Your Wishlist

รักนรินทร์ (บทที่ 5)

Author: Jiramil

รักนรินทร์​เกิดมาพิการขาเดินไม่ได้แต่กลับยินยอมแต่งงานกับธนัตถ์ชายหนุ่มผู้แสนเย็นชาแต่ปากร้าย

จำนวนตอน : N/A

บทที่ 5

  • 23/12/2567

บทที่ 5

 

ห้องใหญ่สีขาวสว่างตา แสงไฟสีส้มนวลอ่อน ประดับไปด้วยโคมไฟล้อมเพชรสีใสและรูปปั้นแนวกรีกโบราณ กลางห้องปูพื้นลายกระเบื้องสีทองเป็นวงกลมและมีผ้าม่านขนาดใหญ่สีนวลแขวนไว้สำหรับกั้น ริมผนังมีราวเสื้อเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ

 

รักนรินทร์แอบแปลกใจที่ดีไซน์ของห้องนี้ช่างแตกต่างจากการออกแบบภายนอก ห้องนี้ให้ความรู้สึกสะอาด กว้างขวาง และเรียบหรูในคราวเดียว

 

พนักงานพารักนรินทร์และชัชวาลมาที่ห้องแต่งตัวสำหรับแขกวีไอพี คุณหญิงอรุณีเธอจองไว้ให้โดยเฉพาะ ราวเสื้อที่มีสูทหลายสีเรียงแขวนเอาไว้ถูกเข็นมาให้รักนรินทร์เลือกชม

 

"เสื้อสูทพวกนี้เป็นแบบที่มาใหม่และได้รับความนิยมมากที่สุดในตอนนี้เลยค่ะ" เธอกล่าวพลางผายมือไปที่สูทเหล่านั้น

 

"ขอบคุณครับ ดูดีมากจริงๆ " รักนรินทร์ตอบกลับพลางสิ่งยิ้มให้เธอ

 

หลังจากมาถึงห้องเสื้อและเจอธนัตถ์ได้สักครู่ รักนรินทร์ก็ถูกไล่ให้มาลองชุด ส่วนอีกคนดูเหมือนจะเรียบร้อยก่อนเขานานแล้ว

 

ตั้งแต่มาถึง สายตาของพนักงานในร้านต่างมองมาที่ร่างเล็กบนรถเข็น จับตามองและกระซิบกระซาบกันด้วยความสงสัย

 

'นั่นแฟนคุณธนัตถ์เหรอ? ไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อน'

 

'นั่นสิ ขนาดฉันสนิทกับคนวงในยังไม่มีข่าวเลยนะ? '

 

'ที่ไม่มีข่าวก็คงเพราะจะอายที่มีแฟนพิการแน่เลย ไฮโซปิดข่าวกันเก่งจะตาย..'

 

รักนรินทร์ไม่ใส่ใจกับคำพูดเหล่านั้น คนไม่รู้ก็คือไม่รู้ จะถูกเอาไปพูดก็คงช่วยไม่ได้ และต่อให้บอกความจริงไปก็คงไม่เชื่อ ทำหูทวนลมมองข้ามไปจะดีกว่า

 

และหากเขาเผลอพูดอะไรไปก็คงจะโดนอีกคนใช้คำแย่ๆ มาดูถูกเขาอีกเป็นแน่ ใจเขาไม่ได้เข้มแข็งพอที่จะไม่คิดอะไรแล้วยิ้มแย้มอย่างมีความสุข ที่โดนทิ้งไว้ข้างทางก็ยังกลัวจนถึงตอนนี้

 

"คุณรักนรินทร์สามารถลองได้เลยนะคะ หรือถ้าไม่มีตัวที่ถูกใจดิฉันจะนำแบบอื่นๆ มาให้ลองค่ะ" พนักงานสาวบอกอีกครั้ง รักนรินทร์พยักหน้าแล้วขอบคุณเธอ

 

"ผมจะช่วยคุณรักลองชุดเองครับ หากเรียบร้อยแล้วจะเรียกคุณอีกทีครับ" ชัชวาลกล่าว หญิงสาวจึงเดินออกจากห้องลองชุดไป ชัชวาลจึงหันมาช่วยเจ้านายเลือกสูทที่จะใช้ในวันแต่งงาน

 

"ทักซิโด้นิยมกันมาก ใช้ในงานทางการหรืองานแต่ง.." ชัชวาลแนะนำรักนรินทร์ ปกติแล้วเจ้านายเขาก็ไม่ค่อยได้ออกงานที่ต้องสวมสูทแบบนี้ ส่วนใหญ่เป็นงานเล็กๆ เสียมากกว่า เดรสโค้ดจึงเป็นลำลองสุภาพปกติ

 

"สวยดีครับ แต่รักนั่งรถเข็นคิดว่าชายเสื้อที่เป็นหางข้างหลังคงจะมองไม่เห็น แบบว่าเห็นไม่ครบทุกส่วนของมันน่ะครับ" รักนรินทร์ตอบกลับ ทักซิโด้ก็สวยอยู่หรอก แต่เขาคิดว่ามันคงไม่เหมาะกับตัวเอง อีกอย่างหากจะเข้าห้องน้ำ หางยาวๆ นั่นคงเกะกะน่าดู

 

รักนรินทร์หยิบสูทสีดำอีกตัวออกมา เป็นสูทที่ตัดเย็บให้เข้ารูปกับคนใส่ เสื้อตัวในเป็นสีขาว หูกระต่ายสีเดียวกันกับเสื้อกั๊กและสูทตัวนอก ผ้ากำมะหยี่เนื้อดีตัดเย็บอย่างประณีต เขารู้สึกพอใจกับสูทชุดนี้

 

ชัชวาลลากผ้าม่านปิดเอาไว้เผื่อมีคนเข้ามาโดยไม่รู้ตัว เดินอ้อมจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง จากนั้นช่วยรักนรินทร์แต่งตัวด้วยสูทชุดนั้น

 

"อาชัชอย่าบอกเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ให้พี่ฤกษ์รู้นะครับ" คนตัวเล็กเอ่ยออกมาเสียงจริงจังในขณะที่กำลังสวมเสื้อเชิ้ต ชัชวาลที่กำลังช่วยเขาสวมกางเกงจึงหยุดมือกะทันหัน

 

"ทำไมล่ะครับคุณรัก ที่เขาทำกับคุณมันเกินจะให้อภัย อันที่จริงคุณรักน่าจะยกเลิกสัญญากับเขานะครับ" ชัชวาลไม่เข้าใจ เจ้านายของเขาโดนอีกคนกระทำร้ายแรงแบบนั้นทำไมจึงไม่ให้บอกนายใหญ่ของบ้านกัน

 

รักนรินทร์มองตัวเองในกระจก เขาเห็นร่างกายตัวเอง

 

บนรถเข็น...

 

นึกถึกคำพูดอีกฝ่ายที่แว่วเข้ามาในสมอง

 

'คนพิการไร้ประโยชน์แบบเธอก็เป็นได้แค่ภาระ'

 

พี่ฤกษ์ที่ทำงานหนักทุกวัน อดหลับอดนอน ปวดหัวกับหนี้สิน กลับกันเขากลับได้รับอิสระ ไม่ต้องรับรู้ปัญหาอะไร ใช้ชีวิตในแบบที่อยากใช้ นั่นคือทั้งหมดที่ฤกษ์ให้รักนรินทร์

 

แล้วตัวเขาล่ะ? เขาให้อะไรแก่พี่ฤกษ์บ้าง ก็มีแต่เขาที่ได้รับ เขาไม่เคยให้อะไรแก่พี่ชาย ไร้ประโยชน์อย่างที่ธนัตถ์บอกไว้

 

"เพราะถ้าบอกพี่ฤกษ์ พี่ฤกษ์ก็ต้องให้รักยกเลิกสัญญาแบบที่อาชัชพูด ค่าตอบแทนทั้งหมดก็จะสูญเสียไป รักไม่อยากให้รู้"

 

จะว่าเขามันพวกยึดติด หรือเห็นแก่เงินก็ยอมทั้งหมด ขอเพียงแค่ให้ตัวเขาได้มอบอะไรให้พี่ชายบ้าง อยากให้พี่ชายมีชีวิตอิสระเช่นเขา

 

"มันคุ้มหรือครับคุณรัก รู้ทั้งรู้ว่าแต่งงานกันไปคุณก็จะไม่มีความสุข คุณฤกษ์เองก็คงไม่ดีใจหากเห็นคุณรักต้องทนทุกข์นะครับ" เขาดูแลเจ้านายน้อยมานานทำไมจะไม่รู้ว่าเจ้าตัวนั้นดื้อรั้นหัวแข็งเพียงใด พอตัดสินใจทำอะไรแล้วจะไม่ยอมแพ้ ยิ่งเพื่อครอบครัวไม่ว่าอะไรก็ยอมทั้งนั้น

 

"แค่หนึ่งปีครับอาชัช ขอเวลาให้รักแค่หนึ่งปีเท่านั้น บ้านอธิพัฒน์มนตรีก็จะได้มีความสุขอีกครั้ง"

 

รักนรินทร์เองก็ไม่แน่ใจหรอกว่าตัวเองจะอดทนกับหนึ่งปีนั้นได้นานแค่ไหน แต่สิ่งที่มั่นใจอย่างหนึ่งก็คือธนัตถ์คงจะสะใจกับการหยามเหยียดเขาไปตลอดหนึ่งปีแน่นอน

 

รักนรินทร์ให้สัญญากับตัวเอง

 

เมื่อถึงเวลาไป.. เขาก็จะขอลืมเรื่องชายชื่อธนัตถ์จนหมดสิ้น

.

.

.

ธนัตถ์ยังคงนั่งอยู่ในห้องรับรองส่วนตัว ตั้งแต่รักนรินทร์มาเขาก็หมดอารมณ์จะเล่นกับพนักงานสาวที่มาบริการ

 

พวกเธอรู้จักธนัตถ์กันทั้งนั้น นักธุรกิจหนุ่มชื่อดังที่แสนร่ำรวยทั้งยังพ่วงด้วยใบหน้าหล่อคมคาย หากได้สานสัมพันธ์คงจะโชคดีไม่น้อย

 

คนปากร้ายไม่คิดว่ารักนรินทร์จะมาถึงที่นี่ได้ เขารู้ว่ามันไม่มีเครื่องมือจะติดต่อใครก็เพราะเห็นว่ามันลืมกระเป๋าไว้กับคนใช้ของมันเอง แต่สุดท้ายก็มาปรากฏตัวให้เขาได้เห็น ไม่ได้หนีกลับบ้านอย่างที่คาดไว้

 

ค่อยน่าสนุกหน่อย

 

ถ้ามันร้องไห้โยเยไปฟ้องพี่ มันคนซวยก็คงจะเป็นเขา แต่เพราะเขารู้ว่ามันไม่มีทางยกเลิกสัญญา เงินมากขนาดนั้นที่จะทำให้ปลดหนี้ได้เร็วเป็นหลายเท่าใครบ้างจะไม่เอา

 

"ทุกคน! ผมซื้อชานมไข่มุกมาฝาก"

 

อยู่กับความคิดได้ไม่เท่าไหร่ ธนัถต์ก็ได้ยินเสียงใครบางคนหน้าห้องเพราะพนักงานสาวคนหนึ่งเปิดประตูออกไปพอดี

 

"ขอบคุณนะคะ/ขอบคุณครับ คุณเหม" พนักงานกล่าวขอบคุณเหมันต์ที่หิ้วชานมมาให้หลายสิบแก้ว

 

เหมันต์ที่แยกตัวออกมาจากรักนรินทร์ก่อนขับรถแยกไปอีกทางหนึ่ง ซื้อเครื่องดื่มมากมายมาฝากพนักงานที่ทำงานให้เขา

 

ใช่แล้ว ห้องเสื้อที่ธนัตถ์และรักนรินทร์ใช้บริการคือห้องเสื้อที่เหมันต์เป็นเจ้าของ และเขาดูแลพนักงานแบบนี้ดีเสมอ ซื้ออาหารเครื่องดื่มหรือของเล็กๆ น้อยๆ มาให้ตลอด

 

"ไอ้เหม" ธนัตถ์เอ่ยทักอีกฝ่าย เขายืนกอดอกพิงขอบประตูห้องรับรองไว้

 

"อ้าว ไอ้ธนัตถ์ มึงมาตั้งแต่ตอนไหน มาๆ ชานมไข่มุกสักแก้ว" เหมันต์ที่เห็นเพื่อนก็ถามกลับไป พลางเชิญชวนอีกฝ่ายมารับของฝากจากตน

 

"กูไม่ชอบอะไรหวานๆ แบบนั้น ให้เด็กมึงเถอะ"

 

"หวานน้อยก็มีเพื่อน กูสั่งมาหลายแบบ" เหมันต์ยังชวนอยู่แบบนั้น แต่ธนัตถ์เองก็ปฏิเสธกลับไปแล้วเดินกลับเข้ามาที่ห้องรับรองส่วนตัวพร้อมกับเหมันต์

 

"มึงมาถึงนานยัง โทษทีว่ะคือประชุมบอร์ดบริหารกินเวลามาก" เหมันต์พูดไปดูดไข่มุกในแก้วไปด้วย อากาศร้อนมันต้องดับด้วยชานมนี่แหละ

 

"เกือบสองชั่วโมงแล้ว"

 

"คุณหญิงบอกกูว่าวันนี้มึงจะลองสูทใส่แต่งงาน ยินดีกับมึงอีกครั้งจริงๆ เป็นฝั่งเป็นฝาเสียทีนะไอ้จอมบ้างาน"

 

ธนัตถ์สีหน้าเรียบเฉย เขานั่งเอนกายพิงหลังกับพนักพิงโซฟา จิบกาแฟดำที่พนักงานชงมาให้

 

"เออ แล้วไหนเจ้าสาวมึง มาด้วยหรือเปล่า? "

 

"ไม่ใช่สาว" ธนัตถ์ตบกลับสั้นๆ

 

"ไม่ใช่สาว.. เป็นผู้ชายเหรอ! " คนเป็นเพื่อนถึงกับตกใจที่ได้ยิน เพื่อนเขาคนนี้มันชอบผู้ชายตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้จักกับมันมาตั้งเรียนมหาลัยที่เมืองนอก เห็นควงแต่แม่สาวหุ่นเซ็กซี่เข้าโรงแรม เป็นไปไม่ได้ที่จะชอบผู้ชาย

 

'หรือมันเบื่อผู้หญิงแล้ว? ' เหมันต์คิดในใจ

 

"อืม" ธนัตถ์เคยคุยเรื่องที่เขาจะแต่งงานกับเพื่อนรักคนนี้แล้วแต่ไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรนัก

 

"ถามจริง เอ่อ ไม่ได้จะเหยียดแค่สงสัยว่ามึงไปรักไปชอบผู้ชายตอนไหน"

 

"ไม่ได้รักแล้วก็ไม่ได้ชอบ แต่งงานเพราะจำเป็น"

 

"จำเป็นอะไรวะ? " เหมันต์ซักอีก ความอยากรู้มันทำให้เจ้าตัวสงสัยไปหมด

 

"พ่อกูทำพินัยกรรมไว้ บอกว่ากูต้องแต่งงานกับผู้ชายคนนี้หนึ่งปีไม่งั้นจะอดสมบัติและตำแหน่งเจ้าบ้านกับประธานบริษัทไป ถ้ากูไม่แต่งหรือหย่ากันก่อน มรดกพวกนั้นเขาจะยกให้ไอ้ภูกับน้องมัน"

 

เหมันต์ถึงบางอ้อเข้าใจในทันทีว่าทำไมเพื่อนรักต้องแต่งงานกับผู้ชาย แต่แล้วทำไมต้องผู้ชายด้วย เขายังคงเกิดคำถาม เจ้าสัวไพศาลคิดอะไรอยู่กันนะ

 

"เฮ้อ เอาใจช่วยว่ะ เออ วันนี้มึงรู้ไหมกูเจออะไรมา"

 

"เจออะไรมา? "

 

"ก็เจอ.. คุณรัก"

 

เหมันต์กำลังจะพูดบางอย่างแต่สายตาเห็นร่างบนรถเข็นของคนที่เขาเพิ่งแยกจากกันได้ไม่นานเข้ามาในห้องพร้อมพ่อบ้านประจำตัว

 

ธนัตถ์เองก็ขมวดคิ้วที่เหมันต์เรียกร่างเล็กด้วยชื่อเหมือนคนที่รู้จักกันอยู่ก่อนแล้ว

 

"คุณเหม! " รักนรินทร์ประหลาดใจที่เห็นผู้มีบุญคุณอยู่ที่นี่ แต่ยิ่งไปกว่านั้นคืออยู่ในห้องรับรองส่วนตัวที่มีคนปากร้ายนั่งอยู่ด้วย

 

"คุณเหมเจอกันอีกแล้ว บังเอิญจัง มาตัดชุดเหมือนกันเหรอครับ" รักนรินทร์รีบทักทายเหมันต์ทันที

 

"เปล่าครับคุณรัก ผมมาตรวจบัญชีที่ร้าน อ้อ ตอนนั้นยังไม่ทันบอกโทรศัพท์ก็ดังซะก่อน คือผมเป็นเจ้าของห้องเสื้อที่นี่ครับ" เหมันต์ตอบด้วยรอยยิ้มลืมเพื่อนที่นั่งกอดอกหน้านิ่งบนโซฟาไปแล้ว

 

"งั้นเองเหรอครับ ที่นี่เป็นห้องเสื้อของคุณ"

 

"จะว่าไปคุณรักก็มาตัดชุดที่นี่สินะ ยินดีต้อนรับมากๆ เลยครับ"

 

"ขอบคุณครับ" รักนรินทร์เองก็ส่งยิ้มกลับไป

 

"ดูแบบไหนไว้ล่ะครับ ให้ผมช่วยแนะนำไหม?" เหมันต์ถามอย่างอาสา รู้สึกดีใจที่ได้เจอคนตัวเล็กแบบนี้

 

"อันที่จริงผมมาดูสูทสำหรับงานแต่งงานแต่ว่าเลือกได้แล้วล่ะครับ" รักนรินทร์ไม่ว่าเปล่าพลางชี้ไปทางชัชวาลที่แยกตัวเดินไปพูดคุยเรื่องสูทกับพนักงาน

 

"ไปงานแต่งเหรอครับ ดีครับสูทร้านผมมั่นใจได้ว่าสวยทุกตัว ตัดเย็บอย่างประณีตไม่ทิ้งชายตะเข็บ" ชายหนุ่มเจ้าของห้องเสื้อเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ สินค้าของเขาทุกตัวการันตีเลยว่าไม่มีตำหนิ ไร้ที่ติมากกว่าร้านไหนๆ

 

"รักนรินทร์ไม่ได้จะไปงานแต่งอย่างเดียวหรอกไอ้เหม" จู่ๆคนที่เงียบมาสักพักก็พูดขึ้นมา เขาลุกขึ้นเดินมาอยู่ข้างๆรักนรินทร์  คนตัวเล็กพลันเกร็งตัวอย่างระวัง

 

"อ้าว เดี๋ยวนะ รอก่อน คือมึงรู้จักกับคุณรัก?" เหมันต์งุนงงที่เพื่อนเขาพูดเหมือนรู้จักกับรักนรินทร์ "ไหนมึงบอกมากับคู่สมรส?"

 

"ก็อยู่ตรงหน้ามึง"

 

"อย่าบอกนะว่ามึงกับคุณรัก..."

 

"ใช่ กูกับรักนรินทร์กำลังจะแต่งงานกัน" ปากตอบเพื่อนแต่สายตาหันไปมองร่างบนรถเข็น รอยยิ้มของธนัตถ์ดูน่ากลัวสำหรับรักนรินทร์ เพราะทุกครั้งชายคนนี้จะต้องมีเรื่องมาให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจอยู่เสมอ

 

"แล้วอย่าบอกนะคุณรัก ว่าคนที่คุณมาด้วยตอนแรกคือ.."

 

"ครับ คือคุณธนัตถ์" 

 

สิ้นคำตอบจากรักนรินทร์ เหมันต์หันไปต่อยธนัตถ์ทันที

 

ผัวะ! 

 

"เฮ้ย! ไอ้เหม มึงมาต่อยกูทำไม!?" ธนัตถ์เบี่ยงตัวหลบด้วยความตกใจแต่ไม่พ้นจึงโดนหมัดของอีกฝ่ายไปเต็มเหนี่ยว

 

เหมันต์ดูเหมือนจะเลือดขึ้นหน้าเขากระชากคอเพื่อนรักขึ้นมาประจันหน้า

 

"มึงนี่เองที่ทิ้งคุณรักไว้ข้างทาง!" 

 

ธนัตถ์เข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายคงรู้เรื่องที่เขาทำกับรักนรินทร์ ไว้หมดแล้ว

 

"มึงบ้าไปแล้วเหรอ! มึงทำคนพิการได้ไง! มึงทิ้งเขาไว้คนเดียวแบบนั้นได้ไง!" เหมันต์เขย่าคอเสื้อเพื่อนรัก ไอ้คนเลวที่เขาประณามในใจคือเพื่อนเขาคนนี้เองหรอกหรือ 

 

รักนรินทร์ที่เห็นภาพก็ตกใจ เขางุนงงกับสถานการณ์ตอนนี้ ชัชวาลที่เดินกลับมาทีหลังก็ตกใจไม่แพ้กัน ส่วนธนัตถ์สะบัดตัวถอยห่างออกจากเหมันต์ ลิ้นดุนแก้มที่โดนหมัดของอีกฝ่าย 

 

"กูก็ว่าใครมันใจร้ายใจดำทิ้งคนพิการไว้แบบนั้น เป็นมึงนี่เอง! มึงคิดอะไรอยู่วะ จิตใจมึงทำด้วยอะไร!" ยอมรับเลยว่าเขาโกรธมาก โกรธแทนรักนรินทร์ที่โดนทำแบบนั้น ไม่คิดเลยว่าเพื่อนเขามันจะทำได้ลงคอ

 

"มึงจะเดือดร้อนแทนมันทำไม? มึงเป็นญาติฝ่ายไหนกับมัน" 

 

"กูไม่ได้เป็นญาติฝ่ายไหนทั้งนั้น กูแค่รับไม่ได้กับที่มึงทำ! กูถามจริงเถอะ อะไรมันสั่งให้มึงทำแบบนั้นวะ ดีที่กูมาเจอเขา ถ้าคุณรักเจอคนไม่ดีจะทำไง มึงรับผิดชอบเขาได้เหรอ?" เหมันต์จ้องหน้าเพื่อนอย่างเอาเรื่อง "มึงบอกกูว่าต้องแต่งงานกับเขาไม่งั้นมรดกมึงก็จะไม่ได้ แล้วเนี่ยเหรอที่มึงทำกับคุณรัก ธนัตถ์มึงเป็นฝ่ายที่ต้องพึ่งพาแต่มึงกลั่นแกล้งเขาแบบนี้เนี่ยนะ"

 

ธนัตถ์ที่เหมันต์รู้จักคือพวกบ้างาน นิสัยก็ไม่ได้แย่ แค่มีทิฐิสูง ถือตัวตามประสาลูกชายเจ้าสัว แต่ก็ไม่เคยมีข่าวเสียหายให้พ่อแม่ลำบากใจกลับกันมีแต่คนชื่นชมว่าลูกชายเจ้าสัวไพศาลและคุณหญิงอรุณีช่างสมบูรณ์แบบไปเสียหมด

 

แต่มันทิ้งรักนรินทร์ที่พิการและน่าสงสารเอาไว้ มันใช่เพื่อนเขาที่ชื่อธนัตถ์แน่หรือ ธนัตถ์ที่ทุกคนต่างพากันชื่นชมและคาดหวัง

 

"แต่คนที่เจอมันก็คือมึงไม่ใช่รึไง ไอ้เหม" ธนัตถ์ยืนจ้องหน้าเพื่อนตรงๆ

 

"เพราะเป็นกูที่เจอเขาไง แต่กูอยากรู้เหตุผลว่ามึงทำได้ยังไง!" 

 

"เพราะกูอยากให้มันรู้ไง" 

 

"..." 

 

"ว่าต่อให้กูจะเป็นฝ่ายที่ต้องพึ่งพามัน คนที่อยู่เหนือมันก็คือกู!" ธนัตถ์ตวาดกร้าวใส่ทั้งเหมันต์และรักนรินทร์ สายตาเขาดุดันไม่พอใจสุดขีด "กูจะทำให้มันรู้ว่าไม่ใช่มันที่ได้จากกูไปคนเดียว กูเองก็จะต้องอะไรคืนมาเหมือนกัน!"

 

เหมันต์พูดไม่ออก เพื่อนเขามันบ้าไปแล้วหรืออย่างไร จะมารังแกกดขี่คนที่ตัวเองต้องขอให้ช่วยซ้ำยังพิการแบบนี้ มันโดนผีร้ายตัวไหนเข้าสิง! 

 

"แล้วมึงคิดว่ากูจะปล่อยมันให้ตายอยู่แบบนั้นรึไง?"

 

"มึงหมายความว่าไง?" เหมันต์ไม่เข้าใจคำพูดของธนัตถ์ แล้วที่ทำลงไปคืออะไรล่ะ มันจะมากลับคำแบบนี้ง่ายๆไม่ได้

 

ธนัตถ์เห็นรักนรินทร์มองมาที่ตนอย่างสงสัยอยากจะรู้เช่นกัน ร่างเล็กทำหน้าเหมือนกับกำลังรอคอยว่าคำตอบของธนัตถ์คืออะไร

 

รอยยิ้มร้ายพลันผุดขึ้นอีกครั้ง

 

"กูเห็นมันตลอดทาง เห็นมันที่เดินคลานอยู่บนพื้นอย่างน่าสมเพช ไร้ที่พึ่ง กูไม่ได้ใจร้ายขนาดจะทิ้งมันจนไม่ดูดำดูแดงมันหรอกนะ" 

 

รักนรินทร์รู้สึกตัวชา  ร่างกายเหมือนไม่มีแรง สิ่งที่เขาได้ยินจากอีกคนเขาฟังไม่ผิดใช่ไหม? นี่คือคำตอบของเขางั้นหรือ? นี่ก็แสดงว่าตั้งแต่ทิ้งเขาลงจากรถเจ้าตัวไม่ได้ไปไหนแต่คอยมองเขาด้วยความสะใจอยู่ตลอดงั้นสินะ

 

"คุณไม่ได้ไปไกลจากผม คุณมองผมอยู่ตลอดงั้นเหรอ?" รักนรินทร์ถามเสียงแผ่วเบา ความรู้สึกเสียใจและผิดหวังมันทับใจเขาจนอึดอัด

 

"หายโง่แล้วสิ หึ ฉันบอกแล้วไง ฉันไม่ให้แกตายหรอก แต่แกโชคดีมาเจอไอ้เหม ฉันอุตส่าห์คิดว่าคงจะได้เห็นไอ้พิการคลานกับพื้นจนหมดแรงซะแล้ว"

 

ธนัตถ์ก็ยังคงเป็นธนัตถ์ที่ไม่เคยมอบความใจดีให้แก่รักนรินทร์ ตัวเขาซึมซับคำกล่าวเหล่านั้นเอาไว้ หากคนคนนี้ไม่คิดจะดีต่อกันก็ขอให้อย่าลืมในสิ่งที่ทำไว้

 

หากวันที่ความรู้สึกเกิดเปลี่ยนแปลงขึ้นมาจริงๆ ก็ขอให้นึกถึงสิ่งที่ทำกับเขาไว้... 

 

"อยากจะด่าอะไรกูก็เชิญ แต่กูมีธุระจะคุยกับมึงต่อ ส่วนแกไอ้พิการ รถเข็นเส็งเคร็งของแกอยู่ไหนก็ไปถามพวกพนักงานนั่นเอาเอง" ธนัตถ์บอกกับเหมันต์ด้วยสีหน้าเรียบนิ่งไม่มีแววหยอกล้อแล้วหันไปบอกกับรักนรินทร์เรื่องรถเข็น ตั้งแต่มาถึงเขาให้คนเอามันลงมา ไม่อยากจะเก็บไว้ให้รกหูรกตารถเขาหรอกนะ

 

คนปากร้ายพูดเสร็จก็กลับไปนั่งที่โซฟา พนักงานบริเวณนั้นต่างพากันถอยไป เหมันต์ถอนหายใจ เขาจะมาคุยกับธนัตถ์ทีหลัง 

 

"คุณรักจะกลับเลยไหมครับ?" เจ้าของห้องเสื้อถามคนตัวเล็กขึ้นพลางพากันออกจากห้องรับรองที่มีธนัตถ์อยู่

 

"ครับ รักเรียบร้อยแล้ว" 

 

"เดี๋ยวผมถามพนักงานให้นะเรื่องรถเข็นของคุณ" ว่าเสร็จก็เรียกพนักงานมาสอบถาม รักนรินทร์ยิ้มน้อยๆ คุณเหมใจดีกับเขามาก เขารู้สึกดีไม่น้อย

 

 

.

.

.

เหมันต์เดินมาส่งรักนรินทร์และชัชวานที่ลานจอดรถ พนักงานนำรถเข็นมาส่งให้แล้วเดินกลับเข้าร้านไป คนสูงกว่าอาสาพยุงรักนรินทร์ขึ้นรถทั้งยังคาดเข็มขัดนิรภัยให้ด้วย

 

"วันนี้คุณคงรู้สึกแย่ ขอโทษแทนเพื่อนผมด้วยนะ คุณไม่ควรมาเจออะไรแบบนี้ ผมจะคุยกับมันเอง" เหมันต์กล่าว เขารู้สึกขอโทษจากใจจริง รักนรินทร์ไม่สมควรมาเจออะไรแบบนี้เลย

 

"คุณเหมไม่ต้องขอโทษผมหรอกครับ  คุณไม่ได้ทำอะไรผิดแถมยังช่วยเหลือผมอีก อย่าใส่ใจเลยครับ"

 

"ผมเป็นห่วงคุณ ขนาดยังไม่ได้แต่งงานกันมันยังทำกับคุณแบบนี้ บอกตรงๆผมเป็นเพื่อนมันผมก็ยังไม่อยากจะเชื่อ" 

 

"เหตุผลของการกระทำเจ้าตัวรู้ดีที่สุดครับ" รักนรินทร์กล่าว ธนัตถ์ก็ทำเพราะความสะใจที่เห็นเขาต้องทรมาน แต่สุดท้ายก็คงจะไม่มีใครเข้าใจธนัตถ์เท่าเจ้าตัวเองหรอก

 

รักนรินทร์พูดคุยอยู่สักครู่ก็กล่าวลากับเหมันต์ รถยนต์สีดำเคลื่อนตัวออกไปจากห้องเสื้อของชายหนุ่มที่ยืนโบกมือลาตามหลัง

 

เหมันต์ถอนหายใจแล้วเดินกลับเข้าร้าน ขายาวก้าวเดินกลับมาที่ห้องรับรองส่วนตัวที่เพื่อนตัวดีของเขามันรออยู่

 

"มึงมีอะไรจะคุยกับกู" เหมันต์เป็นฝ่ายถามก่อน

 

"เรื่องโปรเจ็คที่ตราด" 

 

"มึงเก็บไว้ก่อนเลย กูอยากคุยกับมึงเรื่องคุณรัก" 

 

"มึงจะคุยเรื่องมันทำไมนักหนา เสียเวลาไอ้เหม" ธนัตถ์ขมวดคิ้วถามกลับอย่างเบื่อหน่าย

 

ไอ้เหมพึ่งเจอรักนรินทร์วันนี้ไม่ใช่รึไง พึ่งจะรู้จักกันจะมาเป็นห่วงอะไรนักหนา เขาสิเป็นเพื่อนมันแท้ๆ ทั้งเสียเปรียบ ทั้งโดนเรียกเงินไปหลายล้านมันยังไม่ถามเขามากขนาดนี้

 

"กูถามจริงๆ มึงไม่รู้สึกสงสารหรือรู้สึกอะไรบ้างรึไง"

 

"ถ้ากูสงสารมัน  มึงคิดว่ามันจะมีสภาพแบบนั้นไหมล่ะ?" 

 

"..." 

 

"ก็คงไม่ มึงเลิกถามกูเรื่องไอ้พิการนั่นซะที" 

 

เหมันต์มองหน้าธนัตถ์นิ่ง เขาพยายามหาความจริงจากแววตาของอีกคน แต่ก็ไร้ประโยชน์ ดูเหมือนไอ้คนตรงหน้าเขาคงจะไม่มีวันเปลี่ยนความคิด ความอคติต่อรักนรินทร์

 

"กูขอเตือนมึงในฐานะเพื่อน มึงจะไม่ชอบเขาก็ได้แต่ถ้ามึงยังมีความเป็นคนก็เลิกกลั่นแกล้งเขา กูเห็นแล้วปวดใจแทน คุณรักเป็นคนดีและน่าสงสาร ทำดีกับเขาไว้ซะ ไม่งั้นสักวันคนที่เสียใจก็คือตัวมึงเอง" 

 

"เสียใจ?" ธนัตถ์ทวนคำแล้วแค่นยิ้มกับตัวเอง "หึ ไอ้เหมเพื่อนรัก กูเสียใจมานานแล้ว" 

 

"..."

 

"เสียใจกับการกระทำของคนรอบตัวกู ส่วนรักนรินทร์ก็แค่คนที่หลงเข้ามาในเพลิงโทสะ เป็นที่รองมือรองตีนบรรเทาบาดแผลของกู"

 

กว่าจะมาเป็นธนัตถ์ในทุกวันนี้เขาไม่ได้เดินบนทางที่โปรยด้วยกุหลาบอย่างใครคิด หนามแหลมของมันทิ่มแทงเท้าของเขามาตลอด

 

ทุกอย่างหล่อหลอมให้เขาเติบโตมาเป็นบุรุษแสนร้ายกาจ

 

หากสูญเสียเขาจะเอาคืน หากเสียใจเขาไม่คิดจะเก็บไว้

 

รักนรินทร์โชคร้ายที่เลือกจะผูกบ่วงรัดคอตัวเอง

 

และเขาจะขอเป็นคนช่วยผูกปมนั้นให้แน่นจนอีกคนหายใจไม่ออก

 

 

 

 

 

 

 

 

.

.

.

"คุณฤกษ์ทานข้าวมาหรือยังคะ?" ป้าบัวถามฤกษ์เมื่อเห็นว่าอีกครั้งกลับมาช่วงหัวค่ำ

 

วันนี้ฤกษ์มีประชุมตั้งแต่เช้ายันเย็น มีเอกสารด่วนเข้ามาจนหัวหมุน แต่ยังโชคดีที่เอกสารพวกนั้นไม่ได้เยอะมาก เขาจึงไม่ต้องเคลียร์จนดึกดื่น

 

"ยังครับ รบกวนป้าบัวตั้งโต๊ะให้ทีนะครับ"

 

"ได้ค่ะ" หญิงชราตอบรับ กำลังจะเดินกลับเข้าไปในครัวแต่ถูกนายใหญ่ของบ้านเรียกรั้งไว้ก่อน

 

"รักนรินทร์อยู่ไหนครับป้าบัว" 

 

"คุณรักอยู่บนห้องน่ะค่ะ ป้าเห็นเธอเพิ่งเข้าไปเมื่อสักครู่" 

 

ฤกษ์พยักหน้ารับรู้ เขาบอกกับเธอว่าจะขึ้นไปหารักนรินทร์แล้วจะลงมารับอาหาร

 

เขารู้สึกเป็นห่วงตามประสาคนเป็นพี่ชาย อยากจะตามไปแต่งานช่วงนี้ค่อนข้างจะรัดตัว รักนรินทร์จึงบอกให้เขาไม่ต้องห่วง มีชัชวาลติดตามดูแล ไม่จำเป็นต้องคิดมาก

 

แต่เพราะรู้ว่าคู่สมรสปากร้ายของน้องชายเป็นคนมารับถึงได้ไม่สบายใจ กลัวน้องชายจะโดนอีกฝ่ายพูดอะไรเข้าอีก ฤกษ์ถึงได้รีบจัดการงานของวันนี้แล้วกลับมาหารักนรินทร์

 

ก๊อก ก๊อก..

 

"เชิญครับ"

 

ฤกษ์เปิดประตูเมื่ออีกฝ่ายส่งเสียงอนุญาต เขาเห็นน้องชายครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนเตียง ในมือถือหนังสือปกสีน้ำเงิน และยังมีอีกหลายเล่มข้างโต๊ะหัวเตียง รักนรินทร์อยู่ในห้องนอนคนเดียว ชัชวาลคงมาส่งแล้วเดินออกไปก่อนเขาจะมา

 

เขาเดินเข้าไปหาน้องชายถือวิสาสะนั่งอยู่ข้างเตียงแล้วมองหน้าน้องชายนิ่งๆ

 

"พี่ฤกษ์กลับมาตอนไหนครับ ทานข้าวแล้วเหรอ?" รักนรินทร์ถามขึ้นเมื่อเห็นพี่ชาย มือขาวปิดหนังสือเล่มหน้าลงแล้ววางมันไว้บนตัก

 

"เพิ่งจะถึง ป้าบัวกำลังตั้งโต๊ะให้พี่ แต่พี่อยากคุยกับนายก่อน"

 

"พี่ฤกษ์มีอะไรหรือครับ?"

 

"วันนี้มันทำอะไรนายหรือเปล่า?"

 

รักนรินทร์ชะงักไปนิด พี่ฤกษ์มาถึงก็ถามจี้ตรงจุด เขาแอบกำมืออย่างไม่รู้ตัว

 

"คุณธนัตถ์น่ะหรือครับ ก็ไม่ได้ทำอะไรนี่ครับ" คนตัวเล็กพยายามควบคุมเสียงให้ปกติ แต่เขากังวลจนมันแสดงออกมาทางสายตาอย่างเห็นได้ชัด

 

"คิดว่าพี่เชื่องั้นเหรอ?"

 

"..."

 

"มันทำอะไรนาย บอกพี่รักนรินทร์"

 

"ไม่ได้ทำอะไรจริงๆครับ ก็แค่เหมือนทุกทีที่เขาว่ารัก" รักนรินทร์พยายามมองสบตาพี่ชายให้มั่นคง ควบคุมตัวเองให้นิ่งที่สุด

 

ฤกษ์มองออกว่าน้องชายปิดบังเขา แต่ทู่ซี้ถามไปรักนรินทร์ก็คงไม่บอกเขาอยู่ดี

 

มือใหญ่ยกขึ้นลูบหัวน้องชายเบาๆ รักนรินทร์ชอบสัมผัสแบบนี้ที่สุด มันเหมือนพี่ฤกษ์ก็เป็นห่วงเขาไม่น้อย รู้สึกหัวใจได้เติมเต็มความรักจากครอบครัว

 

"บางอย่างฝืนทนไปมีแต่จะเจ็บปวด อย่าถือทิฐิมากเกินไปมันจะย้อนมาทำร้ายตัวเอง"

 

"พี่ฤกษ์.."

 

"ถ้ามันทำอะไรรักพี่ขอให้บอก พี่ไม่ได้มีความสุขหรอกนะที่เห็นน้องชายทุกข์ทรมาน" ฤกษ์บอกเสียงทุ้ม เขาเหลือน้องชายอยู่คนเดียว เขาเป็นทั้งพ่อแม่และพี่ให้รักนรินทร์ และให้สัญญากับตัวเองว่าจะต้องดูแลน้องชายให้ดีที่สุด

 

"ครับพี่ฤกษ์"

 

เขาขอโทษพี่ชายในใจ

 

'รักคงไม่บอกพี่ฤกษ์จนกว่าทุกอย่างจะจบลง..

 

ขอโทษนะครับพี่ฤกษ์'

 

N/A
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป