำได้เพียงตะโกนตามหลังรถ แต่ก็ไม่มีประโยชน์

 

อากาศในตอนนี้ร้อนอบอ้าว แดดส่องจนแสบตา อีกทั้งในบริเวณนี้ไม่มีที่ร่มให้เขาหลบมาพักร้อนเลย สองมือพยายามไถตัวเองไปตามทางข้างหน้าเรื่อยๆ

 

เขาทำได้เพียงเท่านี้...

 

เพราะต่อให้นั่งอยู่ตรงนั้นไปก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น

 

มือขาวเริ่มบวมแดงจากการเสียดสีพื้นคอนกรีตร้อนระอุ เหงื่อไหลซึมตามกรอบหน้า คลานมาตั้งนานแต่ยังไปไม่ถึงไหน หากมีรถเข็นละก็คงจะดีกว่านี้ 

 

เขาเหนื่อยแล้วจริงๆ

 

"คนใจร้าย.." รักนรินทร์พูดถึงคนที่ทิ้งเขาไว้ตรงนี้

 

อะไรจะจงเกลียดจงชังกันขนาดนี้ เรียกร้องเงินเพราะโกรธที่ธนัตถ์ดูถูกครอบครัว แต่อีกฝ่ายกลับตลบหลังแก้ไขสัญญาโดยไม่ให้เขารู้ นิสัยไม่ต่างจากเด็ก!

 

รักนรินทร์ไม่อยากจะมามัวคิดอะไรอีก เขาพยายามพาตัวเองไปข้างหน้าอีกครั้ง

 

ปริ๊น!

 

เสียงรถสปอร์ทคันหนึ่งเหมือนจะบีบแต่เรียกเขา รักนรินทร์จึงหันมองตามเสียงนั่น

 

รถคันนั้นขับมาจอดใกล้ๆรักนรินทร์ ชายหนุ่มหล่อเหลาฉายแววอบอุ่นคนหนึ่งก้าวลงมาจากรถ เขารีบวิ่งมาหารักนรินทร์ที่อยู่บนพื้น

 

"คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?" ชายคนนั้นเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนา

 

"เอ่อ.. ไม่ครับ ไม่เป็นไร" รักนรินทร์รีบตอบ รอยยิ้มน่ารักผุดบนใบหน้าอย่างดีใจที่ในที่สุดก็มีคนผ่านมา

 

อีกฝ่ายที่ได้เห็นรอยยิ้มของรักนรินทร์ก็พลันหน้าแดงขึ้นมา

 

คนคนนี้น่ารักชะมัด!

 

"ผมเห็นคุณหมอบอยู่ที่พื้น จะเป็นลมหรือครับ?" เขาถามอย่างเป็นห่วง อุณหภูมิวันนี้ร้อนทีเดียว คงไม่แปลกหากมีใครมาล้มพับเพราะอากาศแบบนี้

 

"เปล่าครับ ผมไม่ได้จะเป็นลม เอ่อ..คุณครับผมรู้ว่ามันอาจจะเสียมารยาทต่อคนที่พึ่งเจอกัน แต่ผมขอรบกวนยืมโทรศัพท์หน่อยได้ไหมครับ" รักนรินทร์ตัดสินใจขอร้องชายแปลกหน้าคนนี้ เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายค่อนข้างเป็นมิตรมากทีเดียว

 

"ได้สิครับ แต่ผมว่าขึ้นไปนั่งบนรถก่อนดีไหมครับ อากาศร้อนแบบนี้จะไม่สบายเอาได้" อีกฝ่ายเชิญชวนให้รักนรินทร์ขึ้นไปนั่งบนรถก่อน

 

รักนรินทร์ชั่งใจ ไม่กล้าจะตอบรับ แม้จะรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นมิตรแต่เขาทั้งสองคนพึ่งจะได้พบกันครั้งแรก จะเชื่อใจคนแปลกหน้าคนนี้ได้จริงหรือ?

 

อีกฝ่ายเองก็พอจะมองความคิดของรักนรินทร์ออก เขาส่งยิ้มไมตรีให้ก่อนจะกล่าวเสียงนุ่ม

 

"ไม่ต้องกลัวผมหรอกครับ ผมไม่ได้คิดมิดีมิร้ายอะไรแน่นอน แค่เห็นว่าคุณหน้าแดงจากอากาศ จะเป็นลมเอาจริงๆนะครับ"

 

รักนรินทร์มองหน้าอีกฝ่าย เขาเม้มปากเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ

 

ชายคนแปลกหน้าลุกขึ้นไปเปิดประตูข้างคนขับแล้วเดินกลับมาจะช่วยพยุงรักนรินทร์

 

"คุณเดินไหวไหมครับ?"

 

"คือผมเดินไม่ได้น่ะครับ" รักนรินทร์ตอบ

 

"เจ็บตรงไหนหรือครับให้ผมดูได้" อีกฝ่ายถามอย่างไม่รู้ เขาสำรวจสองขาของรักนรินทร์ทันที

 

"ผมหมายถึง ผมพิการน่ะครับ ขาสองข้างเดินไม่ได้"

 

รักนรินทร์หลุบตาลงมองขาตน เขากลัวว่าอีกคนจะปฏิเสธที่จะช่วยเหลือคนแบบเขา

 

กลัวจะเป็นภาระแบบที่คนคนนั้นบอก

 

"ขอโทษทีครับ ผมไม่รู้จริงๆ" อีกฝ่ายรีบขอโทษขอโพย

 

รักนรินทร์ไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงขอโทษ ก็มันเป็นความจริงที่เขาเดินไม่ได้

 

"ถ้างั้นขอเสียมารยาทนะครับ" ว่าจบชายหนุ่มคนนั้นก็อุ้มรักนรินทร์ขึ้น เขาเดินไปที่รถแล้ววางรักนรินทร์อย่างนุ่มนวลแล้วเดินกลับมาขึ้นที่นั่งฝั่งคนขับพลางเร่งแอร์ในรถให้คนตัวเล็กไปด้วย

 

"หิวน้ำไหมครับ นี่ครับ" เขาถามพลางเอี้ยวตัวไปหยิบขวดน้ำที่อยู่ด้านหลัง

 

"ขอบคุณครับ" รักนรินทร์รับมาดื่มอย่างรวดเร็ว ยอมรับเลยว่าตอนนี้ร่างกายเขาขาดน้ำมากจริงๆ

 

"นี่ครับโทรศัพท์" เขาปลดล็อกแล้วยืนให้แก่รักนรินทร์

 

รักนรินทร์กล่าวขอบคุณแล้วรีบโทรติดต่อชัชวาล รอสายไม่ถึงสามวินาทีอีกฝ่ายก็รับ

 

"ฮัลโหลครับ ใครครับ?" เสียงของชัชวาลดูกำลังร้อนรน

 

"นี่รักเองครับอาชัช" 

 

"คุณรัก! คุณรักเป็นอย่างไรบ้างครับ! คุณธนัตถ์ทำอะไรคุณหรือเปล่า!" ทันทีที่รู้ว่าเป็นรักนรินทร์ ชัชวาลก็รัวคำถามทันที เขาเป็นห่วงเจ้านายน้อยมาก ต้องไปกับคนปากร้ายสองคนไม่รู้จะโดนอะไรบ้าง

 

เสียงของชัชวาลดังลอดออกมาจนชายหนุ่มคนนั้นเองก็ได้ยิน เขาพลันนึกสงสัยว่าชายพิการคนนี้เป็นใครแล้วทำไมมาหมอบอยู่ข้างฟุตบาทได้

 

"ใจเย็นๆก่อนครับอาชัช รักไม่เป็นไร อาชัชช่วยมารับรักหน่อยได้ไหมครับ มารับที่..." รักนรินทร์พึ่งนึกขึ้นได้ ตัวเขาไม่รู้ว่าถนนสายนี้คือที่ไหน มันเป็นเส้นทางที่เขาไม่เคยมา เขาจึงหันไปถามคนข้างๆ

 

"คุณครับถนนตรงนี้คือที่ไหนครับ?"

 

"ถนนxxxครับ"

 

"ขอบคุณครับ.. อาชัชครับรักอยู่ที่ถนนxxxครับ" รักนรินทร์กล่าวขอบคุณอีกคนแล้วพูดสายกับชัชวาลต่อ

 

"ทำไมคุณรักถึงไปอยู่แถวนั้นล่ะครับ มันต้องตรงไปอีกนะครับ" ชัชวาลรู้ว่าห้องเสื้อที่พวกเขาจะไปอยู่ที่ไหน และมันจะต้องเลยจากที่ที่รักนรินทร์อยู่ตอนนี้

 

"คือว่า.. รักโดนเขาทิ้งไว้ข้างทางน่ะครับ"

 

"อะไรนะ! / อะไรนะครับ!" เสียงตกใจของชัชวาลและอีกคนที่นั่งข้างรักนรินทร์ดังออกมาพร้อมกัน

 

ชายหนุ่มแปลกหน้างุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนตัวเล็ก เขาแทบจะไม่อยากเชื่อใครกันที่หล้าทิ้งคนพิการไว้ข้างทาง มันยังใช่คนอยู่เหรอ! 

 

"เสียงใครครับคุณรัก ตอนนี้อยู่กับใครครับ" ชัชวาลเองก็ได้ยินเสียงอุทานของชายหนุ่ม คุณรักของเขาไปกับธนัตถ์เพียงสองคน แล้วเสียงที่ได้ยินคือใคร

 

"เอ่อ... เรื่องมันยาวเดี๋ยวรักเล่าให้ฟังแล้วกันนะครับ เอาเป็นว่าอาชัชมารับรักทีนะครับ" รักนรินทร์เองก็ไม่รู้ว่าชายหนุ่มเจ้าของโทรศัพท์คือใครเขาจึงบอกปัดไปก่อน ชัชวาลรับคำแล้วบอกว่าจะรีบไปรับทันที

 

รักนรินทร์วางสายแล้วคืนโทรศัพท์ให้เจ้าของพร้อมกล่าวขอบคุณสำหรับน้ำใจของอีกคน

 

รู้สึกโชคดีที่ได้พบคนคนนี้ ไม่อย่างนั้นรักนรินทร์ก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเป็นเช่นไร คงคลานไปตามทางจนหมดแรงแน่

 

"ขอบคุณที่ให้ความช่วยเหลือนะครับ ผมจะตอบแทนอะไรคุณได้บ้างครับ?" 

 

"คุณโดนทิ้งไว้เหรอ?" อีกฝ่ายไม่ตอบคำถามแต่กลับถามเสียงนิ่งทั้งยังมองหน้ารักนรินทร์

 

"ก็ ประมาณนั้นครับ" ร่างบางตอบตามจริง อีกอย่างอย่างไรอีกฝ่ายก็ได้ยินที่เขาคุยกับชัชวาลอยู่แล้ว

 

"ใครกันที่ทิ้งคุณ ขอโทษนะแต่กล้าทิ้งคนพิการไว้ข้างทางคนเดียวได้ไง นี่ใจมันทำด้วยอะไรกันเนี่ย" ชายหนุ่มไม่เห็นด้วยกับการกระทำแบบนี้ มนุษย์ทุกคนล้วนเท่าเทียมและควรจะให้เกียรติซึ่งกันและกันสิ

 

"ขอโทษทีผมค่อนข้างเซนซิทีฟกับเรื่องแบบนี้" เขากล่าวขอโทษที่เผลอพูดอะไรไปตามความคิด

 

"ไม่เป็นไรครับ" รักนรินทร์ตอบรับอย่างเข้าใจ

 

คนคนนี้ท่าทีดูสุภาพ ไว้ด้วยความนอบน้อม เห็นอกเห็นใจคนอื่น รักนรินทร์อดจะชื่นชมชายหนุ่มไม่ได้ พอเทียบกับธนัตถ์แล้วคนปากร้ายไม่ได้ดีสักครึ่งของชายคนนี้เลยแม้แต่น้อย มีแต่จะสาดความเกลียดชังมาให้ลูกเดียว

 

"จะว่าไปคุณชื่อคุณรักใช่ไหมครับ ได้ยินที่แทนตัวตอนคุยโทรศัพท์" ชายหนุ่มถามรักนรินทร์

 

"ครับ รักนรินทร์ เรียกรักเฉยๆก็ได้ครับ"

 

"ผมชื่อเหมันต์ เรียกเหมสั้นๆก็ได้นะครับ ยินดีที่ได้รู้จัก" เขาตอบพลางยิ้มให้

 

รักนรินทร์เองก็ยิ้มตอบกลับ พูดคุยกันไปเรื่อยๆจึงรู้ว่าอีกคนเป็นทายาทของนักธุรกิจชื่อดัง อีกทั้งเจ้าตัวยังมีธุรกิจการค้าระหว่างประเทศที่แยกจากครอบครัวมาด้วย ฟังๆแล้วคงอยู่ระดับเดียวกับวรภัทรสิริกุล

 

"คนที่บ้านคุณรักกำลังมาสินะครับ เดี๋ยวผมจะรอเป็นเพื่อน" เหมันต์อาสาอยู่กับรักนรินทร์จนกว่าชัชวาลจะมาถึง จะให้คนตัวเล็กรอคนเดียวก็คงไม่ดีอีกทั้งหากขับตามทางไปอีกจะเป็นจุดเชื่อมถนนใหญ่รถค่อนข้างพลุกพล่านคงจะจอดลำบาก แต่หากรอตรงนี้คนของรักนรินทร์ก็จะสังเกตเห็นได้ง่ายกว่า

 

"คุณเหมไม่รีบไปไหนหรือครับ? แบบว่าผมกลัวคุณจะมีธุระอยู่ก่อนแล้ว" รักนรินทร์ใจจริงไม่อยากรบกวนแต่เขาก็กลัวที่จะรออยู่คนเดียว

 

"ไม่ใช่ธุระด่วนครับ พอดีแค่จะเข้าไปดูบัญชีที่ร้านน่ะครับ คุณรักสบายใจได้"

 

"ร้านหรือครับ?" รักนรินทร์เพียงสงสัย อีกฝ่ายทำธุรกิจมีบริษัทมากมาย พอได้ยินคำว่าร้านเขาจึงใคร่รู้ว่าคืออะไร

 

"ครับ เป็นห้องส-" 

 

Rrrr... 

 

"อ๊ะ อาชัชโทรมาครับ" 

 

เหมันต์กำลังจะตอบอีกฝ่ายแต่เสียงโทรศัพท์ดันดังขึ้นมาก่อน เขาจึงหยิบขึ้นมาดูเห็นว่าเป็นเบอร์ที่รักนรินทร์โทรออกจึงยื่นให้คนตัวเล็กรับสาย

 

รักนรินทร์บอกลักษณะรถของเหมันต์ให้ชัชวาลรู้ ไม่นานรถคันสีดำที่รักนรินทร์นั่งประจำก็ขับมาจอดด้านหลังของรถสปอร์ท ชัชวาลรีบลงจากรถ เขาเดินมาเคาะประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับทันที

 

"คุณรัก! ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ" พ่อบ้านคนสนิทรีบถามอย่างเป็นห่วง เขาตรวจดูร่างกายของเจ้านายว่ามีบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ แต่ก็พบว่ามือของรักนรินทร์บวมแดงอย่างชัดเจน

 

"รักไม่เป็นไรครับอาชัช ได้คุณเหมช่วยไว้น่ะครับ" รักนรินทร์เบี่ยงตัวให้ชัชวาลได้เห็นอีกฝ่ายเต็มตา

 

"ขอบคุณคุณมากนะครับที่ช่วยคุณรัก"

 

"ไม่เป็นไรครับ" หนุ่มเจ้าของรถยิ้มตอบ ชัชวาลจึงขออนุญาตพารักนรินทร์ไปที่รถ เหมันต์เห็นว่าพ่อบ้านของรักนรินทร์คงจะอุ้มไม่ไหวเขาจึงเป็นฝ่ายอุ้มคนตัวเล็กเอง

 

"ขอบคุณมากๆนะครับคุณเหม รักอยากจะตอบแทนคุณ อยากให้รักทำอะไรตอบแทนดีครับ?" รักนรินทร์ก็ยังคงเป็นรักนรินทร์ แสนดีและไม่ลืมคุณคน อย่างไรเขาก็จะขอตอบแทนคนคนนี้ให้ได้

 

เหมันต์ปฏิเสธเขาไม่ใช่พวกทำดีหวังผล ที่ช่วยเพราะอยากช่วยจริงๆ แต่รักนรินทร์ก็ยังคงยืนกรานจะตอบแทนบุญคุณเขาให้ได้ เหมันต์จึงยอมโดยการที่รักนรินทร์จะต้องเลี้ยงข้าวเขาสักมื้อ

 

"คุณว่างเมื่อไหร่ก็บอกนะ คุณมีเบอร์ผมแล้ว เดินทางปลอดภัย แล้วเจอกันครับ" เหมันต์กล่าวพลางยิ้มให้ เขาขอตัวกลับขึ้นรถตัวเองแล้วขับออกไป

 

รถบ้านของอธิพัฒน์มนตรีเองก็ออกตัวตามไป รักนรินทร์เล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ชัชวาลฟัง พอได้ฟังชัชวาลก็โมโหขึ้นมาทันที

 

"ช่างเป็นคนที่จิตใจต่ำช้าเสียจริง!"

 

"ชั่งเขาเถอะครับอาชัช รักไม่อยากจะนึกถึงคนแบบนั้น" รักนรินทร์ยังคงช้ำใจกับเหตุการณ์นั่น เขาสารภาพเลยว่ากลัวมาก ไม่มีใครอยู่แถวนั้น มีแต่พุ่มไม้รกร้าง นึกว่าวันนี้คงได้นอนอยู่แถวนั้นเสียแล้ว

 

"แล้วนี่คุณรักยังจะไปห้องเสื้ออีกหรือครับ" ชัชวาลถามขึ้น เขาคิดว่าเจ้านายอาจจะอยากกลับบ้านเลยมากกว่า แต่ผิดคาดที่เจ้าตัวยังยืนยันว่าจะไปที่นั่น

 

"ครับ... รถเข็นของรักยังอยู่บนรถของเขา ถ้าไม่ไปเอาเองก็กลัวเขาจะพังมันจนไม่เหลือชิ้นดี"

 

ธนัตถ์อาจจะคิดว่ารักนรินทร์ช่างทุ่มเทอย่างไร้สาระ รถเข็นเก่าๆคันเดียวต่อให้พังไปก็น่าจะมีปัญญาซื้อใหม่ได้อยู่แล้ว

 

แต่มันกลับไม่ใช่...

 

รถเข็นเก่าๆที่รักนรินทร์ใช้มาตลอดคือของสำคัญสำหรับเขา มันคือรถเข็นที่ได้มาจากคนสำคัญที่สุดของรักนรินทร์

 

รถเข็นที่พ่อกับแม่ซื้อให้

 

และเป็นสิ่งเดียวที่เขาจะไม่ยอมให้ธนัตถ์มาทำลายมันได้แน่ๆ เหมือนกับที่ธนัตถ์ทำลายความรู้สึกของเขา

 

 

 

 

 

 

ชัชวาลเลี้ยวรถเข้าร้านตัดชุดแห่งหนึ่ง รักนรินทร์ที่มองห้องเสื้อจากภายในรถก็รู้สึกว่าที่นี่ค่อนข้างแตกต่างไปจากที่เขาคิด

 

การตกแต่งเป็นแบบนอร์ดิก เห็นแล้วก็ให้ความรู้สึกแปลกตาดี อีกทั้งลานจอดรถก็มีต้นไม้เรียงรายช่วยให้ความร่มรื่นและเป็นร่มเงาบังแดดให้กับรถที่มาจอดไว้ คนออกแบบดูจะใส่ใจลูกค้ามากทีเดียว

 

"นั่นรถของคุณธนัตถ์นี่ครับ" ชัชวาลพูดขึ้น

 

รักนรินทร์คิดว่าอีกฝ่ายคงจะกลับไปแล้วเสียอีก แต่ที่ยังไม่ไปเพราะจะรอดูว่าเขาจะมาถึงที่ได้ไหมสินะ

 

ชัชวาลเตรียมรถเข็นสำรองให้รักนรินทร์ เขาใส่เอาไว้ในรถเผื่อเกิดเหตุไม่คาดหวังแต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะได้ใช้จริงๆ

 

ทั้งสองคนมาถึงหน้าประตูทางเข้า พนักงานสาวสวยคนหนึ่งเดินออกมาต้อนรับเขาทั้งคู่ ชัชวาลแจ้งว่ารักนรินทร์มาลองชุดกับธนัตถ์ พนักงานจึงนำทางไปหาคนปากร้ายที่รอในห้องลองส่วนตัวอยู่ก่อนแล้ว

 

เมื่อเดินมาถึง รักนรินทร์เห็นอีกฝ่ายกำลังนั่งคลอเคลียกับพนักงานสาวที่มารับรองอย่างไม่อายใคร 

 

 

สรุปนี่มันห้องเสื้อหรืออะไรกันแน่! 

 

 

"ฉันทึ่งจริงๆที่เห็นแกมาถึงที่นี่ได้" ธนัตถ์ที่เห็นรักนรินทร์มาถึงก็เอ่ยขึ้นคล้ายจะชื่นชมแต่ความจริงคือการเสแสร้งแกล้งทำ เขายังคงนั่งโอบไหล่พนักงานบริการคนนั้น

 

"ผมเองก็อดทึ่งไม่ได้ที่คุณจิตใจเลวทรามทิ้งผมเอาไว้แล้วยังมาเล่นสวาทแบบไม่อายฟ้าดิน" รักนรินทร์ตอกกลับ

 

"แต่ก็ยังมาที่นี่ได้นี่ แถมยังมากับคนใช้ของแกอีกด้วย" 

 

"คุณทิ้งคุณรักได้อย่างไรครับคุณธนัตถ์ แม้ผมรู้ว่าคุณจะร้ายแต่ไม่คิดเลยว่าจะถึงขั้นทำแบบนั้น!" ชัชวาลกล่าวกับธนัตถ์ เขาโมโหคนคนนี้มากเหลือเกินที่ทิ้งเจ้านายเขาไว้ หากอีกคนเป็นอะไรไปจะทำอย่างไร

 

ธนัตถ์สีหน้าเรียบนิ่ง เขาผลักพนักงานบริการให้ออกห่างจากตัวแล้วเดินเข้ามาประจันหน้ากับทั้งสองคน

 

"ขี้ข้าอย่างแกอย่ามาขึ้นเสียงกับฉัน ถ้าจะด่าฉันทีหลังแกก็ดูแลเจ้านายให้ดีขึ้นเป็นไง คนผิดมันก็คือแก ขึ้นรถไม่ทันไอ้พิการมันถึงร้องให้จอดรถ แล้วฉันก็ใจดีจอดให้ตามคำขอ" ธนัตถ์เค้นเสียงตอบ สีหน้าพลันนิ่งขรึม

 

"คุณสะใจมากไหมที่ทำแบบนี้" รักนรินทร์ถาม เขามองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาจริงจัง

 

คนปากร้ายพอได้ยินคำถามก็เหยียดยิ้มตอบ "มาก"

 

คนตัวเล็กไม่พูดอะไรต่อทำเพียงแค่พยักหน้าเบาๆคล้ายจำยอมคำของอีกฝ่าย

 

เขาเหนื่อยจะเถียงกับคนแบบธนัตถ์ ต่อให้เขาไม่ผิดแต่อีกฝ่ายก็จะให้ผิดให้ได้ 

 

ช่างไม่ยุติธรรม

 

N/A
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป